++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จาก “สายวัดจู๋” สู่ “มาตรฐานชายไทย”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤศจิกายน 2552 09:31 น.
พูดถึง Thai Size หลายคนอาจจะเข้าใจไปถึงเสื้อผ้าและรองเท้าของคนไทย ที่ก่อนหน้านี้ “เนคเทค” ได้เปิดเผยข้อมูล เพื่อส่งต่อให้แก่ภาคการผลิตสินค้า ผลิตให้ตรงตามขนาดร่างกายของคนไทยมากขึ้น แต่ในขณะนี้ประเด็นของ “ขนาด” ที่กำลังฮือฮามากไปกว่านั้น เกิดขึ้นหลังจากที่ สำนักโรคเอดส์ ที่ได้แถลงข่าวเปิดตัว “สายวัดจู๋” หรือสายวัดขนาด “อวัยวะเพศชาย” เพื่อหาขนาด “มาตรฐานชายไทย” นั่นเอง

นพ.สมยศ กิตติมั่นคง หัวหน้ากลุ่มงานโรคเอดส์ สำนักงานโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กระทรวงสาธารณสุข ให้ภาพถึงที่มาของแนวคิดดังกล่าว ว่า เกิดจากในตลาดถุงยางอนามัยในประเทศไทยมีถุงยางอนามัยขายอยู่ไม่กี่ขนาด จึงเล็งเห็นว่าเป็นทางเลือกที่จำกัด และทำให้คิดต่อไปว่า ขนาดที่มีจำกัดนั้น ตรงหรือไม่ตรงกันขนาดคนไทยหรือไม่ อย่างไร

“เท่าที่ผมเห็นมันจะมีแค่ไซส์ 49, 52, 53 และ 54 มม.ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันเหมาะกับขนาดของคนไทยหรือไม่ จริงๆ แล้วขนาดคนไทยแล้วมันเท่าไหน เซ็กซ์เดี๋ยวนี้มันไม่เข้าใครออกใคร อย่างที่เราทราบคือแนวโน้มการมีเซ็กซ์ในวัยรุ่น เด็กจะอายุน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งน่าเป็นห่วงนะครับ”

“สายวัดขนาดอวัยวะเพศชาย” ที่จัดทำโดยสำนักงานโรคเอดส์ฯ
นพ.สมยศ กล่าวอีกว่า เคยมีลูกน้องรายหนึ่งเล่าว่า มีกรณีเด็กมัธยมในต่างจังหวัดที่ใช่ถุงพลาสติกก๊อบแก๊บแทนถุงยางอนามัย

“เรามองว่า ไม่ใช่เด็กไม่อยากใช้ถุงยาง แต่ไม่กล้าซื้อ เข้าไม่ถึง หรือมันอาจไม่พอดีกับขนาดของเขาหรือเปล่า เรื่องนี้หลายคนอาจจะมองว่าเรื่องเล็ก แต่จริงๆ แล้วมันส่งผลกระทบเยอะ เช่นทำให้หลุดขณะกำลังมีเซ็กซ์ ทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์และติดโรคทางเพศสัมพันธ์ได้ ประกอบกับวันที่ 1 ธ.ค.นี้จะเป็นวันเอดส์โลก พวกเราจึงทำให้เราคิดโครงการ “สายวัดจู๋” นี้ขึ้นมา”

เจ้าของไอเดียโครงการสุดเก๋รายนี้กล่าวต่อไปว่า จะแจก “สายวัดจู๋” ในวันที่ 30 พ.ย.นี้ ที่ห้างโตคิว จำนวน 40,000 ชิ้น จากนั้นจะสำรวจผ่านเว็บไซต์ www.aidsthai.org ให้คุณผู้ชายเข้ามาตอบข้อมูลขนาดของตัวเอง เพื่อจะเก็บสถิติไว้ หากพบว่าขนาดอวัยวะเพศที่ได้ข้อมูลมาแตกต่างจากขนาดถุงยางที่มีในท้องตลาด ก็จะนำส่งข้อมูลชุดนี้ไปยังภาคอุตสาหกรรมผลิตถุงยางอนามัย เพื่อผลิตไซส์ของคนไทยต่อไป

ทราบถึงที่มาของโครงการไปบ้างแล้ว ทีนี้ลองมาดูความคิดเห็นของหลายๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับแวดวงนี้กันบ้าง “นิมิตร์ เทียนอุดม” ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ออกอาการไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ และมองว่าน่าจะมีวิธีอื่นที่แก้ปัญหาด้านการรณรงค์ให้คนใช้ถุงยางอนามัยได้ ดีกว่า

“มันไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องไปให้ความสำคัญมากนัก เรื่องขนาดของอวัยวะเพศกับถุงยางอนามัย ผมว่าน่าจะเป็นไปในรูปของการรณรงค์ให้คนเข้าถึงและใช้ถุงยางอนามัยมากกว่า เช่นการแจกให้ทั่วถึง คิดว่าโครงการสายวัดน่าจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก”


นพ.สมยศ กิตติมั่นคง
เช่นเดียวกับถนัด ยมหา อาสาสมัครทดลองวัคซีนเอดส์ อาร์วี144 ที่ให้ความเห็นไปในทำนองเดียวกันว่า น่าจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่าการค้นหาขนาดโดยเฉลี่ยของอวัยวะเพศชายไทย

“ผมว่าโดยทฤษฎีมันก็โอเคนะ แต่จริงๆ แล้วมันไม่น่าจะช่วยได้มากนัก และเชื่อว่าน่าจะมีวิธีอื่นที่จะรณรงค์ให้คนใช้ถุงยางมากขึ้นและถูกวิธี”

ส่วนมุมจากหนุ่มๆ วัยฉกรรจ์อย่าง “โตโต้” - อาทิตย์ พันธิทักษ์ วัย 26 ปี มองว่า เรื่องของ “ขนาด” เป็นเรื่องที่ผู้ชายแต่ละคนน่าจะรู้ของตัวเอง แต่แม้หากเป็นวัยรุ่นที่เพิ่งจะลองซื้อถุงยางอนามัยครั้งแรกแล้ว ปรากฏว่า ขนาดไม่พอดี ประสบการณ์ครั้งต่อๆ มาก็จะสอนไปเองควรจะเลือกขนาดไหนที่เหมาะกับตัวเอง

อาทิตย์ พันธิทักษ์

“ลองผิดลองถูกหนหรือสองหนก็รู้แล้ว คือคำถามที่ผมได้ยินโครงการนี้ครั้งแรกคือ ทำเพื่ออะไร? มันอาจจะดีขึ้นบ้าง แต่มันเกินจำเป็น ออกแนวไร้สาระ เรื่องของร่างกายเฉพาะคน คนๆ นั้นน่าจะรู้เองล่ะครับว่าขนาดเท่าไหร่ แล้วอะไรเหมาะกับตัวเอง”

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่คนไม่เห็นด้วย เพราะ “อาร์ท” หรือ วีระ คิดรอบ นักศึกษาหนุ่มวัย 23 ปี เปิดประสบการณ์สุดเสี่ยงของตัวเองว่า...


วีระ คิดรอบ
“เคยมีปัญหาการหลุดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ด้วยครับ ตกใจมาก ตอนนั้นกลัวติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่เหมือนกัน ถ้ามีขนาดมาตรฐานของคงไทยก็ดีนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเครื่องมืออย่างสายวัดจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องดูกันต่อไป ส่วนเรื่องโพล ถ้าถามผมว่าผมจะไปกรอกเพื่อให้ข้อมูลไหม...ผมให้นะ แล้วผมก็เชื่อว่ามีวัยรุ่นอีกเยอะที่ไปกรอกให้ เพราะอย่างที่เรารู้ก็คือ วัยรุ่นกับเรื่องเพศนี่มันมาคู่กัน เขาน่าจะได้ข้อมูลเยอะนะครับ” อาร์ท กล่าว

แต่ ถึงที่สุดแล้ว ผลการสำรวจมาตรฐานจะเป็นอย่างไร ข้อมูลที่ได้มาจะเป็นไปในทิศทางไหน และจะทำไปสู่การต่อยอดด้านใดบ้าง ผู้ที่สนใจติดตามโครงการกระแสแรงโครงการนี้ คงจะต้องติดตามกันต่อไป เพราะ นพ.สมยศ กระซิบว่า ผลการสำรวจจะเปิดเผยในช่วงวาเลนไทน์ของปี พ.ศ.2553 ซึ่งเป็นไปได้ว่า น่าจะมีกิจกรรมที่น่าสนใจไม่แพ้กันรอต่อยอดจากผลสำรวจชุดนี้อยู่...

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000143277

ว่ายน้ำเพื่อสุขภาพ แบบ “นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤศจิกายน 2552 09:30 น.
“ทะนงตัวว่าเป็นแพทย์ เลยละเลยดูแลสุขภาพตัวเอง มุ่งแต่รักษาคนไข้ ไม่ออกกำลังกาย รับประทานอาหารแบบเร็วๆ ง่ายๆ มารู้สึกตัวอีกครั้ง “อ้วน” ร่างกายมีอาการผิดปกติ เครียดง่าย นอนไม่ค่อยหลับ” นี่คือ คำบอกเล่าถึงไลฟ์สไตล์ชีวิตของตัวเองจากปากของ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ แพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ โรงพยาบาลพญาไท ที่ออกมาเปิดเผยปัญหาภายหลังการละเลยการดูแลสุขภาพของตนเอง

“พอ ร่างกายเริ่มประท้วง เพิ่งรู้สึกตัว เริ่มหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเองด้วยการออกกำลังกาย เพราะมีแนวคิดว่า ไม่มียาขนานไหนดีกว่าการออกกำลังกาย ควบคู่กับโภชนาการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ”

นพ.สันต์ กล่าวอีกว่า ในช่วงแรกต้องสลัดความขี้เกียจอยู่นานทีเดียว กว่าจะออกกำลังกายได้ โดยเลือกที่จะออกกำลังกายด้วยการวิ่งทุกวันต้อง และกว่าสุขภาพจะเข้าที่ดีเหมือนเดิมก็ต้องใช้เวลาเป็นปี สุขภาพจึงดีขึ้นเป็นลำดับ นอนหลับง่ายขึ้น จากไขมันกลายมาเป็นกล้ามเนื้อ ทว่ากลับมีปัญหาเรื่องข้อเสื่อม ครั้นเปลี่ยนจากวิ่งมาเป็นเดินเร็ว พร้อมทั้งต้องการให้ภรรยา ตลอดจนสมาชิกทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง ก็มีอุปสรรค ถูกสุนัขไล่

“มา คิดว่าจะออกกำลังกายด้วยวิธีไหนดี สุดท้ายมาลงตัวที่ “ว่ายน้ำ” ซึ่งผมสร้างสระน้ำไว้ในบริเวณบ้าน ซึ่งทุกคนแฮปปี้ ทุกวันหลังกลับจากโรงพยาบาลจะมาว่ายน้ำเฉลี่ยวันละชั่วโมง และการว่ายน้ำช่วยให้สุขภาพแข็งแรงแล้วยังลดปัญหาข้อเสื่อมด้วย อยากให้ทุกคนโดยเฉพาะคนวัยทำงาน หาเวลามาออกกำลังกาย อย่ามัวหาเงินจนลืมดูแลสุขภาพนะครับ” คุณหมอสุดฟิตทิ้งท้าย

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000143314

“มะเร็งตับ” ภัยสุขภาพที่ป้องกันได้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤศจิกายน 2552 09:29 น.
“มะเร็งตับ” ถือเป็นมะเร็งที่คนไทยป่วยมากเป็นอันดับต้นๆ ที่ผ่านมา ได้มีบุคคลสำคัญ และผู้มีชื่อเสียงจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตด้วยโรคนี้ อาทิ “DJ โจ้” - อัครพล ธนะวิทวิลาศ จากคลื่นฮอตเวฟ, ยอดรัก สลักใจ ราชาลูกทุ่งชื่อดัง,นายอภิชาติ หาลำเจียก ดาราผู้ผันตัวมาลงสนามการเมือง หรือกระทั่งล่าสุดอย่าง “สมัคร สุนทรเวช” อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย

พญ.ฉัตรพร กิตติตระกูล จากศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและโรคตับโรงพยาบาลพญาไท 1 ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งตับ ว่า แบ่งได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ มะเร็งเซลล์ตับ และ มะเร็งท่อน้ำดี ผู้ป่วยประเทศไทย 95% เป็นมะเร็งเซลล์ตับ และเนื่องจากตับของคนเรามีขนาดใหญ่ คือ เป็นอวัยวะภายในที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีกำลังสำรองมาก ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งตับในระยะแรก จึงมักไม่มีอาการอะไร เพราะตับยังคงทำงานได้เกือบปกติ เมื่อมีอาการที่ชัดเจนแล้ว จึงมักพบก้อนมะเร็งที่มีขนาดใหญ่มาก ทำให้รักษาไม่ทัน มีอัตราการอยู่รอดเพียงไม่กี่เดือน หรือกว่าจะตรวจพบก็มีอาการแทรกซ้อนแล้ว

“การเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี เป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดในการเกิดโรคมะเร็งของเซลล์ตับในไทย จากสถิติของหลายสถาบันได้ผลใกล้เคียงกันว่า 80% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นมะเร็งตับ โดยมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติถึง 223 เท่า ส่วนมะเร็งท่อน้ำดีตับ เกิดเนื่องจากพยาธิใบไม้ตับเป็นสาเหตุสำคัญ นอกจากนี้ การดื่มสุราเป็นประจำ และการเคี้ยวหมาก รวมถึงการรับสารอัลฟลาท็อกซินเข้าไปในร่างกายก็มีผลวิจัยที่ระบุว่า ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้เช่นกัน”

พญ.ฉัตรพร กิตติตระกูล

ด้านนพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันวิทยาการวัคซีนได้พัฒนาวัคซีนตับอักเสบบีได้แล้ว ดังนั้น เด็กๆ ทุกวันนี้จะได้รับวัคซีนทุกคน แต่ก็จะมีวัยผู้ใหญ่บางคนที่ไม่ทันวัคซีนนี้และติดเชื้อจนป่วยเป็นโรคตับ อักเสบชนิดบี ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับได้

“ส่วนใหญ่ถ้าติดเชื้อและป่วยเป็นโรคตับอักเสบบี 90%จะเป็นแบบเฉียบพลันแล้วก็หายไปเอง แต่มักก็จะมี 10% ที่เป็นแล้วเรื้อรัง ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นมะเร็งได้ ประมาณ 0.2% ของคนที่เป็นตับอักเสบชนิดบีเรื้อรังจะเป็นมะเร็งตับ แต่หากเป็นชนิดซีจะสูงกว่า คือ ประมาณ 0.4% ที่จะพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับ”

ผอ.สถาบันมะเร็งฯ ได้แนะนำวิธีการรักษาสุขภาพให้ห่างไกลมะเร็งตับ ว่า ไม่ห่วงเรื่องอาหารบำรุงตับ เพราะถ้าตับทำงานปกติก็ไม่จำเป็นต้องบำรุง แต่ห่วงในประเด็นของอาหารทำลายตับที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น เหล้า อาหารเกิดราง่าย เช่น ถั่วลิสง การออกกำลังกายก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะในรายที่อ้วนมาก จะเกิดภาวะไขมันพอกตับ ทำให้ตับอ่อนแอ และกลายเป็นตับแข็งซึ่งจะนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับได้เช่นกัน

“สำหรับ ผู้ที่เป็นตับอักเสบชนิดบีและซี แนะนำให้ตรวจตรวจร่างกายสม่ำเสมอ ทั้งตรวจเลือดและอัลตราซาวนด์ ควรทำทุก 6 เดือน เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยง ในรายที่มีลูกเล็กๆ ควรใส่ใจพาไปฉีดวัคซีนป้องกัน และเนื่องจากไวรัสชนิดบีและซีติดต่อได้คล้ายเอดส์ จึงควรระมัดระวังการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การมีเพศสัมพันธ์ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ไม่ควรใช้ของใช้ร่วมกับผู้ป่วยที่มีเชื้อ ออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารมีประโยชน์ ใส่ใจตรวจสุขภาพตามกำหนด เลี่ยงอาหารที่ทำลายตับ ก็จะลดความเสี่ยงลงไปได้ครับ”

4-

เป็นสิว... ไม่ธรรมดา

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤศจิกายน 2552 09:29 น.
ธรรมดาคนเป็นสิว มักเกิดความกังวล โดยเฉพาะเมื่อผุดขึ้นบนใบหน้าอย่างหนาตา ยิ่งเป็นตุ่มหนองด้วยแล้วล่ะก็ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจลุกลามจนทั่วใบหน้าและเกิดแผลเป็น เพื่อหลีกพ้นสิว เรามีความรู้ที่ถูกต้องมาแนะนำค่ะ
รู้จักสิว

สิวเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยชนิดหนึ่งในวัยหนุ่มสาว ซึ่งเมื่ออายุมากขึ้น สิวจะค่อยๆ ลดน้อยลงเรื่อยๆ จนหายไปในที่สุด แต่บางคนยังคงมีอาการสิวเป็นๆ หายๆ หลังพ้นจากวัยรุ่นไปแล้ว เนื่องจากสิวเกิดจากการอักเสบของต่อมไขมัน (sebaceous) ทำให้เรามักจะพบสิวในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ใบหน้า หน้าอก หลังส่วนบน คอ ไหล่ หรือต้นแขน โดยจะพบสิวได้หลายระยะทั้งสิวอุดตัน เช่น สิวหัวเปิดสีดำ หรือสิวหัวปิด ซึ่งจะเห็นเป็นหัวขาวๆ อยู่ใต้ผิวหนัง ต่อมาอาจจะกลายเป็นสิวอักเสบ เห็นเป็นตุ่มแดง (papulonodular) ได้ บางคนถ้าการอักเสบมาก อาจพบเป็นตุ่มหนอง (pustule) หรือเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวหนังที่เรียกว่าสิวหัวช้าง (nodulocystic) ได้ด้วย

# สาเหตุการเกิดสิว

การ เปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเป็นปัจจัยสำคัญอันดับหนึ่ง โดยระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน จะมีระดับสูงในช่วงวัยรุ่นโดยเฉพาะเพศชาย ทำให้เราพบสิวในช่วงอายุนี้มากกว่าช่วงอื่น ฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการสร้างไขมันออกมามากขึ้น และในขณะที่น้ำมันเดินทางจากต่อมไขมันสู่ปากรูขุมขน เกิดไปผสมเข้ากับแบคทีเรียและเซลล์ผิวที่ตายแล้วซึ่งอยู่ในรูขุมขน ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนกลายเป็นสิวอุดตัน ระหว่างนั้นเม็ดเลือดขาวในร่างกายจะออกมากำจัดแบคทีเรีย ทำให้สิวอักเสบ เกิดเป็นตุ่มแดง บวม เจ็บ และเป็นหัวหนองในที่สุด

ผู้หญิง บางคนอาจมีสิวเห่อมากขึ้นในระยะก่อนมีประจำเดือนได้ เนื่องจากระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีการบวมของรูขุมขนและการคั่งของน้ำในร่างกาย นอกจากนี้การหลุดลอกของผิวหนังที่ผิดปกติ ทำให้มีการหนาตัวของผิวหนังบริเวณปากรูขุมขนและแบคทีเรียที่สำคัญคือ Propionibacterium acne ก็เป็นปัจจัยที่กระตุ้นทำให้เกิดสิวได้ด้วย

เดิมเชื่อว่า อาหารบางชนิดเช่น ช็อกโกแลต หรืออาหารมันๆ ทำให้เกิดสิว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังไม่มีการศึกษาใดๆ ที่บ่งชี้ว่าอาหารเป็นสาเหตุของการเกิดสิว แต่ถ้าสังเกตว่าอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง ทำให้อาการสิวอักเสบแย่ลง อาจลองหลีกเลี่ยงหรือหยุดรับประทานอาหารชนิดนั้นๆ แล้วสังเกตว่าอาการสิวอักเสบดีขึ้นหรือไม่

นอกจากนี้ การใช้เครื่องสำอางก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวอุดตันและเกิดเป็นสิวอักเสบตามมา ดังนั้นในคนที่มีโอกาสเป็นสิวง่าย แนะนำให้พยายามใช้เครื่องสำอางให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าจำเป็นต้องใช้ ให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมัน (oil-free) และควรจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าไม่ทำให้เกิดสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ (noncomedogenic และ non-acnegenic) ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดสิวหัวเปิดหรือสิวหัวปิด นอกจากนี้ การใช้สเปรย์หรือเจลบำรุงเส้นผม ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณใบหน้า

และสุดท้ายสาเหตุจากกรรมพันธุ์ พบว่าถ้าบุคคลในครอบครัวเป็นสิว และมีสภาพผิวมัน จะมีโอกาสเป็นสิวได้มากกว่าผิวชนิดอื่นๆ โดยทั่วไปผู้ที่ผิวมันจะมีรูขุมขนกว้าง ผิวหยาบ รวมทั้งหน้ามันเยิ้ม ทำให้สกปรกง่ายต่อการเกิดสิว

# การรักษา

การรักษาสิวโดยทั่วไปคือ การป้องกันการเกิดสิวใหม่ และลดการอักเสบของรอยโรคเดิมลง ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา ปัจจุบันการรักษาสิวมีทั้งยาทาเฉพาะที่และยารับประทาน โดยจะเลือกใช้วิธีรักษาแบบใด ขึ้นกับความรุนแรงของสิวในขณะนั้น

ยาทาเฉพาะที่ที่ใช้ในการรักษาสิวมีหลายกลุ่มด้วยกัน เช่น ยาปฏิชีวนะ ซึ่งจะออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว แต่เนื่องจากถ้าใช้แต่เพียงตัวเดียว อาจทำให้เกิดการดื้อยาได้ จึงควรใช้ร่วมกับยาทาในกลุ่มอื่นๆ เช่นยากลุ่ม benzoyl peroxide โดยทาทิ้งไว้ 5-10 นาที จะช่วยลดสิวอุดตันและลดการอักเสบของสิวได้ และยาในกลุ่มวิตามินเอซึ่งจะช่วยลดการเกิดสิวอุดตันและช่วยทำให้สิวอุดตัน ที่เกิดขึ้นแล้วหลุดลอกออกไปได้โดยง่าย ยาทาเฉพาะที่ส่วนใหญ่จะมีผลข้างเคียงทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง อาจทำให้เกิดรอยแดง แห้งหรือลอกได้ ดังนั้นจึงควรทาบางๆ และเริ่มใช้ในปริมาณน้อยๆ ก่อน ถ้ามีอาการระคายเคืองให้หยุดยาดังกล่าว แต่ถ้าไม่มีอาการแสบหรือแดงก็สามารถทายาปริมาณมากขึ้น หรือทายาแล้วทิ้งเอาไว้นานขึ้นก่อนจะล้างออกได้

