++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรื่อง ไม่ยินดียินร้าย

ไม่ยินดียินร้าย คือ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ในโลกธรรม 8 ที่มากระทบ
มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์
ชอบก็รู้ ไม่ชอบก็รู้ รู้แล้วปล่อย
สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ แล้วปล่อย
เห็นทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเสมอ
ถ้าทุกคนเข้าใจอย่างนี้ได้ ครอบครัวก็จะอบอุ่น บ้านเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุข
ทุกคนก็จะสบาย และเป็นสุขได้ในทุกสถานการณ์

ใครทำอะไรไม่ดี ท่านก็ไม่ให้ยินร้าย
ให้รีบโอปนยิโก น้อมเข้ามาดูตัวเอง
เตือนใจตัวเองว่า เราอย่าทำอย่างนั้น

จริง ๆ แล้ว เราก็ไม่ใช่คนสมบูรณ์
เราก็ทำให้คนอื่นไม่พอใจเหมือนกัน ไม่มากก็น้อย
พยายามรักษาความเป็นปกติ รักษาความเป็นกลาง ๆ รักษาสุขภาพใจดีของเรา
หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ พยายามปฏิบัติ เจริญสติปัฏฐาน 4 เจริญอาณาปานสติ
อยู่กับปัจจุบัน เป็นปัจจุบันธรรม

ไม่ยินดียินร้ายคือ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
เห็นผู้หญิงสวย ชอบก็รู้ รู้แล้วก็ปล่อย ไม่ยึดมั่น ถือมั่นว่าต้องเอามาเป็นของเราให้ได้
ลูกทำอะไรไม่ถูกใจ ก็ปล่อย อนิจจัง แล้วเขาจะเปลี่ยนไปเอง เขาก็มีกรรมเป็นของเขา
เมื่อมีโอกาส เมื่อใจของเราดีแล้ว ก็ค่อยแนะนำ สอนเขา
เราต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของลูก เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แล้วก็ปล่อย

นี้คือ ไม่ยินดี ยินร้าย

ไม่ยินดียินร้าย ไม่ใช่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ปฏิบัติหน้าที่
ตรงกันข้าม ไม่ยินดียินร้าย เป็นสุขภาพใจที่ดี
เมื่อเรามีสุขภาพใจดี เราก็สามารถทำหน้าทีของเราได้ดีที่สุด

เราต้องทำหน้าทีของเราให้ดีที่สุดเสมอ
เป็นพ่อแม่ที่ดี เป็นพี่น้องที่ดี เป็นลูกที่ดี
เป็นนายที่ดี เป็นลูกน้องที่ดี เป็นนักการเมืองที่ดี
ทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ เต็มความสามารถเสมอ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยอิทธิบาท 4

เมื่อเราทำดีที่สุดแล้ว
ผลจะเป็นอย่างไร ถูกใจ หรือไม่ถูกใจ
ใครจะสรรเสริญ ใครจะนินทา ก็ปล่อย
ไม่ยึดมั่น ถือมั่นว่า ฉันทำดีแล้วคนต้องชม
ฉันทำดีแล้ว ฉันต้องได้ 2 ขั้น ฉันต้องได้เลื่อนตำแหน่ง
คนดี อยู่ที่ไหน ใครจะว่าอย่างไร ก็ดีอยู่เสมอ และสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยความพอใจ

นี่คือ ไม่ยินดียินร้าย ไม่ยึดมั่นถือมั่น

เราค่อย ๆ ศึกษา ค่อย ๆ ฝึกปฏิบัติ
ตั้งใจแน่วแน่ที่จะรักษาสุขภาพใจที่ดีของเราเอาไว้

ยินดียินร้ายเกิดขึ้น ก็รีบระงับ
มีหิริโอตตัปปะที่จิตใจ เป็นศีลเป็นสมาธิ เมื่อทำสำเร็จ จิตใจของเราก็เป็นมัชฌิมา
เป็นปกติ เป็นสุขภาพใจดี และจะมีความสุขได้ในทุกสถานการณ์


ที่มา : หนังสือ ปีมะโรง ขอจงมีความสุข..พิมพ์ครั้งที่ 15 กันยายน 2551.. ผู้สนใจติดต่อ มูลนิธิมายา
โคตมี กทม โทร 02 676 3453

ทำบุญบ้านให้เทวดา..(เทวดาทำบุญเองไม่ได้ ต้องรอจากมนุษย์อย่างเรา)

พี่ๆ เพื่อนๆ เราไปอ่านเจอมานะจ๊ะ

ทำบุญบ้านให้เทวดา

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 วันนั้นได้ไปบ้านโยมผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นประธานทอดกฐินที่วัดทมอโดน ( วัดที่ประเทศเขมร) ซึ่งเป็นกฐินตกค้าง เจ้าของบ้านหลังนี้รับเป็นเจ้าภาพ ผู้เขียนซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์วัดนี้ ต้องเดินทางไปรับเจ้าภาพเพื่อเดินทางไปประเทศเขมรด้วยกัน
วันนั้น ต้องออกจากวัดตั้งแต่เช้าเพื่อไปฉันเช้าที่บ้านโยมเจ้าภาพ เมื่อรถแท็กซี่แล่นถึงหมู่บ้านจัดสรร ได้สังเกตเห็นสิ่งต่าง ๆ ดังนี้ หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านคนรวย บ้านแต่ละหลังอยู่ห่างกันบนเนื้อที่ 1 ไร่ สงบร่มรื่น มีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา มีต้นไม้ร่มครึ้มอยู่ทั่วไป

เมื่อถึงบ้านเจ้าภาพ เจ้าของบ้านก็นิมนต์ให้ไปไหว้พระสวดมนต์เจริญภาวนาในห้องพระก่อนเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่บ้าน เสร็จแล้วจึงลงมาฉันเช้าที่ห้องด้านล่าง ฉันเช้าเสร็จแล้วจึงออกเดินสำรวจดูรอบ ๆ บริเวณบ้านบนเนื้อที่ขนาด 2 ไร่ ซึ่งมีต้นไม้ทั้งขนาดเล็กและ ปานกลางอยู่ทั่วไป สังเกตเห็นว่า ต้นไม้แต่ละต้น ไม่ว่าจะเป็นต้นน้อยต้นใหญ่ มีรุกขเทวดาอาศัยอยู่เต็มไปหมด ไม่มีว่างเหลืออยู่เลย ก็เลยสวดมนต์ให้พวกเขาฟังหนึ่งพระสูตร (กรณียเมตตสูตร) พร้อมกับแปลให้เขาฟังด้วย

สักพักได้ยินเสียงของเทวดาที่เป็นเจ้าที่องค์หนึ่งกล่าวว่า “ ท่านครับ ช่วยบอกเจ้าของบ้านให้นิมนต์พระมาทำบุญที่บ้านด้วยครับ ”
ผู้เขียน “ ทำไมล่ะ ? เจ้าของบ้านเขาก็เป็นคนดีอยู่ออก เขาไม่เคยทำบุญบ้านเลยหรือ ?”
รุกขเทวดา “ ทำครับ แต่เจ้าของบ้านเขามักจะไปทำบุญนอกบ้าน ไม่ค่อยได้ทำบุญภายในบ้านเลย พวกผมซึ่งเป็นเทวดาเจ้าที่ จึงไม่ค่อยได้รับบุญกุศลสักเท่าไหร่ พวกผมอยากให้เจ้าของบ้านนิมนต์พระ มาทำบุญที่บ้านบ้าง เพราะที่หมู่บ้านแห่งนี้ ไม่มีพระมาบิณฑบาตถึง ผมอยากจะฟังพระสวดมนต์ อยากฟังพระสวด “ ธัมมะจักรกัปปวัตตนะสูตร ” บ้าง ”
ผู้เขียน “ แล้วจะให้อาตมาบอกเขาอย่างไรล่ะ ? บอกตรง ๆ คงไม่เหมาะ ”
รุกขเทวดา “ ท่านก็ใช้กุศโลบายซิครับ หรือจะเขียนลงในไตรรัตน์ก็ได้ เมื่อเจ้าของบ้านได้
อ่าน เขาคงจะเข้าใจ ”
ผู้เขียน “ เอ้า จะลองดู ถ้าไม่ได้ผล อย่าว่ากันนะ ”

เวลา 08.00 น. เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็เตรียมตัวขึ้นรถออกเดินทาง ก่อนที่เจ้าของบ้านจะ
ขึ้นรถนั้น ได้หันไปทางต้นไม้แล้วกล่าวด้วยเสียงแจ้ว ๆ น่ารักว่า “ เทวดา ดิฉันจะไปทำบุญทอดกฐินที่ประเทศเขมร อนุโมทนาบุญด้วยนะ แล้วก็ช่วยดูแลบ้านให้ด้วย แล้วจะนำบุญมาฝาก ” ผู้เขียนซึ่งนั่งอยู่คู่กับคนขับ ได้ยินดังนั้นก็อดที่จะอมยิ้มในความน่ารักและมีน้ำใจของเจ้าของบ้านไม่ได้ เมื่อรถแล่นออกมาได้สักพัก จึงได้ค่อย ๆ แอบถามเพื่อตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ จากเจ้าของบ้านว่าจะตรงกับที่เทวดาให้มาหรือไม่ เจ้าของบ้านให้ข้อมูลมาดังนี้ :

ที่บ้านหลังนี้ ไม่เคยมีพระเข้ามา 10 กว่าปีแล้ว ( พระองค์สุดท้ายที่เข้ามาที่บ้านหลังนี้คือ หลวงพ่อจรัญ จ.สิงห์บุรี) เพราะเจ้าของบ้านจะออกไปทำบุญแต่ข้างนอก ผู้เขียนเป็นพระรูปแรกในรอบ 10 ปีที่เข้ามาบริเวณรอบ ๆ หมู่บ้านนี้ไม่มีวัดอยู่แม้แต่แห่งเดียว เพราะเป็นหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงไม่มีพระมาบิณฑบาตถึง หมู่บ้านแห่งนี้ถึงเป็นหมู่บ้านคนรวย แต่เจ้าของหมู่บ้านไม่เคยทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่หมู่บ้านเลย เพราะต่างคนต่างอยู่ (ตัวใครตัวมัน)

หลังจากกลับจากประเทศเขมรแล้ว วันต่อมา ได้มีโอกาสไปที่หมู่บ้านแห่งนี้อีก เทวดาเจ้าที่ก็มาให้ข้อมูลอีกว่า

“ หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านคนรวย ในมุมมองทางโลกนั้น ถ้ามนุษย์คนไหนได้อยู่ในหมู่
บ้านแห่งนี้ถือว่าเป็นคนไฮ-โซ (1) ถือว่าเป็นคนมีบุญ เป็นคนมีระดับ แต่ในมุมมองทางธรรมนั้น เทวดาองค์ไหนอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ถือว่าเป็นเทวดาโล-โซ (2) ถือว่ามีบุญน้อย เป็นเทวดาชั้นต่ำ เพราะไม่ค่อยมีโอกาสอนุโมทนาบุญ ไม่ค่อยได้ฟังเทศน์ฟังธรรมเหมือนเทวดา ที่อาศัยอยู่ในวัด เทวดาที่อาศัยอยู่ในวัดนั้น ไม่ว่าจะเป็นรุกขเทวดา ( เทวดาที่อยู่ตามต้นไม้) หรือภุมมะเทวดา ( เทวดาเจ้าที่) โดยมากได้ฟังพระสวดมนต์เช้า – เย็น ทุกวัน ได้อนุโมทนาบุญกับคนมาทำบุญบ่อย ๆ ได้ฟังพระเทศน์เป็นประจำดังนั้น ผมจึงขอฝากบอกข่าวนี้ไปถึง
เจ้าของบ้านผ่านพระคุณเจ้า ให้ช่วยบอกเจ้าของบ้านด้วยให้นิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์ให้เทวดาอย่างพวกผมได้ฟังบ้าง ถ้ามีการแสดงธรรมด้วยก็จะดีมาก และให้พระสวดมนต์ให้ยาว ๆ มาก ๆ หน่อย อย่างน้อยปีละครั้งก็ยังดี
ในการทำบุญนั้น ให้เจ้าของบ้านจุดธูปบอกทั้งภายในบ้าน และนอกบ้าน เชิญเทวดาที่อยู่ภายในบ้านและภายในหมู่บ้านรวมทั้งพวกสัมภเวสี 3 ที่อด ๆ อยาก ๆ ให้มารับส่วนกุศล
และทานอาหารโดยทั่วกัน ถ้าเจ้าของบ้านทำอย่างนี้ ก็จะเป็นการเพิ่มพลังบุญกุศลให้แก่เทวดา เมื่อเทวดามีบุญมาก ก็จะรักษาหรือช่วยให้คนที่อยู่ในบ้านหรือหมู่บ้านแห่งนี้อยู่กันอย่างสงบสุข ในการทำบุญภายในบ้านนั้น เทวดาทุกองค์ที่อาศัยอยู่ในที่นี้สามารถเข้ามาร่วมพิธีและอนุโมทนาได้ทั้งหมด แต่ถ้าเจ้าของบ้านไปทำบุญในวัด เทวดาที่มีบุญน้อยศักดิ์
น้อยบางองค์ ไม่สามารถไปร่วมพิธีได้ ได้แต่อนุโมทนาบุญที่เจ้าของบ้านนำมาฝาก ถ้าเข้าใจไม่ชัด ผมจะขอยกอุปมา-อุปมัยให้ฟัง ถ้าเราทำบุญที่บ้าน ญาติพี่น้องของเราสามารถเข้าร่วมพิธีได้หมดทุกคน แต่ถ้าไปทำในวัด ทุกคนจะไปร่วมพิธีทั้งหมดไม่ได้ เพราะจะต้องมีบางคนอยู่เฝ้าบ้าน ดังนั้นการนิมนต์พระมาทำบุญที่บ้าน จึงเป็นผลดีต่อเทวดาอย่างพวกผมมากกว่าทำบุญที่วัด แม้ว่าเจ้าของบ้านจะลำบากหรือเหน็ดเหนื่อยอีกนิดหนึ่งก็ตาม ”

ป.ล. อ่านแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ พิจารณาไตร่ตรองก่อน


ข้อควรปฏิบัติ

๑. ควรทำบุญบ้านปีละครั้ง โดยนิมนต์พระให้ไปบ้าน อาจเป็นการถวายสังฆทานเฉย ๆ ก็ได้
เพื่อเป็นการเพิ่มบุญให้แก่เทวดาที่เป็นพระภูมิเจ้าที่และความเป็นมงคลแก่ที่ดินของเราเองด้วย
๒. ควรทำบุญหมู่บ้าน ชุมชน ซอย หรือคอนโดฯ ที่เราอยู่ปีละครั้ง เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แด่ปู่ย่าตายายผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน เป็นการแสดงความกตัญญู-กตเวที และมีอานิสงส์ทำให้คนในหมู่บ้านสามัคคีกัน วิญญาณพระภูมิเจ้าที่ที่รักษาหมู่บ้านก็จะมีพลังป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้มากขึ้น


1 High Society = คนชั้นสูง , สังคมชั้นสูง
2 Low Society = คนชั้นต่ำ , สังคมชั้นต่ำ
3 สัมภเวสี = ผู้แสวงหาที่เกิด คือผีที่ตายจากโลกมนุษย์แล้ว แต่ยังไม่ได้เกิดในกำเนิดอื่น

ยาถ่ายพยาธิไก่

หมากดิบ 1 ลูก มะขามเปียก 1 ก้อน ปลาทูนึ่ง 1 ชิ้น นมผง 1 ส่วน
ตำให้เข้ากัน กินตอนเช้า 1 ก้อน กินน้ำมากๆพอ ไก่ถ่ายพยาธิมาจุกก้นให้ดึง

จาก FarmerInfo 18/07/2010 -14.06 น.

สิ่งทผู้เลี้ยงแมวควรทราบ ป้องกันการผิดพลาด

สิ่งทผู้เลี้ยงแมวควรทราบ ป้องกันการผิดพลาด คือ ถ้าแมวแสดงอาการป่วย ห้ามนำยาประเภทพาราเซตามอลให้แมวกิน เพราะยาประเภทนี้เป็นพิษต่อแมว

จาก FarmerInfo ทางด่วนข้อมูลการเกษตรของไทย *1677

นิราศเดือน - วรรณคดีสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

            ทำนองแต่ง ใช้กลอนนิราศ
            ความมุ่งหมาย - แสดงประเพณี และสภาพความเป็นอยู่ในรอบเดือนหนึ่งๆของราษฎร
            เรื่องย่อ - รำพันถึงความรัก  และกล่าวถึงประเพณีและเหตุการณ์ประจำเดือนหนึ่งๆในรอบปี เริ่มแต่เดือน ๕ มีงานสงกรานต์ สรงน้ำพระ เที่ยวดูการเล่น เล่นการพนัน เดือน ๖ เตรียมทำไร่นา แต่งงาน โกนจุก เป็นต้น
            ข้อคิดเห็น - นิราศเรื่องนี้ ให้ความรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี และสภาพความเป็นไปของสังคมคนไทยทั่วๆไป ในสมัยผู้แต่ง ทำนองเดียวกับโคลงทวาทศมาสสมัยศรีอยุธยา ในด้านกระบวนกลอนนับว่าเป็นเลิศ ถึงแก่มีผู้เข้าใจว่าเป็นของสุนทรภู่อยู่ในระยะหนึ่ง

บทกวี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช นักกู้ชาติ โดย สงบ แสงรัตนกุล

       รำลึกวีรกรรมนั้นนเรศวร
มหาราชประกาศชวนแซซ้อง
ทรงปราบอริราชซวนแพ้พ่าย
ชัยชนะยิ่งใหญ่ก้องปกป้องศักดิ์ศรี
       ยุทธหัตถีต่อสู้เกรียงไกร
ยิ่งใหญ่ตัดสินพระทัยมั่นพร้อม
ช้างพระองค์ตกมันใครกล้าขี่
พาเตลิดสู่วงล้อมตรัสท้าชวนชน
       ผลจากการสู้รบชิงชัย
ประวัติศาสตร์จารึกไทยชนะล้ำ
ทัพพม่าแตกพ่ายไประส่ำ
ทรงประกาศอิสรภาพซ้ำกอบกู้ชาติไทย
       โอ้พระทัยกษัตริย์ผู้เกรียงไกร
เสียสละเพื่อประเทศไทยแกร่งกล้า
ขัตติยะยอดยิ่งในจอมกษัตริย์
ดุจเทพโปรดเหล่าข้าพระบาทน้อมนบนิรันดร์


 สงบ แสงรัตนกุล (กรุงเทพฯ)

แจ้งประกาศตำแหน่งงานใหม่ ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ. :: ณ : วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553



ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : ครูผู้สอน  โรงเรียนบ้านไทรงาม สพท.สตูล จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634160901485900000

2.) ชื่อตำแหน่งงาน : ผู้ช่วยพนักงานราชทัณฑ์ สำหรับปฏิบัติหน้าที่ในเรือนจำ/ทัณฑสถาน/สถานกักขัง และเจ้าหน้าที่ธุรการ (ด้านควบคุม) สำหรับปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่ควบคุมตัวระหว่างการตรวจพิสูจน์ ของเรือนจำจังหวัดระนอง จำนวนตำแหน่งว่าง : 4 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมราชทัณฑ์
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634161109008400000

3.) ชื่อตำแหน่งงาน : ครูผู้สอน โรงเรียนบ้านวังพระเคียน สพท.สตูล จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634160898867618750

4.) ชื่อตำแหน่งงาน : อาจารย์  ภาควิชารัฐศาสตร์ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634161003246212500

5.) ชื่อตำแหน่งงาน : เจ้าพนักงานธุรการ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมปศุสัตว์
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634160882226525000

ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ.



วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แจ้งประกาศตำแหน่งงานใหม่ ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ. :: ... วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการเกษตร จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมหม่อนไหม
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634160198446837500

2.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการออกแบบผลิตภัณฑ์ จำนวนตำแหน่งว่าง : 2 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมหม่อนไหม
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634160202256993750

3.) ชื่อตำแหน่งงาน : เภสัชกรปฏิบัติการ จำนวนตำแหน่งว่าง : 6 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634160081679337500

4.) ชื่อตำแหน่งงาน : เจ้าหน้าที่ระบบงานคอมพิวเตอร์  (เขต 1) จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมวิชาการเกษตร
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634160185866368750

5.) ชื่อตำแหน่งงาน : ครูผู้สอน ร.ร.วัดหนองคัน  อ.ท่าใหม่  จ.จันทบุรี จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634159947850431250

ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ.