ในกรณีที่สิวอักเสบเป็นรุนแรง การใช้ยาทาแต่เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องรับประทานยาร่วมด้วย ซึ่งมีทั้งยาปฏิชีวนะและยาในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ สำหรับยาในกลุ่มอนุพันธ์นี้มักจะได้ผลดีในการรักษาสิว แต่ราคาค่อนข้างสูงและมีผลข้างเคียงคือ ทำให้ริมฝีปากแห้ง ผิวแห้ง ตาแห้ง ซึ่งต้องระมัดระวังในผู้ที่ใส่คอนแทกต์เลนส์ เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคือง ผลข้างเคียงอื่นที่พบ คือ อาจทำให้ระดับไขมันในร่างกายหรือการทำงานของตับผิดปกติ นอกจากนี้ยาดังกล่าวยังห้ามใช้ในสตรีตั้งครรภ์เนื่องจากจะทำให้ทารกในครรภ์ พิการ จึงควรใช้ยาประเภทนี้อย่างระมัดระวังและอยู่ในการดูแลของแพทย์ นอกจากนี้ การใช้ฮอร์โมนในรูปของยาคุมกำเนิดบางชนิด อาจทำให้สิวอักเสบในผู้ป่วยบางรายดีขึ้นได้โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีสิวสัมพันธ์ กับการมีประจำเดือน

สำหรับการรักษาด้วยการกดสิว ควรทำโดยแพทย์ผู้รักษาเพื่อขจัดสิวอุดตัน แต่ไม่ควรบีบหรือแกะสิวเอง เนื่องจากอาจเกิดการติดเชื้อซ้ำลงไปบริเวณนั้นและทำให้เกิดรอยดำหรือแผลเป็น ตามมาได้ ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบมาก แพทย์อาจพิจารณาฉีดยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าไปในตำแหน่งที่เกิดสิว อักเสบนั้น ก็จะช่วยให้สิวยุบลงได้ ดังนั้น การรักษาสิวจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดตามมา

# ห่างไกลสิว

1.ทำความสะอาดร่างกายและใบหน้าทุกวัน แต่ระวัง ไม่ควรล้างหน้าบ่อยหรือขัดถูผิวหน้ามากเกินไป เพราะจะทำให้ผิวหนังเสียสมดุล การล้างหน้า ควรล้างเพียงวันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น ยกเว้นช่วงที่เสียเหงื่อจากการเล่นกีฬา ออกกำลังกาย หรือช่วงที่คิดว่าผิวหนังสกปรก

2.รับประทานผักผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารรสหวานจัด

3.ออกกำลังกาย

4.พักผ่อนให้เพียงพอ

5.ทำจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ อย่าเครียด ซึ่งความเครียดเป็นสาเหตุของการเกิดสิว เท่านี้ก็ไร้สิวแล้ว ต้องทำถึงเห็นผลค่ะ

----------------------------------------------
# พบกิจกรรมดีๆ จากศิริราช

3 ธ.ค. เวลา 10.30 น.แถลงข่าวผลการตัดสิน “รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล” ประจำปี 2552 โดย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ร่วมกับ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ กระทรวงการต่างประเทศ ณ ห้องสมเด็จพระบรมราชชนก ตึกสยามินทร์ ชั้น 2 รพ.ศิริราช

4 ธ.ค. เวลา 12.15 น. ชุมนุมพุทธธรรมศิริราช ขอเชิญพุทธศาสนิกชนเข้าร่วมพิธีบำเพ็ญกุศล ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ฟังการบรรยายธรรมและเจริญพระพุทธมนต์ พร้อมชมนิทรรศการ ณ ศาลาศิริราช 100 ปี รพ.ศิริราช

เผยวิถีเกย์ไทยยุค 2000 สปาชายผุดเป็นดอกเห็ด เสพติดค่านิยมสวิงกิ้ง-ฟรีเซ็กซ์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤศจิกายน 2552 18:17 น.
ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
วงเสวนาเพศวิถี ศึกษา เผยวิถีเซ็กซ์เกย์ไทย ยุค 2000 นวด-สปาเกย์ ผุดเป็นดอกเห็ด เสพติดค่านิยมฟรีเซ็กซ์-เซ็กซ์หมู่ พ้อรัฐเมินไม่ให้ความสำคัญสุขภาพทางเพศ ชี้ คนไทยเข้าใจเรื่องเพศวิถีน้อย

วันที่ 25 พ.ย.ที่โรงแรมรอยัลริเวอร์ มีการประชุมเรื่อง “เพศวิถีศึกษากับเพศวิถีปฏิบัติในสังคมไทย ครั้งที่ 2” จัดโดยศูนย์ศึกษานโยบายสาธารณสุข มหาวิทยาลัยมหิดล คณะกรรมการองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ เครือข่ายความหลากหลายทางเพศ และ แผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

โดยนายนฤพนธ์ ด้วงวิเศษ นักวิจัยศูนย์มานุษวิยาสิรินธร กล่าวถึงการศึกษา หัวข้อ “ไม่มั่วแต่ทั่วถึง : เซ็กซ์แฟนตาซีของเกย์ยุค 2000” ว่า การศึกษาเพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์เกี่ยวกับเซ็กซ์ในชุมชนเกย์ไทยในปี 2543-2552 พบว่า ชุมชนเกย์ไทยขยายตัวออกไปมาก แต่ยังมีความลักลั่นขัดแย้งในกิจกรรมเซฟเซ็กซ์ หรือเซ็กซ์ที่ปลอดภัย ซึ่งมีองค์กรเกย์พยายามรณรงค์อย่างมาก และฟรีเซ็กซ์ที่ใช้ความใคร่และกามารมณ์เป็นเครื่องกระตุ้นให้เกย์มีเพศ สัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน ซึ่งหลังปี 2540 เป็นต้นมา สถานบริการประเภทนวดและสปาเกย์เป็นทางเลือกใหม่ พื้นที่เกย์ขยายมากขึ้นจากเดิมที่รู้จักกันเพียงผับ เซาน่า คาราโอเกะ ในย่านสีลม สุขุมวิท สาทร สะพานควาย ก็มีการขยายไปในย่านลำสาลี รามคำแหง รัชดา อ.ต.ก.จตุจักร ฝั่งธน ปิ่นเกล้า รังสิต

นายนฤพนธ์ กล่าวว่า จาก การเก็บข้อมูลสถานบริการของเกย์ใน กทม.เปรียบเทียบปี 2547 และปี 2552 พบว่า ทั้งเซาน่า นวด สปา ดิสโก้เธค บาร์อะโกโก้ ร้านอาหาร ผับ คาราโอเกะ เพิ่มขึ้นร้อยละ 95 หรือเกือบเท่าตัว โดยเฉพาะนวด สปา เพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 270 เนื่องจากบริการประเภทนี้ คือ การให้ผู้ชายหน้าตาดีมาคอยให้บริการบำรุงสุขภาพ และความสุขทางเพศ ที่เรียกว่า ทั้งนวดและนาบ แต่มีค่าบริการสูง เช่น นวดน้ำมัน ชม.ละ 500 บาท ค่าทิป 1,000 บาท เป็นต้น ส่วน เซาน่า ก็เป็นที่นิยมของเกย์บางแห่งจัดโฟมปาร์ตี้ หรือโชว์เซ็กซ์ และอวัยวะเพศนายแบบ บางแห่งให้บริการถึง 6 โมงเช้าได้ในวันศุกร์ เสาร์ กิจกรรมที่นิยมอีก คือ ออร์จีไนท์ ซึ่งลูกค้าที่มาใช้บริการต้องเปลือยกาย เกย์แต่ละคนมารวมตัวในห้องมืด เพื่อทำกิจกรรมทางเพศ หรือ เซ็กซ์หมู่ โดยมีคนคอยมุงดู ถือเป็นฟรีเซ็กซ์ บางทีจะเรียกหยอกล้อกันว่า “วันนี้ได้หลายไม้” หรือ “เล่นฆ้องวง” จนมีศัพท์เกย์เรียกกันว่า “ไม่มั่วแต่ทั่วถึง” คือ มีเซ็กซ์กับคนหลายคนเวลาเดียวกัน เปลี่ยนคู่ขาไปเรื่อยๆ ตามโอกาส

“พฤติกรรมแบบนี้ในแวดวงไม่ถือเป็นการมั่วหรือส่ำส่อน แต่เป็นการสร้างความสุขทางเพศให้คนมากกว่า 1 คน ดูเป็นฟรีเซ็กซ์ที่ชอบธรรม เซาน่าเกย์จึงเป็นพื้นที่ไกล่เกลี่ยเรื่องเซ็กซ์ที่สลับซับซ้อน คนที่หน้าตาดีวัยรุ่นจะสามารถต่อรองว่าจะใช้ถุงยาง หรือเสียบสดได้ แต่คนอ้วนหน้าตาไม่ดี มีสิทธิเลือกน้อย คนมีความรู้เรื่องเอดส์มาก อาจไกล่เกลี่ยมาก คนความรู้เอดส์น้อย จะไม่ไกล่เกลี่ย ใช้อารมณ์เซ็กซ์เต็มที่ พื้นที่เหล่านี้จึงเป็นเหมือนเซ็กซ์แฟนตาซีที่เซฟเซ็กซ์และฟรีเซ็กซ์มาบรรจบ กัน” นายนฤพนธ์ กล่าว

นายนฤพนธ์ กล่าวว่า สังคมอาจตัดสินว่าเกย์ยุ่งเกี่ยวกับเซ็กซ์มากไป หรือผู้ประกอบการธุรกิจเกย์ตัวการทำเกย์มัวเมากับเซ็กซ์กามารมณ์ แต่เซ็กซ์ทำให้เกย์เรียนรู้ความสัมพันธ์กับคนอื่น ตอกย้ำตัวตนทางเพศ แต่ วัฒนธรรมบริโภคนิยมต่างหากที่ทำให้เซ็กซ์เกย์เปลี่ยนไป ประเทศไทยรณรงค์โรคเอดส์มานานหลาย 10 ปี แต่ปัญหาก็ไม่ได้ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มเพศที่ 3 โดยเฉพาะกลุ่มเกย์ ที่ยังมีการติดเชื้อเอชไอวีเพื่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การผลการสำรวจของกองทุนเอดส์โลก เมื่อปี 2546 มีเกย์ติดเชื้อประมาณ 17.3% และในปี 2550 เพิ่มสูงขึ้นเกือบเท่าตัว คือ 30.7% สะท้อนให้เห็นว่าการรณรงค์โรคเอดส์ของหน่วยงานต่างๆ ยังไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มต่างๆ ในสังคมได้ โดยแฉพาะในกลุ่มเพศที่ 3 ที่ยังมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย

ด้านรศ.กฤตยา อาชวนิชกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สังคมไทยยังมีความเข้าใจเรื่องเพศโดยมีความรู้เพียงชุดเดียว ความหลากหลายทางเพศกลายเป็นเรื่องผิดปกติ โดยมีสรีระมาเป็นตัวกำหนด มีระบบความคิดตายตัว และกามารมณ์ของชายไทย ยังเป็นศูนย์กลางในการกำหนดสิ่งต่างๆ ซึ่งรัฐบาลไทยควรให้ความสำคัญกับสุขภาพทางเพศ มีนโยบาย ยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน มีการวิจัยเชิงสังคมแบบภาพกว้างครอบคลุมทุกอัตลักษณ์ทางเพศ

“ความ เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเพศวิถีในสังคมถือว่ายังมีน้อย จากการค้นหาคำว่า “เพศ” ในเว็บไซต์เสิร์ทเอนจิ้น พบเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องถึง 16,000,000 รายการ โดย 3 ลำดับแรกเป็นภาพ การอธิบายเรื่องจุดสุดยอดทางเพศ เรื่องอวัยวะเพศ การให้ความรู้ แต่เมื่อค้นหาคำว่า เพศวิถี พบเพียง 633,000 รายการ และเนื้อหาของเว็บไซต์จะเป็นข่าว และบทความให้ความรู้ประกอบการเรียนการสอน ส่วนคำว่า เพศวิถีศึกษา พบ 1,070,000 รายการ ส่วนใหญ่จะเป็นข่าวเกี่ยวกับการประชุม และพบศัพท์ความหมายของคำว่า เพศวิถี 1 รายการ ซึ่งสังคมจำเป็นต้องทำความเข้าใจที่หลากหลายมากขึ้น”รศ.กฤตยา กล่าว

ทำเงินบนโลกออนไลน์ : เคล็ดเจาะตลาดวัยรุ่นจาก"dek-d.com"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

"เด็กดีดอทคอม"คือชื่อที่คุ้นหูคนเล่นอินเทอร์เน็ตชาวไทยจำนวนหลาย
ล้านคนทั่วประเทศ วันนี้เราได้รับเกียรติจากผู้บริหารบริษัท เด็กดี
อินเตอร์แอคทีฟ จำกัด
เพื่อแนะแนวทางการทำอีคอมเมิร์ชสำหรับเจาะตลาดวัยรุ่นไทย
ซึ่งเรามั่นใจว่าจะเป็นการติดอาวุธที่นักล่าฝันอีคอมเมิร์ชไทยไม่ควรพลาด

***"E-Commerce สำหรับวัยรุ่นไทย ยากเกินจะเป็นไปได้?"
(บทความโดย ปกรณ์ สันติสุนทรกุล www.dek-d.com)

ในยุคที่อีคอมเมิร์ซในไทยกำลังโตวันโตคืน
ได้รับความนิยมจากสินค้าบริการต่างๆ ตั๋วเครื่องบิน ที่พักโรงแรม
สินค้ามือสองต่างๆ ฯลฯ
แต่กลับมีตลาดกลุ่มหนึ่งที่อีคอมเมิร์ซเข้าถึงได้น้อยมาก
ทั้งๆที่เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในไทย
นั่นก็คือกลุ่มวัยทีน 13-18 ปี หรือวัยเรียน ในระดับมัธยมศึกษา
วันนี้จะมาเล่าให้ฟังจากประสบการณ์
ให้ทุกท่านมองเห็นภาพของการทำอีคอมเมิร์ซสำหรับวัยรุ่นนั้นให้ชัดเจนมากขึ้น
อาจจะดูเหมือนเรื่องง่ายๆที่ใช้คอมมอนเซ้นส์คาดเด่าได้
แต่ถ้าไม่รู้ถึงความต้องการของวัยรุ่นจริงๆอาจจะพลอยเจ็บตัวได้ง่ายๆ

สิ่งแรกที่ใครๆมักจะถาม คือ วัยรุ่นคิดจะซื้อของในอินเตอร์เน็ตไหม?

ดู เผินๆวัยรุ่นดูเหมือนเป็นพลังเงียบด้านการซื้อของในอินเตอร์เน็ตนะครับ
อัตราความต้องการบริโภคสินค้าและบริการต่างๆมีสูงไม่แพ้ผู้ใหญ่แน่นอน
หากแต่มีข้อจำกัดคือไม่สามารถหารายได้ด้วยตนเองได้

นี่ จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้หลายๆคนสรุปว่าวัยรุ่นไม่มีกำลังซื้อ
เป็นกลุ่มที่ไม่น่าสนใจเสียเท่าไหร่ แต่แท้จริงแล้ว
วัยรุ่นบางคนขอเงินพ่อแม่ได้
บางคนเก็บสะสมค่าขนมวันละเล็กละน้อยจนมีเงินเป็นก้อนก็มี
และที่สำคัญวัยรุ่นเกือบทั้งหมดจะมีความรู้สึกว่าตัวเองโตแล้ว
และมีความต้องการในการตัดสินใจเลือกซื้อของต่างๆด้วยตนเองเหมือนที่ผู้ใหญ่
ทำได้

แล้วของอะไรที่วัยรุ่นอยากได้?

แน่นอน ชีวิตของเด็กวัยรุ่นไทยนั้นวนเวียนเกี่ยวกับข้องสถานที่และสถานการณ์ไม่กี่
อย่าง ได้แก่ บ้าน โรงเรียน สถาบันกวดวิชา และที่เที่ยวแบบวัยรุ่น
ห้างสรรพสินค้า สวนสนุก สยามฯ

จากการสำรวจความต้องการของวัยรุ่น
ว่าอะไรบ้างที่วัยรุ่นต้องการในชีวิตประจำวัน
โดยไม่ได้กำหนดขอบเขตว่าจะต้องเป็นสินค้าที่จำหน่ายได้ในโลกออนไลน์เท่านั้น
เราได้พบว่า ประเภทสิ่งของเพื่อตอบสนองความต้องการของวัยรุ่นหนีไม่พ้นสามประเภทนี้
ครับ

- สิ่งที่เกี่ยวกับการเรียน หนังสือ เครื่องเขียน คอร์สเรียน
- สิ่งเพื่อความบันเทิงและพักผ่อนหย่อนใจ หนังสือ การ์ตูน ภาพยนต์
เกมส์ ละคร เพลง กีฬา
- สิ่งที่เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ของตัวเอง เครื่องสำอาง
เครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย

เมื่อเรารู้ประเภทแล้ว ถามตรงๆเลยว่า
ถ้างั้นเอามาจัดร้านขายในอินเตอร์เน็ตเลยได้หรือไม่?

คำตอบก็คือว่าขายได้ แต่คงไม่ทุกชนิดแน่นอน

การที่วัยรุ่นจะเลือกซื้อของในอินเตอร์เน็ตจะมีวิธีการคิดที่แตกต่าง
จากวัยผู้ใหญ่อยู่บ้าง ปกติเราจะทราบกันว่า
เวลาจะขายของผ่านอินเตอร์เน็ตให้วัยผู้ใหญ่ สิ่งที่สำคัญคือ
ราคาถูกกว่าซื้อตามร้านค้า เว็บไซต์ร้านค้าดูน่าเชื่อถือ
สินค้ามีลิขสิทธิ์ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ มีการรับประกันสินค้า
มีการจัดส่งที่ดี หาซื้อยาก เช่น เป็นของสะสม ฯลฯ

สำหรับวัยรุ่นนั้น จะแตกต่างออกไป วิธีคิดจะไม่ซับซ้อนแบบผู้ใหญ่ครับ

เว็บไซต์ ที่ขายของที่ราคาถูกกว่าการไปซื้อจ่ากร้านค้า
อาจไม่สามารถรับประกันได้ว่าวัยรุ่นจะซื้อ
รวมไปถึงการที่เว็บไซต์ร้านค้าสวยงามดูน่าเชื่อถือ
การจำหน่ายสินค้าที่มีลิขสิทธิ์ ต่างก็ไม่สำคัญสำหรับวัยรุ่นสักเท่าไหร่

สิ่ง ที่ผมพบเจอมาจากประสบการณ์ที่ได้คลุกคลีกับวัยรุ่นนั้นจะพบว่าการตัดสินใจ
ซื้อสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตของวัยรุ่น จะอยู่ที่ความรู้สึกต่อ Product
เป็นสำคัญซึ่งมีผลมาจากด้านจิตวิทยาของวัยรุ่น
สินค้าประเภทที่ทำให้ผู้ใช้ดูดีเป็นที่ชื่นชมจากผู้อื่นทั้งการชื่นชมทางตรง
และทางอ้อม

สินค้าประเภทการชื่นชมทางตรงส่วนใหญ่เป็นการใช้สินค้าที่กำลังฮิต
อยู่ในกระแส เครื่องเขียนกิฟต์ช้อปน่ารักๆ เครื่องประดับตุ้มหู ต่างหู
รองเท้า คอนแทคเลนส์บิ๊กอาย นาฬิกาแฟชั่น เสื้อผ้าอิมพอร์ตจากเกาหลี
ยิ่งสามารถการันตีได้ว่าเป็นแบบเดียวกับที่ดาราดังใส่ใน ซีรีส์เกาหลี
ญี่ปุ่นยิ่งต้องหามาเป็นเจ้าของให้ได้

นอกจากนี้สินค้าที่สามารถสร้างการชื่นชมไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ในชีวิตจริง
แต่การขายไอเทมบนเกมส์ ชุดแต่งกายของตัวละครอวาร์ตาร์
ก็มีความเป็นไปได้ที่จะรับการตอบรับจากวัยรุ่นเช่นกัน
เพราะมีโอกาสได้รับการชื่นชมจากผู้พบเห็นได้

สำหรับสินค้าที่สร้างการชื่นชมทางอ้อม
มักเป็นการช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี เช่น
การใช้เครื่องสำอางแล้วทำให้ผิวหน้าดูดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเครื่องสำอางนั้นได้รับการพูดปากต่อปากกันในอินเตอร์
เน็ตว่าใช้แล้วได้ผลดี

สิ่งที่นักอีคอมเมิร์ซจำเป็นต้องทำนอกเหนือจากการขายสินค้าคือเรื่องของ
Emotional Feeling ของผู้ใช้ที่ทำให้เกิดความภาคภูมิใจชื่นชมตัวเอง
และคาดหวังว่าจะได้รับคำชื่นชมจากผู้คนรอบข้างเช่นกัน ตัวอย่างเช่น
ถ้าน้องๆวัยรุ่นคนไหนได้ใช้สินค้านี้แล้ว
ทุกคนจะมองเขาหรือเธอว่าเป็นคนน่ารักคิกขุ สดใส หวานแหวว หรือ อบอุ่น
เป็นต้น

นอกจากนี้แล้วการต้องการความชื่นชมยังต่อยอดไปถึงการรวมกลุ่มของคนที่ชอบอะไรเหมือนๆกัน
มีประสบการณ์ในบางสิ่งร่วมกันอีกด้วย

"สินค้าประเภทที่ผู้ซื้อปลื้มมาก"ก็ เป็นอีกสิ่งที่น่าสนใจ
เพราะสินค้าประเภทนี้ น้องๆวัยรุ่นจะอยากได้มากๆ
และยอมที่จะซื้อแม้ว่าวิธีการชำระเงินจะยุ่งยากเพียงใด ราคาจะแพงเพียงใด
หรือจะต้องรอส่งสินค้าจะต้องรอนานเท่าไหร่ก็ยอมทน

มักจะเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับดารานักร้องศิลปิน วงที่ชื่นชอบ
ตัวละครการ์ตูนที่ตัวเองชอบมาก ในรูปแบบของพรีเมี่ยมต่างๆ CD,DVD Limited
Edition ตั๋วสำหรับการ Meet&Greet ตั๋วสำหรับชมการแสดงต่างๆ
ของดารานักร้องศิลปินที่ปลื้ม
ยิ่งหาซื้อยากเท่าไหร่ยิ่งมีโอกาสฮิตในอินเตอร์เน็ตมากเท่านั้น
เพราะหมดยุคแล้วสำหรับการที่จะต้องไปออกตระเวนตามที่ต่างๆเพื่อหาของที่พวก
เขาปลาบปลื้ม พวกเขาใช้เพียง Google ในการค้นหา
ค้นเจอที่ไหนที่นั่นก็จะได้ลูกค้าวัยรุ่นไป

หากลอง วิเคราะห์ดูจะพบว่าคุณสมบัติของสินค้าทั้งสองประเภท
จะพบได้ว่าวัยรุ่นให้ความใส่ใจกับ Branding สูงมาก
เพราะจะเป็นความรู้สึกและประสบการณ์ที่วัยรุ่นสัมผัสได้
และยังสามารถช่วยต่อยอดสู่ Brand Loyalty ได้อีกมากมาย

ดังนั้นหากคุณอยากขายสินค้าให้วัยรุ่นในอินเตอร์เน็ตอย่าลืมสร้างแบรนด์ให้วัยรุ่นจดจำด้วยนะครับ
สำคัญมาก

ถามว่าแล้วสินค้าที่ได้รับความชื่นชมและเป็นที่ปลาบปลื้ม
แต่เป็นสินค้าประเภทดาวน์โหลดละขายได้ไหม? คำตอบคือยากมาก

การขายสิทธิ์ในการดาวน์โหลดประเภทเพลง รูปภาพ คลิปวีดีโอ
รวมแม้กระทั่ง Mobile Download อย่าง ริงโทน เกมส์
กราฟิกบนโทรศัพท์มือถือ ล้วนเป็นสิ่งที่ขายได้ยากมากสำหรับวัยรุ่น
เพราะวัยรุ่นมีความรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้หาได้ฟรีๆ ในอินเตอร์เน็ต
จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องจ่ายเงินซื้อผ่านอินเตอร์เน็ต ไม่ว่ากรณีใดๆ

เมื่อ คุณเลือกสินค้าที่จะทำอีคอมเมิร์ซกับลูกค้าวัยรุ่นของคุณได้แล้ว
ถือว่าคุณมีโอกาสประสบความสำเร็จขั้นหนึ่งแล้ว
ในขั้นต่อไปยังมีอุปสรรคสำคัญที่คุณยังต้องเผชิญกับปัญหา
เรื่องช่องทางการจ่ายเงินสำหรับวัยรุ่น

ปกติการเรื่องช่องทางการจ่ายเงินสำหรับผู้ใหญ่ก็ปวดหัวมากแล้ว
แต่สำหรับวัยรุ่นนั้นหนักหนายิ่งกว่าเพราะมีข้อจำกัดสูงมาก
เรามาลองพิจารณาช่องทางที่เป็นไปได้ในประเทศไทยกันดู

1 บัตรเครดิต ไม่ต้องพูดถึงครับ
วัยรุ่นอายุไม่ถึงที่จะทำบัตรเครดิตแน่นอน
หรือบางคนอาจจะมีบัตรเสริมจากผู้ปกครอง
ซึ่งจะมีสัดส่วนที่น้อยมากจนเรียกได้ว่าแทบไม่มี

2 บัตรเดบิต ดูเหมือนจะเป็นช่องทางที่เป็นไปได้นะครับ
เพราะบัตรเดบิต มันก็คือบัตร ATM นั่นเอง เด็กวัยรุ่นไม่น้อยนะครับ
ถามว่าวัยรุ่นกล้าที่ใช้เดบิตรูดไม๊ ใจก็ยังกล้าๆกลัวๆอยู่ครับ
คงไม่ต่างจากผู้ใหญ่ ที่รูดปั๊บเงินหายปุ๊บ
แต่จุดสำคัญที่ต้องปวดหัวไม่แพ้กันคือ บัตรเดบิต ATM ของหลายๆธนาคาร
ไม่ได้รับอนุญาตในการรูดซื้อของบนอินเตอร์เน็ตได้เช่นเดียวกับบัตรเครดิต

3 โอนเงินเข้าบัญชี เป็นหนึ่งอย่างที่วัยรุ่นจะคุ้นเคยและไว้ใจ
เพราะจะสมัครคอร์สเรียนพิเศษหลายๆสถาบัน จะต้องใช้วิธีโอนเข้าบัญชีธนาคาร
แต่แทบทั้งหมดจะได้รับการโอนโดยผู้ปกครองเสียมากกว่า
ข้อดีที่ส่งผลมาจากความไว้ใจ
ทำให้โอกาสในการขายสินค้ากับวัยรุ่นที่ราคาสูง เกิน 500 -1000
บาทขึ้นไปเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าซื้อสินค้าราคาไม่ถึง 100 บาท
และให้ไปโอนบัญชีธนาคารก็คงดูขัดๆเล็กน้อย

4 จ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือ ว้าว ดูเป็นวิธีการที่น่าสนใจนะครับ
ดูเหมือนน้องๆวัยรุ่นจะมีโทรศัพท์มือถือกันเกือบทุกคนแล้ว
น่าจะแค่กดๆแล้วจ่ายได้เลยสะดวกมาก เห็นในรายการ Reality โชว์
วัยรุ่นโหวตกันกระจายเลย ครั้งละ 9 บาท 10 บาท แต่อ๊ะๆ
ถ้าลองเข้าไปสำรวจวัยรุ่นจริงๆ จะพบว่าน้องๆจำนวนมากใช้ Pre Paid กัน
และเติมเงินไว้ในเบอร์โทรศัพท์น้อยมากครับ
หาได้น้อยคนมากที่จะใช้เติมค่าโทรศัพท์ไว้เฉลี่ย 50-100 บาท
ต่อเดือนเพื่อใช้รับสายเวลาผู้ปกครองโทรมาเท่านั้น แทบไม่ได้ใช้โทรออก

นี่จึงเป็นอีกคำตอบว่าอาจจะยากหน่อย
ถ้าจะใช้ช่องทางนี้อาจจะเหมาะกับสินค้าหรือบริการที่มูลค่าต่ำๆ 20-30 บาท

5 ชำระผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิซ
จากประสบการณ์คิดว่าเป็นช่องทางที่เด็กไว้ใจมากที่สุดแล้ว
โดยเฉพาะถ้าเป็นเคาน์เตอร์ ที่เด็กคุ้นเคยอย่างมินิมาร์ทชื่อดังต่างๆ
การจะขายสินค้า 200 บาทขึ้นไปดูไม่ใช่เรื่องยากสำหรับวัยรุ่นอีกต่อไป
ข้อเสียก็คือคุณต้องเสียค่าธรรมเนียมให้เคาน์เตอร์เซอร์วิซด้วย

6 สินค้ามาส่งที่บ้าน และชำระเงินเมื่อได้รับและตรวจสอบสินค้า
เป็นวิธีที่อยู่ระหว่างกลางกับการขายของรูปแบบเดิมๆกับอีคอมเมิร์ซ
เป็นอะไรที่ซื้อขายสะดวก แต่ก็สร้างภาระให้ผู้ขายพอสมควร

ทั้งหมดนี่เป็นเพียงเบื้องต้นที่คุณอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้หากต้องการทำอีคอมเมิร์ซสำหรับวัยรุ่น
โดยเฉพาะวัยรุ่นไทย

สิ่งที่สำคัญคือคุณจำเป็นต้องศึกษาพฤติกรรมความต้องการ
และข้อจำกัดที่แท้จริงของวัยรุ่น โดยการคลุกคลีกับวัยรุ่น

อย่า พยายามคาดเดาเองว่าสมัยคุณเป็นวัยรุ่นอยากได้แบบนั้น แบบนี้
และจึงได้ยัดเยียดระบบ รูปแบบต่างๆที่วัยรุ่นไม่ต้องการ
เพราะสุดท้ายคุณอาจจะเป็นอีกคนหนึงที่ว่า
"อีคอมเมิร์ซสำหรับวัยรุ่นเป็นเรื่องยากเกินไป"

ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ยากเลยครับ

http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9520000145052

เผยสูตรเด็ด "ทองม้วนจมูกข้าวสาลี"ขนมไทยสไตล์สุขภาพ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 พฤศจิกายน 2552 13:51 น.
นับเป็นเรื่อง
น่ายินดีที่ทุกวันนี้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพและอาหารการกินมากขึ้น
ในการเลือกรับประทานอาหารแต่ละอย่างสิ่งหนึ่งที่ต้องมาคู่กับความอร่อยนั่น
คือคุณค่าที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และด้วยตระหนักถึงความสำคัญนี้ ทำให้
นักศึกษาชาวมทร.ธัญบุรีเกิดไอเดียสุดแจ่มคิดค้นทำทองม้วนจมูกข้าวสาลี
ขนมพื้นบ้านแบบไทยๆ แต่เปี่ยมด้วยคุณค่าทางอาหาร

ซึ่งทีมงานผู้คิดค้นไอเดียจมูกข้าวสาลีสุดกิ๊บเก๋ ประกอบด้วย
นางสาวสุภานันท์ คล้ายน้อย นางสาวทิวาวรรณ เดชใด และ นางสาวดวงรัตน์
เศรษฐภักดี สาขาวิชา อาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

ทั้งนี้ 3 นักศึกษาเจ้าของตำหรับ บอกว่า เหตุ
ที่เลือกข้าวสาลีมาเสริมในขนมทองม้วนเพราะ
จมูกข้าวสาลีมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น ลดคอเลสเตอรอล
และไตรกลีเซอไรด์ ป้องกันโรคหัวใจ บำรุงสมอง บำรุงประสาท
ป้องกันโรคมะเร็งเป็นต้น

อีกทั้ง ผศ.อภิญญา พุกสุขสกุล และ อาจารย์อรวรรณ พึ่งคำ
อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ ยังบอกด้วยว่า "ถือได้ว่าเป็นการส่งเสริม
และอนุรักษ์ขนมไทยพื้นบ้านให้มีคุณค่าทางโภชนาการ
โดยได้อธิบายถึงส่วนผสมไว้ดังนี้ "แป้งมัน 1 3/4 ถ้วย-แป้งสาลี 1/4
ถ้วย-หัวกระทิ 1 3/4 ถ้วย-น้ำตาลปี๊บ 3/4 ถ้วย-เกลือ 1/2 ถ้วย-ไข่แดง 1
ฟอง-จมูกข้าวสาลี 1/4 ถ้วย"อาจารย์เผยสูตร

และจากนั้น 3 นักศึกษาก็ช่วยกันเผยกลเม็ดแบบไม่กั๊กต่อว่า"เริ่ม
แรกให้ ผสมแป้งมันกับแป้งสาลีให้เข้ากันพักเอาไว้ แล้ว ผสมกะทิ
น้ำตาลปี๊บ เกลือ ลงในหม้อ คนให้น้ำตาลละลาย แล้วตั้งไฟจนกะทิเดือด
พักไว้ให้เย็น จากนั้นถึงใส่ไข่แดงลงไป คนให้เข้ากัน
จากนั้นจึงค่อยๆเทลงในแป้ง(แป้งมัน+แป้งสาลีที่ผสมกันตั้งแต่แรก)
คนให้เข้ากัน เติมจมูกข้าวสาลีลงไปผสมให้เข้ากันตักส่วนผสมประมาณ 1
ช้อนชาหยอดลงในเครื่องทำทองม้วนที่ร้อนได้ที่ แล้วปิดฝา รอประมาณ 30
วินาที เปิดฝาออก นำออกมาม้วน"


และขั้นตอนที่เป็นเคล็ดลับสำคัญคือ "การม้วน"
ตรงนี้อาจารย์ย้ำเสริมว่า "ต้องม้วนเมื่อทองม้วนสุกออกจากเตาร้อนๆ
เพียงเท่านี้ก็จะได้ทองม้วนที่ทั้งหอม
หวานอร่อยและยังมีคุณค่าทางโภชนาการไว้รับประทาน"จบสูตรทองม้วนข้าวสาลี

เอาล่ะ !หากใครสนใจข้อมูลที่มากกว่านี้สามารถสอบถามเพิ่มเติมไปได้ที่
หมายเลขโทรศัพท์ 083-4996241,084-7608385 และ087-3403296

http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000144956

บีโอไอ:สถานภาพของไทยในเวทีลอจิสติกส์ระหว่างประเทศ

โดย ยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์ 29 พฤศจิกายน 2552 15:20 น.
รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับลอจิสติกส์เป็นอย่างมาก
โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีความพยายามที่จะพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งและ
ลอจิสติกส์อย่างบูรณาการ
เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางลอจิสติกส์ในภูมิภาค

ประเด็นสำคัญ คือ
ประเทศไทยจะสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นศูนย์กลางลอจิสติกส์ในภูมิภาคอย่างไร
ซึ่งดูแล้วหากไม่มีการดำเนินนโยบายอย่างจริงจังแล้ว
นับเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม เนื่องจากต้องเผชิญกับคู่แข่งสำคัญ คือ
สิงคโปร์ ทั้งในส่วนการขนส่งทางเรือและการขนส่งทางอากาศ
ซึ่งปัจจุบันนำหน้าประเทศไทยหลายช่วงตัว
เนื่องจากมีระบบบริหารรัฐกิจที่ประสิทธิภาพสูงกว่า
และกฎระเบียบที่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจมากกว่า

เรามาลองศึกษาดูบ้างว่าปัจจุบันสถานภาพของไทยในเวทีลอจิสติกส์
ระหว่างประเทศเราอยู่ในระดับใดบ้าง
นำหน้าหรือตามหลังประเทศคู่แข่งมากน้อยเพียงใด

ธุรกิจขนส่งทางอากาศ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
มีปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศในปี 2551 ปริมาณ 2,292 ล้านตัน-กม.
นับเป็นผู้ประกอบการขนส่งทางอากาศใหญ่อันดับที่ 24 ของโลก และอันดับที่ 3
ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลนส์
และสายการบินมาเลเซียนแอร์ไลนส์

ธุรกิจขนส่งทางอากาศของการบินไทยใช้พื้นที่ระวางใต้ท้องเครื่องบิน
โดยสาร (Belly) เป็นหลัก โดยยังไม่มีเครื่องบินแบบ Freighter
ซึ่งออกแบบสำหรับขนส่งสินค้าเป็นการเฉพาะ ทำให้เสียเปรียบคู่แข่งขัน
ทั้งนี้ อันดับของบริษัทการบินไทยได้มีแนวโน้มลดลงจากอันดับที่ 22
ของโลกในปี 2545 เป็นอันดับที่ 24 ในปี 2550

ธุรกิจท่าอากาศยาน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในปี 2551
มีปริมาณการขนถ่ายสินค้า 1,173.084 ตัน
นับว่ามีปริมาณการขนถ่ายสินค้ามากเป็นอันดับที่ 20 ของโลกและอันดับ 2
ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากท่าอากาศยานชางกีของสิงคโปร์
ซึ่งอยู่อันดับที่ 10 ของโลก

อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่าอันดับของท่าอากาศยานกรุงเทพมหานคร
(ท่าอากาศยานดอนเมืองต่อเนื่องถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ)
มีแนวโน้มลดลงตามลำดับ กล่าวคือ ในปี 2545
ท่าอากาศยานดอนเมืองมีปริมาณการขนถ่ายสินค้ามากเป็นอันดับที่ 17 ของโลก
ต่อมาในปี 2546 ได้ลดลง 2 อันดับ เป็นอันดับที่ 19 ของโลก
และมีปริมาณการขนถ่ายสินค้าเป็นอันดับ 19 ของโลก ติดต่อมาตั้งแต่ปี 2546
จนถึงปี 2550 และหล่นลงมาเป็นอันดับที่ 20 ของโลก ในปี 2551

การจัดอันดับท่าอากาศยานที่มีปริมาณการขนถ่ายสินค้ามากที่สุดในโลกในปี 2551

แหล่งข้อมูล : Airport Council International

ธุรกิจท่าเรือ ปัจจุบันประเทศไทยมีท่าเรือหลัก 2 แห่ง คือ
ท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย)
โดยเดิมท่าเรือกรุงเทพนับว่าเป็นท่าเรือหลักของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม
จากการที่ท่าเรือแหลมฉบังเปิดดำเนินการนับตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา
ทำให้ปริมาณการขนถ่ายสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดยมีปริมาณการขนถ่ายสินค้าแซงหน้าท่าเรือกรุงเทพนับตั้งแต่ปี 2540
เป็นต้นมา สถิติล่าสุดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552
ท่าเรือแหลมฉบังมีปริมาณการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ 2.1 ล้าน TEU
ขณะที่ท่าเรือกรุงเทพมีปริมาณการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ 0.6 ล้าน TEU

สำหรับการจัดอันดับของ Alphaliner Weekly Newsletter
พบว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 ท่าเรือ PSA ของสิงคโปร์
มีปริมาณการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์มากที่สุดในโลก คือ 12.2 ล้าน TEU
โดยครองตำแหน่งอันดับ 1 ของโลกมาหลายปีติดต่อกัน รองลงมา คือ
ท่าเรือเซี่ยงไฮ้ของจีน 11.6 ล้าน TEU ท่าเรือฮ่องกง 9.9 ล้าน TEU
ท่าเรือเซินเจิ้นของจีน 8 ล้าน TEU ท่าเรือปูซานของเกาหลีใต้ 5.6 ล้าน
TEU

หมายเหตุ : *TEU = ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต จำนวน 1 ตู้
แหล่งข้อมูล : Alphaliner Weekly Newsletter

สำหรับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งมีปริมาณการขนถ่าย 2.1 ล้าน TEU
อยู่ที่อันดับ 18 ของโลก ดีขึ้น 1 อันดับ จากเดิมในปี 2550 เป็นอันดับ 19
ของโลก นอกจากนี้ ยังมีปริมาณการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์มากเป็นอันดับที่ 4
ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากท่าเรือ PSA ของสิงคโปร์
ท่าเรือเคลังของมาเลเซีย และท่าเรือตันหยงพาเลพัสของมาเลเซีย

ธุรกิจสายการเดินเรือ จากสถิติปี 2551 สายการเดินเรือของไทย คือ
บริษัท อาร์ซีแอล จำกัด (มหาชน)
นับเป็นสายการเดินเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์รายใหญ่อันดับที่ 24 ของโลก
และอันดับ 4 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเรือทั้งหมด 44 ลำ
มีระวางบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์รวม 57,836 TEU ทั้งนี้
ได้ปรับอันดับขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเดิมอันดับ 33 ของโลก ในปี 2543
เลื่อนมาเป็นอันดับที่ 29 ในปี 2546 เลื่อนขึ้นอีกเป็นอันดับ 25 ในปี
2549 และอันดับ 24 ในปี 2551

หมายเหตุ : *TEU = ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต จำนวน 1 ตู้
แหล่งข้อมูล : Alphaliner Weekly Newsletter

อย่างไรก็ตาม
เรือของสายการเดินเรืออาร์ซีแอลส่วนใหญ่จดทะเบียนที่สิงคโปร์
ไม่ได้จดทะเบียนเรือที่ประเทศไทยแต่อย่างใด
เนื่องจากระบบราชการของสิงคโปร์มีประสิทธิภาพและเอื้ออำนวยต่อการดำเนิน
ธุรกิจมากกว่า ทำให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
โดยหากจดทะเบียนเรือในประเทศไทย
อาจจะส่งผลกระทบทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง

สำหรับ ปัญหาเรือไทยไปจดทะเบียนต่างประเทศนั้น แม้พูดกันมาก
แต่นับเป็นปัญหาเรื้อรังหลายสิบปีที่ยังแก้ไขไม่ตก
แม้รัฐบาลจะมีนโยบายพูดกันมาหลายยุคหลายสมัยว่าจะส่งเสริมให้เรือไทยมาจด
ทะเบียนในประเทศไทยก็ตาม และในอนาคตอาจจะมีบริษัทอื่นๆ
ที่ปัจจุบันจดทะเบียนเรือในประเทศไทย
กำลังพิจารณาหันไปจดทะเบียนเรือในสิงคโปร์เป็นการเพิ่มเติม
เนื่องจากกฎระเบียบเอื้ออำนวยมากกว่า

ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8161 หรือที่ head@boi.go.th

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000145000

คติเตือนใจเรื่องคนฆ่าเสือ

โดย สิริอัญญา 26 พฤศจิกายน 2552 16:25 น.
นายไพศาล พืชมงคล ได้เขียนทวิตเตอร์เมื่อเช้าวันที่ 26 พฤศจิกายน 2552
มอบเป็นของขวัญแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ในโอกาสที่ได้มีส่วนสำคัญในการทำให้หยุดการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงในช่วงวัน
เฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นับเป็นของขวัญชิ้นแรกหลังจากเดินออกจากพรรคไทยรักไทย เมื่อ 5 ปีก่อน

ของขวัญชิ้นนี้เป็นคติสอนใจเรื่องคนฆ่าเสือ
โดยระบุว่าคติเรื่องนี้เป็นปัญหาทางยุทธศาสตร์ที่ถ้าหากกระจ่างแล้ว
ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาของทุกฝ่าย รวมทั้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เองด้วย

นาย ไพศาล พืชมงคล
ได้ระบุว่าในช่วงที่เป็นกรรมการการเมืองของพรรคไทยรักไทยในช่วงปี
2547-2548 นั้น ได้เตือนในเชิงยุทธศาสตร์ว่ารัฐบาลและพรรคจะต้องไม่สร้างความกลัวให้เกิด
ขึ้นแก่คนทั้งปวง ถ้าหากไม่หยุดสร้างความหวาดกลัว
ในที่สุดทั้งรัฐบาลและทั้งพรรคก็จะพากันพังพินาศหมด

และก่อนหน้านี้ก็ได้เขียนทวิตเตอร์ระบุว่า
ในระหว่างที่พรรคความหวังใหม่ร่วมและรวมกับพรรคไทยรักไทยนั้น
ได้บันทึกทำความเห็นเสนอนายกรัฐมนตรี และผู้บริหารพรรคในเวลานั้น
เป็นบันทึกถึง 478 ฉบับ ที่ถ้าหากมีการรับฟังปฏิบัติเพียง 5 เรื่อง 10
เรื่อง ก็จะไม่มีชะตากรรมอย่างวันนี้

แต่ก็หามีใครเชื่อฟังไม่
จนบางครั้งต้องยกเอาคำรำพึงของเทพแห่งกาลเวลาซึ่งปรากฏเป็นโศลกบทสำคัญในมหา
ภารตะยุทธ์ขึ้นมารำพึงรำพันว่า

"ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม แต่หามีใครเชื่อฟังข้าพเจ้าไม่
ธรรมนำมาซึ่งความสงบสุข แต่ไฉนเล่าจึงไม่มีผู้ใดปฏิบัติธรรม"

คติสอนใจเรื่องคนฆ่าเสือนั้น นายไพศาล พืชมงคล
ระบุว่าเป็นคติที่มาแต่โบราณ
ที่ผู้นำหรือผู้เป็นกุนซือจะต้องสังวรไว้อยู่ทุกเมื่อ
พลั้งเผลอเมื่อไรเป็นอันตรายเมื่อนั้น

คติสอนใจเรื่องนี้มีว่า
การที่คนฆ่าเสือนั้นมิใช่เพราะคนเกลียดแค้นชิงชังกับเสือแต่ประการใด
แต่ที่คนฆ่าเสือก็เพราะคนกลัวเสือ

คติสอนใจเพียงสั้นๆ เท่านี้มีนัยความหมายที่ลึกซึ้งสำคัญมาก
เพราะเป็นวิถีแห่งการดำรงอยู่
เป็นการอยู่โดยรอดปลอดภัยและถึงซึ่งความสวัสดี
ไม่เป็นที่เกลียดแค้นชิงชังของเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย
โดยเฉพาะเหล่าท่านผู้มีอำนาจวาสนาทั้งปวง