โครงการ “เข้าพรรษา เข้าหาพระธรรม”

....................................



ในเทศกาลเข้าพรรษา ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓ นี้ สถาบันวิมุตตยาลัย : สถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนาสันติภาพโลก

ซึ่งก่อตั้งและอำนวยการโดย “พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี”(ว.วชิรเมธี) ได้จัดทำโครงการ “เข้าพรรษา เข้าหาพระธรรม”

ด้วยการแจกหนังสือและซีดีธรรมะเป็นธรรมทาน ดังนี้


๑. หนังสือ “สันติมรรคา เพื่อ สันติประชาธิปไตย”

นำ เสนอแนวทางการสร้างประชาธิปไตยที่ไม่ใช้ความรุนแรงผ่านมุมมองของพระพุทธ ศาสนา เช่น “เรามักมองกันอย่างผิวเผินว่า ความรุนแรงคือเอ็ม 79 คือ การใช้อาวุธประหัตประหารกัน คือ การจุดไฟเผาผลาญบ้านเมืองแต่แท้ที่จริงนั่นเป็นเพียง “ภูเขาน้ำแข็งแห่งความรุนแรง” ที่แสดงให้เห็นว่า ใต้ภูเขาน้ำแข็งลงไปยังมีความรุนแรงที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านั้น เช่น ความยากจน, ความเข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษาและสาธารณสุข, ความเหลื่อมล้ำของรายได้ประชากร, กฎหมายที่ศักดิ์สิทธิ์เสมอสำหรับคนยากจน แต่อ่อนปวกเปียกสำหรับคนมีอิทธิพล, ขยะข้อมูลปฏิกูลข่าวสาร, สภาพธนาธิปไตยในวงการเมือง เหล่านี้ คือ ความรุนแรงแฝงเร้น ที่น่ากลัวยิ่งกว่าอาวุธสงคราม... หากไม่หันเข้าหาธรรมะเป็นเครื่องนำทาง ประชาธิปไตยในเมืองไทยคงจะต้องใช้ “ชีวิตคนบริสุทธิ์” เป็นเครื่องสังเวยอีกนับไม่ถ้วน...”

๒ ซีดีธรรมะชุด “รื่นรมย์ในงาน เบิกบานในชีวิต” ๒ เรื่อง

๒.๑ เรื่อง “หนทางสร้างความตื่น”



- คนจำนวนมากดำรงชีวิตในลักษณะตื่นอยู่อย่างผู้หลับใหล ทั้งๆ ที่ลืมตาตื่นอยู่ แต่ในดวงใจกลับหลับใหลอยู่ในความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอิจฉาริษยา ความเห็นแก่ตัว จนไม่เห็นหัวคนอื่น จะดีเพียงไรถ้าเราเรียนรู้ที่จะหลับตานอก แล้วลืมตาใน ดำรงชีวิตอยู่ในโลก แต่ไม่ติดอยู่ในโลก


๒.๒ เรื่อง “ปาฏิหาริย์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)”
- สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เป็นพระที่มีชีวิตอยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ แต่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงไร ชื่อเสียงของท่านก็ไม่เคยเสื่อมไปจากความเคารพนับถือของคนไทย จะมีคนไทยกี่คนที่รู้ว่า ความขลังของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) มีมากกว่า พระสมเด็จวัดระฆังที่คนชอบสะสม ท่าน ว.วชิรเมธี ชี้ให้เห็น “แก่น” ของความเป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อย่างลึกซึ้ง แยบคาย ทว่าสนุกสนาน เจือด้วยรอยยิ้มและ เสียงหัวเราะตลอดเวลากว่าชั่วโมง



สามารถคลิกฟังออนไลน์และดาวน์โหลดได้ที่นี่ http://www.dhammatoday.com/cd/form.htm
วิธีการติดต่อขอรับหนังสือและซีดีธรรมะ
- แจ้งชื่อ-ที่อยู่ ได้โดยตรงที่นี่



-ติดต่อขอรับ “ฟรี” ด้วยตนเองได้ทุกวันตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๗.๐๐ ณ สถาบันวิมุตตยาลัย ถนนอรุณอมรินทร์ ๓๗ บางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐


- ติดต่อขอรับทางโทรศัพท์ได้ที่หมายเลข ๐๒ – ๔๒๒ – ๙๑๒๓, ๐๘๗ – ๐๘๐ – ๗๗๗๙, ๐๘๙ – ๘๙๓ – ๒๑๓๖


ส่งชื่อที่อยู่ทางโทรสารหมายเลข ๐๒ – ๔๒๒ – ๙๑๒๘



- ดาวน์โหลดได้ฟรีที่เว็บไซต์ Dhammatoday.com หรือ ส่งชื่อที่อยู่ทาง E – mail dhammatoday@gmail.com

เทศกาลของดีเกาะยอ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 กรกฎาคม 2553 18:01 น.

เกาะยอ จ.สงขลา จัดงาน "เทศกาลของดีเกาะยอ" ระหว่างวันที่ 2 - 8 ส.ค. 53 ณ สวนสาธารณะหาดทรายเทียม หมู่ที่ 1 ตำบลเกาะยอ อ.เมือง จ.สงขลา

ในงานมีกิจกรรมน่าสนใจ อาทิ การแสดงบนเวทีพบกับมโนราห์ศรีธน หนังตะลุงคณะหนังแต้ว วงดนตรีฌามา วงดนตรีร่มประดู่ นักร้องลูกทุ่งเย็นจิตร พรเทวี เอกชัย ศรีวิชัย สุนารี ราชสีมา การประกวดเทพีของดีเกาะยอ การแสดงของวงดนตรีโรงเรียนนวมินทราชูทิศทักษิณ โรงเรียนหารเทา เป็นต้น

ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อบต.เกาะยอ โทร.0-7445-0433, 0-7445-0540

“สุรยุทธ์” แนะเยาวชนควรตระหนักคุณค่าภาษาไทย พร้อมมอบรางวัลเชิดชูเกียรตินายกฯ

วันนี้ (29 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้ารับรางวัลเชิดชูเกียรติ ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2553 ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงวัฒนธรรม โดยนายกรัฐมนตรี รับมอบรางวัลจาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ซึ่งเป็นประธานในงาน

โดย พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ภาษาไทยเป็นมรดกทางภาษาที่สำคัญ แสดงถึงความรุ่งเรืองของชนชาติไทยที่ได้มีการประดิษฐ์คิดค้นภาษาขึ้นมาใช้ใน การติดต่อสื่อสาร แต่ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในปัจจุบัน ทำให้เกิดคำศัพท์ใหม่ๆ ในการสื่อสาร และเยาวชนในยุคปัจจุบันไม่ค่อยให้ความสำคัญแก่ศิลปะการใช้ภาษาไทย ดังนั้น เพื่อช่วยกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งของเยาวชนในชาติ และตระหนักถึงคุณค่า และความสำคัญของภาษาไทย ตลอดจนร่วมกันทำนุบำรุง รักษามรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป

สำหรับผู้ได้รับรางวัลผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติปี 2553 รวมทั้งสิ้น 22 คน อาทิ นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา นายเศรษฐา ศิระฉายา นักร้องนักแสดง รวมถึงพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี และมีการมอบรางวัลปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย และผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นด้วย

บรรยากาศในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการวันภาษาไทยแห่งชาติ การฉายวิดีทัศน์ และนิทรรศการผู้ได้รับการเชิดชูเกียรติบุคคลด้านภาษาไทย กิจกรรมคลินิกหมอภาษา ซึ่งมีนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ และญาติผู้ได้รับรางวัลมาร่วมงานจำนวนมาก

ประเทศจะสมานฉันท์ และ สามัคคีได้ ก็ต่อเมื่อ ประชาชนเห็นการทำชั่วแล้วได้รับโทษ

ประเทศจะสมานฉันท์ และ สามัคคีได้ ก็ต่อเมื่อ ประชาชนเห็นการทำชั่วแล้วได้รับโทษ ประชาชนจะได้ตระหนักกันทั้งประเทศว่า ทำชั่วแล้วได้รับผลกรรมที่ัตัวเองกระทำไว้

ไม่ใช่ให้ประชาชน ยอมรับ ในการทำชั่วนั้นโดยใช้คำว่า เพื่อสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์มาบังหน้า...

"ความเป็นธรรม ยุติธรรมนั้นมี
คนทำไม่ดี ชอบเอาไปบิดเบือน"

ประเทศ ไทยมีความเป็นธรรม ขบวนการยุติธรรม การตัดสิน เป็นที่ยอมรับของสากลโลก มาอย่างช้านานแล้ว แต่คนทำชั่วมันบิดเบือน ไม่ยอมรับคำตัดสินนั้นต่างหาก !!!
เวรแท้ๆ

“ประเวศ” ชี้สังคมไทยปฏิรูปไม่สำเร็จ เพราะขาดเอกภาพ เน้นทำงานเชิงบวก

ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป แต่งตั้ง คกก.14 ชุด เร่งเดินหน้าปฏิรูป เน้น “ความเป็นธรรมเข้าถึงทรัพยากร-กระบวนการยุติธรรม” ก่อนรวบรวมข้อมูล ส่ง “อานันท์” คลอดนโยบาย ฝัน 3 ปี นำประเทศออกจากวิกฤต ปัดเสนอรัฐเลิก “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” อ้างไม่อยากเข้าสู่ความขัดแย้ง ยันขอทำงานเชิงบวก ชี้ เหตุปฏิรูปไม่สำเร็จ เพราะ ปชช.ขาดเอกภาพ

วันนี้ (29 ก.ค.) นพ.ประเวศ วะสี ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป แถลงข่าวหลังจากการประชุมว่า ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการ 14 ชุด ได้แก่ 1.คณะกรรมการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป 2.คณะกรรมการเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนและสภาผู้นำชุมชนเพื่อการปฏิรูป 3.คณะกรรมการเครือข่ายประชาชนเพื่อการปฏิรูป 4.คณะกรรมการเครือข่ายผู้ใช้แรงงานและคนจนเมืองเพื่อการปฏิรูป 5.คณะกรรมการเครือข่ายพลังงานสตรีเพื่อการปฏิรูป 6.คณะกรรมการเครือข่ายพลังเยาวชนเพื่อการปฏิรูป 7.คณะกรรมการเครือข่ายผู้พิการเพื่อการปฏิรูป 8.คณะกรรมการเครือข่ายผู้ด้อยโอกาสเพื่อการปฏิรูป 9.คณะกรรมการเครือข่ายภาคธุรกิจกับการปฏิรูป 10.คณะกรรมการเครือข่ายอุดมศึกษาเพื่อการปฏิรูป 11.คณะกรรมการเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป 12.คณะกรรมการจัดสรรทรัพยากรเพื่อความเป็นธรรม 13.คณะกรรมการความยุติธรรมกับการปฏิรูป และ 14.คณะกรรมการสื่อสารเพื่อการปฏิรูป

นพ.ประเวศ กล่าวด้วยว่า เรื่องความเป็นธรรมที่ใหญ่ที่สุด คือ ความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรอื่นๆ ทางกฎหมายทุกชนิด นายนิพนธ์ พัวพงษ์กร จะเป็นประธานคณะกรรมการ ประชุมวันที่ 11 ส.ค.นี้ โดยมีทีดีอาร์ไอเป็นเลขานุการ ซึ่งได้ทำการวิจัยเรื่องดังกล่าวอยู่ มีเสียงเรียกร้องเรื่องการจัดสรรทรัพยากรอย่างไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะเรื่องที่ดิน ระบบภาษีอากร การใช้จ่ายการคลังของภาครัฐ รวมถึงการบริหารจัดการคลื่นความถี่ ถ้าทำดีจะลดช่องว่างระหว่างความเหลื่อมล้ำของคนจนกับคนรวย แก้ไขปัญหาอาชญากรรม สังคม การเมือง ทั้งนี้ คณะกรรมการความยุติธรรมกับการปฏิรูป ถือว่า มีเสียงเรียกร้องมากที่สุดคู่กับเรื่องทรัพยากร โดยคณะกรรมการยุติธรรมเป็นเรื่องที่คนร้องเรียนมากที่สุด เนื่องจากขาดความยุติธรรมในสังคม และเป็นเรื่องยากสุดๆ ซึ่งจะมี นายกิตติพงษ์ กิตติยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรมจะเป็นกรรมการชุดดังกล่าว โดยภายในสัปดาห์ที่สามของเดือนสิงหาคม จะระดมความคิดเห็นจากหลายฝ่าย รวมทั้งสื่อมวลชนมาระดมความคิดเนื่องจากคนได้รับความเดือดร้อนมาก

นพ.ประเวศ กล่าวอีกว่า คนไทยผ่านความแตกแยกมาเยอะ ทำให้จิตใจแตกเป็นชิ้นๆ ยากที่จะมารวมกันเกิดพลังด้วยความรู้และเหตุผล ต้องใช้พลังจินตนาการเข้ามา ทั้งนี้ คณะกรรมการเครือข่ายศิลปิน จะเข้ามาช่วยตรงนี้ โดยมี นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีรัตนโกสินทร์ เป็นประธานร่วมดำเนินงาน ซึ่งมีสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติเป็นเลขานุการ

นพ.ประเวศ กล่าวด้วยว่า ด้านคณะกรรมการสื่อสารเพื่อการปฏิรูป จะใช้การสื่อสารทุกชนิดทั้งสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ อิเล็กทรอนิกส์ เว็บไซต์ เฟซบุ๊กที่ www.facebook.com/essemblyreform และทวิตเตอร์ เพื่อดึงสังคมเข้ามามีบทบาท มีอาสาสมัครทำสภาคนไทยออนไลน์ เพื่อให้รวมตัวกันในชุมชนออนไลน์ รวมถึงชุมชนท้องถิ่นภายใต้เครือข่ายนักข่าวชุมชน นำเสนอประเด็นในพื้นที่ เพื่อสร้างพลังทางสังคม ซึ่งทุกเครือข่ายจะมีประเด็นคำถามดังนี้ 1.ท่านคิดว่าสังคมที่มีความเป็นธรรมในความเห็นของท่าน ตามความใฝ่ฝันของท่านเป็นอย่างไร 2.ควรเสนอมาตรการอะไรบ้างที่จะสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำ

“ท้ายที่สุดแล้วทุกเครือข่ายจะนำข้อมูล ข้อคิดเห็นที่ได้มาสังเคราะห์ โดยร่วมกับคณะของนายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย แล้วนำทั้งหมดกลับสู่สังคมอย่าเป็นห่วงว่ารัฐบาลจะทำหรือไม่ทำ ประชาชนทั้งหมดขับเคลื่อนไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลก็ทำ ถ้ารัฐบาลไม่ทำฝ่ายค้านก็ทำจะเป็นปรากฏการณ์ ขอให้มีพลังทางสังคม พลังทางปัญญา สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดแล้วก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาพื้นฐานเหล่านี้ได้ มีทั้งอำนาจรัฐ อำนาจเงิน เพราะฉะนั้นจำเป็นที่คนไทยทุกคนต้องเข้ามาร่วมกัน”

นอกจากนี้ น.ส.วิลาสินี พิพิธกุล คณะกรรมการ กล่าวด้วยว่า จะเปิดช่องทางกว้างขวางให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมทั้งโซเชียลมีเดีย โพลสำรวจ และเกาะติดประเด็นการปฏิรูป ทั้งนี้ คณะกรรมการจะทำงานร่วมกับสถาบันอิศรา สมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ช่วยพัฒนาประเด็นเชิงลึก เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนงานด้านสื่อมวลชน

นพ.ประเวศ ยังได้ตอบคำสื่อถึงความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน กับการประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นพ.ประเวศ กล่าวว่า คณะกรรมการไม่ได้เสนอตรงนั้น เรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เกิดขึ้นตามสถานการณ์ ที่สุดแล้วต้องยกเลิกชั่วคราว เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น เหมาะสมอย่างไรก็ต้องยกเลิก อยู่นานไม่ได้ เราไม่จำเป็นต้องเรียกร้องตรงนี้ แต่ถ้าเราเข้าไปจะมีทั้งคนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จะเข้าไปสู่ความขัดแย้ง เสียเวลาตรงนั้น เราอยากทำงานทางบวก พูดคุยกันได้ไม่อยากจะเข้าไปสู่ประเด็นอะไรที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง

“ยังไงก็ต้องยกเลิก จะมีคนเรียกร้องให้ยกเลิก รัฐบาลจะดูว่าจะยกเลิกได้เมื่อไหร่อย่างไร ตามข้อมูลตามลำดับ แต่เราไม่มีข้อมูล เราจะไปเรียกร้องให้ยกเลิกอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ เดี๋ยวจะเกิดความผิดพลาด ใครไปก่อเรื่องขึ้นแล้วมาโทษว่าเป็น เพราะคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปไปขอร้องให้ยกเลิก ถ้ามีคนไปวางระเบิดที่ไหนอย่างไร เราไม่อยากเข้าไปสู่ตรงนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอยู่แล้วต้อง เข้าไปดู ถ้าคณะกรรมการมัวแต่ไปตามปัญหาก็จะติดเรื่องการปฏิรูปโครงสร้าง แล้วบ้านเมืองปัญหาก็ไม่หาย เราไม่ใช่คณะกรรมการแก้ปัญหา วันนี้ปัญหาเต็มประเทศไปหมด รัฐบาลยังแก้ไม่ได้เลย ถ้าเรารับทำและแก้ปัญหาก็จะไปติดตรงนี้ไม่ได้ปฏิรูป ต้องดูตรงนี้ด้วย” นพ.ประเวศ กล่าว

เมื่อถามว่า กลุ่มคนเสื้อแดงบางกลุ่มก็ไม่ยอมรับ จะทำให้การปฏิรูปประสบความสำเร็จได้อย่างไร นพ.ประเวศ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา ที่สังคมไทยทำอะไรก็ไม่สำเร็จ เพราะความขาดเอกภาพ แต่เขาสามารถเรียกร้องได้แล้ว แต่รัฐบาลจะตอบสนองมากน้อยแค่ไหน เราทำเพื่อคนไทยทั้งหมด เราไม่แยกสี แยกสันอะไรเลย พิสูจน์ไม่ได้ด้วยคำพูดต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ

หมอกควัน– โลกร้อน– การใช้รถใช้ถนน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 กรกฎาคม 2553 16:04 น.
โดย...สุจิตรา

ปัญหาหมอกควันในภาคเหนือนั้นเป็นปัญหาที่เกิดประจำทุกปีโดยเฉพาะใน ช่วงหน้าแล้ง ซึ่งเกิดจากสาเหตุหลายประการทั้งจากภายในประเทศและจากประเทศข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้ป่าโดยธรรมชาติ การเผาป่าโดยความจงใจของมนุษย์เพื่อเป็นเหตุอ้างในการตัดไม้หรือเพื่อบุกรุก ป่าและเก็บผลิตผลจากป่า การเผาไร่นาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก รวมทั้งการเผาเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมทั่วไป และการเผาถ่านหินลิกไนต์ในอุตสาหกรรมผลิตพลังงานไฟฟ้า

ผลจากกระบวนการเผาดังกล่าวก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กมาก โดยเฉพาะอนุภาคเล็กกว่า 10ไมครอน (หรือ 10 ไมโครเมตร, ประมาณหนึ่งในเจ็ดของความกว้างเส้นผมคนเรา) อนุภาคขนาดเล็กเหล่านี้ถือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะยิ่งอนุภาคมีขนาดเล็กมากยิ่งแทรกซึมเข้าสู่ทางเดินหายใจและเข้าสู่ถุง ลมปอดได้ง่าย อันจะก่อให้เกิดให้เกิดการระคายเคืองทำให้เกิดปัญหาโรคทางเดินหายใจ

ที่น่ากลัวมากๆ คือสารอนุภาคขนาดเล็กเหล่านี้ สามารถที่จะกระตุ้นเซลล์ที่มีการแบ่งตัวตามปกติอยู่แล้วให้เกิดการกลาย พันธุ์ (Mutation) อันเป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็งทางเดินหายใจและมะเร็งปอดได้โดยง่าย

ได้มีการสำรวจโดยทีมงานของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าในช่วงปี 2545 ถึง 2548 สถิติผู้ป่วยจากโรคทางเดินหายใจในจังหวัดเชียงใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ที่น่าตกใจคืออัตราผู้ที่เป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นถึงหกเท่าตัวในช่วงเวลาดัง กล่าว (จาก 0.9 ต่อแสนประชากร เป็น 5.8 ต่อแสนประชากร)

ค่ามาตรฐานของอนุภาคขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอนอยู่ที่ไม่เกิน 120 ไมโครกรัมต่อลบ.เมตร แต่ค่าที่วัดได้ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ในปี 2550 มีค่าสูงกว่ามาตรฐานถึงสามเท่า (340-383 ไมโครกรัมต่อลบ.เมตรตามลำดับ) ในขณะที่เชียงรายและลำปางสูงกว่าค่ามาตรฐานสองเท่า (212-259 ไมโครกรัมต่อลบ.เมตรตามลำดับ) แม้ว่าในการสำรวจล่าสุดในปีนี้ (2553) ค่าที่วัดได้จะลดลงบ้าง แต่ก็ยังสูงกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ (231 ไมโครกรัมต่อลบ.เมตร ในจังหวัดเชียงราย และ 280 ไมโครกรัมต่อลบ.เมตรในจังหวัดเชียงใหม่)

ข้อมูลที่แจกแจงให้ฟังคงทำให้ท่านผู้อ่านได้ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพ ใกล้ตัวท่านอันเกิดจากหมอกควันบ้าง แต่พิษสงของหมอกควันยังไม่หมดแค่นี้

พักเรื่องหมอกควันไว้ก่อน ลองหันมาดูเรื่องโลกร้อนกันบ้าง

เป็นที่ทราบกันดีว่า ภาวะโลกร้อนเกิดจากก๊าซเรือนกระจกอันประกอบไปด้วยก๊าซหลักๆ อันได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โอโซน (O3) มีเธน (CH4) ไนตรัสออกไซด์ (NO2) ซึ่งก๊าซที่กล่าวมาทั้งหมดก็ล้วนเป็นผลจากกระบวนการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม การเผาไหม้เชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตพลังงานไฟฟ้า การเผาไหม้ในกระบวนการสันดาปภายในของรถยนต์ และสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC) ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ เหตุที่เราเรียกว่า ก๊าซเรือนกระจกเพราะก๊าซเหล่านี้ซึ่งอยู่ในชั้นบรรยากาศชั้นล่างสุด (Troposphere) สะสมพลังงานความร้อนที่เกิดจากรังสีอินฟราเรด และรังสี UV ที่ตกกระทบมายังโลกและสะท้อนกลับไม่ให้หนีหายออกนอกอวกาศไป ทำให้เกิดความร้อนในชั้นบรรยากาศดังกล่าวสูงมากขึ้น

อันที่จริงแล้วภาวะเรือนกระจกมีความสำคัญต่อโลกมาก เพราะถ้าโลกนี้ไม่มีภาวะเรือนกระจกแล้ว อุณหภูมิโลกจะลดลงมาเหลือ -18 องศาเซลเซียส นั่นคือสิ่งมีชีวิตไม่มีโอกาสเกิดบนโลกแน่นอน

แต่ภาวะเรือนกระจกที่เกิดจากก๊าซเหล่านี้ต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม และต้องไม่มากจนเกินไป จากข้อมูลการศึกษาพบว่าปริมาณก๊าซเรือนกระจกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ยกเว้นในช่วงปี 2478-2485 ซึ่งอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากนั้นปริมาณก๊าซเรือนกระจกก็มีแนวโน้มสูงตลอด (ดังรูป)

ก๊าซเรือนกระจกที่มากเกินไปส่งผลสำคัญสองประการคือ โลกร้อน และรังสี UV เข้ามายังโลกในปริมาณมาก

เรื่องโลกร้อนนั้นมีผู้รู้กล่าวถึงทั้งหลักฐานเชิงประจักษ์และผล กระทบที่จะตามมาอย่างมากมายซึ่งท่านผู้อ่านคงหาอ่านได้ตามโลกอินเทอร์เน็ต ทั่วไป ไม่ว่าจะในเรื่องของอุณหภูมิโลกที่มีแนวโน้มสูงขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกที่มีแนวโน้มลดน้อยลงอย่างรุนแรง ภาวะน้ำท่วมส่วนต่างๆของโลก การผันแปรอย่างรุนแรงของสภาพภูมิอากาศและนำมาสู่อุทกภัยและวาตภัยในพื้นที่ ต่างๆ และการระบาดของโรคที่มียุงเป็นพาหะ เช่น มาลาเรีย ไข้เลือดออก อันเป็นผลจากสภาพอากาศที่อุ่นขึ้นและเอื้อต่อการแพร่พันธุ์ของยุง

แต่ที่ผู้เขียนอยากกล่าวถึงคือการที่ปริมาณรังสีที่อันตรายโดยเฉพาะ รังสี UV ที่ทะลุทะลวงเข้ามายังโลกมากขึ้นเพราะรูโอโซน (Ozone Hole) ในชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ที่ใหญ่ขึ้น

ท่านผู้อ่านคงมึนงงว่า ตกลงแล้วก๊าซโอโซนที่ว่านี้ดีหรือไม่ดีกันแน่

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ชั้นบรรยากาศที่หุ้มห่อโลกนี้มีสี่ชั้นที่สำคัญ คือ

- ชั้นโทรโปสเฟียร์ (Troposphere) ซึ่งอยู่เหนือผิวโลกไม่เกิน 15 กม.

- ชั้นสตราโตสเฟียร์ (Stratosphere) ซึ่งอยู่เหนือผิวโลก 15-50 กม.

- ชั้นเมโซสเฟียร์ (Mesosphere) ซึ่งอยู่เหนือผิวโลก 50-85 กม. และ

- ชั้นเทอร์โมสเฟียร์ (Thermosphere) ซึ่งอยู่เหนือผิวโลก 85-500 กม. เหนือกว่านั้นก็เป็นเขตอวกาศ

โอโซนที่อันตรายคือโอโซนในชั้นสตราโทรโปสเฟียร์เพราะเป็นก๊าซ เรือนกระจกที่เป็นอันตรายต่อระบบหายใจโดยตรง โอโซนในชั้นนี้ส่วนใหญ่แล้วจะสร้างจากการแตกตัวเป็นออกซิเจนอิสระโดยอาศัย สารตั้งต้นคือ ไนโตรเจนไดออกไซด์ (Nitrogen dioxide, NO2) ซึ่งเป็นก๊าซเสียที่เกิดจากกระบวนสันดาปภายในของเครื่องยนต์ ซึ่งเมื่อโดนแสงแดด NO2 ก็จะแตกตัวให้อะตอมออกซิเจนซึ่งจะไปรวมตัวกับโมเลกุลออกซิเจนกลายเป็น “โอโซน”

ในขณะที่โอโซนที่เป็นคุณกับมนุษย์คือโอโซนในชั้นสตราโตสเฟียร์ เหตุที่เป็นคุณเพราะโอโซนในชั้นบรรยากาศดังกล่าวช่วยดูดซับรังสี UV ถึงร้อยละ 99 ก่อนเข้าสู่พื้นผิวโลก โอโซนในชั้นดังกล่าวสร้างจากการที่โมเลกุลออกซิเจนดูดซับรังสี UV แตกตัวเป็นออกซิเจนอิสระและทำปฏิกิริยากับโมเลกุลออกซิเจนกลายเป็น “โอโซน” ในทางกลับกันการที่ “โอโซน” ในชั้นสตราโตสเฟียร์จะสลายกลายเป็นออกซิเจนอิสระและโมเลกุลออกซิเจนก็ต้อง อาศัยรังสี UV เช่นกัน รวมความว่าทั้งการสร้างและการสลาย UV ในชั้นสตราโตสเฟียร์ล้วนต้องใช้ UV ทั้งสิ้น นี่จึงเป็นกลไกในการที่บรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์หรือที่เรียกว่า ชั้นโอโซน สามารถปกป้องโลกจากรังสี UV ได้

แล้วรูโอโซน (Ozone Hole) เกิดจากอะไร?

รูโอโซนในชั้นสตราโตสเฟียร์ที่มีขนาดกว้างใหญ่ขึ้นนั้นเกิดจากการหาย ไปของโอโซนอันเป็นผลมาจากการโมเลกุลของคลอรีนที่อยู่ในสารคลอโรฟลูออโรคาร์ บอน (Chlorofluorocarbons, CFC) ซึ่งจะแตกตัวออกจากสาร CFC ภายใต้รังสี UV และไปแย่งจับกับออกซิเจนอิสระ (ดังรูป) ทำให้โมเลกุลออกซิเจนแตกตัวออกจากโมเลกุลโอโซน แต่สุดท้ายคลอรีนที่จับกับออกซิเจนอิสระก็จะแยกจากกันและคลอรีนอิสระก็จะไป จับกับโมเลกุลโอโซนใหม่อีก คลอรีน 1 ตัวสามารถทำให้โอโซนแตกตัวได้ถึง 1,000 โมเลกุล รูโอโซนจึงมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าในปัจจุบันจะมีขนาดคงที่จากการที่เลิกใช้สาร CFC ในอุตสาหกรรมเครื่องทำความเย็นและอุตสาหกรรมกระป๋องอัดฉีด แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอีกนานหลายร้อยปีกว่าที่รูโอโซนจะมีขนาดเล็กลง

โอโซนในชั้นโทรโปสเฟียร์ที่เป็นพิษจะไปทดแทนโอโซนที่เป็นคุณที่อยู่ในชั้นสตราโตสเฟียร์ได้หรือไม่?

ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น เพราะโอโซนเป็นก๊าซที่หนักกว่าอากาศถึงเท่าตัว (อากาศมีความหนาแน่นประมาณ 1.2 กก. ต่อ ลบ.เมตร หรือ 1.2 กรัมต่อลิตร ในขณะที่โอโซนมีความหนาแน่น 2.144 กรัมต่อลิตร) โอโซนในชั้นโทรโปสเฟียร์จึงตกค้างอยู่บนผิวโลก

เมื่อไม่มีชั้นโอโซนที่เพียงพอ รังสี UV ที่เป็นอันตรายก็จะเข้ามาถึงชั้นผิวโลกได้มากขึ้นและก่อให้เกิดอันตรายทั้ง ต่อผิวหนังโดยเฉพาะการเกิดมะเร็งผิวหนัง และที่คนไทยยังไม่ตระหนักคือ ภาวะต้อกระจก (Cataract) ซึ่งก็คือการที่เลนส์ตาขุ่นมัว ทำให้มองไม่เห็นและต้องเข้าคิวเพื่อผ่าตัดใส่เลนส์ตาเทียมกัน โรคนี้จะเห็นได้ชัดเจนในชาวไร่ชาวนาที่ไม่ระมัดระวังป้องกันดวงตาของตนจาก แสงแดด ข้อแนะนำประการแรกสำหรับท่านผู้อ่านคือ พยายามใส่แว่นกันแดดทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร แม้กระทั่งบนเครื่องบินที่เปิดหน้าต่าง

แล้วหมอกควันที่กล่าวในตอนต้นบทความเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนอย่างไร ? เรามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร?

สองเรื่องนี้เกี่ยวพันอย่างมาก เพราะการเผาฟางข้าว 1 ไร่จะก่อให้เกิดมลพิษในอากาศถึง 1,217 กิโลกรัม โดยเป็นก๊าซเรือนกระจกอันประกอบด้วย คาร์บอนไดออกไซด์ 1,210 กิโลกรัม และไนโตรเจนไดออกไซด์ 2 กิโลกรัม ที่เหลืออีกประมาณ 5.2 กิโลกรัมคือฝุ่นละอองและอนุภาคที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน

ในทางกลับกันถ้าไม่เผาฟางข้าว จะเป็นการช่วยเพิ่มธาตุไนโตรเจน โปรแตสเซียม และ ฟอสฟอรัส ให้แก่ดินถึง 23 กิโลกรัมต่อไร่ หรือคิดเป็นเงินได้ถึง 185 บาทต่อไร่ นอกจากนี้แล้วยังเป็นการเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดินถึง 800 กิโลกรัมต่อไร่

ใครที่ควรจะรับผิดชอบ?

สิ่งหนึ่งที่เรามักพบเห็นคือการที่หน่วยราชการจะให้ความรู้แก่ ประชาชน (กลุ่มเล็กๆ) ในรูปแบบของการจัดอบรมสัมมนาประชุมเพื่อเผยแพร่ความรู้ และการจัดทำป้ายบอกต่างๆ ตามข้างทาง รวมทั้งพยายามบอกชาวบ้านว่า อย่าเผาป่า อย่าเผาหญ้า อย่าเผาฟางข้าว และอย่าอื่นๆ อีกมากมาย แต่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องอันได้แก่ กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ทำอะไรนอกเหนือจากการจัดอบรมสัมมนา รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอันได้แก่ อบจ. เทศบาล และ อบต. ได้ลงมือทำอะไรบ้าง หรือเพียงแต่เอาเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรมาสร้างตึกที่ทำการของ อบจ. และ อบต. รวมทั้งคอยคิดแต่จะตัดถนน

ตัวอย่างเช่นในเรื่องที่ชาวนาเผาฟางข้าวและตอซังข้าวเพื่อเตรียมนา เราบอกชาวไร่ชาวนาว่า “อย่าเผาฟางข้าว” แต่หน่วยงานราชการได้ช่วยอะไรชาวไร่ชาวนาเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ บ้าง เช่น การมีรถไถกลบไว้บริการในพื้นที่ การรับซื้อฟางข้าวเพื่อไปแปรรูปหรือทำประโยชน์อื่นเพื่อมิให้มีการเผา หน่วยงานราชการได้สร้างระบบติดตามผลการให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องดัง กล่าวอย่างเป็นระบบหรือไม่ อาทิ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องตอบเป็นตัวเลขแก่สาธารณชนได้หรือไม่ว่าขณะนี้ แนวโน้มการเผาฟางข้าวของชาวนาเพื่อเตรียมนานั้นมีแนวโน้มลดน้อยลง คงที่ หรือมากขึ้น หรือตัวเลขอยู่ในเอกสารของเจ้าหน้าที่ จะขอดูเมื่อไรก็ได้ แต่ไม่เคยมีคนขอดูรวมทั้งหัวหน้าส่วนราชการทั้งอธิบดี และปลัดกระทรวง เพราะไม่เคยติดตาม

แล้วรัฐบาลล่ะครับ จริงใจในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวหรือไม่ ได้ติดตามจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องถึงความคืบหน้าของการแก้ไขดังกล่าว อย่างสม่ำเสมอหรือไม่ ได้ส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินการจัดการปัญหาดังกล่าวและปัญหา อื่นๆ หรือไม่

โจทย์ข้อนี้ เป็นโจทย์ที่ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบและร่วมกันแก้ไข ทั้งชาวไร่ชาวนา ทั้งหน่วยงานราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รัฐบาล” การแก้ไขจึงจะเคลื่อนหน้าไปในทิศทางที่ถูกได้ รัฐบาลต้องเลิกหวังว่าหน่วยงานราชการจะเดินหน้าเอง และต้องเลิกหวังในทุกเรื่อง ตราบเท่าที่รัฐบาลไม่ติดตามอย่างใกล้ชิดรัฐบาลก็อย่าหวังเลยว่าหน่วย งานราชการจะเดินเอง เพราะหน่วยงานราชการก็เกรงว่าเมื่อเดินไปเองแล้วจะชน “ตอ”

ปัจจัยสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่สำคัญที่ทุกคนทุกฝ่ายทุกหน่วยงานจะ ต้องมีร่วมกันคือ “ความรักชุมชน รักบ้านเมือง รักคนที่อยู่ร่วมกัน” การแก้ปัญหาต่างๆ จึงจะสัมฤทธิผลได้ ตัวอย่างเช่น คนญี่ปุ่น คนเกาหลี ที่รักบ้านรักเมืองของเขา บ้านเมืองของเขาจึงก้าวหน้ามาได้ดังทุกวันนี้

เชื่อเถอะครับว่า ความสำเร็จในการที่จะแก้ปัญหาที่สำคัญของประเทศ รวมทั้งสิ่งที่ทุกคนโหยหาคือ “ระบบประชาธิปไตยที่แท้จริง” นั้น ต้องเริ่มที่ “ถนน” เพราะ “ถนน” เป็นที่ที่ทุกคนต้องใช้ร่วมกันในทุกวัน เป็นที่ที่ต้องอาศัยความเอื้ออาทรของผู้ใช้รถใช้ถนน การใช้ “ถนน” จึงจะไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัยที่สุด อาจกล่าวได้ว่า การใช้รถใช้ “ถนน” เป็นพฤติกรรมที่สะท้อนถึง “ความรักชุมชน รักบ้านเมือง รักคนที่อยู่ร่วมกัน” ของคนในสังคมนั้น ๆ

ตราบ ใดที่เรายังคงขับรถช้าแต่ชิดเลนขวาโดยคำนึงแต่เพียงว่า “ฉันอยู่เลนของฉัน ฉันไม่คร่อมเลนคนอื่น” โดยไม่คำนึงถึงระยะห่างรถของตนกับรถคันหน้าที่ห่างมากและห่างมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รถคันหลังต้องแซงไปทางซ้ายซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก ตราบใดที่เราเปลี่ยนเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยวแต่เนิ่นๆ โดยคิดเพียงว่า “ปลอดภัยอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องเปิดไฟเลี้ยวเลย” จนบางคนลืมไปเลยว่ารถของตนมีไฟเลี้ยว หรือลืมไปว่าการเปิดไฟเลี้ยวเป็นการแสดงความมีน้ำใจเพราะเป็นการให้ข้อมูล แก่รถข้างเคียง นั่นก็แสดงว่า ยังไม่ตกผลึกถึงคำว่า “ความรักชุมชน รักบ้านเมือง รักคนที่อยู่ร่วมกัน” หรือรักแต่ปาก ตราบนั้นความคาดหวังที่จะแก้ปัญหาที่สำคัญๆ ของชาติบ้านเมืองได้ก็จะยังคงลางเลือนต่อไป

อธิปไตยเหนือสิ่งอื่นใด

โดย ว.ร. ฤทธาคนี 29 กรกฎาคม 2553 17:28 น.
เสรีภาพ อำนาจอธิปไตย และบูรณภาพของชาตินั้น เป็นหัวใจของความเป็นชาติเมื่อเสรีภาพ คือ ความเป็นอิสระของปัจเจกบุคคลที่จะคิด จะอ่าน และกระทำการใดๆ ได้ตามกรอบแห่งรัฐธรรมนูญ ที่ถูกตราไว้ให้เป็นกติกาสูงสุดของสังคม ตามแนววัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์ ตามความเป็นจริงที่สากลยอมรับ แต่อาจจะไม่เหมือนกัน อธิปไตย หมายถึงอำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐที่เป็นอาณาเขตทางกายภาพที่ชัดเจน มีประชากรที่มีความผูกพันกันตามวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่คนทั้งชาติยอมรับ และกฎหมายเดียวกัน และมีรัฐบาลที่ประชาชนยอมรับและเลือกขึ้นเองตามระบอบที่คนในชาติกำหนด และอำนาจอธิปไตยตามนัยของ ฌอง โบแดง (Jean Bodin) ในศตวรรษที่ 16 มีลักษณะสำคัญ 4 ประการ คือ

1. รัฐมีความเด็ดขาด ไม่มีอำนาจอื่นภายในรัฐที่เหนือกว่า และไม่มีอำนาจอื่นที่มาจำกัดอำนาจในการออกกฎหมายของรัฐ 2. อำนาจอธิปไตยของรัฐมีอยู่เหนือทุกคนและทุกองค์กรในรัฐ ยกเว้นกลุ่มทูตานุทูตต่างประเทศที่เป็นตัวแทนมาประจำในประเทศ จะไม่อยู่ภายใต้อธิปไตยของรัฐนั้น แต่ประเพณีปฏิบัติต่อทูตที่ละเมิดอธิปไตย คือ การให้ออกจากประเทศ 3. อำนาจอธิปไตยของรัฐเป็นสิ่งถาวร ตราบเท่าที่รัฐนั้นยังคงดำรงสภาพของรัฐอธิปไตยอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองภายในประเทศนั้นก็ตาม แต่อำนาจอธิปไตยของรัฐนั้นยังสภาพเดิม 4. รัฐหนึ่งย่อมมีอำนาจอธิปไตยเพียงอำนาจเดียว จะแยกอำนาจอธิปไตยมิได้

ส่วนบูรณภาพ ซึ่งหมายถึงความครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเฉพาะบูรณภาพแห่งดินแดน ซึ่งหมายความว่า ดินแดนนั้นมีความสมบูรณ์ครบถ้วนจากดั้งเดิม มิถูกแย่งชิงไป