แต่ก็หามีใครเชื่อถือรับฟังไม่
กลับพากันตำหนิติเตียนเยาะเย้ยถากถาง
กระทั่งปองร้ายจนต้องเยื้องกรายออกมาจากพรรคไทยรักไทย

มิ หนำซ้ำ คนสำคัญระดับนำของพรรคยังเยาะเย้ยถากถางซ้ำเข้าไปอีก
ด้วยการไปพูดกับนายเสนาะ เทียนทอง ว่าคนตาบอดมันไม่กลัวเสือ
ซึ่งเป็นการตอบคำถามของนายเสนาะ เทียนทอง
เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขปัญหาความยากจน ว่ามิได้ต้องการแก้ไขจริงๆ
แต่เป็นการทำไปเพื่อหาเสียงเท่านั้น
แล้วเหน็บต่อท้ายให้กระแทกมาถึงว่าคนตาบอดมันไม่กลัวเสือ

ซึ่งสะท้อนความคิดจิตใจว่าตั้งอยู่ในความประมาท
เหลิงระเริงในอำนาจอย่างเต็มที่ ดูหมิ่นถิ่นแคลนอาณาประชาราษฎร
ว่าเป็นแค่คนตาบอด ไม่รู้เท่าทัน
หรือถึงแม้จะรู้เท่าทันก็เป็นแค่คนตาบอดที่ทำอะไรเสือไม่ได้

นี่คือการตั้งตนอยู่ในความประมาท
ไม่หยุดยั้งม้าไว้ริมผาให้ทันท่วงที สมกับที่ได้เตือนไว้ ทั้งๆ
ที่บรรดาพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปนั้นย่อมรำลึกได้เป็นอย่างดีว่า
พระตถาคตเจ้าทรงตรัสสอนเรื่องนี้ไว้เป็นอันมาก

ทรงตรัสสอนว่า คนเรานั้นหากยังมีผู้เตือน ก็เป็นผู้ที่มีลาภอันประเสริฐ

ทรงตรัสสอนแม้กระทั่งในปัจฉิมโอวาทว่า
จงยังการทั้งหลายให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
ความประมาทนั้นแหละเป็นบ่อเกิดของความตายและอันตรายทั้งปวง

ดังนั้นจึงแทนที่จะได้รับลาภอันประเสริฐ
และป้องกันอันตรายทั้งหลายทั้งปวงตามที่พระตถาคตเจ้าได้ตรัสสอนไว้ให้สมกับ
ความเป็นชาวพุทธ กลับกระตุ้นม้าควบเลยหน้าผาออกไป
ในที่สุดผลเป็นอย่างไรก็เห็นๆ กันอยู่

ความจริงในช่วงนั้นก็มีผู้คนท้วงติงตักเตือนเป็นอันมาก
ทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ไม่ว่าระดับประธานองคมนตรี
หรือพระอริยสงฆ์อย่างหลวงตาพระมหาบัว
ซึ่งได้ตักเตือนในฐานะที่ขรัวเจ้าเป็นครูบาอาจารย์
ที่เคยให้อุปการะเป็นอันมากมาแต่ก่อน

แต่นั่นแหละบุรพกรรมนั้นมีอยู่จริงแท้ไม่แปรผัน
และเมื่อกรรมอันวินาศมาถึงแล้ว สติปัญญาย่อมวิปลาสแปรปรวนไป
รสชาติแห่งพระธรรมและคำเตือนทั้งปวงก็ไม่อาจคุ้มครองป้องกันอันตรายไว้ได้
ย่อมถึงซึ่งวิบัตินานัปการ จนชีวิตเหลือเป็นคนก็แทบไม่เป็นคน
เป็นนิทรรศน์อุทาหรณ์ให้คนทั้งหลายทั้งปวงได้พิจารณาศึกษาเรื่องความ
ศักดิ์สิทธิ์และความเที่ยงธรรมของกฎแห่งกรรมอย่างชัดเจนที่สุด

นาย ไพศาล พืชมงคล ได้เขียนทวิตเตอร์ไว้ตอนหนึ่งว่า
คำท้วงติงตักเตือนนี้แม้ผ่านวันเวลามา 4-5 ปีแล้ว แต่ก็ยังมีผลอยู่
อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหลายทั้งปวง ทั้งปัญหาชาติบ้านเมือง ปัญหาท่าน
ปัญหาตน ซึ่งย่อมเป็นประโยชน์และความสุขแก่คนทั้งหลาย
รวมทั้งตนเองและครอบครัว ตลอดจนญาติสนิทมิตรสหายทั้งหลายด้วย

ที่ว่าคำเตือนเรื่องคนฆ่าเสือยังมีผลอยู่ก็เพราะว่า แม้ยามนี้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ครองอำนาจรัฐ
แม้ตัวเองก็ต้องร่อนเร่พเนจรอยู่ในต่างแดน ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก
ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่รัก ไม่พอใจ ต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย
หงอยเหงาซึมเศร้า ตามวิสัยที่ต้องเป็นไปเช่นนั้น
แต่กลับสามารถสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นแก่คนทั้งบ้านทั้งเมือง

สามารถ สร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นเท่าๆ
กับหรือมากกว่าเมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยยังเป็นรัฐบาลครองอำนาจเรืองกฤษดา
นุภาพด้วยอำนาจรัฐตำรวจในยุคนั้นเสียอีก

เนื่องเพราะลิ่วล้อบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นมีอยู่ 2
พวก ที่ทำอันตรายและได้ขุดหลุมฝัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยไม่รู้ตัว
และไม่หยุดไม่หย่อน

พวกหนึ่งนั้นเป็นพวกโง่แต่ขยัน
อีกพวกหนึ่งนั้นเป็นพวกฉลาดแต่ขี้โกง คน 2 พวกนี้หลงผิดหรือหลงถูก
คิดว่าการสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนในบ้านเมือง สร้างความรุนแรง
สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย สร้างความหยาบช้าสามานย์
ต่อทุกชั้นชนและคนทั้งปวงแล้ว จะสร้างความพออกพอใจให้เกิดกับ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

จะทำให้เป็นที่มาแห่งอามิสลาภผลอันเป็นที่พึงปรารถนาจนเป็นที่มาของ
คำกล่าวขานที่ว่า สู้แล้วรวย รวยแล้วไม่ยอมเลิก เป็นต้น
และปรากฏการณ์ที่ผ่านมาก็ดูเหมือนว่าความเชื่อเช่นนั้นก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่ง
ความจริงรองรับแต่ประการใด

เมื่อ เป็นอย่างนั้นคน 2 พวกนี้ก็คิดอ่านสรรค์สร้างแผนการต่างๆ
นานาสารพัดสารพัน เพื่อให้เกิดความรุนแรง ให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย
เพื่อให้กระทบหรือข่มขู่คุกคามต่อพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์
สถาบันองคมนตรี แม้กระทั่งคณะนางสนองพระโอษฐ์ หรือแม้คนอื่นๆ
ที่เข้าใจว่าเป็นศัตรูของตน

แผนการสารพัดสารเพนี้บางทีก็อาจทำให้ครึ้มอกเคลิ้มใจไปก็ได้
เพราะฟังผิวเผินก็ดูประหนึ่งว่าสวยหรูวิไลเลิศนักหนา
สามารถทำให้กลับมาครองอำนาจในบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง
โดยพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งปวง
มีแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องและได้ทรัพย์สินเงินทองที่ถูกอายัดกลับคืน
ดังหลักฐานคำกล่าวบางครั้งที่ว่า จะต้องย้อนเหตุการณ์กลับไปก่อนวันที่ 19
กันยายน 2549 เป็นต้น

ดังนั้นการเผาบ้านเผาเมืองเมื่อเดือนเมษายน ปีนี้
การบุกเข้าไปล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและประเทศคู่เจรจาอย่างป่า
เถื่อนทมิฬมารต่อหน้าสายตาผู้นำร่วม 20 ประเทศ
และสื่อมวลชนทั่วโลกจึงเกิดขึ้น

และยังเกิดเหตุทำนองนี้ต่อเนื่อง
กระทั่งล่าสุดก็ประกาศระดมคนเสื้อแดง 1 ล้านคน เข้ากรุง
แบ่งดาวกระจายเป็น 50 จุดๆ ละ 20,000 คน โดยไม่แยแสต่อกฎหมายบ้านเมือง
ไม่แยแสต่อห้วงมหามงคลสมัยที่คนไทยทั้งประเทศมุ่งถวายความจงรักภักดีแก่องค์
พระประมุขเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ประกาศใช้ทุกวิถีทางเพื่อปิดบัญชีล้มรัฐบาล

และ ยังประสานเสียงด้วยการข่มขู่ต่อพระมหากษัตริย์
พระบรมวงศานุวงศ์และคนทั้งปวง ด้วยการยกเรื่องการล้มราชวงศ์ของรัสเซีย
กระทั่งการล้มราชวงศ์ของฝรั่งเศสที่มีการประหารชีวิตพระบรมวงศานุวงศ์อย่าง
อำมหิต โดยเรียกร้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงมาแก้ปัญหา

แล้วใครจะยอมล่ะ? คนไทยกว่าร้อยละ 90 ของทั้งประเทศ
โดยเฉพาะบรรดาผู้ดูแลรักษาความมั่นคงปลอดภัยของชาติต่างมีความรู้สึกเป็น
อย่างเดียวกันว่า ถึงเวลาที่ต้องจัดการกับอริราชศัตรูผู้ก่อการกบฏแล้ว
มหกรรมกินโต๊ะจึงเกิดขึ้นเพื่อจัดการกับการเผาบ้านเผาเมืองรอบใหม่
จนในที่สุดแผนนั้นก็ต้องล้มเหลว

แต่มันได้มาซึ่งความหวาดกลัวของคนทั้งปวงที่กำลังกลัวเสืออย่างสุด
จิตสุดใจ ซึ่งเป็นไปตามคติว่า
เมื่อกลัวมากและไม่มีทางอื่นก็มีแต่ต้องฆ่าเสือเท่านั้น

ดัง นั้นจึงได้แต่หวังว่าคติสอนใจเรื่องคนฆ่าเสือจะได้รับการพินิจพิจารณาโดยแยบ
คายเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหลายในบ้านเมือง ก่อนที่จะสายไปมากกว่านี้!

แดงกับเหลืองต่างกันที่ผิดกับถูก

โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ 26 พฤศจิกายน 2552 17:53 น.
มีคนพยายามอธิบายกันมากว่า
การแบ่งสีของคนไทยในชาตินั้นเกิดจากการต่อสู้ระหว่างคนชั้นนำที่กำลังสูญ
เสียผลประโยชน์ และชนชั้นล่างที่กำลังลืมตาอ้าปากได้ด้วยนโยบายประชานิยมของTAKKI
SHINEGRA (ชื่อใหม่ของทักษิณที่คุณโสภณ องค์การณ์ ผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ
อ่านออกเสียงว่า "ตากขี้")

นั่นก็คือ
เสื้อเหลืองเป็นตัวแทนหรือนอมินีกลุ่มผลประโยชน์ของชนชั้นกลางไปถึงชนชั้น
สูง และเสื้อแดงคือ
ตัวแทนหรือนอมินีกลุ่มผลประโยชน์ของชนชั้นกลางลงไปถึงล่าง

คำถามก็คือว่า
สถานการณ์ความแตกแยกของคนไทยนั้นอยู่บนพื้นฐานดังกล่าวจริงๆ หรือ

คำตอบของผมตอบว่า ไม่จริงหรอกครับ ผมคิดว่า
การต่อสู้ของคนไทยสองกลุ่มนั้นเกิดจากการมองเห็นผลประโยชน์ของชาติที่แตก
ต่างกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องความแตกต่างทางชนชั้นตรงไหนเลย

กลุ่มคนเสื้อเหลืองนั้นมองเห็นว่า
ผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อนผลประโยชน์ของบุคคล และเห็นว่า
ทักษิณกำลังแสวงหาประโยชน์จากผลประโยชน์ของชาติ

แต่กลุ่มคนเสื้อแดงนั้นมองว่า ทักษิณคือ ผลประโยชน์ของชาติ
พวกเขาเชื่อว่า ถ้าทักษิณไม่ถูกโค่นล้มจะนำพาชาติได้ดีกว่า

คงไม่มีใครเถียงว่า
การต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งถูกนิยามว่า
"กลุ่มเสื้อเหลือง" นั้น
เกิดขึ้นมาจากการต่อสู้ขับไล่ระบอบทักษิณที่กอบโกยเอาผลประโยชน์ของชาติเป็น
ของตัวเอง และพัฒนามาขับไล่รัฐบาลตัวแทนของทักษิณที่พยายามแก้รัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความ
ผิดให้กับทักษิณ

กลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งมาจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ
แห่งชาตินั้น มีพื้นฐานมาจากการลุกขึ้นสู้ของมวลชนที่รักทักษิณ
หลังทักษิณถูกรัฐประหาร
และพัฒนามาต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้ทักษิณพ้นจากความผิด
และต่อมาพยายามแก้รัฐธรรมนูญให้ทักษิณพ้นผิด
และยืนถวายฎีกาเพื่อให้ในหลวงทรงอภัยโทษให้ทักษิณ

แต่พวกที่วางตัวว่าอยู่กลางๆ
แนวร่วมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไม่ชอบพันธมิตรฯพยายามสร้างภาพให้เห็นว่า
กลุ่มคนเสื้อเหลือง
คือตัวแทนของชนชั้นนำซึ่งถือครองอำนาจและผลประโยชน์ที่กำลังสูญเสียผล
ประโยชน์จากการยึดครองอำนาจของทักษิณ
และเมื่อการแบ่งปันอำนาจและผลประโยชน์ไม่ลงตัว
ทั้งสองฝ่ายจึงต้องใช้ความรุนแรงต่อกัน

แนวร่วมของกลุ่มคนเสื้อแดงกลุ่มนี้มีนิธิ เอียวศรีวงศ์
เป็นหัวเรือใหญ่ โดยมีลูกคลอกอีกจำนวนหนึ่งคอยขานรับ
และส่งเสียงสอดคล้องอย่างเนียนๆ
กับนักวิชาการแนวร่วมเสื้อแดงตัวจริงอย่างพิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

ถ้าจำได้ตอนที่นิธิร่วมรณรงค์การลงประชามติต่อต้านรัฐธรรมนูญ
นิธิเคยถามว่า การเอาเงินทักษิณมาใช้รณรงค์ผิดตรงไหน

แต่เรากลับไม่เห็นคำอธิบายใดที่ยืนยันได้เลยว่า
กลุ่มคนเสื้อแดงสู้เพื่อหลักการประชาธิปไตยอย่างไร
สู้เพื่อชนชั้นล่างหรือสู้เพื่อความเท่าเทียมกันในสังคม
ไม่มีคำอธิบายใดเลยว่า ระบอบทักษิณนั้นจะทำให้คนจนลืมตาอ้าปากได้
จริงหรือ แล้วทำไมว่านเครือของทักษิณจึงมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นนับแสนล้านหลังจากเข้า
มาบริหารประเทศ ถ้าพวกเขาเข้าใจประชาธิปไตยทำไมต้องใช้กำลังไปทำร้ายฝ่ายตรงข้ามทั้งที่
มัฆวานฯ เชียงใหม่ อุดรธานี เชียงราย บุรีรัมย์ และชัยภูมิ ฯลฯ

และคำถามของเราในฐานะกลุ่มคนเสื้อเหลืองก็คือ
เราสู้เพื่อผลประโยชน์ของคนชั้นสูง
หรือปกป้องผลประโยชน์ที่กำลังเสียไปของคนชั้นสูงจริงหรือ

คำตอบของผมคือ
ไม่มีอะไรที่อธิบายไปสู่ภาพวาดฝันจากจินตนาการดังกล่าวของนักวิชาการแนวร่วมทักษิณเลย

การต่อสู้ของพันธมิตรฯ นั้น
เป็นการต่อสู้เพื่อให้สังคมมีความเท่าเทียมกัน
สู้เพื่อโอกาสอันเท่าเทียมกันในการดำรงชีพ การประกอบธุรกิจของคนทุกชนชั้น
เพื่อการแข่งขันเสรี แต่ระบอบทักษิณเข้าไปยึดครองอำนาจรัฐ
ซื้อพรรคการเมือง แทรกแซงระบบราชการโดยไม่คำนึงถึงหลักการและความถูกต้อง
ใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของวงศ์วาน
และทำลายหลักการการแข่งขันในทางธุรกิจที่เป็นธรรม

พันธมิตรฯขัดขวางและเปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชัน
คัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
และร่วมต่อสู้กับประชาชนที่ถูกคุกคามคุณภาพชีวิตจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
ดังนั้นการต่อสู้ของพันธมิตรฯ
จึงไม่ใช่การต่อสู้เพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง

การต่อสู้ของพันธมิตรฯ
เป็นการต่อสู้ของประชาชนที่มีสำนึกในทางการเมือง สิทธิพลเมือง
ความเท่าเทียมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และผลประโยชน์ของประเทศชาติ
ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล

แม้จะมีวาทกรรมเรื่อง 2 มาตรฐานมาโจมตีว่า พันธมิตรฯ
กลุ่มคนเสื้อเหลืองเป็นชั้นอภิสิทธิ์ที่มีอำนาจนอกระบบหนุนหลัง
แต่ถามว่าแล้วทำไมสนธิ ลิ้มทองกุล จึงถูกศาลตัดสินจำคุกหลายปี
คดีของพันธมิตรฯ หลายคดีกำลังเดินอยู่ในกระบวนการยุติธรรม เรื่อง 2
มาตรฐานจึงเป็นเพียงวาทกรรมเหนือจริงในสงครามข่าวสาร

แต่ถ้าจะตั้งคำถามกันเรื่อง 2 มาตรฐานจริงๆ คดีต่างๆ
ของเสื้อแดงก็ชวนให้ตั้งคำถามได้เหมือนกัน

เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว "กระบวนการยุติธรรม"
ก็ถูกโจมตีจากทั้งกลุ่มเสื้อแดงและเสื้อเหลือง เสื้อแดงมองว่า
กระบวนการยุติธรรมไม่เป็นธรรมต่อทักษิณและล่าช้าในการจัดการกับพันธมิตรฯ
และเสื้อเหลืองเห็นว่า
กระบวนการยุติธรรมล่าช้าในการจัดการกับทักษิณและลิ่วล้อ

ดังนั้นสถานการณ์การเมืองในระยะ 4-5 ปีมานี้
จึงไม่ได้เป็นปัญหาของฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น
แต่เป็นปัญหาของฝ่ายตุลาการด้วย
และฝ่ายตุลาการนี้ไม่ได้มีนัยเพียงศาลสถิตยุติธรรมเท่านั้น
แต่มีนัยรวมไปถึงกระบวนการยุติธรรมที่อยู่ในฝ่ายบริหาร เช่น ตำรวจ
และอัยการด้วย แล้วลองค้นหาคำตอบดูว่า
อำนาจที่ควบคุมตำรวจและอัยการอยู่นั้นเป็นอำนาจรัฐปัจจุบันหรือระบอบทักษิณ
กันแน่

ดังนั้นว่าไปแล้ว ปัญหาจริงๆ ของสถานการณ์ความแตกแยก คือ
คนเสื้อแดงเชื่อว่า ทักษิณถูก แต่คนเสื้อเหลืองเชื่อว่า ทักษิณผิด
ปัญหาเรื่องความยุติธรรมจึงเป็นปัจจัยหนึ่งของความแตกแยกในชาติที่ชัดเจนที่
สุด ไม่ใช่เรื่องของชนชั้นหรือคนรวยคนจน

แล้วจะทำอย่างไรให้คนทั้งสองกลุ่มเชื่อในกระบวนการยุติธรรม

ตอนนี้คนเสื้อเหลืองนั้นประกาศอย่างชัดแจ้งแล้วว่า
พร้อมต่อสู้คดีความต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรม แต่คำถามคือ
ทักษิณและพวกพร้อมที่จะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่
เพราะขณะนี้ทักษิณและลิ่วล้อหลายคนหลบหนีคดี
และทนายของเขาก็ถูกจำคุกในคดีติดสินบนศาล

เพราะปัญหาขณะนี้คือ
ทักษิณและลิ่วล้อไม่ยอมรับในกระบวนการยุติธรรม
และทำให้สังคมเข้าใจอยู่ในขณะนี้คือ
กระบวนการยุติธรรมจะยุติธรรมถ้าทักษิณไม่ผิด

ถ้าสู้กันด้วยกระบวนการยุติธรรม เราจะเห็นว่า
การต่อสู้ระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดงไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมว่า
เป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นเลย นอกจากเป็นการต่อสู้ระหว่างผิดกับถูก

ถ้าผิดคือผิด และถูกคือถูก
ความแตกแยกก็จะมลายไปและความสงบสุขในสังคมไทยก็จะกลับคืนมา

surawhisky@hotmail.com

ชาตินิยมกับอัตตานิยม

โดย ว.ร.ฤทธาคนี 26 พฤศจิกายน 2552 17:56 น.
ในห้วงที่ทักษิณ พำนักอยู่ในกรุงพนมเปญในฐานะที่ปรึกษาส่วนตัวของ ฮุนเซน
นายกรัฐมนตรีเขมร และเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเขมรนั้น
สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก เพราะสถานภาพของทักษิณ
ในฐานะนักโทษคดีอาญาในประเทศไทยได้ที่พักพิงในกรุงพนมเปญ ซึ่งตัวฮุนเซน
นายกรัฐมนตรีเขมร
แถลงการณ์อย่างชัดเจนว่าจะไม่ส่งตัวทักษิณกลับไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
โดยอ้างว่าคดีของทักษิณ เป็นคดีการเมือง คล้ายกับกรณีนางอองซาน ซูจี
และไม่สนใจคำแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศไทย
ซึ่งต่อมารัฐบาลไทยได้ตอบโต้ด้วยการประกาศยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU)
ระหว่างไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2544 ว่าด้วยโครงการพัฒนาพื้นที่ในอ่าวไทยร่วม
ระหว่างไทย-กัมพูชา

หรือการที่สองประเทศจะทำการขุดเจาะและใช้ประโยชน์ร่วมกัน
ในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยบริเวณติดกับเขตกัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18
มิถุนายน พ.ศ. 2544
ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญเรื่องการแบ่งเขตทางทะเลและพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย
ร่วมกัน โดยกระทรวงการต่างประเทศให้เหตุผลว่า การที่เขมรตั้งทักษิณ
เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชานั้น
จะส่งผลกระทบเชิงลบโดยตรงต่อไทยในการเจรจาภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้
เพราะทักษิณ เป็นผู้ผลักดันเรื่องนี้เอง และในกรณีที่ทักษิณ
มีสถานภาพเป็นที่ปรึกษารัฐบาลเขมรแล้ว ทำให้ทักษิณ
ซึ่งรู้ความลับของชาติและแนวทางการเจรจากับเขมรในเรื่องนี้โดยเฉพาะ
ไทยก็จะเสียเปรียบเพราะมีคนทรยศให้ข้อมูล
จึงไม่สามารถเจรจาภายใต้แนวคิดเดิมของทักษิณได้