ตามนัยปรัชญาแห่งความเป็นรัฐชาติ อันหมายถึงความแน่นอนทางรัฐศาสตร์ของชาติหนึ่งที่มีประชากรแน่นอน มีดินแดนแน่นอน มีรัฐบาลแน่นอน และมีอำนาจอธิปไตยที่แน่นอน และสิ่งเหล่านี้อยู่กับชาติไทยมาช้านาน ยกเว้นบางช่วงที่ถูกชาติอื่นมาช่วงชิง เช่น ราชอาณาจักรอยุธยาถูกพม่าเข้าครอบครอง 2 ครั้ง แต่ทั้ง 2 ครั้ง วีรกษัตริย์และวีรชนไทยก็สามารถกอบกู้นัยแห่งรัฐชาติกลับคืนมา จนยุคการล่าอาณานิคมของชาติมหาอำนาจตะวันตกที่แบ่งได้เป็น 3 ยุค คือ

1. การล่าเมืองขึ้นเพื่อแพร่ขยายศาสนาและริบทรัพย์สมบัติในศตวรรษที่ 16 - 18 ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงใช้พระปรีชาของหลักการข่มขู่โน้มน้าวจากนักบวชฝรั่ง และทรงยอมอนุญาตให้มีการสอนศาสนาและการค้าขาย แต่พระองค์ทรงจ้างนักรบรับจ้างหลายชาติไว้เป็นกองทัพสร้างความสมดุล เช่น จ้างเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ หรือคอนสแตนติน ฟอลคอน ชาวกรีกให้เป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ อันเป็นหนทางออกหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติในครั้งนั้น

การล่าเมืองขึ้นยุคที่ 2 นั้นของชาติตะวันตกในห้วงศตวรรษที่ 18 - 19 เมื่ออังกฤษพบถ่านหิน ซึ่งเป็นพลังงานความร้อนสูงและมีเหลือเฟือ ทำให้ เจมส์ วัตต์ ปรับปรุงเครื่องจักรไอน้ำของ โทมัส นิวโคเมน เกิดอุตสาหกรรมสิ่งทอและผ้าขนสัตว์ หนึ่งในปัจจัยสี่ และขยายตัวอย่างรวดเร็ว ต่อมาเกิดอุตสาหกรรมการเกษตรขึ้นอีกมาก เกิดระบบการขนส่งด้วยรางและเรือกลไฟ หลายเมืองในยุโรปขยายตัวและต้องการวัตถุดิบป้อนโรงงานอุตสาหกรรม รัฐบาลในประเทศยุโรปแข่งขันกันทางการค้า และล่าเมืองขึ้นเพื่อแหล่งวัตถุดิบแบบได้เปล่า

ประเทศไทยก็ถูกเล็งไว้ด้วย แต่ด้วยพระปรีชาสามารถและพระวิสัยทัศน์ยาวไกลตั้งแต่รัชกาลที่ 3 ที่ทรงรอบรู้เหตุการณ์รอบบ้าน ที่ถูกอังกฤษ ฝรั่งเศส และฮอลันดา มุ่งมั่นที่จะยึดครอง เอารัดเอาเปรียบ และในการนี้อังกฤษส่ง ร้อยเอกเฮนรี่ เบอร์นี่ เข้ามาทำสัญญาค้าขายในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เรียกว่าสัญญาเบอร์นี่ ที่อนุญาตให้พ่อค้าอังกฤษทำการค้ากับพ่อค้าไทยได้อย่างเสรี โดยเก็บภาษีตามความกว้างของปากเรือ ไทยตรวจสอบสินค้าได้ ห้ามอังกฤษค้าฝิ่น และอังกฤษต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย ซึ่งอังกฤษรู้สึกว่าไม่ได้เปรียบนัก จึงส่ง เซอร์ เจมส์ บรุก มาเจรจาขอแก้ไขสัญญาที่มีลักษณะเอาเปรียบมากขึ้น และล้มเหลว ไทยปกป้องผลประโยชน์ไว้ได้ตามสมควร

ชาติตะวันตกเริ่มหาเรื่องที่จะใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจอธิปไตย แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาเกี่ยวกับลัทธิจักรวรรดินิยมที่คุกคามอย่างรุนแรง เนื่องจากเกิดการชิงความเป็นใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และรัสเซีย โดยเฉพาะในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรีย ที่ทรงแต่งตั้ง เซอร์ จอห์น เบาริ่ง ให้เป็นราชทูตมาเจรจาทำสนธิสัญญาใหม่กับไทย ซึ่งด้วยแสนยานุภาพของอังกฤษ ทำให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยอมลงพระนาม เพื่อรักษาเอกราชของไทยไว้ ทั้งๆ ที่อังกฤษได้เปรียบอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังควบคุมสินค้าสำคัญของไทยไม่ให้มีการส่งออก เช่น ข้าว ปลา และเกลือ นั่นหมายถึงอังกฤษทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลาง ค้าเอง ลดอัตราภาษีที่ไทยควรจะได้รับ แต่ที่ร้ายแรงที่สุดคือสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ทั้งคนอังกฤษและคนในอาณัติอังกฤษ ไม่ต้องขึ้นศาลไทย รวมทั้งอายุสัญญานาน 10 ปี

สนธิสัญญานี้เป็นต้นแบบให้ชาติตะวันตกรวม 13 ประเทศ รวมทั้งญี่ปุ่นอีก 1 ประเทศ นำมาบีบบังคับให้ไทยต้องทำสนธิสัญญาลักษณะเดียวกันนี้ และเป็นการเสียอำนาจอธิปไตยโดยต่างชาติไม่ต้องใช้กำลังรุกรานเพราะมีอำนาจ ข่มขู่ทางรัฐศาสตร์

แต่การเสียบูรณภาพแห่งแผ่นดินให้ชาติตะวันตกนั้น เริ่มตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดยพระยาไทรบุรีให้อังกฤษเช่าเกาะหมาก หรือเกาะปีนังเพราะหวังให้อังกฤษคุ้มครอง และไทยสูญเสียดินแดนอีกถึง 13 ครั้ง ครั้นในสมัยรัชกาลที่ 2 ฝรั่งเศสแข่งขันกับอังกฤษในการล่าเมืองขึ้น ขณะที่อังกฤษครอบครองอนุทวีป และฮอลันดาครอบครองหมู่เกาะอินโดนีเซีย จึงมองเห็นเวียดนาม ลาว และเขมร เป็นบำเหน็จของตัวเอง

ฝรั่งเศสคุกคามอย่างหนักตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 4 และต้นรัชกาลที่ 5 โดยใช้ทั้งเล่ห์กลและการใช้กำลังรบข่มขู่ จนทำให้ไทยเสียดินแดนให้ฝรั่งเศส 5 ครั้ง รวม 481,660 ตารางกิโลเมตร ซึ่งครั้งสำคัญๆ ได้เกิดขึ้นใน ร.ศ.112 โดยฝรั่งเศสใช้เหตุการณ์กระทบกระทั่งชายแดนไทย-อินโดจีน จึงส่งเรือรบ 2 ลำ เข้ามาข่มขู่ถึงในลำน้ำเจ้าพระยา แต่ถูกปืนจากป้อมพระจุลจอมเกล้ายิงเสียหาย จึงเรียกร้องค่าทำขวัญ 3 ล้านบาท พร้อมทั้งยึดเมืองจันทบุรีเป็นประกันต่อมายึดตราดซึ่งไทยยอมแลกเปลี่ยนกับ เมืองเกาะกง และไทยเสียประเทศลาวและเกาะแก่งทั้งหลายในแม่น้ำโขง เสียเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ เป็นต้น รวมเนื้อที่ 143,000 ตารางกิโลเมตร

เป็นเหตุให้ไทยเสียเขาพระวิหาร ซึ่งไทยเป็นคนค้นพบ เพราะทางขึ้นอยู่ในประเทศไทย สนธิสัญญา พ.ศ. 2447 ฝรั่งเศสยอมรับการใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดนต่อมา พ.ศ. 2451 ฝรั่งเศสทำแผนที่ใหม่ แต่ทำฝ่ายเดียว และไม่ได้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดน แต่ไทยนิ่งเฉยเพราะไม่รู้จะทักท้วงอย่างไร จึงเป็นเหตุให้ศาลโลกใช้กฎหมายปิดปากเป็นตัวแปรว่าไทยไม่สนใจที่จะประท้วง เกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยเหนือองค์พระวิหาร จึงตัดสินให้เขมรได้ครอบครอง

พ.ศ. 2484ไทยรบชนะฝรั่งเศส-อินโดจีน แต่เกิดไปเข้าข้างญี่ปุ่นซึ่งแพ้สงคราม ดังนั้น สนธิสัญญาต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังกรณีพิพาทไทย-ฝรั่งเศสอินโดจีนจึงกลับไปเหมือนเดิม แต่เขาพระวิหารไม่ได้มีการศึกษากันอย่างจริงจังจนเขมรฟ้องศาลโลก

ใน พ.ศ. 2505 ไทยแพ้คดีในศาลโลกนั้น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี เกือบจะไม่ยอมคืนให้เขมร แต่ด้วยความเป็นอารยะของไทยจึงยอมสูญเสียตามคำพิพากษา

ดังนั้น ส่วนที่เหลือจากการสูญเสียไปในครั้งนั้นถือเป็นยุติ จะต้องไม่สูญเสียอีกต่อไป เพราะวิญญาณวีรชนที่สละชีพในการแย่งชิงดินแดนคืนจากฝรั่งเศส พ.ศ. 2484 คงจะต้องเอาโทษแก่คนที่ขายชาติ ยินยอมเจรจาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง โดยเฉพาะนักธุรกิจการเมืองที่มีอยู่ในทุกพรรคร่วมรัฐบาล

ข้อพิพากษาเป็นอย่างไรจะต้องปฏิบัติตามนั้น ในส่วนพื้นที่ทับซ้อนก็เจรจากันตามข้อเท็จจริงทั้งเชิงประวัติศาสตร์และเชิง พฤตินัย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นรัฐบาลต้องเข้มแข็ง และต้องสามารถใช้กำลังอำนาจทางทหารที่มีอยู่เป็นเครื่องมือในการเจรจา และต้องแสดงจุดยืนให้ชาวโลกเห็นข้อเสียเปรียบของไทยในอดีต และต้องสร้างพันธมิตรลักษณะนี้ที่มีอยู่ทั่วไปในโลก

ไทยถูกรังแกมานานแล้ว ถูกเอาเปรียบมานานแล้ว ถูกครอบงำด้วยเงินตรามานานแล้วหรือเป็นยุคล่าอาณานิคมยุคที่ 3 ครั้งนี้เราจะต้องเข้มแข็งกันทั้งชาติ จะต้องมีผู้ยอมเสียสละผลประโยชน์การค้าขายในเขมร เพื่อรักษาพื้นที่อันเล็กน้อยแต่มีคุณค่าของความเป็นรัฐชาติไว้ให้ได้ด้วย เลือดและชีวิต

ขอ ให้รู้ไว้ด้วยว่าทั่วทั้งโลก เกือบทุกประเทศก็มีปัญหาชายแดนทั้งสิ้น และร้ายแรงกว่าไทย - เขมรมากนัก สรุปได้ว่าเขตแดนความยาว 250,000 กิโลเมตร ระหว่าง 194 ประเทศที่มีเขตแดนติดกันมีปัญหากันทั้งทางบก ทางทะเล ในห้วงอวกาศ หากต้องการศึกษาเพิ่มเติมสามารถเข้าไปในwww.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/fields/2070.html เราจะรู้ว่าทั้งโลกมีปัญหาเหมือนเรา ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องเหล่านี้ได้ต้องจริงใจ เข้าใจ และยอมรับความจริง อย่าเอาแต่คำตัดสินในอดีตที่ยึดหลักฐานตามชาติหนึ่งชาติใดที่เอาเปรียบ หรือพรรคประชาธิปัตย์จะยอมเสี่ยงว่าเป็นพรรคที่แพ้สงครามการเมืองกับเขมรก็ ตามใจ

nidd.riddhagni@gmail.com

รถทัศนศึกษา : พาหนะแห่งการเรียนรู้หรือพลัดพราก?!

โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ 29 กรกฎาคม 2553 20:31 น.
“เมื่อเช้าเพิ่งจะอาบน้ำให้ลูก แล้วพามาส่งที่โรงเรียน แต่ตอนเย็นต้องมาอาบน้ำศพให้ลูก”

ถ้อยความนี้ไม่เพียงถ่ายทอดความรวดร้าวในจิตใจผู้เป็นพ่อแม่เท่านั้น ทว่ายังสะท้อนความไม่ปลอดภัยของ ‘ทัศนศึกษา’ ที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นด้วย อันเนื่องมาจากว่าการท่องเที่ยวแสวงหาความรู้นอกรั้วโรงเรียนด้วยการออกไป เรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียนไทยในหลายครากลับกลายเป็นการบอกลาหรือพลัดพราก พ่อแม่ผู้ปกครองเพื่อนฝูงและโรงเรียนอันเป็นที่รัก เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยขาดการควบคุมคุณภาพผู้ประกอบการ พนักงานขับรถ และรถทัศนศึกษา ให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย

นั่นทำให้ภายใต้การกุมพวงมาลัยของพนักงานขับรถทัศนศึกษาที่ไม่ชำนาญ เส้นทาง ขับรถเร็ว หลับใน รถชำรุด เบรกไม่ทำงาน ดอกยางโล้น เบาะที่นั่งไม่มีเข็มขัดนิรภัย และมักหลุดกระเด็นด้วยยึดติดไม่แน่นเวลาเกิดอุบัติเหตุ ผสานกันเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้นักเรียนและครูบาดเจ็บล้มตายมากมาย

ทั้งนี้ แม้นการสอบสวนอุบัติเหตุ (Accident investigation) เกี่ยวกับโศกนาฏกรรมยามเดินทางท่องเที่ยว ‘ทัศนศึกษา’ เพื่อชื่นชมภูมิประเทศ โบราณสถาน หรือนิทรรศการ จากหลากหลายโรงเรียนจะสรุปตรงกันมานานแล้วว่าเกิดจากพนักงานขับรถไม่ชำนาญ เส้นทาง ขับหลายชั่วโมงติดต่อกัน คุณภาพตัวรถต่ำกว่ามาตรฐาน และการขาดความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ เป็นสำคัญ

หากกระนั้นกลับไม่มีการนำข้อค้นพบจากการสอบสวนอุบัติเหตุไปพัฒนาปรับ ปรุงกฎระเบียบด้านความปลอดภัยบนพื้นฐานของข้อค้นพบที่เป็นทั้ง Evidence based และ Scientific based ควบคู่กับจัดทำยุทธศาสตร์และนโยบายความปลอดภัยที่จะก่อคุณูปการมหาศาลต่อ ระบบขนส่งสาธารณะ

อุบัติเหตุที่เกิดกับรถทัศนศึกษาในแต่ละปีจึงไม่ลดลง โศกนาฏกรรมขนาดใหญ่จึงเกิดอยู่เสมอๆ อย่างกรณีรถบัสทัศนศึกษาโรงเรียนสกลราชวิทยานุกูลพลิกคว่ำตกเหวช่วงโค้ง 100 ศพ บนถนนวังสะพุง-ภูเรือ บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 26-27 จ.เลย จนมีผู้บาดเจ็บยกคัน 25 คน เป็นคณะครู-นักเรียน 23 คน พนักงานรถพร้อมคนขับ 2 คน เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2522 หลังนำคณะครูและนักเรียนเดินทางไปทัศนศึกษา แม้คนขับรถจะยืนยันว่าชำนาญเส้นทางเพราะเคยขับเส้นทางนี้มาแล้ว

หรือในปีนี้กรณีที่รถทัศนศึกษาโรงเรียนชลราษฎรอำรุง จ.ชลบุรี บรรทุกนักเรียน 200 คน กลับจากดูงานที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา เสียหลักพุ่งชนอัดก๊อบปี้รถสิบล้อ ขณะลงเขาที่มีทางยาวลาดชันช่วงนาดี-กบินทร์บุรี จนคนขับและนักเรียนชายอีก 2 คนเสียชีวิต บาดเจ็บกว่า 50 คน โดยรถทัวร์โดยสารคันนี้ถูกเช่าเหมาคันสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปลายไปแนะแนว การศึกษาต่อ

ท้ายที่สุดนักเรียนชาย 2 คนนั้นก็ไม่มีโอกาสได้ศึกษาต่อเพราะอุบัติเหตุทัศนศึกษาครานั้น ‘คร่า’ ชีวิตของพวกเขาไปในวันที่ 15 มิถุนายน 2553 ก่อนจะได้เข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา

ทุกๆ ปีนักเรียนและครูอาจารย์บาดเจ็บล้มตาย หรือไม่ก็พิการตลอดชีวิตจำนวนมากจากการเดินทางท่องเที่ยวทัศนศึกษาที่ทุก โรงเรียนต่างก็มีโปรแกรมพานักเรียนออกนอกสถานที่เพื่อเรียนรู้ด้วยกันทั้ง นั้น โดยจุดหมายส่วนใหญ่เป็นต่างจังหวัดสำหรับเด็กกรุง และกรุงเทพฯ หรือหัวเมืองใหญ่สำหรับเด็กต่างจังหวัด และนับแต่ปีนี้เป็นต้นมารถทัศนศึกษาก็ประสบอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นอย่างต่อ เนื่อง จนอาจเรียกได้ว่าทุกโรงเรียนมีโอกาสเสี่ยงสูงพอๆ กัน เพียงแต่จะถึงคิวของโรงเรียนใดก่อนกันเท่านั้น

ปรากฏการณ์ อันตรายนี้จะยังคงอยู่ตราบเท่าที่ภาครัฐยังไม่พัฒนาคุณภาพรถทัศนศึกษาบนฐาน ข้อมูลการสอบสวนอุบัติเหตุและยุทธศาสตร์การลดจำนวนนักเรียนเสียชีวิตจาก ทัศนศึกษาเป็น ‘0’

ทั้งนี้ การสูญเสียเหล่านี้ป้องกันได้ถ้าโรงเรียนในฐานะลูกค้า (Customer) แสดงความต้องการที่จะ ‘เลือก’ ผู้ประกอบการที่มีพนักงานขับรถและตัวรถที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย ตามข้อเสนอแนะของ นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ที่ระบุไว้ว่า

1) รถที่เช่าต้องได้รับการตรวจสอบสภาพก่อนเดินทาง โดยเฉพาะระบบเบรก ยาง และระบบบังคับเลี้ยว เพราะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะการเดินทางในที่สูงชันและระยะไกล 2) เลือกเช่ารถที่มีอุปกรณ์ความปลอดภัย ค้อนทุบกระจก ถังดับเพลิง ประตูฉุกเฉิน และเข็มขัดนิรภัยที่จะรักษาชีวิตผู้โดยสารได้กว่าร้อยละ 30 รวมถึง GPS สำหรับควบคุมคนขับไม่ให้ขับเร็วเกินกำหนด

3) มีการต่อ พ.ร.บ.ประกันภัย กรมธรรม์ประกันภัย ยิ่งเป็นชั้นหนึ่งยิ่งดี เพราะหลายกรณีที่เกิดอุบัติเหตุผู้เสียหายไม่สามารถเรียกร้องค่าชดเชยได้ 4) ในระยะทางมากกว่า 400 กิโลเมตร ต้องมีพนักงานขับรถ 2 คน เพื่อสับเปลี่ยนตามกฎหมายห้ามขับรถติดต่อกันนาน 4 ชั่วโมง

5) พนักงานขับรถต้องมีใบอนุญาตและมีประสบการณ์ในการขับรถสาธารณะ และ 6) ก่อนเดินทางต้องศึกษาเส้นทางและวางแผนการเดินทางให้ดี เพราะอุบัติเหตุหลายครั้งเกิดจากผู้โดยสายเร่งให้คนขับเร็วขึ้นเพื่อทำเวลา ต้องมั่นใจว่าพนักงานขับรถพักผ่อนเพียงพอ ไม่ดื่มสุราก่อนหรือขณะขับรถและเลือกใช้เส้นทางที่ชำนาญและปลอดภัยที่สุด ส่วนนักเรียนก็ต้องไม่ห้อยโหนหรือยืนตรงประตู