ประการต่อมาพื้นที่ทับซ้อนในไหล่ทวีปของอ่าวไทย
เป็นพื้นที่กว้างใหญ่ขนาด 2.6 หมื่นตารางกิโลเมตร
และมีแหล่งก๊าซธรรมชาติเป็นจำนวนมาก ดังนั้น
การเจรจาจึงเป็นความมั่นคงของไทยทั้งทางเศรษฐกิจและการทหาร
ที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องใช้หลักกฎหมายทางทะเลซึ่งมีความซับซ้อนมากแต่ไทยยึดถือ
โดยความบริสุทธิ์ใจมาตลอดจึงทำให้พื้นที่พัฒนาร่วมกับมาเลเซียสัมฤทธิผลใน
ปัจจุบัน

ประการสุดท้ายการเจรจาภายใต้กรอบตอนนี้มิได้มีความก้าวหน้าเกิดขึ้น
ในห้วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมา
รวมทั้งมีการเปลี่ยนบริษัทที่ต้องการซื้อสัมปทานอย่างต่อเนื่อง
บ่งบอกถึงเกิดธุรกิจในรูปแบบของนอมินีมากราย โดยมีเครือข่ายทักษิณ
เข้าไปเกี่ยวข้อง รวมทั้งปตท.สผ.เข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง
ซึ่งทักษิณกำหนดให้ ปตท.แปรูปรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
ไปแล้วเพื่อการนี้ โดยที่มีกลุ่มอดีตผู้บริหารพรรคไทยรักไทย
ได้รับอานิสงส์หุ้นอุปการคุณจำนวนหนึ่ง และซื้อตรงจำนวนหนึ่ง
จึงร่ำรวยไปตามๆ กันและมีฐานะเป็นหุ้นส่วนอีกด้วย

สำหรับเหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ ฝ่ายฮุนเซนและทักษิณ
ต้องการทำลายชื่อเสียงรัฐบาลไทย ด้วยการจับวิศวกรไฟฟ้าของบริษัทกัมพูชา
แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส ในข้อหาจารกรรมข้อมูลเกี่ยวกับเที่ยวบินของทักษิณ
ซึ่งเป็นเรื่องน่าขำมาก เพราะว่าแผนการบินไม่ใช่เรื่องลับ
แต่กลับเป็นเรื่องที่ต้องเปิดเผยเพื่อการบริการจราจรทางอากาศให้ปลอดภัยหรือ
ป้องกันการชนกันของอากาศยาน การก่อการร้ายและการกระทำอาชญากรรมทุกมิติ

และการที่เขมรอ้างเรื่องเกี่ยวกับแผนการบินของทักษิณ
ยิ่งทำให้เห็นวัตถุประสงค์ชัดเจนมาก เพราะการรู้เที่ยวบินของทักษิณ
ไม่ใช่ความมั่นคงของเขมรเลย
แต่ฮุนเซนกลับใช้กลยุทธ์นี้ก็เพื่อต้องการจะทำลายชื่อเสียงและความเชื่อมั่น
ของกระทรวงการต่างประเทศไทย ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สั่งให้นายศิวรักษ์
ชุติพงษ์ กระทำการจารกรรมข้อมูลนี้
ซึ่งรัฐบาลไทยสามารถหาข้อมูลนี้ได้จากแหล่งอื่นมากหลายแหล่งอยู่แล้ว

ดังนั้น การตอบโต้ของรัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศ
นับว่าเป็นไปตามแบบธรรมเนียมการทูตทีละขั้นๆ เช่น
เมื่อเขมรไล่เลขานุการเอกประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ กลับไทย
ไทยก็ตอบโต้ในลักษณะเช่นเดียวกัน จนถึงขั้นรุนแรงสูงสุดซึ่ง ณ
จุดนั้นกองทัพก็จะถูกใช้เป็นเครื่องมือ
ซึ่งมีผู้วิเคราะห์กำลังรบเปรียบเทียบไว้แล้ว
แต่ที่นักวิเคราะห์มิได้พูดถึง คือ วัฒนธรรมการรบ ประสบการณ์การรบ
และความชำนาญสะสมของกองทัพไทยเมื่อเปรียบเทียบกับกองทัพเขมร
สิ่งเดียวที่กองทัพไทยพ่ายแพ้ต่อกองทัพเขมรซึ่งมีอยู่กรณีเดียวเท่านั้น
คือ ความเหี้ยมโหด
ซึ่งกองทัพเขมรมีชื่อเสียงในเรื่องความสามารถในการทารุณและการฆ่าเชลยศึก
และผู้บริสุทธิ์ทั้งชาย-หญิง ไม่จำกัดเพศและวัย

นอกจากการสร้างเรื่องจารชนแล้ว
ฝ่ายสงครามจิตวิทยาเขมรก็ออกข่าวการบินล้ำแดนของเครื่องบินไม่ปรากฏสัญชาติ
แต่ได้โยงให้เป็นเรื่องรัฐบาลไทยส่งเครื่องบินรบไปโจมตีเครื่องบินทักษิณ
ซึ่งเป็นเรื่องสามานย์ชั้นต่ำ
คิดได้เฉพาะคนสันดานชั่วจากวรรณะนรกขั้นต่ำสุด
เพราะรัฐบาลไทยและกองทัพอากาศสงวนความเป็นมืออาชีพไว้เมื่อถึงคราวต้องรบกับ
ศัตรูที่แท้จริงและคุ้มค่า
และเมื่อนั้นก็จะเหมือนกับกองทัพฝรั่งเศสในเขมร ทั้งที่นครวัด
สะตรึงเตร็ง และพระตะบอง ถูกกองทัพอากาศโจมตีจนพ่ายแพ้ไปแล้วเมื่อ พ.ศ.
2484กรณีพิพาทดินแดนไทย-อินโดจีนฝรั่งเศส ขณะที่ฝรั่งเศสปกครองเขมร
และรุกรานไทยก่อน

การออกข่าวข่มขู่กองเรือประมงและเรือสินค้าไทย
ว่าจะปิดอ่าวมิให้กองเรือของไทยผ่าน
ซึ่งการออกข่าวดังกล่าวนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก
เพราะเรื่องการปิดอ่าวหรือ Blockade นั้น เป็นการก่อสงครามหรือ Act of
War รัฐบาลไทยสามารถใช้ข้ออ้างนี้บอกชาวโลกได้เลยว่าเขมรก่อสงคราม
และไทยมีสิทธิตอบโต้ ซึ่งประชาคมโลกย่อมรู้กฎการก่อสงครามนี้ดี
แม้สมัชชาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก็ไม่สามารถตำหนิไทยได้
หากต้องเปิดยุทธนาวีเพื่อเปิดอ่าว
ฮุนเซนต้องการให้กองทัพเรือตอบโต้เกิดเหตุจะได้หาเรื่องทางการเมือง
แต่ทหารเรือฉลาดพอและรู้ทันฮุนเซน

เรื่องการยั่วยุของ ฮุนเซน และทักษิณ
เพื่อหวังให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กระทำการใดๆ
เป็นการตอบโต้ที่รุนแรงกว่า แนวร่วมของทักษิณ
ก็จะใช้หลักสิทธิมนุษยชนเป็นกลไกในการตอบโต้ทุกรูปแบบ และรูปแบบที่ทักษิณ
ต้องการคือการใช้ความรุนแรงบริเวณชายแดนเป็นปัจจัยในการสร้างฐานที่มั่นกอง
กำลังของพวกเขา โดยรัฐบาลฮุนเซน
อนุญาตให้ใช้พื้นที่รอยต่อสองประเทศดำเนินการทางทหารโค่นล้มรัฐบาล
และถึงขั้นนี้มวลชนทักษิณจัดตั้งในเมืองใหญ่ก็จะประท้วงขั้นรุนแรงเรียกร้อง
ให้มีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ทักษิณคาดหวังจัดตั้งรัฐบาล
แก้รัฐธรรมนูญและเรียกร้องเงินคืน
ตลอดจนทักษิณหวังจะปฏิวัติการปกครองไทยตามแบบเขมร โดยทักษิณ
ก็จะใช้รูปแบบการปกครองของฮุนเซน เพื่อครองตำแหน่งนานๆ แบบฮุนเซน
โดยทั้งสองคาดหวังว่าจะใช้ศักยภาพของทั้งสองแสวงอำนาจในอาเซียน

เรื่องราวต่างๆ นี้ทำให้มีการต่อต้านจากปัญญาชน ชนชั้นกลาง
และเยาวชนที่เห็นว่า ฮุนเซน มิได้ทำตัวเป็นมิตร
แต่กลุ่มสาวกคนเสื้อแดงของทักษิณ
กลับพูดว่าเป็นการปลุกระดมชาตินิยมของรัฐบาล
ซึ่งเป็นการทำลายสัมพันธภาพกับเขมร

เราจึงต้องพูดถึงชาตินิยมและอัตตานิยม ชาตินิยมเป็นคำสมาส
โดยคำว่าชาติมาจากภาษาบาลีแปลว่า "เกิด" หรือ "กำเนิด"
หรือในภาษาอังกฤษคำว่า Nation มาจากคำภาษาละตินว่า Natus ซึ่งแปลว่า เกิด
หรือกำเนิดเหมือนกัน หลวงวิจิตรวาทการอธิบายคำว่า "ชาติ" นั้น หนักไปทาง
"คน" มากกว่าดินแดนถิ่นประเทศ
ความรักชาติก็คือรักคนที่มีกำเนิดมาอย่างเดียวกัน
ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่ในดินแดนไหน
สำหรับคนที่อยู่ในดินแดนเดียวกันก็รักคนที่มีกำเนิดเดียวกันมากกว่าคนต่าง
กำเนิด

นัยสำคัญของหลวงวิจิตรวาทการเป็นเรื่องคนมากกว่าแผ่นดิน
แต่แท้จริงแล้วทั้งสองส่วนมีความเกี่ยวพันกัน
เนื่องจากคนต้องมีถิ่นฐานอาศัย และดินแดนย่อมเป็นแหล่งทำมาหากิน
หรือเป็นแหล่งทรัพยากรเพื่อดำรงชีพ เช่น ทรัพยากรประมง
หรือความรุ่งโรจน์ของถิ่นฐานประเทศ เช่น ทรัพยากรพลังงาน ทั้งก๊าซ น้ำมัน
ถ่านหิน ทองคำ หรืออื่นๆ
การเก็บรักษาแผ่นดินถิ่นฐานเหล่านี้ก็เพื่อให้คนในชาติได้ใช้ประโยชน์
และคนในชาติก็คือลูกหลานของตนเอง ครอบครัวตนเอง ญาติพี่น้อง
ซึ่งเมื่อดองกันเป็นเครือข่าย ก็คือชาติที่มีถิ่นฐานอาศัย
และดำรงชีพด้วยทรัพยากรในแผ่นดินทั้งแบบรูปธรรมและนามธรรม

การเป็นชาตินั้นเป็นสังคมของครอบครัวนับร้อยๆ พันๆ หมื่นๆ แสนๆ
ครอบครัว และความผูกพันนี้รวมกันเป็นชาติ
ซึ่งหลวงวิจิตรวาทการได้ยกรูปแบบของ ลอร์ด เฮนรี โบลินโบรค (Lord Henry
Bolinbroke) ชาวอังกฤษ ค.ศ. 1698-1770
พูดถึงธรรมชาติได้แยกมนุษย์ไว้เป็นกลุ่มๆ อยู่แล้ว
และแต่ละกลุ่มจะมีผู้นำของตน เป็นได้ทั้งพระมหากษัตริย์
หรือประธานาธิบดีที่ดี อันที่รวมจิตใจของชนในชาติ และไม่ว่าใครๆ
ตั้งแต่ประชาชนจนถึงพระมหากษัตริย์
ก็คงจะต้องไม่ทำอะไรโดยนึกถึงแต่ประโยชน์ของตนเอง
จะต้องนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมคือชาติเสมอ และ "ชาติเสมอ"
นี้คือต้องคิดถึงคนในชาติเป็นสำคัญ
จะต้องระลึกถึงสมบัติของชาติเพื่อเก็บไว้ให้คนในชาติ ส่วน ฌอง ยัคส์
รุสโซ (Jean-Jacques Rousseau) ชาวฝรั่งเศส ค.ศ. 1712-1778
พูดถึงความรักชาติ รักศักดิ์ศรีของคนในชาติ

ดังนั้น รุสโซ มักจะพูดถึงสถาบันชาติ
การสร้างจิตสำนึกให้ผู้คนเห็นความสำคัญของชาติ
ยกย่องการกระทำความดีของคนในชาติ ความเสียสละของคนในชาติ
และการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันดีของชาติ

การยกข้อคิดของนักคิดสองท่านนี้
ก็เพื่อให้คนไทยได้มองว่าการที่รัฐบาล คณะรัฐบาล และบุคคล
ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือนักวิชาการอิสระหรือใครก็ตาม
พูดถึงความรักชาติแล้ว จะหมายถึงการรักคนไทย
เป็นห่วงคนไทยและเป็นห่วงอนาคตของคนไทย

การที่คนคนหนึ่งในที่นี้คือทักษิณ
ยอมลดค่าตัวเองลงไปเป็นคนรับใช้นายกรัฐมนตรีเขมร
และให้คำปรึกษาในเรื่องเศรษฐกิจ อันเป็นเรื่องการดำรงชีวิตของคน
ความเป็นอยู่ของคน และความรุ่งเรืองของคน

เมื่อ ทักษิณ ตกอยู่ในภวังค์โลภะจนลืมชาติตัวเอง
ทรยศต่อชาติตัวเอง ทรยศต่อคนไทยในปัจจุบันและอนาคต
แต่มองถึงทรัพย์สมบัติของตัวเอง มองอำนาจของตัวเอง
และมองเฉพาะอนาคตของตัวเองเท่านั้น มิได้มองถึงอนาคตของชาติ
ซึ่งหมายถึงคนในชาติ
โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยและเขาพระวิหารซึ่งเป็นทรัพยากร
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ส่วนอ่าวไทยคือทรัพยากรในน้ำ
รวมทั้งเส้นทางคมนาคมก็เป็นทรัพยากรเชิงเศรษฐกิจ
ที่ลูกหลานไทยก็ต้องการมีไว้ใช้ในอนาคตเช่นเดียวกับเราๆ ที่ใช้ในปัจจุบัน
ดังนั้น เรื่องชาตินิยมจึงเป็นเรื่องที่คำนึงถึงอนาคตของคนทั้งปวง
แต่อัตตานิยมเป็นเรื่องปัจจุบัน และอนาคตของคนเลวคนหนึ่งเท่านั้น

nidd.riddhagni@gmail.com

ยูทูบใส่คำบรรยายอัตโนมัติเพื่อคนหูหนวก มีภาษาไทยด้วย!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤศจิกายน 2552 08:19 น.
ส่วนหนึ่งจากวิดีโอ แนะนำบริการใส่คำบรรยายใต้ภาพวิดีโออัตโนมัติบนยูทูบ
กรอบสีแดงซ้ายมือคือข้อความบรรยายที่ได้จากโปรแกรมแปลงเสียงเป็นข้อความ
กรอบขวามือคือภาพวิดีโอต้นฉบับ
กรอบเล็กกลางจอภาพคือภาษาที่ผู้ใช้ยูทูบสามารถเลือกได้ถึง 51 ภาษา
ซึ่งมีภาษาไทยรวมอยู่ด้วย
วิดีโอพร้อมคำบรรยายภาพอาจไม่ใช่เรื่อง ใหม่สำหรับยูทูบ
แต่การที่กูเกิลให้บริการ"โปรแกรมใส่คำบรรยายภาพวิดีโอแบบอัตโนมัติ"นั้น
เป็นเรื่องใหม่แน่นอน
ความเคลื่อนไหวนี้จะทำให้ผู้พิการทางหูสามารถเข้าใจวิดีโอบนยูทูบได้มากขึ้น
ปรับโอกาสในการรับข้อมูลข่าวสารให้เทียบเท่ากับชาวเน็ตทุกคนที่ต้องการค้นหา
และชมวิดีโอออนไลน์

ยูทูบนั้นให้บริการใส่คำบรรยายใต้วิดีโอแบบที่สมาชิกยูทูบต้องลงมือ
พิมพ์ด้วยตัวเองครั้งแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยขณะนี้
วิดีโอที่มีคำบรรยายนั้นมีจำนวนหลายพันชิ้นแล้วบนยูทูบ

สำหรับ บริการใส่คำบรรยายใต้วิดีโอแบบอัตโนมัติใหม่ล่าสุดที่กูเกิลจะให้บริการในยู
ทูบนั้น เป็นการนำอัลกอริธึมหรือลำดับความคิดในการจำแนกวิเคราะห์เสียงซึ่งกูเกิลใช้
ในบริการกูเกิลวอยซ์ (Google Voice)
มาสร้างคำบรรยายใต้วิดีโอแบบอัตโนมัติ ทั้งหมดนี้เรียกรวมว่าเทคโนโลยี
auto-cap

จุดนี้ เคน แฮร์เรนสไตน์ (Ken Harrenstien)
วิศวกรซอฟต์แวร์ผู้สร้างเทคโนโลยีคำบรรยายอัตโนมัตินี้ยอมรับว่า
คำบรรยายที่ได้อาจจะไม่สมบูรณ์แบบในขณะนี้
แต่ยืนยันว่าจะเดินหน้าพัฒนาความถูกต้องแม่นยำอย่างต่อเนื่องในอนาคต

แฮร์เรนสไตน์นั้นเป็นวิศวกรผู้พิการทางหูที่มุ่งมั่นทำประโยชน์ให้
แก่เพื่อนร่วมชะตากรรมได้อย่างน่าชื่นชม
โดยแฮร์เรนสไตน์เขียนในบล็อกของกูเกิลว่า
วิดีโอออนไลน์ที่ชาวอินเทอร์เน็ตสร้างขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ผู้พิการทางหูส่วน
ใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยในช่วงแรก
คำบรรยายอัตโนมัตินั้นจะสามารถวิเคราะห์ภาษาอังกฤษได้เพียงภาษาเดียว
โดยนอกจากยูทูบ ผู้พิการทางหูสามารถชมวิดีโอออนไลน์พร้อมคำบรรยายอัตโนมัติได้ผ่านช่องทาง
พันธมิตรยูทูบอีก 13 ช่องทาง

คำ บรรยายที่ได้นั้นจะแสดงได้หลากหลายถึง 51 ภาษา รวมถึงภาษาไทย
ซึ่งจากการทดสอบขณะนี้
พบว่ามีเพียงวิดีโอออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับด้านการศึกษาเท่านั้นที่มีคำแปล
และเป็นคำแปลภาษาไทยที่มีลักษณะเดียวกับโปรแกรมแปลภาษา Google Translate
ซึ่งผู้อ่านต้องนำมาเรียบเรียงเองอีกครั้งหนึ่ง

นอกจากประโยชน์ต่อผู้พิการทางหู
แฮร์เรนสไตน์ระบุว่าคำบรรยายภาพวิดีโอยังมีประโยชน์ในแง่ของการสืบค้นวิดีโอ
ด้วย เนื่องจากผู้ใช้สามารถเลือกชมวิดีโอเฉพาะช่วงที่มีเนื้อความเกี่ยวข้องกับ
คีย์เวิร์ดที่ต้องการได้

อย่างไรก็ตาม
เพื่อการไม่หวังพึ่งพาระบบบรรยายวิดีโออัตโนมัติมากเกินไป
แฮร์เรนสไตน์ยังโชว์เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้อัปโหลดวิดีโอใจบุญ
ที่ต้องการใส่คำบรรยายภาพวิดีโอด้วยมือ นั่นคือเทคโนโลยี automatic
caption timing หรือเรียกสั้นๆว่า auto-timing

"ด้วย auto-timing
คุณไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญในการใส่คำบรรยายบนยูทูบ
ที่คุณต้องทำคือการสร้างไฟล์ข้อความธรรมดาซึ่งประกอบด้วยข้อความที่ปรากฏใน
วิดีโอทั้งหมด จากนั้นเราจะใช้เทคโนโลยี ASR
ของกูเกิลเป็นตัวจัดวางตามช่วงเวลาที่ข้อความนั้นถูกเอ่ยออกมา
คำบรรยายวิดีโอก็จะสามารถถูกสร้างได้ง่ายดาย" แฮร์เรนสไตน์อธิบาย

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของกูเกิลในขณะนี้
คือการเข้าซื้อบริษัทเกิดใหม่ด้านโฆษณานาม Teracent
กูเกิลไม่ระบุรายละเอียดว่าซื้อมาในราคาเท่าใดแต่ยอมรับว่าการซื้อครั้งนี้
จะทำให้กูเกิลสามารถเปิดตัวบริการใหม่ด้านโฆษณาออนไลน์ได้
เป็นความเคลื่อนไหวหลังการประกาศซื้อบริษัท AdMob
บริษัทเครือข่ายโฆษณาบนโทรศัพท์มือถือด้วยเงินมูลค่า 750 ล้านเหรียญ

Company Related Links :
Youtube

http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9520000142502

สกอ. รับสมัคร ทุนพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์ฯ ตรี-เอก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤศจิกายน 2552 16:00 น.

สกอ. มอบโอกาสทองประจำปีการศึกษาหน้า (2553)
แก่นักเรียนนักศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ ป.ตรี ถึง ป.เอก
ในสาขาด้านมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ โดยมีความหลากหลายของทุน
ทั้งสถาบันในประเทศ และต่างประเทศ

สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
เปิดรับสมัครทุนโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุน
เรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) ประจำปีการศึกษา 2553
โดยเปิดรับสมัครจนถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2552 มีรายละเอียด ดังนี้

(1) ระดับปริญญาตรี (ในประเทศ) จำนวน 25 ทุน
จำแนกเป็นกลุ่มสาขาวิชาด้านมนุษยศาสตร์ จำนวน 21 ทุน
และกลุ่มสาขาวิชาสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมศาสตร์ จำนวน 4 ทุน

(2) ระดับปริญญาตรี (ในต่างประเทศ) จำนวน 14 ทุน

(3) ระดับปริญญาโท-เอก (ในประเทศ) จำนวน 73 ทุน
จำแนกเป็นกลุ่มสาขาวิชาด้านมนุษยศาสตร์ 46 ทุน
กลุ่มสาขาวิชาด้านสังคมศาสตร์ 19 ทุน
กลุ่มสาขาวิชาสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมศาสตร์ 2 ทุน กลุ่มสาขาวิชาอื่นๆ
ที่คณะอนุกรรมการบริหารโครงการฯ จะพิจารณาเป็นรายสาขาวิชา 5 ทุน และอื่นๆ
(คณะกรรมการบริหารโครงการฯ จะกำหนดภายหลัง) 1 ทุน

และ (4) ระดับปริญญาโท-เอก (ในต่างประเทศ) จำนวน 131 ทุน
จำแนกเป็นกลุ่มสาขาวิชาด้านมนุษยศาสตร์ 45 ทุน
กลุ่มสาขาวิชาด้านสังคมศาสตร์ 64 ทุน
กลุ่มสาขาวิชาสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมศาสตร์ 3 ทุน กลุ่มสาขาวิชาอื่นๆ
ที่คณะอนุกรรมการบริหารโครงการฯ จะพิจารณาเป็นรายสาขาวิชา 8 ทุน และอื่นๆ
(คณะกรรมการบริหารโครงการฯ จะกำหนดภายหลัง) 11 ทุน

ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) โทร. 0-2610-5357-8 หรือ
www.mua.go.th และสำนักงานบริหารโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
อาคารสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ตลิ่งชัน โทร. 0-2880-7372
ต่อ 2169 และ 2170 หรือ www.husoc.su.ac.th

ท่องดินแดนประวัติศาสตร์จีน อุทยานสามก๊ก/เรื่องเล่านศ.