อุปสงค์ของโรงเรียนที่เข้มงวดกวดขันในการจ้างรถทัศนศึกษาที่มี มาตรฐานความปลอดภัยจะเป็นตัวกำกับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผู้ประกอบการใน ท้ายที่สุดตามหลัก ‘Demand-Supply’ ยิ่งถ้าภาครัฐโดยกระทรวงคมนาคมใช้เจตนารมณ์ปีคมนาคมปลอดภัย 2553 มุ่งสร้างเสริมความปลอดภัยแก่เด็กไทย โดยจับมือกับกระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนข้อตกลงลงนามความร่วมมือ (MOU) ให้ทุกการเดินทางไปทัศนศึกษาของทุกโรงเรียนปลอดภัย กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบททบทวนเส้นทางที่อาจมีความเสี่ยงต่อรถโดยสาร โดยเฉพาะรถโดยสาร 2 ชั้น พาหนะยอดนิยมในการทัศนาจร

ตลอดจนกรมการขนส่งทางบกต้องทบทวนมาตรฐานรถ โดยเฉพาะการตรวจสภาพระบบเบรก ล้อ โรงเรียนก็ต้องปฏิบัติตามคู่มือคัดเลือกว่าจ้างรถทัศนาจรที่จะจัดทำขึ้นใน อนาคต คู่กับตรวจสอบข้อมูลกับกรมการขนส่งทางบกก่อนเดินทางเพื่อยืนยันว่าผู้ประกอบ การ พนักงานขับรถ และตัวรถได้มาตรฐานความปลอดภัย นอกเหนือจากการตรวจสอบประกันภัยเพื่อคุ้มครองกรณีเกิดอุบัติเหตุ

ปฏิบัติ การแบบบูรณาการทุกภาคส่วนเช่นนี้จะเปลี่ยนรถทัศนาจรที่เคยเป็นพาหนะแห่งการ พลัดพรากให้เป็นพาหนะแห่งการเรียนรู้สำหรับสร้างอนาคตของชาติอย่างแท้จริง

มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org

เตือนภัย เกี่ยวกับเลขบัตรประชาชน

ถึงทุกๆท่าน

ดิฉันมีเรื่องอยากเตือนทุกท่านให้ระวังเอาไว้ ถึงการหลอกลวงรูปแบบใหม่

เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2552 เวลาประมาณ 09.15 น. ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากหมายเลข +886226994823
เป็นระบบเสียงอัตโนมัติอ้างว่าโทร.."จากศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร แจ้งว่ามีหมายส่งถึงดิฉัน แต่ไม่สามารถส่งหมายได้ ให้ติดต่อไปยังศาลอาญา มิฉะนั้นศาลจะออกหมายจับไป กด 1 หากต้องการฟังซ้ำ กด 9 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่"

ด้วยความที่ดิฉันเป็นทนายความ จึงสงสัยและจับพิรุธได้ดังนี้
1. เกิดมาไม่เคยกระทำความผิดใดๆ ตามกฏหมายที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญา
2. เบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ เหมือนโทร.มาจากต่างประเทศ
3. ในประเทศไทยไม่มีศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร
4. ศาลไม่มีบริการติดตามคู่ความ หรือตรวจสอบข้อมูลทางโทศัพท์ (ยกเว้นท่านจะโทร.ไปที่ศาลเพื่อขอข้อมูลเอง หรือตรวจสอบจากเว็บไซด์)

ดิฉันจึงตัดสินใจกด 9 เพราะอยากรู้มีเขามีลูกเล่นอย่างไร สักพักก็จะมีเสียงผู้หญิงรับสาย (มีเสียงผู้ชายดังเข้ามาเหมือนกำลังเจรจาเกี่ยวกับคดีความกับคนอื่นอยู่ ซึ่งทำให้เหมือนจริงว่า โทร. มาจากศาล) แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ศาล อาสาจะตรวจสอบข้อมูลให้ ขอทราบชื่อ-นามสกุล ดิฉันก็แจ้งชื่อ-นามสกุลให้ทราบ จากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวก็จะขอหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ดิฉันไม่ให้ เขาก็บอกว่าการติดต่อราชการจะต้องใช้หมายเลขบัตรประชาชน ดิฉันจึงบอกไปว่าการตรวจสอบข้อมูลของศาลนั้นไม่ต้องใช้เลขบัตรประชาชนก็ได้ ตรวจจากชื่อนาม-นามสกุลก็ได้แล้ว ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ยังยืนยันว่าต้องใช้เลขบัตรประชาชน ดิฉันจึงแจ้งว่าจะไปติดต่อศาลเอง ขอทราบชื่อเจ้าหน้าศาลที่จะต้องติดต่อ ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ตอบมาด้วยเสียงดุๆ ว่าให้ไปติดต่อได้ที่ศาลอาญารัชดา แล้วก็รีบวางสาย ไม่ยอมแจ้งชื่อให้ทราบ

ดิฉันได้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวพบว่า
- ไม่ใช่หมายเลขของศาลอาญารัชดาฯ
- เป็นรหัสทางไกล 886 ซึ่งโทร. มาจากไต้หวัน

ดังนั้นจึงขอเตือนทุกๆท่าน ได้โปรดระวังการหลอกลวงแบบใหม่นี้ไว้ด้วย เพราะหากท่านให้เลขบัตรประชาชน 13 หลักไป ไม่ทราบว่าเขาจะเอาไปทำอะไร เลขบัตรประชาชนของท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆของท่าน เช่น ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลบัตรเครดิต ฯลฯ ได้มากมาย !!!!!!!!

นอกจากนี้ขอให้เตือนเพื่อนๆ ญาติสนิท มิตรสหายของท่านให้ทราบด้วย

ขอบคุณค่ะ


ธิดาพร วณิชย์รุจี

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

SILLY FOOLS HEY . . . LYRICS เพลงที่ให้กำลังใจ สาวผู้พ่ายรัก จากคนหวังดีที่อยู่ไม่ไกล

งานเพลงเก่าๆของซิลลี่ฟูลส์ ที่มีคนเปิดฟังแล้ว ประทับใจในความหมายของบทเพลง
ซึ่งเดียวนี้ หลายคน ค้นหาบทเพลงเก่าๆมาฟังกันมากขึ้น ต่างกับเพลงในยุคนี้ ที่ทำออกมาอย่างเร่งด่วน
ขาดอรรถรสในการฟังไปเยอะเลย
สู้เพลงในยุคก่อนไม่ค่อยจะได้




Hey... แอบได้ยินได้ฟังว่าเธอเจ็บช้ำใจ
พอได้รู้ฉันเลยต้องการจะถามไถ่
พอเธอรู้ว่ารักที่เขาให้เธอนั้นเปลี่ยนไป
เธอเลยเศร้าใจ

Hey... แอบได้ยินว่าเขาทำให้เธอเสียใจ
พอฉันรู้ ฉันเลยต้องการบอกสิ่งที่อยู่ข้างใน
ในใจฉัน ... Hey...

จับมือฉันไว้ อย่ามองไปข้างหลัง
จะบอกอย่างไรให้รู้ว่ามีฉัน
จับมือฉันไว้ อย่ามองไปทางนั้น
จะบอกอย่างไรให้รู้

จะบอกอย่างไร จะทำอย่างไรให้เธอเห็น
ฉันเป็นคนที่มีใจ ที่รอคอยอยู่ไม่ไกล
จะบอกอย่างไร จะพูดอย่างไรให้เธอรู้
เธออยู่ในลมหายใจ ทุกลมหายใจของฉัน

จะเจ็บจำไปก็เท่านั้น (ก็เท่านั้น) อยากให้มองมาที่ทางฉัน
อยากให้ลืมเรื่องเหล่านั้น มาเริ่มต้นใหม่วันของเรา
จับมือฉันไว้ อย่ามองไปข้างหลัง
จะบอกอย่างไรให้รู้ว่ามีฉัน
จับมือฉันไว้ อย่ามองไปทางนั้น
จะบอกอย่างไรให้รู้

Hey... จับมือฉันไว้ อย่ามองไปข้างหลัง
จะบอกอย่างไรให้รู้ว่ามีฉัน
Hey... จับมือฉันไว้ อย่ามองไปทางนั้น

Hey... แอบได้ยินได้ฟังว่าเธอเจ็บช้ำใจ
พอได้รู้ฉันเลยต้องการจะถามไถ่
พอเธอรู้ว่ารักที่เขาให้เธอนั้นเปลี่ยนไป

เธอเลยเศร้าใจ (ฮืม..Hey)

สละ เมื่ออายุ 1 ปีจะแตกหน่อมา

สละ
เมื่ออายุ 1 ปีจะแตกหน่อมาก ถ้าปลูกแบบกอ ควรเลี้ยงหน่อไว้หน่อเดียว
ทำให้ผลตกเร็ว หลังจากนั้นค่อยเลี้ยงหน่อเพิ่มขึ้น ตัดแต่งตามต้องการ

จาก FarmerInfo ทางด่วนข้อมูลการเกษตรของไทย *1677

อาหารต้องห้าม 3 อย่างของสุนัขที่ผู้เลี้ยงควรหลีกเลี่ยงให้สุนัขกิน

อาหารต้องห้าม 3 อย่างของสุนัขที่ผู้เลี้ยงควรหลีกเลี่ยงให้สุนัขกิน

กระดูกไก่ กระดุกปลา หัวหอม กระเทียมและช็อคโกเลต

จาก FarmerInfo ทางด่วนข้อมูลการเกษตรของไทย *1677

Fw: คุณเก็บมือถือไว้ไหน...อันตรายโปรดอ่าน

Where do you keep your mobilephone normally?
ปกติเก็บมือถือของท่านไว้ที่ใหน


This morning I heard a true and sad story from a colleague of mine.
เมื่อเช้านี้ได้รับข่าวที่น่าสลดใจจากเพื่อนคนหนึ่ง

>> She told me one of her friends is always having abortions.
เธอเล่าว่าเพื่อนเธอคนหนึ่งแท้งลูกตลอดเวลา

When the fetus gets to be 2-3 months old she loses it.
เมื่อตั้งท้องได้ 2-3 เดือนเธอก็ต้องเสียเด็กไป

This happened several times over.
เกิดขึ้นอย่างนี้สองสามหนแล้ว

The couple went to check with many doctors and at last one of the doctors
examined the dead baby and found that the baby's body cells kept dying as the
baby was growing in the womb until he/she could not survive.
สามี-ภรรยาจึงได้ไปหาหมอตรวจหาสาเหตุจากหมอหลายคน
และในที่สุดก็ได้ให้หมอคนหนึ่งทำการชันสูตรศพเด็กอ่อนและก็ได้พบว่า
เซลล์ร่างกายของเด็กอ่อนได้ตายอย่างต่อเนื่องในครรน์ของมารดาจนในที่สุดก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้


This was because her uterus was affected by mobilephone Radiation.
The doctor told her she now has no chance to give birth to a healthy
baby because the radiation has affected her uterus so that the major
portion of the cells in her uterus have already died.
ทั้งนี้เพราะว่าการกระจายรังสีของโทรศัพท์มือถือมีผลต่อมดลูกของเธอ
แพทย์ได้บอกเธออีกว่าเธอจะไม่มีโอกาศที่จะกำเหนิดบุตรที่แข็งแรงได้
เนื่องจากรังสีจากโทรศัพท์มือถือมีผลร้ายแก่มดลูกของเธอ
ทำให้เซลล์ส่วนใหญ่ในมดลูกได้ถูกทำลายและตายไป

This happened because she has been keeping her mobile phone in
herworking jacket
so that the phone rested against just on the right spot of the uterus.She had
been wearing it like this for a few years.

สาเหตุที่เกิดขึ้นอย่างนี้เพราะว่าเธอได้ใส่โทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋าเสือเจ็กเก็ตตลอดเวลาและโทรศัพท์มือถือจะอยู่ในตำแหน่งมดลูกพอดี

ซึ่งเธอได้ใส่ในกระเป๋าเสื้ออย่างนี้มา2-3 ปีแล้ว

Please beware of this and take note if you don't want what has
happened to this woman .. happen to your dearest friend.
ได้โปรดให้ความสนใจและระมัดระวังถ้าคุณไม่อยากให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอมาเกิดขึ้นกับเพื่อนรักของคุณ

Please do not ignore hand phone radiation which will damage our health or body
organs. Please put away your hand phone whenever you don't need it much.
โปรดอย่าละเลยและไม่ให้ความสนใจกับการกระจายรังสีจากโทรศัพท์มือถือซึ่งสามารถทำลายสูขภาพและส่วนต่างๆภายในร่างกาย

โปรดเก็บมือถือของคุณให้อยู่ห่างๆตัวคุณในขณะที่ไม่ได้ใช้


Guys, Please do not keep your mobile phone near to the kidney position
and pants pocket as this will damage your genital area and affect your
ability to father a baby.
คุณผู้ชายก็ต้องระมัดระวังไม่เก็บมือถือของคุณอยุ่ไกล้กับตับและในกระเป๋ากางเกง
เพราะรังสีจะไปทำความเสียหายและทำลายในบริเวณอวัยวะเพศซึ่งมีผลต่อการมีลูก

The other doctor also advised another friend to keep her hand phone
away from her new born baby to avoid radiation damage to the baby's
brain cells.
แพทย์อีกคนหนึ่งยังได้แนะนำเพื่อนอีกคนว่า..ให้เก็บโทรศัพท์มือถือไว้ห่างๆจากเด็กแรกเกิดเพื่อป้องกันเซลล์สมองถูกทำลายจากการกระจายรังสี


Do not let the baby or toddler play with the mobile phone. This is because the
small young baby or toddler is still very fragile and
growing, so he/she is much more vulnerable to radiation damage.
อย่าให้เด็กอ่อนหรือเด็กเล็กๆเล่นโทรศัพท์มือถือเพราะว่าเซลล์ต่างๆของร่างกายกำลังเจริญเติบโตและมีความบอบบางถูกทำลายได้ง่ายจากการกระจายรังสี


Please remember not to sleep together with your mobile phone or put it next to
your bed. Keep any other electronic goods (such as tvs) whichalso give off
radiation away from your bedroom
to reduce risk as we have to sleep a few hours every day in our bedroom at
night.
และโปรดจำไว้ด้วยว่าอย่าเก็บโทรศัพท์ไว้ไกล้ตัวในขณะนอนหลับ
และให้เอาอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคเช่นทีวี ออกจากห้องนอน
ซึ่งทีวีก็มีการกระจายรังสีด้วยเหมือนกันจะช่วยป้องกันการได้รับรังสีในขณะที่นอนหลับไม่กี่ชัวโมงทุกวัน


Further, do not imagine that if you switch off the TV there will be no
radiation. Actually it is still around in your room. It is not
advisable to have even a small digital alarm clock close to your head
while sleeping.
และมากไปกว่านั้นอย่าคิดว่าปิดทีวีแล้วจะไม่มีรังสียังคงมีอยู่ในห้องและไม่แนะนำให้มีนาฬิกาปลุกอิเล็คโทรนิคไว้ไกล้หัวในขณะที่นอนหลับ

Take Care of yourself and your loved ones.
Please pass this on to your friends and family.
I would rather be careful than regret not knowing
ดูแลตัวเองและคนที่คุณรักด้วย
โปรดส่งผ่านไปยังคนในครอบครัวและเพื่อนๆด้วย
ระวังไว้ก่อนดีกว่ามาเสียใจในภายหลัง

"พูดแล้วห้ามคืนคำ"

หลังจากดูหนังรักโรแมนติกจบ ภรรยานึกสนุก อยากทำแบบในหนัง ใส่ชุดนอนอันแสนเบาบาง

พรมน้ำหอมกลิ่นรัญจวน เดินไปเดินมาในบ้าน แล้วก็เดินมาหยุดตรงหน้าสามี

นั่งที่ตัก แล้วกระซิบข้างหูด้วยเสียงหวานว่า......

....ที่รัก มัดดิฉันสิคะ แล้วฉันจะยอมให้คุณทำอะไรก็ได้ ที่คุณต้องการ...ทุกอย่าง....

สามีจัดการมัดภรรยาอย่างแน่นหนาตามที่หล่อนต้องการ เสร็จแล้วก็ออกไปเที่ยวนอกบ้าน
กับเพื่อนๆอย่างสบายใจทันที

รับสมัครพยาบาลวิชาชีพ 1 อัตรา เจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน 2 อัตรา

วันที่: 2010-07-24 00:00:00 ถึง: 2010-08-19 00:00:00

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
รับสมัครพยาบาลวิชาชีพ 1 ตำแหน่ง อัตราค่าจ้าง 12,440 บาท
เจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน (ประกาศนียบัตรสาธารณสุขศาสตร์
สาขาสาธารณสุขชุมชน ) 2 ตำแหน่ง อัตราค่าจ้าง 7,580 บาท
นักวิชาการสาธารณสุข(สาธารณสุขศาสตรบัณฑิต) อัตราค่าจ้าง 9,000 บาท
รับสมัครด้วยตัวเอง ในวันที่ 18-19 สิงหาคม 2553 เวลา 09.00-16.00 น.

แหล่งที่มา: โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางแก้ว
โทรศัพท์: 02-7102541
E-Mail: hc00957@hotmail.com

รับสมัครนักกายภาพบำบัด

วันที่: 2010-07-26 00:00:00 ถึง: 2010-08-03 00:00:00

โรงพยาบาลสูงเนิน นครราชสีมา รับสมัครนักกายภาพบำบัดจำนวน 1 ตำแหน่งด่วน
สนใจติดต่อวิไล 085-0166-234

แหล่งที่มา: วิไล ประกอบกิจ
โทรศัพท์: 08501-66234
E-Mail: wilaipk@gmail.com
Url:

แจ้งสถานที่ตั้งชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป

วันที่: 2010-07-29 00:00:00 ถึง: 2010-08-06 00:00:00

สำนักงานปลัดกระทรวงอนุมัติให้ชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป
จัดที่ตั้งชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ณ สำนักบริหารการสาธารณสุข
ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข อาคาร 3 ชั้น 5
และผู้สนใจเยี่ยมชมเว็บไซต์หน่วยงานได้ที่ URL : http://www.thairgh.net

แหล่งที่มา: ชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป
โทรศัพท์: 0 2590 1637-8
E-Mail:
Url: http://www.thairgh.net

คณะวิศวฯ จุฬา ภาควิชาวิศวฯคอมพิวเตอร์ รับสมัคร ป.โท

วันที่: 2010-07-28 00:00:00 ถึง: 2010-08-31 00:00:00

ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
เปิดรับสมัครคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ประจำภาคปลาย ปี2553
โดยมีสาขาวิชาที่เปิดรับสมัครดังนี้

1. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
เปิดรับสมัครวันที่ 2-31 ส.ค.53
http://www.cp.eng.chula.ac.th/~orb/0459.pdf

2. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
เปิดรับสมัครวันที่ 2-31 ส.ค.53
http://www.cp.eng.chula.ac.th/~orb/0037.pdf

3. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
(วิธีพิเศษ)เปิดรับสมัครวันที่ 2-10 ส.ค.53
http://www.cp.eng.chula.ac.th/~orb/0459_special.pdf

4. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์(วิธีพิเศษ)เปิดรับสมัครวันที่ 2-10 ส.ค.53
http://www.cp.eng.chula.ac.th/~orb/0037_special.pdf

หมายเหตุ -ทุกสาขาวิชา สมัครได้ที่ http://www.grad.chula.ac.th (เมนู
การเข้าศึกษา)

-การทดสอบความรู้ความสามารถทางภาษาอังกฤษ สามารถดูรายละเอียดได้ที่
www.atc.chula.ac.th

แหล่งที่มา: น้องนุจ
โทรศัพท์: 0809199559
E-Mail: nutj_k@hotmail.com

"5 เรื่องเกี่ยวกับเกาหลีที่คุณอาจไม่รู้"

วัฒนธรรม บันเทิงจากแดนเกาหลีในบ้านเรายังไม่สิ้นมนต์ขลัง หนัง, เพลง
หรือละครจากแดนกิมจิอาจจะฮิตระเบิดเถิดเทิง แต่มีอะไรอีกหลายอย่างที่แฟนๆ
อาจจะมองข้าม

1. ชื่อประเทศ Korea มาจากชื่อโสม

โสม เกาหลีได้ชื่อว่าคุณภาพดีที่สุด มีชื่อเรียกเฉพาะว่า โสมกอริโย
(Goryeoginseng) ตั้งตามชื่อราชวงศ์กอริโย (ค.ศ.918-1392)
ก่อนจะกลายมาเป็นชื่อประเทศเกาหลี

มีชื่อเต็มยศว่า Republic of Korea หรือ สาธารณรัฐเกาหลีใต้

2. ความหมายของธงชาติเกาหลี

วง กลมที่อยู่กลางธงชาติเรียกว่า "หยิน" (สีน้ำเงิน) - "หยาง" (สีแดง)
เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังของจักรวาล
สื่อถึงความแตกต่างที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน

กลุ่มเส้นขีดที่มุม ทั้งสี่ของธงชาติมีความหมายแตกต่างกัน
กลุ่มเส้นขีดที่มุมล่างขวาแทนโลก มุมซ้ายบนแทนสวรรค์ มุมขวาแทนน้ำ
และมุมล่างซ้ายแทนไฟ สื่อถึงความแตกต่างและความสมดุล

ส่วนพื้นขาวนั้นแสดงถึงความบริสุทธิ์และจิตใจที่รักสงบของชาวเกาหลี

3. สัญลักษณ์กิมจิแท้จากเกาหลี

กิมจิเป็นอาหารเกาหลีที่เรารู้จักกันดี
และในบ้านเราสามารถหาซื้อกิมจิสำเร็จรูปได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ต

ถ้า เป็นกิมจิแท้จากเกาหลี ต้องสังเกตตัวสัญลักษณ์นี้
สร้างขึ้นโดยองค์กรการค้าเกษตรกรรมและการประมงประเทศเกาหลี
เมื่อเดือนมิ.ย.2543
จะพบสัญลักษณ์นี้เฉพาะกิมจิที่ผลิตและใช้วัตถุดิบในประเทศเกาหลีเท่านั้น

ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมกิมจิจากเกาหลีและให้ผู้บริโภคแยกได้ชัดเจนระหว่างกิมจิเกาหลีและกิมจิญี่ปุ่น

4. เกาหลีประเทศแรกที่มีการพิมพ์

ชาว เกาหลีประดิษฐ์แม่พิมพ์ไม้ได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8
ตัวพิมพ์โลหะชิ้นแรกของโลกก็ประดิษฐ์ขึ้นโดยชาวเกาหลี และในศตวรรษที่ 13
ในสมัยราชวงศ์กอริโย ได้พิมพ์พระไตรปิฎกฉบับเกาหลีขึ้นด้วยแม่พิมพ์ไม้

แม่พิมพ์ไม้นี้เป็นแม่พิมพ์ไม้พระคัมภีร์เก่าแก่ที่สุดในโลก
ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1995 หรือ พ.ศ.2538

5.ภาษาจีนอ่านยาก ทำให้เกิดภาษาเกาหลี

ประเทศ เกาหลีประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 5
โดยพระเจ้าเซจงมหาราช แต่อ่านเขียนค่อนข้างยาก
ทำให้ชาวเกาหลีอ่านหรือเขียนหนังสือได้น้อย
พระเจ้าเซจงมหาราชจึงประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใหม่ มีพยัญชนะ 14 ตัว และสระ
10 ตัว ประกอบขึ้นเป็นคำที่อ่านและเข้าใจได้ง่าย

ตัวอักษรชุดนี้ทำให้ชาวเกาหลีรู้หนังสือมากขึ้น
และได้ชื่อว่าเป็นชนชาติหนึ่งที่รักการอ่านยิ่งในปัจจุบัน
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

ร่วมกันแสดงความรักที่คนไทยมีต่อในหลวง ให้โลกได้รับรู้ thailoveking.com

รายละเอียด
ร่วมกันแสดงความรักที่คนไทยมีต่อในหลวง ให้โลกได้รับรู้

http://www.thailoveking.com/

ช่วยกันคนละ 1 click เพื่อให้ website นี้ติดอันดับหนึ่งของโลกให้ได้

ทราบแล้ว อย่าลืมบอกต่อกันด้วยนะคะ

:)
ขอบคุณทุกคนค่ะ ที่สนใจกิจกรรมนี้
อย่างน้อย ก็ทำให้พวกเราได้แสดงออกถึงความรักที่มีต่อพระเจ้าแผ่นดิน
แต่มันจะไม่เป็นประโยชน์อะไรเลยค่ะ
ถ้ามันเป็นแค่คำพูดลอยๆ คำนึง
มาช่วยกันทำสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้น เพื่อตอบแทนพ่อของพวกเรากันนะค่ะ

แอบดีใจที่มีผู้สนใจมากขนาดนี้
เพราะเราแค่ช่วยประชาสัมพันธ์เท่านั้น แต่ก็ดีใจจริงๆ

ขอประชาสัมพันธ์อีกเล็กน้อย
มีอีกโครงการ โครงการหนึ่งความดีเพื่อในหลวง
www.virtue4theking.org

สามารถดูรายละเอียดได้ค่ะ

เดินทางหลายพันลี้ เริ่มต้นที่ก้าวเท้าแรก

โดย อัญชะลี ไพรีรัก 28 กรกฎาคม 2553 16:58 น.
ในที่สุดสัญญาณทุกรูปแบบที่ "กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ"
เพียรส่งไปยังรัฐบาลอภิสิทธิ์
กรณีอธิปไตยเหนือดินแดนพิพาทบนที่ดินรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร
ที่กำลังลูกผีลูกคนก็ไม่ได้รับเสียงตอบรับใดๆ ที่จะแสดงให้มั่นใจได้ว่า
คนไทยจะไม่สูญเสียดินแดนไทยให้ฮุนเซนเพิ่มไปอีกกว่า 1.8 ล้านไร่
ขณะที่การประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 34
กำลังดำเนินไปที่เมืองบราซิลเลียน ประเทศบราซิล

แต่แล้วความเข้าใจที่ไม่ตรงกันระหว่างรัฐบาลอภิสิทธิ์กับกลุ่มคนไทย
ก็บานปลาย จนนำมาสู่การชุมนุมของพี่น้องประชาชนนับพันๆ
คนที่หน้าสำนักงานใหญ่ ยูเนสโก ย่านเอกมัย กรุงเทพฯ
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ท่ามกลางการจราจรติดหนึบ
และสังคมไทยต่างจับตาด้วยความสนใจกับการชุมนุมของกลุ่มใหม่ซึ่งก็คือ
พันธมิตรฯ แปลงกาย

การชุมนุมเที่ยวนี้คึกคักไม่หยอก มีพี่น้องประชาชนมาจาก 15
ภาคีร่วม-กลุ่มสันติอโศก และพันธมิตรฯ ทั่วทิศทั่วไทย
ภายใต้การถ่ายทอดสดตลอดการชุมนุมที่เข้มข้นจากความร่วมมือของสื่อทางเลือก
หลายค่าย ประกอบด้วย เอฟ เอ็ม ทีวี-สยามทีวีไท-เอเอสทีวี-วิทยุชุมชน
92.25 เอฟเอ็ม และวิทยุชุมชน 97.75 เอฟเอ็ม

"จำลอง ศรีเมือง" จับมือการุญ ใสงาม-ชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ พาพี่ตั้ว
ศรัญญู และแกนนำทุกคนจากทุกภาคีร่วมก้าวขึ้นรถกระบะขนาดกลางซึ่งปรับใช้เป็นเวทีจำ
เป็น และตามฤกษ์สะดวก 9 โมงเช้าพามวลชนคนไทยรักแผ่นดิน
จัดริ้วขบวนเดินเท้าออกจากลานวัดธาตุทอง ไปที่หน้าสนง.ยูเนสโก
ติดท้องฟ้าจำลอง

เมื่อการปราศรัยผ่านไปได้สักพัก นายเอลก้า ชาลัก ผอ.ยูเนสโก
ออกมารับหนังสือประท้วงด้วยตนเอง จากนั้นแฟกซ์ด่วนไปที่
สนง.ใหญ่กรุงปารีส และพยายามส่ง DHL ไปที่เมืองบราซิลเลียน
ประเทศบราซิลที่กำลังมีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกอยู่ เพื่อบอกกับทุกๆ
คนในที่ประชุมที่เกี่ยวข้องกับกรณีปราสาทพระวิหาร ให้ทราบตรงกันว่า
"คนไทยรักแผ่นดินประท้วงยูเนสโก และกัมพูชา
กรณีขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารตามคำขอของรัฐบาลกัมพูชา"

หลังจากนั้น "ลุงจำลอง" ให้สัมภาษณ์ "อัลจาซีร่า"
ไปทั่วโลกเพื่อเพิ่มแรงกดดันในการต่อสู้พิทักษ์รักษาดินแดนไทย

การปราศรัยที่ดุเดือดและคนกรุงเทพฯ เริ่มออกมาสมทบมากขึ้นๆ
ก่อนเที่ยงเล็กน้อย นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งประสานกับ
สว.คำนูณ สิทธิสมานมาโดยตลอดก็ให้เจ้าหน้าที่ติดต่อมาที่
ส.ว.คำนูณอีกครั้งเพื่อ "คุยกัน" ที่บ้านพิษณุโลก ตอนบ่ายสามโมง โดยนายกฯ
ระบุชื่อผู้หารือด้วยตนเอง

จุดนี้พี่การุณ ใสงามและพี่ชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ อย่าน้อยใจ
งานใหญ่ต้องช่วยกัน

ตัวแทนคนไทยรักแผ่นดิน 4 คน คือ ส.ว.คำนูณ-ม.ล.วัลย์วิภา
จรูญโรจน์-นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และนายพิภพ ธงชัย เข้าหารือกับ
ลุงจำลอง-ลุงปรีชา-นายไชวัฒน์ สินสุวงศ์ และ แกนนำคนอื่นๆ เร่งด่วน
เพื่อรวบรวมข้อหารือให้แน่นหนารอบคอบ

เมื่อตัวแทนเดินทางไปบ้านพิษฯ แล้ว
ฝ่ายการชุมนุมยังคุกรุ่น-เนืองแน่น และมีท่าที "ปักหลักพักค้าง"
ด้วยการจัดแจงกางเต็นท์ จัดการ์ดอาสา ตั้งครัว-จุดแจกน้ำ และยา
ส่วนพ่อท่านโพธิรักษ์บอกลูกศิษย์ลูกหาว่า
หากปักหลักพักค้างเมื่อไรจะเดินทางมาปักกลดสู้ด้วยเมื่อนั้น

การพูดคุยระหว่างนายกรัฐมนตรีและตัวแทนคนไทยรักแผ่นดิน 4 คน
ที่บ้านพิษฯ ผ่านไปด้วยดี หลังการเจรจากว่า 2 ชม.จบสิ้นลง "ลุงจำลอง"
ก็พาพรรคพวกขึ้นเวทีอีกครั้งหลังหกโมงเย็นเพื่อประกาศว่า 1. นายกฯ
เห็นด้วยยึดแนวสันปันน้ำเป็นเขตแดนแบ่งไทยกับกัมพูชา 2.
คัดค้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของฝ่ายกัมพูชา 3.
ไม่ยอมรับการใช้แผนที่อัตราส่วน 1: 200,000 แต่นายกฯ
เห็นต่างกันตรงที่การยกเลิก MOU 2543
เพราะยังมองว่ามีประโยชน์สำหรับไทยอยู่ และสุดท้ายนายกฯ
ไม่เห็นด้วยที่จะผลักดันทหาร พลเรือน ประชาชนกัมพูชา ที่อาศัยรอบๆ
ประสาทพระวิหารออกไป ด้วยเกรงจะเกิด "สงคราม" และจะพยายามใช้
"แผนปรองดอง" เพื่อยุติความขัดแย้งของสองประเทศเพื่อนบ้าน

จากนั้นก็ประกาศยุติการชุมนุมที่ยืดเยื้อกว่า 7
ชั่วโมงครึ่งแล้วแยกย้ายกันกลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ
ท่ามกลางความโล่งอกของฝ่ายรัฐบาลที่กระอักกระอ่วนใจ
เพราะฝ่ายความมั่นคงเตรียมการใช้
พ.ร.ก.ฉุกเฉินกับผู้ชุมนุมทันทีหากยืดเยื้อในวันถัดมา
ด้วยเกรงคำครหาของพี่น้องเสื้อแดงที่กำลังตั้งท่าชิงด่าหาว่ารัฐบาล
"สองมาตรฐาน" หากเฉยเมยกับ "พันธมิตรฯ แปลงกาย"ที่ปิดแยกเอกมัยในคราวนี้

สถานการณ์ในกรุงเทพฯ : วันถัดมาที่ประชุม ครม.ต้องยกวาระ 3
จีถัดออกไป และนำเอาวาระจำลองพาคนมาชุมนุมหน้ายูเนสโกแทรกขึ้นมาถกกันหน้าดำคร่ำเครียด

ปรากฏว่า "กษิต"
ถูกฝ่ายตั้งท่าแซะเก้าอี้หยิบประเด็นวิหารร้อนมาหลอกอัดจนน่วม
ในฐานะที่รู้ข่าวการชุมนุมของคณะคนไทยรักแผ่นดินล่วงหน้าแล้วแต่กลับไม่
พยายามห้ามปราม กลับปล่อยปละละเลยจนบานปลายให้เป็นผลเสียต่อหน้าตารัฐบาลที่บัดนี้ถูกทักษิณ
และเสื้อแดงฉีกแล้วฉีกอีก จนเปรียบเปรยกันว่า
แม้หมออรรถสิทธิ์ยังส่ายหน้าไม่รับเย็บแล้ว...คุณกษิตสู้ สู้ แล้วกัน

ต่อจากนี้ไปให้นับถอยหลังได้ คนต่อไปที่จะถูก "ปลิด"
ด้วยฤทธิ์พระวิหารย่อมหนีไม่พ้น "กษิต ภิรมย์"
ที่ถูกเลื่อยขาเก้าอี้จากบ่างช่างยุมือเป็นระวิง
ความว่าน้องชายนายกษิตที่สนิทแนบแน่นกับบิ๊กเทพในพรรคประชาธิปัตย์ยังวิ่ง
เคลียร์ขาขวิดหากแต่ไม่ลงตัว เพราะบิ๊กๆ ในพรรคถอดใจ อุ้มไม่ไหว!!!

สถานการณ์ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่เมืองบราซิลเลียน :
ร้อนแรงไม่แพ้กัน เมื่อ "สุวิทย์ คุณกิตติ"
รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ได้ตัดสินใจภายใต้แรงกดดันจากกรุงเทพฯ
ยื่นประท้วงคัดค้านวาระการพิจารณาแผนการจัดการรอบๆ
พื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาให้เป็นมรดกโลก

พวกเขาคัดค้านอย่างเป็นทางการครั้งแรก
ทั้งยังแสดงจุดยืนปฏิเสธที่จะยอมรับคณะกรรมการร่วม 7 ประเทศ
ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อร่วมพัฒนาพื้นที่ข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาเหนือดินแดน
รอบๆ ปราสาท

การยอมรับในแผนพัฒนาพื้นรอบๆ ปราสาท
เท่ากับคณะกรรมการลงมติชี้ขาดให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตามคำ
ขอของกัมพูชา ทั้งนี้ทางตัวแทนประเทศไทยจะประกาศถอนตัวจากการเป็นประเทศภาคีสมาชิก
และ walk out ออกจากที่ประชุมทันที

คณะผู้แทนไทยในเมืองบราซิลเลียนเคร่งเครียดมาก
เพราะหากการชุมนุมครั้งนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกัมพูชาแล้ว
ทางไทยจะเสียอธิปไตยเหนือดินแดน 4.6
ตารางกิโลเมตรและจะเชื่อมโยงไปยังพื้นที่อีก 1.8 ล้านไร่โดยรอบด้วย

หลังจากที่ทางการไทยปล่อยปละละเลยให้ทหาร
และพลเรือนกัมพูชามาตั้งรกรากอยู่ในดินแดนไทยหลายสิบปีจนแม่บ้านทหารหลาย
ครัวตั้งตัวได้และอู้ฟู่จากการผูกขาดขายสินค้าให้ชาวกัมพูชาที่มาตั้งรกราก
ในเขตแดนดินถิ่นไทย

รอดูกันต่อไป :
หากคณะกรรมการมรดกโลกเห็นด้วยกับแผนการบริหารจัดการพื้นที่รอบๆ
ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาโดยไม่สนใจเสียงคัดค้านจากไทย
แล้วคนอย่างสุวิทย์ คุณกิตติ-นพดล ปัทมะ
และรัฐบาลชุดนี้จะอยู่สู้หน้าคนไทยได้อย่างไร
เมื่อย่ามใจจนไทยเสียอธิปไตยเหนือดินแดน 1.8 ล้านไร่
แล้วเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเมื่อเบลเยียม-ฝรั่งเศส-อินเดีย-
สหรัฐฯ-จีน-ญี่ปุ่นส่งผู้เชี่ยวชาญเดินทางผ่านไทยไปพัฒนาที่ดินบนปราสาทพระ
วิหารเพื่อกัมพูชาบนดินแดนที่เป็นของคนไทย
และข้อพิพาทเรื่องปราสาทอันสวยงามยิ่งใหญ่ยังไม่จบสิ้นแม้จะผ่านมานาน
แล้วกว่า 50 ปีก็ตามที

ยังไม่นับทรัพยากรใต้ดินที่ต่ำลงไปกว่าปราสาท
ที่กำลังโยงลากไปเป็นของกัมพูชาด้วย ใต้ดินที่ลึกลงไปคือ อ่าวไทย
ใต้น้ำทะเลที่ลึกลงไปคือ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมัน
ซึ่งทั้งหมดถูกพิสูจน์แล้วจากบริษัทขุดเจาะน้ำมันระดับโลกว่า "ยอดเยี่ยม"
และในความเยี่ยมยอดนี้มีผลประโยชน์ร่วมกันระหว่าง "ทักษิณกับฮุนเซน"
ลากยาวตั้งแต่บนบกจรดน้ำทะเล

รู้แล้วใช่ไหม?
ทำไมฮุนเซนเอื้อเฟื้อแกนนำเสื้อแดงให้กินอิ่มอยู่สบายในกัมพูชา
และอย่าได้ประมาทฮุนเซน
เขามีที่ปรึกษาเป็นคนเขมรรุ่นใหม่ไฟแรงที่ศึกษาจากต่างประเทศหลายคน
และมีชาวต่างประเทศมากมายที่มาจากการชักนำของลูกๆ
เป็นผู้อยู่เบื้องหลังผลงานชิ้นนี้และชิ้นอื่นๆ
ของเขา...ฮุนเซนโฉมใหม่ไม่ได้บ้าใบ้ถือใยบัวเหมือนเก่าก่อนอีกต่อไป

ถ้าคนไทยนั่งนิ่งเฉยถือว่าธุระไม่ใช่จนสูญเสียอธิปไตยก็เท่ากับเสีย
ชาติเกิด พลเรือนในประเทศที่เขาเจริญแล้วทางปัญญาและจิตใจไม่มีใครเขาทำกัน

ถ้าคนไทยนั่งนิ่งเฉยไม่แยแสสนใจไยดีกับดินแดนรอบๆ
ปราสาทและองค์ปราสาทพระวิหาร
จนยอมเสียดินแดนให้ฮุนเซนก็เท่ากับเสียผลประโยชน์ให้ทักษิณด้วย

ใครจะยอม??? ไหนๆ ก็สู้มาถึงบัดนี้แล้ว เป็นไงก็เป็นกัน!!!

คนจีนเขาถึงสอนลูก-หลานไงว่า "การเดินทางหลายพันลี้
เริ่มจากการก้าวเท้าที่ก้าวแรก"...เริ่มจากความไม่กลัว แล้วจะได้รู้ว่า
อิสระจากการถูกปลดปล่อยนั้นเสรีเพียงไร
ลองไม่กลัวเสียอย่างทำอะไรได้ร้อยแปดอย่าง

ไม่มีใครต้องการสงคราม เพราะสงครามไม่เคยให้อะไร นอกจากน้ำตา และความตาย

แต่ถ้าจะต้องสู้เพื่อชาติไทย จะกลัวอะไรกับสงคราม.