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤศจิกายน 2552 15:40 น.
เรื่องเล่านักศึกษาครั้งนี้ เป็นเรื่องราวของสถานที่ท่องเที่ยวจาก
"ลานมะพร้าวออนไลน์" www.coconews.in.th
เว็บไซต์ ข่าวความเคลื่อนไหวของเหล่าน้องๆนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพา
ที่จัดทำโดยฝีมือนิสิตด้วยกัน
ซึ่งได้พาท่องเที่ยวเมืองประวัติศาสตร์แดนมังกรในอุทยานสามก๊ก ณ
อำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี
สถานที่ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากรั้วมหาวิทยาลัยของพวกเขาสักเท่าไรนัก

เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มสว่างจ้าขึ้น เป็นสัญลักษณ์ทำให้เรารู้ได้ว่า
เช้าแล้ว ทุกๆวันต้องมีเช้า มีกลางวัน และมียามเย็น เวลาเดินทางไปเรื่อย
ๆ เช่นเดียวกับเราที่ไม่หยุดเดินทางเช่นเดียวกัน
และกำลังพาคุณผู้อ่านเดินทางไปพร้อมกับเราในสถานที่ต่างๆทั่วชลบุรี
ในหลายอำเภอที่มีความงดงามทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สิ่งปลูกสร้างที่ต่างกันไป
และตราบเวลายังคงไม่หยุดนิ่งเราก็จะพาคุณเดินทางกันต่อ
พร้อมกันหรือยังที่จะไปต่อกับเราซึ่งวันนี้เราจะพาเปลี่ยนบรรยากาศจากการ
เที่ยวชมธรรมชาติมาให้คุณได้ใกล้ชิดกับบรรยากาศจีนๆกันที่ อุทยานสามก๊ก
อำเภอบางละมุง ชลบุรี


จังหวัดชลบุรีนับเป็นจังหวัดที่มีคนไทยเชื้อสายจีนอยู่เป็นจำนวนมาก
เมื่อมีวันสำคัญทางประเพณีของจีน เช่น วันสารท
ถึงกับมีการปิดโรงเรียนเป็นการภายในเป็นบางแห่งกันเลยทีเดียว
และชลบุรีเองก็มีสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์จีน
จัดแสดงเรื่องราวพงศาวดารจีนผ่านสถาปัตยกรรมหรือภาพจิตรกรรมบนแผ่นกระเบื้อง
ให้ได้สัมผัสใกล้ชิดกันที่อุทยานสามก๊ก

อุทยานสามก๊กตั้งอยู่ที่ตำบลโป่ง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
ซึ่งการเดินทางจะใช้ถนนสุขุมวิท เข้าถนนพรประภานิมิตรประมาณ 10 กิโลเมตร
ก็ถึงแล้วสังเกตง่ายมากเพราะจะเห็นความงดงามของสถาปัตยกรรมผสมผสาน
ไทย-จีน อุทยานนี้มีพื้นที่ 36 ไร่ ที่นี่เกิดมาจากนายเกียรติ
ศรีเฟื่องฟุ้ง นักธุรกิจไทยเชื้อสายจีน
ที่นี่มีการวางรูปแบบตามศาสตร์ฮวงจุ้ยจีน
นอกจากนี้ส่วนภายในรายล้อมไปด้วยต้นไม้ ต้นอโศกอินเดีย ติดภูเขา
มีสัญลักษณ์หยิน-หยาง ปรัชญาแห่งความสมดุลของจีนรวมอยู่ด้วย
สถาปัตยกรรมที่นี่เป็นแบบผสมไทยและจีน


แม้อุทยานนี้จะเป็นสิ่งปลูกสร้าง
แต่ที่นี่ก็นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวทาง
ธรรมชาติที่อื่นๆของชลบุรีเลย
มีความงดงามทางศิลปะเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ
ที่นี่คงเป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว
นอกจากถ่ายภาพและซึมซับบรรยากาศจีนๆแล้ว
อุทยานสามก๊กมีกิจกรรมให้เราได้ชมอื่นๆอีก มาเริ่มกันที่
แผ่นภาพหินอ่อนที่แสดงเรื่องราวสามก๊กไว้ยาวที่สุดในโลก
น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆกับความงดงามละเอียดอ่อนช้อยของภาพที่เขียนลงทีละเส้น
เมื่อได้เข้ามาส่วนจัดแสดงนี้มีความแปลกมาก
คือเมื่อเดินเล่นในสวนค่อนข้างจะร้อนแต่เมื่อเข้ามาภายใต้หลังคานี้กลับเย็น
สบายจนน่าประหลาดใจ
เราจึงคิดกันเองไปว่าอาจด้วยแผ่นกระเบื้องและหินที่ทำให้บริเวณนี้เย็นสบาย

จากนั้นเราไปชมภาพเขียนสีน้ำมันสามก๊กที่แสดงถึงประวัติของขงเบ้ง
เป็นสิ่งที่หาชมได้ยากมากๆ ชมรูปปั้นของพระถังซัมจั๋ง
และที่น่าสนุกก็คือที่นี่มีชุดของละครสามก๊กให้เราสามารถใส่และถ่ายภาพกัน
ได้ แต่เราไม่ได้ทดลองใส่กันอาจด้วยว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 150
บาทต่อชุด เราเดินเที่ยวชมลูกหินหยิน-หยางและรูปปั้นมังกรพ่นน้ำ
และที่สำคัญ สถานที่แห่งนี้สามารถสักการะหอแก้วที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
เพื่อความเป็นศิริมงคลด้วย


"นางสาวรัตนาภรณ์ อาภาศิริกุล" อายุ 20 ปี
นักศึกษาที่เดินทางมาท่องเที่ยว เล่าให้เราฟังว่า เป็น
คนเชื้อสายจีนมาเที่ยวกับเพื่อนๆ
รู้จักที่นี่ทางเว็บไซต์และเห็นว่าน่าสนใจจึงเดินทางมา
เพื่อต้องการสักการะเจ้าแม่กวนอิมที่ด้านในเพื่อความเป็นสิริมงคลเนื่องจาก
ใกล้สอบแล้ว และเคยเดินทางมาจังหวัดชลบุรีหลายครั้งแล้ว
แต่เพิ่งมาที่อุทยานสามก๊กเป็นครั้งแรก ประทับใจและชอบการจัดสวนของที่นี่
ลักษณะอาคารทำให้รู้สึกเหมือนอยู่เมืองจีน
ชอบต้นมะขามที่ตัดแรงตัวเป็นทิวแถวตนถ่ายรูปไว้มากทีเดียว
คาดว่าจะกลับมาที่นี่อีกครั้งในช่วงที่สอบเสร็จแล้ว

ได้ฟังนักท่องเที่ยวคนอื่นเล่าความประทับใจไปแล้ว
คราวนี้มาถึงของเราบ้าง
จุดที่ประทับใจพวกเรามากๆเห็นจะเป็นชั้นบนสุดที่ได้จัดแสดงหอแก้วไว้
เพราะกว่าเราจะเดินขึ้นบันได้ไปทีละขั้นเพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดก็เหนื่อยที
เดียว อาคารนี้แต่ละชั้นเราจะชมกับภาพเขียนสีน้ำมันไปตลอดทาง
สวยงามบอกเรื่องราวสามก๊กไว้อย่างสนุกสนาน
ส่วนด้านบนสุดนั้นสามารถชมทิวทัศน์ได้ทั่วบริเวณของที่นี่เห็นการจัดสวนที่
สวยงาม สามารถมองเห็นได้ไกลถึงวัดเขาชีจรรย์เลยทีเดียว
มองเห็นไปถึงทะเลพัทยา เห็นหอคอยของพัทยาพาร์ค และบนนี้อากาศเย็นสบาย
พวกเราทั้งหกคนยื่นรับอากาศเย็น และพูดคุยกันพักใหญ่เลยทีเดียว
เพราะทริปนี้เป็นทริปของการเดินทางที่พวกเราจะไปพร้อมหน้ากันแบบนี้อาจจะมี
ไม่บ่อยแล้ว เพราะมีบางคนที่กำลังจะจบการศึกษาและอาจจะหาโอกาสมาเที่ยวกันแบบนี้ได้ยาก
เราก็เลยใช้เวลาพูดคุยเก็บความประทับใจกันไว้

เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มที่จะคล้อยต่ำลง
เรามองดูนาฬิกาก็เป็นเวลาบ่ายสองกว่าแล้ว
จากเสียงลมพัดที่เข้าหูตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นเสียงท้องร้องหิวข้าวแทน
เราตัดสินใจไปตามคำเรียกร้องของกระเพาะอาหารไปหาอะไรกินกัน

ครั้งนี้เรายังคงติดใจกับ ตลาดน้ำสี่ภาค
เนื่องจากไม่ไกลจากอุทยานสามก๊ก
ออกจากอุทยานมาถึงทางแยกบ้านทับหวานเลี้ยวซ้ายเลียบทางรถไฟและเล้ยวขวาออก
ถนนสุขุมวิทย์ ถึงทางแยกเลี้ยวขวา ตรงไปประมาณ 300 เมตร
จากแยกก็เป็นอันว่าถึงตลาดน้ำ เราปักหลักหาของอร่อยๆกินกัน
ตลาดน้ำสี่ภาคยามเย็นไม่ร้อนเลยวันนี้นักท่องเที่ยวบางตาแต่ก็มีทัวร์ลงอยู่
บ้าง เราเดินเล่นสักพักและเริ่มที่จะเลือกหาของอร่อยๆกินและก็สะดุดตากับร้านขนม
จีน ที่มีน้ำยาหลายแบบให้กินกันกินจนอิ่มแล้วต่อด้วยของหวานเฉาก๋วยเย็นๆนิด
หน่อยแล้วก็กลับมหาวิทยาลัย--ทีมข่าวท่องเที่ยว


http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000143774

3-7 ธ.ค.กทม.เนรมิต "ลานเจษฎาฯ" จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในหลวง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

กทม.จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 82 พรรษา 5
ธ.ค.ระหว่างวันที่ 3-7 ธ.ค.นี้ ณ บริเวณลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์
ร่วมชื่นชมพระบารมีผ่านนิทรรศการ มัลติมีเดียเทิดพระเกียรติ และการแสดง
เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อประชาชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้
พร้อมร่วมลงนามถวายพระพรและรับโปสการ์ดที่ระลึกวันละ 10,000 ฉบับ

วันนี้ (26 พ.ย.) ณ ห้องเจ้าพระยา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.)
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร
ผู้ว่าฯกทม.เป็นประธานแถลงข่าวการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 82 พรรษา 5 ธันวาคม
2552 อย่างยิ่งใหญ่ ทั้งนิทรรศการ มัลติมีเดียเทิดพระเกียรติ
และการแสดงแสง สี เสียง ตระการตา ภายใต้ชื่องาน "พระบารมีจรัสหล้า"
ระหว่างวันที่ 3-7 ธันวาคม 2552 ณ ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์
ถนนราชดำเนินกลาง เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติ และรวมใจ
รวมพลัง ถวายพระพร

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า กิจกรรมสำคัญภายในงาน ประกอบด้วย
นิทรรศการพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มัลติมีเดียเฉลิมพระเกียรติ การแสดงแสง เสียง และสื่อผสม
โดยนิทรรศการจะแบ่งออกเป็น 9 โซน ประกอบด้วย โซนที่ 1
ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ "กรุงเทพนคราสดุดี"
บริเวณทางเข้างานซึ่งประดับตกแต่งอย่างสวยงามยิ่งใหญ่ พร้อมอัญเชิญ
พระมหาพิชัยมงกุฎมาประดิษฐานอยู่เหนือสุดของซุ้ม โซนที่ 2 เรียกว่า
"ผลึกบารมีนิรมิต" ตั้งอยู่บริเวณเวทีหน้าลาน พลับพลามหาเจษฎาบดินทร์
ซึ่งจัดทำเป็นผลึกแก้วขนาดใหญ่ โปร่งใส หมุนได้รอบทิศทาง
สัญลักษณ์อันแสดงถึงความเจิดจรัสแห่งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โดยภายในผลึกแก้ว จะฉายภาพพระบรมฉายาลักษณ์
ภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และรางวัลแห่งเกียรติยศที่แสดงถึงการแซ่ซ้องสดุดีจากทั่วโลกให้ประชาชนได้
ชื่นชมตลอดงาน โซนที่ 3 "ศาลาส่องใจราษฎร์" เป็นศาลาแห่ง
"พระมหากรุณาธิคุณ"
จะประมวลภาพแห่งความผูกพันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่ทรงมีต่อสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยจัดแสดงในศาลารายทั้ง 3
หลัง โซนที่ 4 ใช้ชื่อว่า "พลับพลาประกายจรัสหล้า"
แสดงการประกาศเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปทั่วโลก
แสดงภาพรางวัลและเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ที่องค์กรระหว่างประเทศทูลเกล้าฯ
ถวาย พร้อมทั้งประมวลภาพเหตุการณ์ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี

โซนที่ 5 "ลานฉายพลังแห่งแผ่นดิน"
ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ขนาดใหญ่ กว้าง 1.8 เมตร สูง 5 เมตร
และสวนโดยรอบจัดเป็นนิทรรศการบนเหลี่ยมเพชร ประมวลภาพพระราชกรณียกิจ 5
เรื่อง รวม 108 ภาพ โซนที่ 6 "ทรงเป็นแรงบันดาลใจ"
จัดแสดงนิทรรศการโครงการและกิจกรรมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ที่กรุงเทพมหานคร ได้น้อมนำ
มาเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาเมืองในด้านต่างๆ โซนที่ 7 เป็น
"หอภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ"
ฉายมัลติมีเดียเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง
"ในดวงใจไทยนิรันดร์" โดยจะฉายวันละ 9 รอบๆ 10 นาที ตั้งแต่เวลาประมาณ
15.00 น.เป็นต้นไป โซนที่ 8 เป็นการแสดงแสง เสียง และสื่อผสม เรื่อง
"ฉายพลังแห่งแผ่นดิน" บริเวณ "ผลึกบารมีนิรมิต"
นำเสนอเรื่องราวพระราชกรณียกิจที่ทรงคุณไพศาลแก่แผ่นดินไทย จัดแสดงเพียง
2 รอบ ในวันที่ 3 และ 5 ธ.ค.เวลา 18.30 น.และ โซนที่ 9
"จุดรวมใจถวายพระพร" เปิดให้ประชาชนรับบัตรเขียนคำถวายพระพร
รูป"ดอกไม้เงิน-ดอกไม้ทอง"
โดยสามารถนำไปประทับตราเพื่อรับโปสการ์ดที่ระลึก ซึ่งจัดพิมพ์เป็น 5
รูปแบบๆ ละ 10,000 ฉบับ รวม 50,000 ฉบับ
เพื่อมอบให้แก่ผู้เขียนคำถวายพระพรวันละ 1 รูปแบบ นอกจากนี้
บริเวณลานพลับพลมหาเจษฎาบดินทร์ ยังมีการแสดงดนตรีเพลงพระราชนิพนธ์
และการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยหลากหลายรูปแบบ ระหว่างเวลา 17.00-22.00
น.ของทุกวัน เพื่อเทิดพระเกียรติและสร้างประทับใจให้กับผู้เข้าชมงานด้วย
โอกาสนี้ตนขอเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยทุกคนร่วมถวายพระพระและแสดงความจงรักภักดี
เนื่องในโอกาสมหามงคลนี้

ตื่นตา "บอลลูนนานาชาติ" สดใสเต็มน่านฟ้า "อยุธยา"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ททท.จับมือ จังหวัดอยุธยา และเครือข่าย จัดยิ่งใหญ่งาน
"เทศกาลบอลลูนนานาชาติประเทศไทย ครั้งที่ 3" ระหว่าง 3-6 ธ.ค.นี้ ณ
วัดช้าง และวัดมเหยงคณ์ ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
เพื่อเผยแพร่ความงดงามและความยิ่งใหญ่ของโบราณสถานมรดกโลก
ต่อสายตานานาชาติจากมุมสูงเป็นครั้งแรกของโลก
พร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของประเทศ เผย
ไฮไลต์อลังการ พลุไฟเฉลิมพระเกียรติในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่
หัว 5 ธ.ค.

สุดตื่นตากับเทคนิคพิเศษ Night Glow
ด้วยอุปกรณ์พ่นไฟที่กระจายแสงจ้า
ทำให้บอลลูนสว่างไสวประดุจโคมไฟขนาดยักษ์ งดงามตื่นตา
สอดประสานกับจังหวะของเสียงดนตรี นอกจากนี้ ยังมีการแสดงการบินหมู่ของ
Para Motor การแสดง Model Balloon และกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นอีกมากมาย
พร้อมระรื่นหูด้วยบทเพลงไทยอมตะและบทเพลงพระราชนิพนธ์ โดยวงดุริยางค์สากล
กรมศิลปากร ซึ่งได้รับเกียรติจาก "บัณฑิต อึ้งรังษี"
วาทยกรระดับโลกชาวไทยมากำกับวงในวันเปิดงาน
พร้อมทั้งการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยที่น่าสนใจ อาทิ การแสดงโขนยกรบ

งาน นี้ถือว่าพลาดไม่ได้ เพราะทั้งอิ่มตา อิ่มใจ แถมยังได้บุญ
เนื่องจากรายได้จากบัตรเข้าชมงานที่ราคาเพียง 50 บาท และเด็ก 20 บาทนั้น
จะแบ่งส่วนหนึ่งร่วมสมทบทุนเพื่อการบูรณปฏิสังขรณ์โบราณสถานในจังหวัดพระ
นครศรีอยุธยาอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โพลชี้พ่อ 3 รุ่น 1 ใน 3 ไม่เคยแสดงความรักกับลูก ส่วนใหญ่ระบุอยากมีเวลาให้ครอบครัว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤศจิกายน 2552 17:57 น.
ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
โพลชี้ พ่อ 3 วัย “ทวด-ปู่-ตา-พ่อ” 1 ใน 4 ไม่เคยบอกรักลูก 1 ใน 3 ไม่โอบกอดลูก แสดงความรัก แนะคำนึงกาลเทศะ ความเหมาะสม เริ่มต้นตั้งแต่เด็ก ส่วนใหญ่ตั้งใจเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก โดยเฉพาะขยันขันแข็ง และเปลี่ยนตัวเองให้มีเวลาให้ลูกมากขึ้น

วันที่ 25 พฤศจิกายน นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ กล่าวว่า จากการสำรวจสายใยสัมพันธ์รักจากพ่อถึงลูกของคน 3 วัย กรณีศึกษาคุณพ่อที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป 17 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 1,018 ครัวเรือน ในวันที่ 24 พ.ย พบว่า การแสดงความรักละความห่วงใยที่มีต่อลูกในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มากที่สุดคือ การดูแลสุขภาพ 83.3% รองลงมาเป็นการพูดคุยให้กำลังใจกัน 83.2% อันดับ 3 เป็นการให้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างเพียงพอในแต่ละวัน 72.9% ที่น่าสังเกต คือ มีการบอกรักเป็นอันดับ 4 เพียง 64.5% เท่านั้น 5 โทรศัพท์คุยกัน 63.8% อันดับที่ 6 ซื้อของให้หรือให้การ์ดอวยพร 59.6% รวมถึงการมีภาษาภายที่โอบกอด โอบไหล่ ตบบ่า หอมแก้ม ลูบศีรษะ ลูบหลังมีเพียง 57.1%

นายนพดล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในการสำรวจครั้งนี้ ยังพบว่า เมื่อ ระบุถึงสิ่งผิดพลาดไปที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองในขณะนี้ ส่วนใหญ่คุณพ่อทั้ง 3 วัย ที่ตอบคำถาม คือ ทั้งวัยทวด ปู่ และ ตา และพ่อในปัจจุบัน อยากเปลี่ยนแปลงมากที่สุด คือ อยากมีเวลากับครอบครัวให้มากขึ้น และไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินปัญหา ไม่วู่วามและใจร้อน ถัดมาคือการไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขต่างๆ เช่น ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ทั้งนี้ พบว่า คุณพ่อทั้ง 3 วัยที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเฉลี่ย 11.3% ระบุว่า อยากเปลี่ยนแปลงความไม่ซื่อสัตย์กับครอบครัว ต่อภรรยา ที่นอกใจภรรยา โดยทวดอยากเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ 5.8%ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ปู่และตา 11.5% และพ่อ 12.1%

นายนพดล กล่าวว่า เมื่อถามถึงแบบอย่างที่ดีให้กับลูก 5 อันดับแรก คือ การทำงานเก่ง ขยันขันแข็ง 91.1% 2 ความรักต่อครอบครัว ต่อลูก และการให้ความอบอุ่นกับครอบครัว 89.7% อันดับ 3 ความซื่อสัตย์สุจริต 88.4% อันดับ 4 สู้ชีวิต เข้มแข็ง อดทน ไม่ยอมแพ้ 87.6% และ5 มีศีลธรรมและคุณธรรม 85.6% ส่วนกิจกรรมที่ 3 เดือน ที่ผ่านมา ได้ทำร่วมกันกับลูกอันดับแรกคือ 88.7% เป็นการรับประทานอาหาร ถัดมาเป็นการดูโทรทัศน์ 76.4% ,ให้คำปรึกษา 74.1% ,ทำบุญ 66.4% ,ท่องเที่ยว 57.8% , ออกกำลังกายเล่นกีฬา 40.7%

“นอก จากนี้ สิ่งที่คุณพ่อทั้ง 3 วัย ตั้งใจทำงานเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ที่จะถึงนี้คือ ประพฤติตัวเป็นคนดี 91% ถัดมาเป็นการถวายพระพร นำพระบรมราโชวาทไปปฏิบัติ ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ ฯลฯ”นายนพดล กล่าว

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า มุมมองด้านอายุอาจเป็นอุปสรรคต่อการแสดงออกทางภาษากาย เพราะสังคมไทยถูกเลี้ยงดูด้วยค่านิยมเรื่องเพศ บางทีลูกอาจอึดอัด หรือตัวพ่อเองอาจอึดอัดกับการกอด แต่ถ้ามีการทำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เด็ก ในช่วงเข้าสู่วัยรุ่นลูกอาจรู้สึกอึดอัดบ้าง ดังนั้น จะต้องคำนึงถึงกาลเทศะ ความเหมาะสม และเมื่อช่วงเวลานั้นก็จะผ่านพ้นไป ก็สามารถแสดงความรักด้วยภาษากายต่อไปได้ เพราะภาษากายเป็นการแสดงออกที่สนับสนุนการสื่อสารในครอบครัว

“นอก จากนี้ ในวันพ่อที่กำลังจะถึงนี้ เพื่อไม่ให้แม่หายไปไหน จึงอยากเชิญชวนให้คุณแม่ทั้งหลายชวนลูกๆ ทำอะไรให้กับพ่อในวันพ่อแห่งชาติที่จะถึงนี้ด้วยกัน เพื่อเป็นการสานสัมพันธ์ความรักในครอบครัวให้แน่นแฟ้นกันมากยิ่งขึ้น”พญ.อัมพร กล่าว

นพ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่คุณพ่อทั้ง3วัย ไม่เคยแสดงออกถึงความรักด้วยภาษากายและวาจา ทั้งการบอกรัก การโอบกอกลูก ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยกระชับความสัมพันธ์พ่อลูกให้แน่นแฟ้น มากยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดสำหรับลูกในทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องศีลธรรม จริยธรรม ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคม ในปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของพ่อไทยเกือบครึ่งที่อยากมีเวลาให้ครอบครัวมาก ขึ้น

“เนื่อง ในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 82 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ กรมสุขภาพจิตจัดงาน พ่อลูกผูกพัน ในวันที่ 3-4 ธ.ค.ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น.ที่กรมสุขภาพจิต โดยภายในงานจะมีการเสวนาโดยจิตแพทย์ชื่อดัง มีการฉายภาพยนตร์ หนังดีๆ ที่ว่าด้วยความรักของพ่อ อภิปราย ย้อนรอย พ่อผู้สร้างพลังใจ มีการฝึกทักษะต่างๆ จากนิทรรศการความรู้เรื่องการเลี้ยงลูกสำหรับคุณพ่ออีกด้วย”นพ.ชาตรี กล่าว

สุชาติ สวัสดิ์ศรี ควรได้โนเบลไพรซ์

โดย ชัยสิริ สมุทวณิช 25 พฤศจิกายน 2552 14:26 น.
ผมเห็นหนังสือ “ช่อการะเกด” วางอยู่บนโต๊ะ อดนึกถึงเพื่อนเก่ามิได้ สุชาติ สวัสดิ์ศรี เขาคือ “ช่อการะเกด” จริงๆ แล้วหนังสือเล่มนี้เป็นลูกของเขาก็ว่าได้

ผมรู้จักสุชาติมานานคงร่วม 30 กว่าปี ครั้งแรกที่พบกันผมส่งบทละครชื่อ “รถไฟไปกระบี่” ให้เขาตีพิมพ์ในนิตยสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ คือผมเพิ่งเรียนจบและกลับมารับราชการเป็นอาจารย์ในภาควิชาการหนังสือพิมพ์ เวลานั้นเป็นคณะนิเทศศาสตร์แล้ว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสถานศึกษาชั้นนำ อิทธิพลที่ผมได้รับ และใช้มันมาเขียนบทละครเรื่องนี้มาจากนักเรียนบทละคร เขาชื่อ Samuel Beckett

ผมประทับใจในบทละครเรื่อง Waiting for Godatผมเรียนบทละครนี้ขณะเรียนอยู่ในนิวซีแลนด์ และอยู่ไฮสกูล โรงเรียนผมสอนเช็คสเปียร์ แต่ก็ให้อ่านยอร์จ เบอร์นาร์ด ชอร์ และคนอื่นๆ ด้วย

ผมไม่เคยสอบผ่านภาษาอังกฤษในโรงเรียนที่ผมเรียนเลย โรงเรียนบอกผมว่าผมต้องเรียนถึง 5 ปี ทั้งๆ ที่ผมจบชั้น ม. 6 มาแล้ว

ผมไม่อยากเป็นเด็กโข่ง อายุมันจะมาก หากเข้ามหาวิทยาลัยก็หมายถึงพ่อแม่ต้องส่งเสียอีกไม่ต่ำกว่า 9 ปี ผมคิดว่าผมอยากเรียนระดับไฮสกูลแค่ 3-4 ปีเท่านั้น

ครู บอกเป็นไปไม่ได้ เด็กฝรั่งยังใช้เวลามากกว่าที่ผมคิดอีก ผมก็นึกว่าคนไทยก็อาจเรียนดีกว่าฝรั่งได้นี่นา แต่เพื่อนที่ประเทศอังกฤษก็บอกว่า อย่าเครียดเลย มันอยู่อังกฤษก็ต้องเรียน 5 หรือ 6 ปี เท่ากันแหละ

ผมมันหัวดื้อ แล้วก็รั้น ความเชื่อมั่นสูงก็ตัดสินใจออกมาเป็นนักเรียนไป-มา ด้วยเหตุผลว่า มันมีโอกาสนอนดึก ผมนอนเที่ยงคืนทุกวัน เพื่อทดแทนความเครียด ผมเริ่มเขียนเรื่องสั้น และนวนิยายไปลงในนิตยสารของคนไทยในนิวซีแลนด์ มีเสียงตอบรับ และผมชนะเลิศในการประกวดวรรณกรรม ผมสอบข้ามชั้น 2 ปีรวด สอบดีทุกวิชา

ดังนั้น กลับมาบ้าน จึงพบกับสุชาติ และบอกกับเขาว่าจะช่วยเขียนบทละคร “รถไฟไปกระบี่” เขียนด้วยพล็อตง่ายๆ 2 องค์จบ ตัวละครมีคนเดียว ลงท้ายด้วยคำว่า “เกิดปฏิวัติในกรุงเทพฯ” แล้วในความเป็นจริง หลังหนังสือออกไม่นาน ก็มีปฏิวัติเกิดขึ้น ความจริงผมเคยเขียนนวนิยายอยู่ในนิวซีแลนด์ก็ออกแนวทำนายมาก่อน

ผมเขียนนวนิยายที่ลงท้ายว่า นักเรียน นิสิตนักศึกษาโค่นรัฐบาลทรราช แล้วขึ้นเป็นรัฐบาลเสียเอง แต่เกิดแตกกันเองจนหมดอำนาจไป

ต่อมาไปเรียนที่วิสคอนซิน กระแสจีนมาแรง

ผมก็เขียนนวนิยายมีตัวละครเป็นผู้หญิงสรุปได้ว่าประเทศไทยกับจีนจะเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกัน

เวลานั้นไทย-จีนไม่มีความสัมพันธ์กันเลย เราปราบคอมมิวนิสต์หนักหน่วง

หลาย ปีที่ผมกลับประเทศไทย จึงมีคุณเล็งเลิศ ใบหยกที่ครอบครัวเราสนิทสนม เป็นทางผ่านให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ไปเมืองจีนพบกับประธานเหมาเจ๋อตุง และไทย-จีนคบกันเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตสำเร็จ

ครับ... ผมคิดว่าเรื่องบังเอิญ 3 ครั้ง น่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก

หรือว่าผมได้เชื้อแถวจากคุณแม่ เพราะแม่ผมนั้นมักรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเสมอ มันอาจอยู่ในยีนส์ก็ได้

กลับมาเรื่อง ช่อการะเกด ต่อ ช่อการะเกดมีชีวิตที่น่าสนใจ มันเคยเกิด-ดับ มาก็สองสามครั้ง

แต่ตราบใดที่สุชาติ ยังมีลมหายใจ การะเกดก็จะมีชีวิต เป็นนิตยสารทางวรรณกรรมที่ดีที่สุด รวมนักเขียนมากที่สุด มีรางวัลที่ยิ่งใหญ่ และไม่ต้องทำพีอาร์โฆษณาใดๆ

ใครเกิดที่การะเกดก็จะถือว่าได้รับการต้อนรับจากคนอ่านที่ยิ่งใหญ่แล้ว

สำหรับผมนั้น เคยก่อตั้งรางวัลซีไรต์มากับมือเห็นว่า

การะเกดนั้นทำคุณประโยชน์ให้กับนักเขียนไทยมากกว่ารางวัลซีไรต์หลายเท่า

มีความเคร่งขรึม มีคุณภาพสูง และการคัดเลือกเรื่องก็พิถีพิถันมากกว่า โดยไม่ต้องมีกรรมการมากมายเหมือนคณะกรรมการซีไรต์ครับ ในเชิงวิชาการที่นี้ถือว่าที่สุดแล้ว

มีการตอบรับจากคนเขียนมากที่สุดเห็นได้จากจดหมายส่งมาถึงสุชาติมีมากเสียจนเขาต้องให้เนื้อที่หลายหน้า

เล่มล่าสุดก็กล่าวถึงหนังสืออมตะของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ซึ่งปัจจุบันผมเชื่อว่าเขาบรรลุธรรมไปแล้ว

การะเกดให้เขียนถึงนิทรรศการ การอภิปราย และการแสดงภาพถ่ายที่สถาบันปรีดีฯ เมื่อ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยช่วยป่าวประกาศให้

ที่เหลือเป็นเรื่องสั้นๆ คุณภาพทั้งนั้น ชีวิตของสุชาตินั้นผมว่าเขาใช้ไปกับวรรณกรรมจนเกินคำว่าคุ้มค่า

คงไม่มีใครในโลกที่อุทิศตนให้กับงานวรรณกรรมได้มากไปกว่าเขา

ถ้ามีใครจะเป็นผู้เสนอรางวัลโนเบลจะรับรู้ชีวิตและผลงานของเขา

ผมว่าถึงเวลาแล้วที่สุชาติควรได้รางวัลโนเบลในสาขาวรรณกรรมเสียที และควรเป็นคนไทยคนแรกที่ควรได้รับเกียรตินี้

ผมจะดีใจที่สุด

ปัญหาสภาพจิตของนาธาน : สร้างเรื่องโกหกจนเชื่อว่าตัวเองเป็น !/สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

โดย สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน 25 พฤศจิกายน 2552 08:56 น.
เริ่มแรกดิฉันไม่รู้จักคนชื่อ “นาธาน” ไม่ได้สนใจ และก็ไม่อยากรู้ว่านายคนนี้เป็นใคร จนกระทั่งถูกสื่อยัดเยียดให้รู้แทบทุกวัน โดยเฉพาะสื่อทีวีที่มีการนำเสนอข่าวกันอย่างครึกโครม และพิธีกรทีวีรายการหนึ่งที่สัมภาษณ์เปิดตัวคู่กรณีของนาธานได้ทุกวัน จนเริ่มรู้สึกว่าสื่อกำลังทำหน้าที่ล้ำเส้น และกลายเป็นพิพากษานายคนนี้ไปแล้ว เรียกว่าไม่ต้องพูดว่านาธานจะเข้าสู่วงการบันเทิงได้อีกหรือเปล่า เอาแค่ปรากฏตัวตามสถานที่ทั่วไปก็แทบไม่มีพื้นที่ยืนอยู่แล้ว

จากนั้นถึงเริ่มสนใจว่านาธานเป็นใคร อะไรทำให้ถูกนำเสนอผ่านสื่อได้ทุกวันขนาดนี้ เริ่มจากการถูกเปิดเผยว่าโกหกเรื่องตัวเองตั้งแต่ประวัติความเป็นมา โกหกเรื่องความสามารถอันมากมาย ฯลฯ จนกระทั่งนำไปสู่เรื่องราวเปิดตัวคู่กรณีที่บอกว่าถูกนาธานหลอกเอาเงินไป และสถานการณ์ก็ขยายเรื่องราวบานปลายไปเรื่อย และดูท่าไม่มีวี่แววจะสิ้นสุดง่ายๆ ขณะเดียวกันเรื่องราวของเขาก็ถูกพูดถึงไปทั่ว ประมาณว่า “ทำไมคนเราโกหกได้มากมายขนาดนี้” “ทำไมคนเราแต่งเรื่องได้ขนาดนี้ โดยไม่อาย” “ทำไมถึงได้ไปโกหก และโกงคนที่เขาแย่กว่าเราได้ จิตใจเขาทำด้วยอะไร”แล้วก็ความคิดเห็นที่ตามมาอีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการกระหน่ำซ้ำเติมถล่มกันสุดฤทธิ์ ไม่แปลกหรอกค่ะ ถ้าใครเจอะเจอเรื่องทำนองนี้แล้วไม่โกรธสิแปลก...!


ประเด็นที่ดิฉันสนใจคือเรื่อง “โกหก” เพราะคนที่โกหกเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้ต้องมีอะไรไม่ปกติแน่ …!!

การโกหกของคนมีหลายประเภท
ประเภทแรก มักจะเริ่มตั้งแต่เด็ก และการโกหกครั้งแรกๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่เด็กจะคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่และกลัวถูกทำโทษ ยกตัวอย่าง เขาอาจทำข้าวของเสียหาย ทำกระจกแตก แต่กลัวถูกทำโทษ ก็เลยโกหกว่าไม่ได้ทำ ส่วนใหญ่จะเริ่มโกหกพ่อแม่ หรือคนที่มีอำนาจในการลงโทษเขาได้
ถ้าการโกหกในครั้งแรกๆ ได้รับการแก้ไขแต่เนิ่นๆ ผู้ใหญ่รู้เท่าทัน และสอนให้เขารู้ว่าการโกหกเป็นเรื่องไม่ดี ถ้าลูกพูดความจริงลูกอาจไม่ถูกทำโทษ แต่ถ้าโกหกต้องถูกลงโทษ และพ่อแม่ต้องจริงจังตั้งแต่เล็ก ขอให้ลูกยอมรับความจริง เขาก็จะได้รับการปลูกฝังว่า ไม่ว่าเขาจะทำอะไรไม่ดี แต่ถ้าเขาพูดความจริง ก็จะทำให้ทุกอย่างแก้ไขได้ แต่ถ้าในระดับนี้ เขาสามารถโกหก โดยที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนหรือปล่อยผ่าน เขาก็จะเรียนรู้ว่าการโกหกก็ไม่มีผลอะไร เขาก็จะทำต่อไปจนติดเป็นนิสัย ประเภทที่สอง การโกหกในระดับที่เพิ่มขึ้น คือการโกหกโดยโยนความผิดให้คนอื่น อาจจะด้วยความที่กลัวความผิด หรือไม่ก็เกิดจากความไม่พอใจคนอื่น และมีการโกหกว่าผู้อื่นเป็นคนทำ เป็นการใส่ร้าย ประเภทนี้อาจเริ่มตั้งแต่เล็กก็ได้เช่นกัน ถ้าผู้ใหญ่รู้เท่าทัน และสามารถเข้าไปจัดการปัญหาตั้งแต่แรก และทำโทษเด็กที่มีพฤติกรรมแบบนี้ พร้อมทั้งอบรมสั่งสอนด้วยว่า ทำพฤติกรรมแบบนี้ไม่ดีอย่างไร แล้วผู้อื่นที่ถูกใส่ร้ายจะได้รับผลกระทบอย่างไร ส่งผลให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนด้วย

หรืออาจจะสอนว่าเมื่อหนูยังเป็นเด็ก หนูทำแบบนี้ อาจจะมีคนให้อภัยได้ แต่ถ้าหนูโตเป็นผู้ใหญ่ อาจจะต้องถึงขั้นถูกดำเนินคดีความก็ได้

ประเภทที่สาม โกหกโดยการสร้างเรื่อง เพื่อลบปมด้อยบางอย่างของตนเอง เป็นการโกหกเพราะคิดว่าถ้าโกหกแล้วทำให้ตัวเองได้รับการยอมรับมากขึ้น มีผู้คนสนใจตัวเองมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ คนประเภทนี้ก็มักจะมีพฤติกรรมบางอย่างที่คนรอบข้างจะมองเห็นและจับพฤติกรรม เหล่านี้ได้ไม่ยาก เพราะการแสดงออกต่างๆ ของเขา จะสะท้อนออกมาเอง และเมื่อเป็นเช่นนี้ ท้ายสุด เพื่อนๆ คนรอบข้างก็จะตีตัวออกห่างไปเองโดยปริยาย เพราะรับไม่ได้ที่เขาชอบโกหก

ถ้าพ่อแม่สังเกตว่าลูกมีพฤติกรรมเหล่านี้ตั้งแต่เล็ก ก็ต้องปรับพฤติกรรม ให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าในตัวเอง อย่าพูดถึงปมด้อย หรือล้อเลียนในเรื่องที่เขาเป็นปัญหา และสอนให้เขารู้ว่าทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม คนเรามีปมเด่นปมด้อยกันทุกคน แต่การจะอยู่ร่วมในสังคมต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ และมีความจริงใจให้ผู้อื่นด้วย

ประเภทที่สี่ โกหกจนเป็นนิสัย ประเภทนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อโกหกแล้วรู้สึกดี และการโกหกประเภทนี้มักจะขยายวงเป็นอยากมีอยากได้ของคนอื่น และนำไปสู่การคดโกง และก่อเหตุไม่ดี ซึ่งท้ายสุดมักจะจบลงด้วยการติดคุกติตาราง
แต่ประเภทสุดท้าย เป็นประเภทที่ดิฉันสนใจเป็นพิเศษ จนเข้าข่ายและมักถูกประณามว่าเป็นคนลวงโลก เพราะนับวันจะมีผู้คนประเภทนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และกลุ่มคนประเภทนี้เป็นกลุ่มเสี่ยงที่น่าจะมีปัญหาทางด้านสภาพจิตร่วมด้วย
กลุ่มคนประเภทนี้มีปมด้อยเช่นกัน

ตอนแรกก็เริ่มจากการสร้างเรื่องก่อน และเมื่อสร้างไปเรื่อยๆ แล้วได้รับการยอมรับก็รู้สึกดี ก็เลยทำให้สร้างเรื่องต่อไป และเมื่อสร้างต่อไปเรื่อยๆ ก็ตกเข้าไปอยู่ในกับดักคิดว่าตัวเองเป็นอย่างที่ตัวเองสร้างเรื่องจริงๆ และพยายามลบเรื่องราวในอดีตออกไปจากสมอง และเอาเรื่องราวที่ตัวเองสร้างขึ้นมา และเชื่อว่าตัวเองเป็นอย่างเรื่องที่สร้างขึ้นมา โดยไม่สนใจว่าคนที่เกี่ยวข้องในชีวิตจะรับรู้เรื่องราวในอดีต เพราะเขามีความสุขอยู่กับเรื่องราวที่เขาสร้างขึ้นมา คนกลุ่มนี้มักจะมีปัญหาทางด้านครอบครัว และมีปมด้อยบางอย่างที่ไม่ต้องการยอมรับตัวเอง และส่วนใหญ่กลุ่มคนเหล่านี้จะถลำลึกไปเรื่อยๆ จนท้ายสุดถ้าเรื่องราวถูกเปิดเผยขึ้นมา คนเหล่านี้มักจะจบลงด้วยปัญหาทางสภาพจิต ถ้าไม่เป็นโรคซึมเศร้า ก็ไม่สามารถจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปได้

ปัญหาเรื่องโกหกเป็นปัญหาหนึ่งทางสังคมที่นับวันจะทวีความรุนแรงมาก ขึ้นเรื่อยๆ เพราะสัญชาตญาณของมนุษย์ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองไม่ดี ก็ต้องปัดไปสู่ผู้อื่น
แต่ถ้าเด็กได้รับการเลี้ยงดูและปลูกฝังตั้งแต่เล็กจากครอบครัว โดยนำเรื่องของศีลธรรมและจริยธรรมสู่เขาตั้งแต่เด็ก ก็จะป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้
ตรงกันข้ามหากพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ปล่อยปละละเลยเรื่องเล็กๆ ตั้งแต่เด็ก เพราะเห็นว่าเป็นเด็ก ก็เลยไม่ลงโทษไม่อบรมสั่งสอน ก็จะทำให้มีนิสัยเหล่านี้ติดตัว เพราะเมื่อโกหกไปแล้ว ก็ไม่เห็นเป็นไร เขาก็จะซึมซับเอาสิ่งเหล่านั้นติดตัวไป
ถ้าพ่อแม่จริงจัง และไม่ยอมปล่อยผ่านแม้เพียงเรื่องโกหกเล็กๆ ก็จะทำให้เขาเรียนรู้ว่าแม้เรื่องเล็กๆ ก็เป็นสิ่งไม่ดี และมีคนได้รับผลกระทบจากเรื่องเล็กๆ ได้เช่นกัน
อย่าลืมว่าเมื่อเริ่มโกหกแล้วก็ต้องโกหกไปเรื่อยๆ บางทีโกหกไปโกหกมาลืมเรื่องเดิมอีกต่างหาก แต่ถ้าพูดความจริง ต่อให้ต้องพูดเป็นร้อยครั้งก็พูดเหมือนเดิม
อีกทั้งผลกระทบของการโกหกจะติดตัวเราไป ผู้คนก็ไม่เชื่อถือ และตราหน้าว่าเราเป็นเด็กเลี้ยงแกะไปตลอดชีวิตเช่นกัน กรณีของนาธาน ไม่ว่าสุดท้ายปลายทางของเรื่องจะเป็นอย่างไร แต่เป็นอุทาหรณ์ที่ดีให้กับคนเป็นพ่อแม่ค่ะ
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000142484

ชีวิตนิสิตเกษตรฯบนแดนฝอยทอง /เรื่องเล่าจาก University of Porto

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤศจิกายน 2552 01:50 น.
การรู้จักค้น คว้าหาข้อมูลด้านการศึกษา อาจทำให้เราทราบว่า โอกาสไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม ดังเช่นเรื่องเล่านักศึกษาประจำสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นประสบการณ์ดีๆของนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่มีโอกาสได้ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโท-เอก ถึง University of Porto ณ แดนฝอยทอง ประเทศโปรตุเกส

“แอล” วนิดา อ่วมเจริญ นิสิตคนเก่งจาก คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปัจจุบัน กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ควบปริญญาเอก ในสาขา Biomedical Science โดยเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือทางวิชาการระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กับ University of Porto ประเทศโปรตุเกส


แอล เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการไปศึกษาต่อยังแดนฝอยทองว่า “งานวิจัยที่ทำในระดับปริญญาตรีนั้น เป็นงานวิจัยด้าน Natural Products ซึ่งต้องติดต่อกับอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งอยู่ที่เมืองปอร์โตค่ะ ดังนั้น ในระดับปริญญาโท จึงลองส่งโครงร่างงานวิจัยของเราไปให้อาจารย์ที่ University of Porto พิจารณา จากนั้น อาจารย์จะเสนองานวิจัยให้แก่ทางมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เมื่อผ่านการพิจารณาแล้ว เราก็สามารถเข้าไปเรียนได้ 1 ปี โดยมีข้อกำหนดว่า ต้องสอบอีกครั้งเพื่อดูความคืบหน้าของงานวิจัย ถ้าสอบผ่านเราก็จะเป็น นักศึกษาของมหาวิทยาลัยเต็มตัว โดยงานวิจัยในระดับปริญญาโท ที่ทำอยู่ในปัจจุบัน คือ การวิจัยเกี่ยวกับสารสกัดจากพืช มาทดสอบกับแมลง เพื่อหาพืชที่มีฤทธิ์ยับยั้งแมลงศัตรูพืชได้ค่ะ”