อยู่ที่จิตใจของเราจะคิด

ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงนะ ว่าต้องเกี่ยวข้องกันตลอดไป
แต่ยังไง วันนึง อรต้องเข้มแข็งนะ
ถ้าเกิดว่า ตอนนี้ คุณแม่ของอร ยืนมองอร อยู่ข้างบน ท่านจะรู้สึกยังไงน้อ
ที่อรทุกข์แบบนี้ แม่ของอรคงอยากลงมาอยู่ข้างๆลูกสาวแน่ๆ แต่ก็ทำไม่ได้

ชีวิตทุกเวลานาที มีความหมายทั้งนั้น เหมือนชีวิตที่เป็นไปของอร
หลายครั้ง ไม่มีเวลาแม้แต่จะตั้งสติ ตั้งตัว หรือ ทำใจอะไรทั้งนั้น
เหตุการณ์ต่างๆัมันก็เกิดขึ้นมาทันทีเลย ทั้งเรื่องที่อยากให้เกิด
และไ่ม่อยากให้เกิด

ไม่มีอะไรเร็ว หรือช้าจนเกินไป แต่ทุกอย่างมันมีเวลาของมันเอง
คนเราจะอ่อนแอ หรือเข้มแข็ง อยู่ที่ตัวเราเอง ที่พร้อมจะเผชิญกับทุกอย่าง
ทุกปัญหาหรือไม่ ไม่มีใครอยากจมอยู่กับอดีต หรือ ความทุกข์เดิมๆ
แต่ในความเป็นจริง แม้จะหนีจากมันไม่ได้ เพราะชีวิตต้องข้องเกี่ยวตลอดไป
แต่เราก็สามารถทำให้ปัจจุบัน ดีขึ้นจากอดีตได้ และโอกาส
มักจะไม่รอคอยคนเราทุกครั้งไป เหมือนอย่าง วันนี้อากาศดี แต่วันพรุ่งนี้
ฝนตก เราทุกคนต้องพร้อมทุกครั้งที่จะรับทุกสถานการณ์
ไม่มีเวลาที่จะมาคิดตั้งตัว เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้า
ทุกคนย่อมต้องตัดสินใจ ในทันทีทันใดในเวลานั้น
เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะตรงหน้าให้ดีที่สุด

หากอร คิดที่จะเป็นผู้ชนะ ก็ต้องทำตัวเองให้เป็น ผู้ชนะ
จะยืนอยู่ในร่มเงาของผู้ชนะตลอดไป

หากคิดอย่างคนแพ้ ก็จะอยู่ในเงาของความพ่ายแพ้ตลอดไป

ความคิดนี่ เป็นใหญ่ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย
อยู่ที่ความคิดของเรานี่เอง

เช่นกันกับเพลงที่มอบให้ ฟังแล้ว จะคิดบวก หรือคิดลบ
คิดอย่างผู้ชนะ หรือ ผู้แพ้ สามารถคิดได้ทั้งนั้น
อยู่ที่จิตใจของเราจะคิด

สถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินฯ1ใน7ของโลกอยู่ที่เมืองไทย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 กรกฎาคม 2553 08:01 น.
"ไม้ กลายเป็นหิน" มีความสำคัญอย่างไร ? คำถามนี้
อาจทำให้หลายคนหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความงง
เพราะอาจไม่รู้จักไม้กลายเป็นหิน ว่าคืออะไรด้วยซ้ำ
แต่ความสงสัยดังกล่าวสามารถหาคำตอบได้จากสถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินฯ
มรภ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเพียง 1 ใน 7 แห่งของโลก
ที่ศึกษาวิจัยทางด้านนี้โดยตรง

ผศ.ดร.ประเทือง จินตสกุล
ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ให้ข้อมูลว่า
ไม้กลายเป็นหิน หมายถึง ไม้ในสมัยดึกดำบรรพ์ที่เปลี่ยนแปลงสภาพเป็นหิน
ซึ่งเกิดจากเนื้อไม้เดิมถูกแทนที่ด้วยแร่ธาตุ

"ไม้ กลายเป็นหินตามแหล่งต่างๆของโลกนั้น มีสาเหตุมาจากหลักใหญ่ 2
ประการ คืออิทธิพลของภูเขาไฟ เกิดจากการทับถมของพื้นที่ป่าไม้
หรือที่ราบที่มีท่อนไม้ฝังอยู่ ด้วยเถ้าภูเขาไฟ หรือฝุ่นภูเขาไฟ
ซึ่งมีซิลิกาเป็นองค์ประกอบอยู่มาก ตะกอนดังกล่าวเมื่อผุพังสลายตัว
ซิลิกาบางส่วนจะอยู่ในรูปสารละลายในน้ำใต้ดิน
สามารถแทรกซึมเข้าไปแทนที่เนื้อไม้อย่างช้าๆจนกระทั่งเข้าไปแทนที่ทั้งหมด"

ส่วนสาเหตุประการที่สองนั้น ผศ.ดร.ประเทืองอธิบาย ว่า
เกิดจากอิทธิพลของน้ำท่วม ทำให้มีการพัดพาตะกอน กรวด ทราย ดิน จำนวนมาก
ไปทับถมส่วนของต้นไม้เอาไว้
และสารละลายจากน้ำใต้ดินจะค่อยแทรกซึมไปแทนที่เนื้อไม้
จนกระทั่งเนื้อไม้กลายเป็นหิน
ผศ.ดร.ประเทือง อธิบายถึงความสำคัญของไม้กลายเป็นหินว่า
ไม่เพียงเป็นแค่ซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ไปตามกาลเวลา
แต่เปรียบเสมือนกุญแจไขสู่โลกในอดีต และมีความสำคัญทางวิชาการในด้านต่างๆ

"ใน ด้านสาขาชีววิทยา พฤกษศาสตร์และบรรพชีวินวิทยา ไม้กลายเป็นหิน
มีประโยชน์ต่อการศึกษาเชิงวิวัฒนาการเพื่อจำแนกชนิดพืช
ไม่ต่างจากการศึกษาฟอสซิล โดยนำมาพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงของพืชพรรณ
รวมถึงสภาพแวดล้อมในอดีต ส่วนในด้านสาขาธรณีวิทยา
นับเป็นหลักฐานสำคัญต่อการอธิบายปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา เช่น
การแยกตัวของแผ่นดินในทวีปต่างๆ สภาพผืนดินในยุคดึกดำบรรพ์
รวมทั้งสามารถนำมาศึกษาปรากฏการณ์การสูญพันธุ์ การล้มตายของไดโนเสาร์
หรือช่วยบอกอายุของชั้นหิน หรือตะกอน ซึ่งจำเป็นสำหรับการจัดลำดับชั้นหิน
ทั้งยังบอกสภาพแวดล้อมของโลกในแต่ละช่วงเวลา เช่น ภูมิอากาศ ปริมาณฝน
ฤดูกาล พืชพรรณธรรมชาติ ไม่แตกต่างจากการศึกษาฟอสซิลชนิดหนึ่ง"
ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยฯ ยังเผยว่า
ในประเทศไทยสามารถพบไม้กลายเป็นหินได้มากที่สุด ในพื้นที่ภาคอีสาน
เนื่องจากเป็นที่ราบซึ่งเคยเกิดน้ำท่วมใหญ่ มีการพัดพาซากไม้ และตะกอน
ในระดับที่ลึกจนเกิดเป็นปรากฏการณ์ดังกล่าวได้

"ไม้ กลายเป็นหิน พบได้มากในพื้นที่ นครราชสีมา ขอนแก่น บุรีรัมย์
สุรินทร์ ชัยภูมิ ประเทศไทยจึงนับเป็นแหล่งสำคัญในเอเชีย
โดยเฉพาะที่จังหวัดตาก
มีไม้กลายเป็นหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในพื้นที่ป่าสงวน
ส่วนที่เหมืองถ่านหินจังหวัดเลย ก็มีไม้กลายเป็นหินที่มีอายุมากกว่า 300
ล้านปี รวมถึงพื้นที่อื่นๆในภาคอีสานก็ล้วนแต่มีอายุไม่ต่ำกว่า 100
ล้านปี"

ผศ.ดร.ประเทือง เพิ่มเติมข้อมูลว่า
ปัจจุบันสถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหิน มีอยู่เพียง 7 แห่งในโลก
ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา 4 แห่ง กรีซ จีน และไทย ประเทศละ 1 แห่ง
"การเกิดขึ้นของสถาบันวิจัยประเภทนี้
ก็ขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละประเทศ เช่น ประเทศอินโดนิเซีย
ก็พบไม้กลายเป็นหิน แต่มีการขายในเชิงพาณิชย์ทำให้เสียโอกาสไป
สำหรับสถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินฯ ของไทย เทียบเท่ากับคณะหนึ่งของ
มรภ.นครราชสีมา และเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนในวิชา 'โคราชศึกษา'
มีบทเรียนที่เนื้อหาเกี่ยวกับการศึกษาซากดึกดำบรรพ์
ซึ่งครอบคลุมรวมทั้งซากไดโนเสาร์ และไม้กลายเป็นหินด้วย"

โศกนาฏกรรมมรดกโลก บทเรียนราคาแพงเกินไปสำหรับคนไทยทั้งชาติ!!!?

โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 27 กรกฎาคม 2553 14:39 น.
เพราะ อัตตา ศักดิ์ศรี
และไม่ยอมรับความผิดพลาดของนักการเมืองและข้าราชการที่เกิดขึ้นในอดีต
ปัญหาดินแดนและอธิปไตยระหว่างไทย-กัมพูชาจึงได้ถลำลึกมาจนถึงทุกวันนี้!!!

ศาลปกครองสูงสุด
และศาลรัฐธรรมนูญได้เคยพิพากษาว่าแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วย
การยกปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบขึ้นทะเบียนไว้ในบัญชีมรดกโลกของฝ่าย
กัมพูชา ซึ่งได้ลงนามไว้เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551
(แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา 2551) นั้น
เป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ
ทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมอย่างกว้างขวาง
จึงต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2550 มาตรา 190

นับ ตั้งแต่มีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญก็ยังไม่ปรากฏเห็นจน
ถึงปัจจุบันว่าไทยได้ประกาศ "ยกเลิก" กับกัมพูชา หรือคณะกรรมการมรดกโลก
หรือองค์การยูเนสโก "โดยอ้างเหตุผลตามคำพิพากษา" แต่ประการใด

25 สิงหาคม พ.ศ. 2551 สมัยรัฐบาลนายสมัคร นายเตช บุนนาค
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย
ได้มีหนังสือถึงนายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
และความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
โดยระบุเนื้อความบางตอนในหนังสือดังกล่าวระบุว่า:

"ในการประชุมรัฐมนตรีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศไทย-กัมพูชา
ครั้งที่ 1 ที่เมืองเสียมราฐ ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ว่า ราช
อาณาจักรกัมพูชาไม่ถือว่าคำแถลงการณ์ร่วมระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา
ลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ

ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้แสดงความขอบคุณสำหรับความเข้าใจของท่านว่า
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามความในคำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว
ข้าพเจ้ามีความเห็นเช่นเดียวกันว่า สภาวการณ์หลังการลงนาม
และข้อจำกัดที่เป็นผลตามมา
ทำให้แถลงการณ์ร่วมเองนั้นเป็นเอกสารที่สิ้นผลแล้ว"

ข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า
กระทรวงการต่างประเทศต้องการอ้างว่าฝ่ายกัมพูชาไม่ยึดถือแถลงการณ์ร่วม
ไทย-กัมพูชา 2551 ว่าเป็นสนธิสัญญาทำให้เอกสารดังกล่าวสิ้นผลไป
เพียงเพื่อให้นักการเมืองและข้าราชการรอดพ้นจากการกระทำผิดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเท่านั้น

การไม่ประกาศ "ยกเลิก" แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา
และไม่อ้างคำพิพากษาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองสูงสุดต่อกัมพูชา
กัมพูชา ย่อมถือว่าเป็นเรื่องภายในของไทยที่ฝ่ายกัมพูชาไม่รับรู้เรื่องด้วย
และการยื่นหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศของไทยในครั้งนั้นก็ไม่ใช่การบอก
ยกเลิก แต่เป็นการบอกว่าเอกสารดังกล่าวจะสิ้นผลก็เพราะฝ่ายกัมพูชานั้นเมตตาเป็น
ฝ่ายใช้ดุลพินิจเอง

วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551 นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
และความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ถึงนายเตช บุนนาค
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยตอบกลับจดหมายของนาย
เตช บุนนาค ความตอนหนึ่งว่า:

"การประชุม ระหว่างอาหารมื้อกลางวันของเราที่เสียมราฐ
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
พูดคุยเกี่ยวกับคำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ผมได้กล่าวว่า
"มันไม่เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ" ดังนั้น มันมีคุณค่าเท่าที่มันเป็น"

หนังสือฉบับดังกล่าวนี้
แสดงให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ยอมรับการสิ้นผลแต่ประการใด
และยึดถือว่าเอกสารแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา 2551
มีความผูกพันอย่างที่มันเป็น

ไม่ ได้มีข้อสรุปว่า
"คำพูดคุยระหว่างรับประทานอาหารเที่ยงว่าไม่ใช่สนธิสัญญา" กับ
"ข้อผูกพันในเอกสารแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา 2551" จะเป็นสิ่งเดียวกัน

แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา 2551
ได้ถูกนำไปใช้ในการสนับสนุนการขึ้นทะเบียนมรดกโลกและออกเป็นมติคณะกรรมการ
มรดกโลกครั้งที่ 32 แล้วตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2551
และยังคงมีผลอยู่จนถึงทุกวันนี้ (เพราะความไม่ชัดเจนของฝ่ายไทย)
ดังปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ขององค์การยูเนสโกซึ่งได้ระบุมติคณะกรรมการมรดกโลก
เอาไว้ในข้อ 15

การปกป้องการกระทำความผิดของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ
ได้ลามมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ก็ยังไม่เคยอ้างคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด หรือศาลรัฐธรรมนูญเพื่อ
"ประกาศยกเลิก" แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา 2551 เช่นกัน

ปัญหา แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา 2551
เป็นเอกสารส่วนหนึ่งในหลายส่วนที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ได้เคยทำหนังสือเตือนนายกรัฐมนตรีเอาไว้แล้วว่าให้ทำหนังสือยกเลิกข้อผูกพัน
ระหว่างไทย-กัมพูชาทั้งปวงอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน
2552

ผ่านไป 8 เดือนเศษ รัฐบาลก็เพิกเฉยและไม่ดำเนินการใดๆ !!!

มิ พักต้องพูดถึงแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000
ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว และบรรพบุรุษสยามไม่เคยยอมรับนั้น
ถือเป็นหัวใจของปัญหาระหว่างเขตแดนไทย-กัมพูชาที่แท้จริง
โดยเฉพาะระวางดงรักซึ่งเป็นพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารนั้น
ฝ่ายไทยไม่เคยคัดค้านต่อแผนที่ฉบับดังกล่าวซึ่งฝ่ายกัมพูชาใช้อ้างอิงมาโดย
ตลอดในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกสำหรับพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารจนถึงปัจจุบัน

ถึงขนาดที่ฝ่ายกัมพูชาได้ยื่นเอกสารให้กับคณะกรรมการมรดกโลก
โดยแสดงแผนที่เส้นเขตแดนรอบพื้นที่ปราสาทพระวิหารตามแผนที่มาตราส่วน 1
ต่อ 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว
พร้อมกับระบุว่าเป็นแผนที่ซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ใช้พิพากษาเมื่อ
ปี พ.ศ. 2505 และฝ่ายทหารไทยซึ่งตั้งกองกำลังนั้นได้เป็นฝ่ายรุกล้ำดินแดนและอธิปไตยของ
กัมพูชา อันเป็นการยื่นเอกสารเท็จตั้งแต่ปลายปี 2551 ผ่านมา 2 ปี
ก็ยังไม่ปรากฏเป็นเอกสารว่ามีการโต้แย้งและคัดค้านมาตั้งแต่ปลายปี 2551
แต่ประการใด

บันทึก ความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาปี
พ.ศ. 2543 หรือ MOU 2543 ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย
ได้ไปทำข้อตกลงยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000
ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เกิด
แผนแม่บทและข้อกำหนดหน้าที่ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมทางบก
ของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (TOR 2546)
ซึ่งลงรายละเอียดอย่างชัดเจนในการจัดทำแผนที่และการลากเส้นเขตแดนให้เป็นไป
ตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000
ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวอย่างชัดเจน

ตรรกะของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเรื่อง Maps มี S
ว่าหมายถึงแผนที่หลายระวางไทยยอมรับบางระวางที่ได้เปรียบและไม่ยอมรับในบาง
ระวางนั้น แท้ที่จริงเป็นเหตุผลที่คิดค้นขึ้นใหม่ในภายหลังเพื่อหาความชอบธรรมให้กับ
ความผิดพลาดของ MOU 2543 ซึ่งจัดทำโดยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย
และใช้สำหรับการอธิบายให้คนไทยด้วยกันเองฟังเท่านั้น

เพราะ ตรรกะ Maps มี S
ของนายอภิสิทธิ์นั้นขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับเอกสารภายในของกระทรวงการต่าง
ประเทศหลายฉบับที่ระบุว่าการยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000
นั้นหมายถึง "ระวางดงรักรอบปราสาทพระวิหาร" ด้วยและ
"ไม่ได้มีการยกเว้นในระวางใด" เลย

ด้วย เหตุผลนี้ตรรกะ Maps มี S ของนายอภิสิทธิ์
จึงไม่ได้เป็นเหตุผลที่กระทรวงการต่างประเทศหยิบยกในการประท้วงหรือคัดค้าน
แผนที่ระวางดงรักรอบปราสาทพระวิหารทั้งกับกัมพูชาหรือคณะกรรมการมรดกโลกใน
ช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน

ด้วยเหตุผลนี้เมื่อใดก็ตามกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายไทยใช้หนังสือ
บันทึกช่วยจำ หรือการประท้วงกัมพูชาในการรุกล้ำอธิปไตยในดินแดนไทย
ไม่ว่าจะใช้กองกำลังทหารติดอาวุธรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย การสร้างชุมชน
การออกโฉนดโดยกัมพูชา สร้างถนน เชิญธงชาติกัมพูชาขึ้นเสานั้น ฝ่าย
กัมพูชาจะทำหนังสือกลับมาตอบโต้ว่าพื้นที่เหล่านั้นเป็นดินแดนกัมพูชาโดย
ทันที และซึ่งนอกจากฝ่ายไทยจะไม่ทำหนังสือตอบกลับหนังสือของกัมพูชาที่อ้างเช่น
นั้นแล้ว ฝ่ายไทยก็ไม่ได้ใช้กำลังทหารผลักดันให้ทหารและชุมชนกัมพูชาออกจากดินแดนไทย
อีกเช่นกัน

หนักไปกว่านั้นก็คือมติรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2551
ที่เสียงส่วนใหญ่ทั้งนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และวุฒิสภา
กลับเห็นชอบให้ทหารทั้ง 2 ฝ่ายออกนอกพื้นที่ซึ่งอ้างว่าทับซ้อน ทั้งๆ
ที่เป็นดินแดนของไทย
แต่กลับไม่พูดถึงสิ่งปลูกสร้างและชุมชนชาวกัมพูชาที่เพิ่งเข้ามารุกล้ำเข้า
มาประมาณ 10 ปีมานี้ การ กระทำดังกล่าวเข้าเกณฑ์
"ความสงบและไม่มีการปะทะกัน" ของคณะกรรมการมรดกโลกก่อนจะให้ 7
ชาติเข้ามาบริหารจัดการในพื้นที่ดังกล่าวในฐานะเป็นพื้นที่บริหารจัดการมรดก
โลกของกัมพูชาได้อย่างสมบูรณ์

เพียงพฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้นก็ลองจินตนาการดูว่า
ถ้าเราเป็นคนต่างชาติซึ่งอยู่ในคณะกรรมการมรดกโลก
หรือองค์การยูเนสโกจะคิดอย่างไร
เมื่อได้เห็นเอกสารและพฤติการณ์ของฝ่ายกัมพูชาที่มุ่งมั่นใช้แผนที่มาตรา
ส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว
กับฝ่ายไทยซึ่งมีพฤติการณ์ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งนอกจากจะมีแต่ความคลุมเครือโดยไม่ประท้วงแผนที่ดังกล่าวอย่างจริงจัง
แล้ว ยังมีพฤติกรรมสนับสนุนซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาโดยตลอด

พฤติการณ์
ของรัฐบาลไทยและทหารไทยที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า
"กฎหมายปิดปาก" ที่เราโดนกระทำโดยคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อวันที่
15 มิถุนายน 2505 เสียอีก จริงหรือไม่?

จริงอยู่ว่าคณะกรรมการมรดกโลก
กระทำหลายขั้นตอนผิดตามกฎเกณฑ์กติกาตัวเองเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกัมพูชา
ทำลายหลักสันติภาพในภูมิภาค
แต่ก็ต้องกล่าวโทษรัฐบาลไทยและข้าราชการไทยด้วยเช่นกันที่มีแต่ความดื้อดึง
ไม่ฟังเสียงประชาชน ไม่กล้าโต้แย้งกับต่างชาติ เพราะมัวแต่ติดกับดัก
"ไม่ยอมรับความผิดพลาดในอดีต"

การ ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 34
นั้นชัดเจนว่าฝ่ายไทยไม่ได้คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร
แต่ไปขอถ่วงเวลาให้เลื่อนวาระแผนการบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร
โดยอ้างเหตุผลอย่างคลุมเครือว่า
"การขอเลื่อนครั้งนี้เพราะการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชายังไม่แล้วเสร็จ"!!!?

ปีที่แล้วความผิดพลาดก็เกิดมาแล้วครั้งหนึ่งนายสุวิทย์ คุณกิตติ
กลับมาประเทศไทยอ้างว่าประสบความสำเร็จในการเลื่อนประชุมคณะกรรมการมรดกโลก
เดือนกุมภาพันธ์ 2553 ทั้งๆ ที่เป็นวาระปกติที่มีอยู่เดิมแล้ว
มาปีนี้ก็จะเข้าไปอภิปรายโดยที่ไม่เคยมีการประสานกับคณะกรรมการมรดกโลกเพื่อ
เตรียมวาระเอาไว้เพื่อคัดค้านเป็นการล่วงหน้า
ถือเป็นความไร้เดียงสาและอ่อนแอต่อเกมการเมืองระหว่างประเทศอย่างเห็นได้ชัด

ต้อง ไม่ลืมว่าการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบเป็นมรดกโลกได้
สำเร็จไปแล้วตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2551 ดังนั้นหากไทยไม่เห็นด้วย
ก็ไม่ควรเข้าไปประชุมในปีนี้ในวาระการอนุมัติแผนบริหารจัดการเพราะเท่า
กับยอมรับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบที่ผ่านมาไปด้วย
ดังนั้น รัฐบาลไทยควรทำหนังสือประท้วงการขึ้นทะเบียนพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร
ซึ่งไม่ใช่มรดกโลกของกัมพูชา
ประท้วงการใช้แผนผังและแผนที่หลายครั้งซึ่งละเมิดอธิปไตยไทย
พร้อมทั้งประกาศจะรักษาอธิปไตยไทยไม่อนุญาตให้ชาติอื่นเข้ามาบริหารจัดการ
พื้นที่และอธิปไตยของไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาด

ถ้า ยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกโลกไม่สนใจในคำทักท้วงของประชาชนชาวไทย
รัฐบาลไทยก็ควรพิจารณาทบทวนถอนตัวออกจากการเป็นกรรมการในคณะกรรมการมรดกโลก
ประกาศยกเลิก MOU 2543
และเตรียมกำลังทหารในการผลักดันกองกำลังและชุมชนชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามา
ในดินแดนไทยโดยทันที

เมื่อนักการเมืองไม่ทำหน้าที่ ข้าราชการไม่ทำหน้าที่
และทหารก็ไม่ทำหน้าที่อีก สุดท้ายต้องเป็นภาคประชาชนอย่าง
ภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทพระวิหารซึ่งประสานโดย
ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์, ชาวสันติอโศก, พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, อ.เทพมนตรี
ลิมปพะยอม และภาคประชาชน ซึ่งไม่มีอำนาจรัฐใดๆ อยู่ในมือ
ต้องไปออกมาเสี่ยงชุมนุมเพื่อประท้วงและกดดันต่อการทำหน้าที่ขององค์การยู
เนสโกอีกครั้งทั้งในประเทศไทยและที่ฝรั่งเศสอย่างไม่มีทางเลือก

เป็นอีกครั้งที่ต้อง "มาทำหน้าที่ ใช้หนี้แผ่นดิน และมาทำบุญ"!!!

ปฏิรูปประเทศไทย!

โดย แสงแดด 27 กรกฎาคม 2553 15:16 น.
ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา
สถานการณ์บ้านเมืองเริ่มจะคลี่คลายดำเนินเดินหน้าไปในทิศทางที่น่าจะดีขึ้น
"บรรยากาศตึงเครียด!" ค่อยๆ ทยอยความเขม็งเกลียวลงไปบ้างไม่มากก็น้อย
หลังจากที่ "ความรุนแรง" จนสร้าง "ความตึงเครียด"
เกิดขึ้นช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม จนแทบไม่น่าเชื่อว่า
ประเทศไทยเกือบจะเป็น "รัฐล่มสลาย (Failed State)"

"ประชาคมโลก"
ต่างวิตกกังวลอย่างมากกับสถานการณ์บ้านเมืองเราในช่วงนั้น
จนกระทั่งนานาประเทศทั่วโลกต่างเตือนประชาชนของเขาในการเดินทางมาท่องเที่ยว
ประเทศไทย จนถึงขั้น "ประกาศห้ามเข้าเด็ดขาด!" ตลอดจน
"ยกระดับความรุนแรง" สูงถึง "ระดับ 4 - ระดับ 5"
ที่เสี่ยงสูงในการเดินทางเข้าประเทศไทย

ผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์ "พฤษภาอำมหิต" ส่ง
ผลถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เลยเถิดมาจนถึง
การค้าการขายและการลงทุนในที่สุด
และที่ส่งผลกระเพื่อมเพิ่มเติมต่อเนื่องคือ การประกาศ
"พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน)" ที่
เดิมครอบคลุมหลายสิบจังหวัด จนในที่สุดเหลือ 24 จังหวัดและมาที่ 19
จังหวัด จนล่าสุดเหลือเพียง 16 จังหวัด โดยน่ามีความเป็นไปได้สูงว่า
อีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คงเหลือเพียง 3-4 จังหวัดเท่านั้น

หลังจากเหตุการณ์ได้เริ่มผ่อนคลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น จนบรรยากาศ
"ด้านการท่องเที่ยว-การค้าการขาย-การลงทุน" ส่งสัญญาณกระเตื้องขึ้น
จนสามารถเรียกได้ว่าเป็น สถานการณ์ปกติ แต่ถามว่า "การเคลื่อนไหว"
ยังมีอยู่บ้างหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า "มีแน่นอน!"
ทั้งในส่วนของบนดินและใต้ดิน
จนฝ่ายกฎหมายและฝ่ายความมั่นคงสามารถรวบรวมพยานหลักฐานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ
"กองกำลังชุดดำ" ที่มีส่วนกับการก่อเหตุรุนแรงช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม

ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เพียรพยายามเร่งดำเนินการสร้าง
"ความปรองดอง-สมานฉันท์" ให้เกิดขึ้น โดยให้เป็นไปตามกรอบของ
"คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ"
จากวุฒิสภาที่มี คุณดิเรก ถึงฝั่ง สมาชิกวุฒิสภาเป็นประธาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น"

แนว คิดสำคัญของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือ
"การปฏิรูปประเทศไทย" ที่มุ่งเน้นไปสู่ "การสร้างความปรองดองสมานฉันท์"
โดยมุ่งหวังสูงสุดที่จะนำให้สถานการณ์บ้านเมืองกลับสู่สภาวะปกติ
และแน่นอน "ก้าวเดินหน้าต่อไปสู่อนาคต" ที่ดีกว่า

หลัก การสำคัญ 5 ประการ ที่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์
ตั้งเป้าหมายสำคัญ คือ หนึ่ง การเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ สอง
การปฏิรูปการเมืองและแก้ไขรัฐธรรมนูญ สาม การปฏิรูปสื่อ สี่
การตรวจสอบหาข้อเท็จจริง และห้า สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ
ดูแลปัญหาปากท้องประชาชนระดับรากหญ้า

ด้วยเจตนารมณ์ที่พยายามเดินหน้าสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้น
การตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ เริ่มทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะชุดที่เกี่ยวกับ "การปฏิรูปประเทศไทย" และ
"การปฏิรูปการเมืองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ"

ว่ากันตามความเป็นจริง และ "การปฏิรูปประเทศไทย"
คงจะไม่เกิดแนวคิดและทิศทางอย่างจริงๆ จังๆ
ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองถึงขั้นรุนแรงและช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม
จึงนับได้ว่าเป็น "ช่วงการเปลี่ยนผ่าน-การเปลี่ยนแปลง"
ครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ที่ถึงเวลาจำต้องปรับปรุงแก้ไขทั้ง "โครงสร้าง-ระบบ"
การเมืองไทยให้ดีขึ้น โดยเฉพาะ "โครงสร้างอำนาจ" ของ
"กระบวนการทางการเมืองการปกครอง" เกือบทั้งหมด

นอกเหนือมากกว่านั้น "การทบทวนปัญหา" ทั้งทาง "สังคม-เศรษฐกิจ"
ของประชาชนโดยทั่วไป ทั้งในเมืองหลวง เมืองขนาดใหญ่ และตามชนบท
เริ่มได้รับความสนใจจาก "ภาครัฐบาล-ภาคราชการ" มากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะประเด็น "ความเป็นธรรม" กับ "ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม"
ตลอดจน "ปัญหาความยากจน-ปัญหาหนี้สิน-ปัญหาที่ทำกิน"

และที่มากที่สุดคือ "ความเสียเปรียบ-เสียโอกาส"
แทบทุกด้านของพี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนต่างๆ
และตามชนบทที่ก่อให้เกิด "การเอารัดเอาเปรียบ" ทั้งจาก "ข้าราชการ"
และบรรดา "พ่อค้า-คนกลาง" ทั้งหลาย ซึ่งน่าจะเป็นที่มาของ "ความกดดัน"
จากหัวจิตหัวใจของพี่น้องประชาชนที่ "ถูกรังแก-เบียดเบียน" ที่
"ปะทุระเบิด" ขึ้นมา บวกกับ "การยุยง"
ของบรรดาแกนนำที่ปลุกระดมให้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ
เพื่อร่วมชุมนุมประท้วงเรียกร้อง โดยเฉพาะ นปช.และกลุ่มเสื้อแดง
จนเหตุการณ์บานปลายในที่สุด

เหตุการณ์เช่นนี้ ถามว่า
ได้มีการคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่กับบ้านเมืองเรา ก็ต้องตอบว่า
"เกิดขึ้นอย่างแน่นอน!" เนื่อง ด้วยพี่น้องประชาชนช่วงประมาณ 8-9 ปี
สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสาร พร้อมทั้งสามารถบริโภคข่าวสารได้ตลอด 24
ชั่วโมง เพียงแค่มีโทรทัศน์
และถ้ามีจานดาวเทียมด้วยแล้วจึงสามารถรับรู้บริโภคข้อมูลจากค่าย
และ/หรือสำนักข่าวพิเศษได้อย่างมากมาย จนสามารถเรียกว่าเป็น
"การบริโภคข่าวด้านเดียว" อาทิ สถานีโทรทัศน์ ASTV บ้างสถานีโทรทัศน์ PTV
บ้าง (เสื้อแดง) ที่มุ่งโจมตีรัฐบาล
และอาจเลยเถิดไปถึงสถาบันสำคัญของชาติบ้านเมือง
และส่อแนวโน้มว่าต้องการเปลี่ยนแปลง "โครงสร้างการเมืองการปกครอง"

จากการรับรู้และบริโภคข้อมูลข่าวสาร จนอาจ "เอียงกระเท่เร่"
แต่ที่แน่นอนคือ "ความรู้-ความตื่นตัว" และเริ่ม
"ตระหนักถึงสิทธิหน้าที่ตนเอง" มากยิ่งขึ้น จนก่อให้เกิด
"การหวงแหนสิทธิ" และ "เรียกร้องสิทธิ์" จนต้องการ "การมีส่วนร่วม"
จึงเป็นที่มาของ "การเมืองภาคประชาชน"

ถามว่า กระบวนการที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ดีหรือไม่
ก็ต้องตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า "ดี!" เพราะการเมืองการปกครองใน
"ระบอบประชาธิปไตย" ภาคประชาชนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของ
"การพัฒนาทางการเมือง"

เพียงแต่ปัญหาสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหารุนแรงและบานปลายคือ
"การปั่น-ปลุกระดม" จากบรรดา "แกนนำ-หัวคะแนน"
ของพรรคการเมืองที่ยึดครองพื้นที่ "ปลุกปั่น" พร้อมทั้ง "จัดจ้าง"
ประชาชนส่วนหนึ่งที่ไร้อุดมการณ์เดินทางมาสมทบกับกลุ่มพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจริงๆ
สร้างความวุ่นวายและอ้างว่า "พลังมวลชน!"

"คณะ กรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์
เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ" ของศาสตราจารย์
ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ค่อนข้างจะแข็งขันมากที่สุด ด้วยการประชุมเพียง
1-2 ครั้ง และได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการถึง 4 ชุด
เพื่อศึกษาพิจารณาการปฏิรูปการเมือง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
กระบวนการทางกฎหมาย และความยุติธรรม
และการมีส่วนร่วมกับประชาชนและรับฟังความคิดเห็นฯ
ที่ทุกชุดต่างเร่งเดินหน้าทำงานกันพอสมควรไปบ้างแล้ว

"การปฏิรูปประเทศไทย"
ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์นำเสนอแนวคิดจากหลากหลายกลุ่ม และสถาบันต่างๆ
มากมาย ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใด องค์กรใด ต่างมี
"ความกังวล-ห่วงใย" และที่น่าดีใจ "การรักชาติบ้านเมือง"
ล้วนเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะวิพากษ์วิจารณ์เชิงลบ เชิงบวก ก็ตาม
แต่พุ่งเป้าไปที่ "การปฏิรูปฯ" ให้กลับสู่สภาวะปกติสุขบน
"ความแตกแยกทางความคิดกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม" จะด้วย "เจตนาดีหรือไม่ก็ตาม!"

ความพยายามของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ที่ต้องการให้ประเทศไทยได้รับการปฏิรูปอย่างจริงจัง และเท่าที่ติดตามนั้น
ค่อนข้างมั่นใจว่า "การแทรกแซง" จาก รัฐบาลไม่น่าจะเกิดขึ้น ในทางกลับกัน
กลับสนับสนุนงบประมาณในการทำงานให้แก่คณะกรรมการทุกชุด
เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ซึ่งต้องบอกตามตรงว่า
"ต้องใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี" ที่จะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์
"สันติสุข" ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น

แม้กระทั่ง ชุดของคุณอานันท์ ปันยารชุน "คณะกรรมการปฏิรูป"
และนายแพทย์ประเวศ วะสี "คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป" เช่นเดียวกัน
ที่เพียรพยายามเดินหน้าและขอเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ 3 ปี
โดยต่างยอมรับว่า "ความละเอียดอ่อนของวิกฤตปัญหา" ตลอดจน
"การต่อต้านการปฏิรูป" ที่ยากต่อการหยั่งลึก!

โครงการ ปริญญาโท สาขาการบริหารจัดการสาธารณะสำหรับนักบริหาร
(EPA) ของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ
"สถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ก.พ.ร. (IGP)"
มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มเนชั่น
เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ต้องการมีส่วนร่วมกับการปฏิรูปประเทศชาติ
ด้วยการจัดการอภิปรายหัวข้อ "ปฏิรูปประเทศไทย : ในฝันหรือเป็นจริง"
ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม นี้
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ทุกภาคส่วนในปัจจุบันต่างมองไปข้างหน้าสู่ทิศทางของการปฏิรูปประเทศไทย
เพราะฉะนั้น กลุ่มการเมืองใดที่เห็นต่างด้วยการสร้าง "ความขัดแย้ง"
ก็ไม่น่าเป็นคนไทยต่อไป ขอให้คนไทยทุกคนรักชาติบ้านเมือง
และร่วมปฏิรูปประเทศไทยให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด!

ททท. จัดคาราวาน"กอดแม่ กอดเมืองไทย เที่ยวสุขใจ 5 ภาค"

สุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการ ททท. เป็นประธานในงานแถลงข่าว
การจัดโครงการ "กอดแม่ กอดเมืองไทย เที่ยวสุขใจ 5 ภาค"
จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายใน
ประเทศในช่วง Green Season และเป็นการสานสัมพันธ์อันดีในสถาบันครอบครัว
กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย
รวมถึงเป็นกิจกรรมร่วมฉลองในโอกาสการสถาปนา ททท. ครบรอบ 50 ปี

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม
ที่จะถึงนี้ ททท. ได้จัดโครงการ "กอดแม่ กอดเมืองไทย เที่ยวสุขใจ 5 ภาค"
ขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้คู่แม่ - ลูก หรือสมาชิกในครอบครัว
ตลอดจนกลุ่มเพื่อนสนิท ได้เดินทางไปท่องเที่ยวตามภูมิภาคต่างๆ
ในราคาพิเศษ ในรูปแบบทัวร์คาราวานรถบัส 5 ภูมิภาค 5 เส้นทาง 50 คัน
และลดราคา 50 เปอร์เซ็นต์สำหรับคุณแม่ที่ร่วมเดินทางด้วย
เพื่อให้ครอบครัวแม่ลูกได้มีโอกาสใช้เวลาช่วงวันหยุดยาวด้วยกัน
ระหว่างวันที่ 12 - 15 สิงหาคมนี้

โดยแบ่งเป็น 5 เส้นทาง ประกอบไปด้วย ภาคเหนือ 2 โปรแกรม ได้แก่
"แอ่วเมืองเหนือ เมืองฟ้าล้านนาตะวันออก" เส้น ทางกรุงเทพฯ - อุตรดิตถ์ -
แพร่ - น่าน แวะชมพระแท่นศิลาอาสน์ - ประเพณีก๊างปูยา - พระธาตุช่อแฮ -
วนอุทยานแพะเมืองผี - ตามรอยจงกล กิ่งเทียน - บ้านวงศ์บุรี -
คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ - หอคำ - วัดพระธาตุช้างค้ำ - .พระธาตุแช่แห้ง และ
"บุญชูพาแม่เที่ยว เชียงรายจะอยู่ในใจเสมอ"เส้น ทางกรุงเทพฯ - เชียงใหม่-
เชียงราย แวะสักการะศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช - พระพุทธสิหิงค์
วัดพระสิงค์ - ทักทายหลินปิง - มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง - พระธาตุผาเงา -
เชียงแสน - สามเหลี่ยมทองคำ - ตลาดแม่สาย -
ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธุ์ เพ็ญศิริ

ภาคอีสาน "ไหว้พระธาตุอีสาน 4 เมือง รุ่งเรืองตลอดชีวิต"
เส้นทางกรุงเทพฯ-
มหาสารคาม-กาฬสินธุ์-ร้อยเอ็ด-ขอนแก่น-ชัยภูมิ-นครราชสีมา
แวะสักการะพระธาตุนาดูน-พิพิธภัณฑ์เกวียนอีสาน -
พระธาตุยาคู-พระมหาเจดีย์ชัยมงคล - พระธาตุขามแก่น - พระมหาธาตุแก่นนคร -
อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม-อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี -
หมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน

ภาคกลาง "ท่องอารยธรรมภาคกลาง" เส้นทางกรุงเทพฯ - นครปฐม -
กาญจนบุรี - สุพรรณบุรี -อ่างทอง - อยุธยา แวะชมพระราชวังสนามจันทร์ -
สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช - ตลาดริมน้ำร้อยปีสามชุก -
วัดม่วง - ตลาดศาลเจ้าโรงทอง - วัดใหญ่ไชยมงคล - ตลาดน้ำอโยธยา -
พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่น

ภาคตะวันออก เส้นทางกรุงเทพฯ - นครนายก - ปราจีนบุรี - พัทยา -
ระยอง - จันทบุรี สักการะพระพิฆเณศองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย -
วัดแก้วพิจิตร - ตลาดน้ำสี่ภาคเมืองพัทยา - สวนนงนุช - สวนสุภัทราแลนด์ -
หาดแสงจันทร์ - อ่าวคุ้งกระเบน - โอเอซีส ซีเวิลด์ ชมการแสดงปลาโลมา

ภาคใต้ เส้นทางกรุงเทพฯ - ชุมพร - ระนอง - สุราษฎร์ธานี
แวะชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติชุมพร - โครงการหนองใหญ่ - ศาลกรมหลวงชุมพร -
สวนลุงนิล - พระบรมธาตุไชยาวรวิหาร - สวนโมกขพลาราม -
บ่อน้ำแร่ร้อนรักษะวาริน - ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพเจ้าเรือนสปา

ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ สทน.โทร. 0-2270-1505
- 8,สทอ.โทร.0-2642-4426,สนท. โทร. 0- 2998-0744,สทธธ.โทร.0-2961-2204 -
5 และกองรายได้ ททท. โทร.0-2250- 5500 ต่อ 2105 และ 2115 - 9