นักศึกษาปริญญาโท เล่าว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นมหาวิทยาลัยรัฐบาล บรรยากาศน่าอยู่ เพราะมีความเงียบสงบ แต่ละคณะตั้งแยกกันไป ไม่มีตึกใหม่ๆที่ดูทันสมัย แต่ยังดำรงรูปแบบของอาคารตามสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของเมือง โดยนักศึกษาไทย ที่มีโอกาสเดินทางมาศึกษาที่ University of Porto มีทั้งหมดประมาณ 10 คน


แอล เล่าประสบการณ์เรื่องการปรับตัวในชีวิตต่างแดนต่อไปว่า “สมัย เรียนที่ มหาวิทยาเกษตรศาสตร์ เรายังพอมีอาจารย์ช่วยเหลือบ้าง แต่เมื่อไปเรียนที่โปรตุเกส เราต้องเรียนรู้ หาข้อมูลด้วยตัวเองก่อน แล้วค่อยไปคุยกับอาจารย์ แต่สิ่งที่ปรับตัวยากสุด คงเป็นเรื่องภาษาค่ะ เพราะที่โปรตุเกส คนใช้ภาษาโปรตุกีสในการสื่อสาร จริงอยู่ว่า เราสามารถคุยกับอาจารย์ ในห้องเรียนด้วยภาษาอังกฤษ แต่ในชีวิตประจำวัน คนข้างนอกเค้าพูดโปรตุกีสกันทั้งนั้น เราก็จำเป็นต้องฝึก โดยฝึกกับอาจารย์บ้าง เจ้าหน้าที่ในห้องแลปบ้าง รวมถึงการเรียนภาษาโปรตุกีส เพิ่มเติม ประมาณ 1 เดือน ซึ่งก็พอใช้ในชีวิตประจำวันเบื้องต้นได้บ้างค่ะ”

สำหรับการปรับตัวเรื่องอื่นๆ เช่น สภาพดินฟ้าอากาศของเมืองปอร์โตนั้น แอล เผยว่า อากาศไม่หนาวมาก หากเปรียบเทียบกับอังกฤษ หรือฝรั่งเศส แต่ก็มีอุณหภูมิต่ำสุดถึง 0 องศา โดยนานๆครั้ง จะมีหิมะตกลงมาบ้าง ส่วนเรื่องอาหารการกิน แอล เล่าว่า “มี ข้าวขายเหมือนบ้านเราค่ะ แต่ที่นั่น หุงด้วยน้ำมัน ข้าวจะมันๆเหมือนข้าวมันไก่ เลี่ยนๆนิดหน่อย ส่วนมื้อเช้า คนนิยมกินขนมปัง ซุป และตบท้ายด้วยกาแฟ เป็นถ้วยเล็กๆ จอกเล็กๆ เข้มข้นมาก กินแก้วเดียวอยู่ได้ทั้งวัน อาหารที่ทาน ตอนเช้าๆกินขนมปัง ตอนกลางวันก็ทานข้าวที่โรงอาหาร ซึ่งพอจะมีอาหารสากลให้กิน ส่วนเย็นๆก็รวมกลุ่มนักศึกษาไทย มาทำกับข้าวทานกัน เอาเครื่องเทศ เครื่องปรุงจากเมืองไทยมาเอง เพราะประหยัดดี เราก็เป็น นักศึกษาทุน ก็ต้องรู้จักประหยัด จะไปกินตามร้านอาหารทุกมื้อคงไม่เหมาะค่ะ”

ด้านวัฒนธรรมของคนโปรตุเกสที่นักศึกษาคนนี้ประทับใจ คือ คนโปรตุเกสเจอกันแล้วจะทักทายกันนานมาก และไม่ว่าจะทำอะไรให้เพียงนิดเดียวก็ตาม จะพูดคำขอบคุณจนติดปาก “คนที่นี่สุภาพมากค่ะ ให้ความช่วยเหลือดี เวลาออกไปข้างนอก ขึ้นรถเมล์ เราถามอะไร เค้าก็เต็มใจช่วยเหลือเต็มที่ แม้ภาษาจะพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็จะแสดงท่าทางให้เรารู้เส้นทางจนได้”

“บ้าน เมืองที่นี่แม้จะดูเก่าๆ แต่ก็สวยงาม มีการบูรณะไว้ไม่เปลี่ยนแปลง การคมนาคมสะดวก สงบไม่วุ่นวาย แต่ถ้าวันไหนมีการแข่งขันฟุตบอล จะคึกคักมากค่ะ คนเยอะมาก จะไปเชียร์ มีผ้าพันคอ สัญลักษณ์ คนเต็มไปทั้งเมือง เพราะไปเชียร์ทีม FC. Porto”


ข้อคิดทิ้งท้าย ที่แอล ฝากไว้ คือ น้องๆคนไหน อยากไปเรียนต่อต่างประเทศ ลองหาทุนจากหน่วยงานของรัฐบาล หาอาจารย์ที่ปรึกษาต่างประเทศ ขวนขวายด้วยตัวเอง หากความสามารถเข้าตา ก็มีโอกาสได้เป็นนักศึกษาทุนได้ไม่ยาก “นอก จากนี้ การเป็นนักศึกษาทุนนั้น ความรู้ที่ได้มาจากกประเทศ บางอย่างไม่สามารถหาได้จากเมืองไทย เช่น เครื่องมือที่ต่างประเทศมี แต่เราไม่มี เมื่อกลับมาก็ควรนำความรู้ต่างๆนั้นมาดัดแปลงเพื่อให้เกิดประโยชน์ กับเมืองไทยด้วยค่ะ”

Life on Campus เปิดพื้นที่ เรื่องเล่านักศึกษาในต่างแดนจากผู้อ่าน

หากชาวแคมปัสคนไหน เคยมีประสบการณ์ใช้ชีวิตในต่างประเทศ ทั้งด้านการศึกษา หรือการฝึกงาน-ทำงาน ทั้งระยะสั้น หรือระยะยาว และต้องการบอกเล่าประสบการณ์ผ่าน "เรื่องเล่านักศึกษา" เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน

ติดต่อขอเล่าเรื่องได้ที่ mgr_campusworld@yahoo.com


http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000141800

“น้ำพระทัย พ่อหลวง” ทรงห่วงนักเรียนตัวน้อย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 พฤศจิกายน 2552 12:39 น.
“ในประเทศไทยนี้ ถ้าดูจากสถิติก็มีพลเมืองเพิ่มขึ้นทุกๆ วัน จึงสันนิษฐานได้ว่า พลเมืองของประเทศไทยนี้อยู่ในวัยเรียนมีอยู่เป็นส่วนมากทุกๆ ปี การที่ส่วนร่วมคือ ประชาชนทั้งประเทศเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาเป็นสิ่งที่ดีแล้ว จึงต้องช่วยจัดการให้เยาวชน ให้ประชาชนที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้ ได้มีโอกาสรับการศึกษาที่ดี เราจะไปอาศัยรัฐบาลหรือาศัยทางราชการช่วยให้บ้านเมืองเจริญด้านเดียวไม่ได้ เพราะว่าในสมัยนี้ถือว่าเป็นสมัยประชาธิปไตย ทุกคนมีส่วนในงานของประเทศชาติ….”

นั่นคือ พระ บรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ที่เหล่านักศึกษาจากชมรมราชมงคล “อาสาพัฒนาเฉลิมพระเกียรติ” มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)ธัญบุรี ได้ยึดมั่นและนำมาปฏิบัติตลอดมา พร้อมทั้งสานต่ออุดมการณ์ชาวค่ายฯ ที่ต้องการช่วยเหลือสังคม ด้วยการนำความรู้ไปพัฒนาโรงเรียนในเขตทุรกันดารและก่อสร้างอาคารเรียน หรือทดแทนอาคารที่เก่าชำรุดทรุดโทรม

ในปีนี้กลุ่มนักศึกษาจากชมรมราชมงคล “อาสาพัฒนาเฉลิมพระเกียรติ” มีภารกิจหลักสำคัญ หลังจากได้รับคำสั่งจากสำนักราชเลขาธิการ ให้ออกเดินทางไปยังเขตพื้นที่ทุรกันดารติดชายแดนไทย-ลาว ณ โรงเรียนบ้านบรรณโศภิษฐ์ อ.สองแคว จ.น่าน เพื่อทำการสร้างอาคารเอนกประสงค์ จำนวนหนึ่งหลัง

นายสกล โตสุวรรณ ผอ.ร.ร.บ้านบรรณโศภิษฐ์ กล่าวว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมา พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีมาที่โรงเรียนจึงได้เรียนท่านว่าสถานที่อาคารคับแคบไม่เพียงพอแก่ นักเรียนและประชาชนในพื้นที่ที่จะมาใช้บริการ เช่น ห้องเรียน ห้องอาหาร ห้องประชุมทำกิจกรรม ขาดแคลนหมด นักเรียนจำนวน 352 คน จึงอยู่กันอย่างขาดแคลนพอสมควร ฯพณฯ องคมนตรีก็รับปากว่าจะไปประสานหน่วยงานที่จะช่วยได้ ไม่นานก็ได้รับแจ้งจากสำนักราชเลขาธิการให้ทำหนังสือฎีกาถวาย เพื่อขอพระราชทานความช่วยเหลือ แล้วก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรด เกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชทรัพย์ 500,000 บาท และส่งนักศึกษาจากค่ายอาสาฯ มาช่วยสร้างโรงเรียนให้กับเด็กๆ

“การได้รับพระราชทานพระ มหากรุณาธิคุณดังกล่าวนำความปลาบปลื้มมาสู่โรงเรียนไม่ว่าจะเป็นครูอาจารย์ นักเรียน และชาวบ้านที่ได้รู้เรื่องกันถ้วนหน้า ซึ่งทุกคนต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและถือว่าเป็นบุญเป็นสิริมงคลอย่างที่ สุด”

“ท็อป” ธีระพัฒน์ ใจเรือน นักศึกษาชั้นปี 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี ประธานค่ายอาสาฯ เปิดเผยว่า หลังจากได้รับคำสั่งจากสำนักงานเลขาธิการฯ จึงเริ่มวางแผนที่จะสร้างอาคารเรียนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เริ่มจากลงพื้นที่สำรวจอาคารเรียน ซึ่งสิ่งที่พบมีเพียงความว่างเปล่า และสภาพอาคารที่ทรุดโทรม แต่ด้วยความตั้งใจของชาวค่ายอาสาพัฒนาเฉลิมพระเกียรติที่ตระหนักถึงความ สำคัญ 2 ประการ คือ การพัฒนาสังคมและประเทศชาติ อีกทั้งเพื่อสนองเบื้องยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงพระราชทานความช่วยเหลือต่อ ร.ร.บรรณโศภิษฐ์ และเป็นการเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ครบ 80 พรรษา ในปี พ.ศ.2550 จึงทำการก่อสร้างอาคารเรียนภายใต้ ชื่ออาคารว่า “ราชมงคลเฉลิมพระเกียรติ"

“อีก สิ่งที่สำคัญคือ กิจกรรมค่ายอาสาฯ เป็นการพัฒนานักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ ถือเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เรียนรู้ การทำงานร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนรู้จักการเสียสละเพื่อสังคม"

“เทม” ปริพัฒน์ เนตรมณี นักศึกษาชั้นปี 1 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มทร.ล้านนา จ.น่าน เอ่ยถึงกิจกรรมในครั้งนี้ว่า รู้สึกดีใจที่ทำสิ่งดีๆ เพื่อในหลวง แม้ว่าจะเป็นกิจกรรมเล็กน้อยๆ ที่พอจะใช้เวลาว่างจากการเรียนมาทำประโยชน์ ซึ่งนั้นก็ถือว่าเป็นความภูมิใจที่สุดในชีวิตของการเป็นนักศึกษาค่ายอาสาฯ

“เนตร” ธเนศ หงส์คำภา นักศึกษาปริญญาโท คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มทร.ธัญบุรี ผู้คลุกคลีอยู่ในชมรมอาสา ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี จนกระทั่งเรียนต่อในระดับปริญญาโท ก็ยังคงเข้าร่วมกิจกรรมของชมรมไม่ขาด และได้ใช้ประสบการณ์จากครอบครัวที่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง มาช่วยงานค่าย และแนะนำรุ่นน้อง

“ที่ สำคัญการทำกิจกรรมของค่ายอาสาฯ ครั้งนี้ และที่ผ่านมา ถือว่าเป็นบทเรียนที่มีค่ามากสุด ที่ครั้งหนึ่งได้ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน และในหลวงของเรา”

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บีโอไอ:OSOS กับการปฏิวัติบริการของทางราชการไทย

โดย ยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์ 22 พฤศจิกายน 2552 14:20 น.
แนวคิดเกี่ยวกับศูนย์บริการร่วมแบบ One Stop Service ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศไทยแต่อย่างใด โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ได้จัดตั้งขึ้นมาเป็นเวลานับ 30 ปีแล้ว และพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2552 จะเป็นก้าวสำคัญอีกครั้งหนึ่งเมื่อมีการเปิดให้บริการของศูนย์ OSOS

ปัจจุบันมีการกล่าวกันว่ากฎระเบียบของทางราชการเป็นความชั่วช้าที่จำ เป็น กล่าวคือ หากไม่มีกฎระเบียบแล้ว สังคมจะเกิดปัญหาในรูปแบบต่างๆ แต่กฎระเบียบได้ก่อให้เกิดความไม่สะดวกในการดำเนินธุรกิจ ดังนั้น แม้กฎระเบียบได้กำหนดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ในเชิงบวก แต่ปัญหาได้เกิดขึ้นเนื่องจากมีการออกกฎระเบียบมากเกินไป ทำให้การอนุญาตอนุมัติของทางราชการเป็นไปอย่างล่าช้า

หากกฎระเบียบยิ่งยุ่งยากเท่าไร นับเป็นตัวการสำคัญที่บ่มเพาะการคอร์รัปชัน โดยภาคธุรกิจยิ่งมีแนวโน้มจ้างที่ปรึกษาหรือหน้าม้าไปติดต่อหน่วยราชการมาก ขึ้นเท่านั้น ทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจุบันมีกฎระเบียบจำนวนมากที่มีคุณภาพต่ำ การดำเนินการบังคับใช้เป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ จะยิ่งส่งผลกระทบทางลบอย่างกว้างขวางต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เนื่องจากทำให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนสูงขึ้นมาก ส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้ประชาชนภายในประเทศต้องซื้อของแพง ขณะเดียวกันกรณีเป็นกิจการผลิตเพื่อส่งออก ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทำให้ความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออกลดลง

ปัจจุบันเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่าประชาชนและภาคธุรกิจต้องการบริการ ที่สะดวกสบายและเบ็ดเสร็จในขั้นตอนเดียว รวมถึงเปิดให้บริการยาวนานในแต่ละวัน เป็นต้นว่า เมื่อต้องจับจ่ายซื้อสินค้า ต้องการไปที่ศูนย์การค้าใดศูนย์การค้าหนึ่งแต่เพียงแห่งเดียว สามารถซื้อสินค้าและรับบริการต่างๆ ที่ต้องการได้ทั้งหมด ไม่ต้องขับรถตระเวนไปหลายสถานที่

จากแนวโน้มข้างต้น ทำให้ภาคธุรกิจเอกชนต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เป็นต้นว่า โรงภาพยนตร์ ธนาคาร ไปรษณีย์ ร้านอาหาร ร้านขายทอง ศูนย์ประชุม โรงแรม โรงเรียนกวดวิชา โรงเรียนสอนดนตรี สวนสนุก โบว์ลิ่ง ฯลฯ ซึ่งเดิมตั้งกิจการแยกต่างหากในลักษณะ Stand Alone ก็ปรับเปลี่ยนย้ายมาตั้งกิจการในศูนย์การค้า ทำให้ศูนย์การค้ากลายเป็น One Stop Service ของภาคเอกชนอย่างไม่เป็นทางการ

หากบริษัทใดที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ได้ ก็ต้องเตรียมใจว่าจะต้องม้วนเสื่อหรือล้มละลาย ตัวอย่างเช่น โรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่จำนวนมากที่ตั้งแบบ Stand Alone ต้องม้วนเสื่อเลิกกิจการไปตามระเบียบ

สำหรับบริการของทางราชการก็เช่นกัน ภาคเอกชนต้องการบริการที่สะดวกสบายและเบ็ดเสร็จโดยติดต่อจากเพียงแห่งเดียว แต่สถานการณ์กลับตรงกันข้าม การดำเนินการแต่ละเรื่องต้องไปติดต่อกับหน่วยราชการหลายแห่ง แต่ละแห่งอยู่ห่างไกลกันมาก แต่ก็ไม่มีทางเลือกที่จะไปซื้อบริการจากผู้ให้บริการซึ่งมีประสิทธิภาพในการ ให้บริการที่สูงกว่า ดังนั้น จำเป็นต้องทนรับบริการที่มีคุณภาพต่ำกันต่อไป

สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาด้านบริการของราชการนั้นมีหลายแนวทาง ตั้งแต่ปรับโครงสร้างอำนาจหน้าที่ของหน่วยราชการเพื่อให้สามารถอนุมัติ อนุญาตหรือให้บริการ สามารถดำเนินการโดยหน่วยราชการเพียงแห่งเดียว แต่การดำเนินการปรับโครงสร้างนับเป็นกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อน เนื่องจากต้องเกี่ยวข้องกับกฎหมายและกฎระเบียบมากมาย ขณะเดียวกันหน่วยราชการแต่ละแห่งต่างหวงอำนาจของตนเอง

อีกแนวทางหนึ่ง คือ การปลดผู้บริหารของหน่วยราชการที่มีประสิทธิภาพต่ำให้ไปประกอบอาชีพอื่น แล้วแต่งตั้งให้บุคคลอื่นที่มีความรู้ความสามารถสูงกว่ามาทำงานแทน แม้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่ายในภาคเอกชน แต่ก็นับเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมากเช่นเดียวกันสำหรับกรณีเป็นหน่วย ราชการ

สำหรับแนวทางที่มักเลือกใช้ คือ การปรับปรุงคุณภาพในภาครัฐให้อำนวยความสะดวกมากขึ้น ซึ่งได้มีการจำแนกบริการออกเป็นหลายระดับ ดังนี้

ระดับแรก First Stop เป็นเพียงบริการให้ข้อมูลข่าวสาร ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งหรือเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เป็นบริการครบวงจรแบบเบ็ดเสร็จแบบ One Stop แต่อย่างใด เป็นเพียงบริการแบบ First Stop เท่านั้น กล่าวคือ ผู้รับบริการจาก First Stop ต้องไปติดต่อหน่วยราชการ ณ สถานที่อื่นในลักษณะ Second Stop ติดตามมา

ระดับที่สอง Convenience Store เปรียบเสมือนกับร้านสะดวกซื้อ สามารถเลือกรับบริการจากหน่วยราชการใดหน่วยราชการหนึ่ง หรือหลายแห่ง ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง อย่างสะดวกสบาย ได้รับอนุมัติโดยทันที แต่ส่วนใหญ่จะเป็นบริการในลักษณะง่ายๆ เช่น การต่อทะเบียนรถยนต์ การจดทะเบียนบริษัท ฯลฯ โดยบริการที่ยุ่งยากและสลับซับซ้อน ต้องติดต่อหลายหน่วยราชการเหมือนเดิม

ระดับที่สาม ศูนย์บริการร่วม (One Stop Service Center) บางครั้งเรียกในชื่อว่า One Roof One Stop Shop กล่าวคือ ยังคงเน้นติดต่อรับบริการในลักษณะแบบเผชิญหน้ากัน (Face to Face) แต่จะอำนวยความสะดวกโดยผู้รับบริการเพียงไปติดต่อยังสถานที่เพียงแห่งเดียว เท่านั้น สามารถติดต่อกับหน่วยราชการต่างๆ ได้ทุกด้าน เนื่องจากหน่วยราชการต่างๆ ส่งบุคลากรมาประจำที่ศูนย์บริการร่วม

ระดับที่สี่ เป็นการให้บริการแบบครบวงจรผ่าน One Stop Government Portal ในระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ไม่เน้นการติดต่อรับบริการแบบเผชิญหน้า Face to Face แต่อย่างใด จึงช่วยลดปัญหาความล่าช้าและคอร์รัปชันไปได้มาก โดยหน่วยราชการต่างๆ ไม่มีสถานที่ทำงานในเชิงกายภาพตั้งอยู่รวมกันแต่อย่างใด ยังแยกการทำงานออกไปหลายแห่งเหมือนเดิม แต่ผู้รับบริการจะติดต่อผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์เพียงเว็บไซต์ใด เว็บไซต์หนึ่งเท่านั้น

ตัวอย่างหนึ่ง คือ กรณีของสิงคโปร์ เดิมผู้ประกอบการค้าระหว่างประเทศของสิงคโปร์ต้องกรอกแบบฟอร์มมากถึง 21 แบบฟอร์ม เพื่อส่งไปยังหน่วยงานต่างๆ มากถึง 23 แห่ง เพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้น หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง คือ กรมศุลกากรของสิงคโปร์ คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ (EDB) และหน่วยงานพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสิงคโปร์ (Infocomm Development Authority of Singapore - IDA) ได้ร่วมมือกันจัดตั้งระบบใหม่ขึ้น คือ Single Electronic Window for Integrated Workflow หรือ TradeXchange® ครอบคลุมทั้งในด้านศุลกากร หน่วยงานขนส่งทางทะเล ท่าเรือ ท่าอากาศยาน และหน่วยราชการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ภายหลังจากใช้ TradeXchange® ผู้รับบริการส่งออกนำเข้าสินค้าของสิงคโปร์ กรอกเพียงแบบฟอร์มเดียวเท่านั้น สามารถรับบริการจากหน่วยราชการได้ทั้งหมด ทั้งนี้ บริษัท IBM ได้คำนวณว่าระบบ TradeXchange® ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ผู้ประกอบการค้าระหว่างประเทศของสิงคโปร์สามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี หรือประมาณ 35,000 ล้านบาท/ปี

แนวคิดเกี่ยวกับศูนย์บริการร่วมแบบ One Stop Service ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศไทยแต่อย่างใด โดยในช่วงรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้มีการจัดตั้งศูนย์บริการเพื่อการลงทุนขึ้น โดยบีโอไอได้รับมอบอำนาจให้ออกใบอนุญาตโรงงาน รวมถึงรับบริการติดต่อกับหน่วยราชการต่างๆ เช่น สำนักงานอาหารและยา กรมป่าไม้ การขออนุญาตตั้งโรงงาน ฯลฯ โดยกำหนดเวลาให้บริการอนุมัติอนุญาตภายใน 90 วัน มีผู้มาใช้บริการจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล ประกอบกับหน่วยราชการต่างๆ ได้ปรับปรุงบริการให้ดีขึ้น จึงได้ยกเลิกบริการของศูนย์บริการเพื่อการลงทุน

ต่อมามีการร้องเรียนอย่างมากจากนักลงทุนต่างประเทศว่าไม่สะดวกในการ ติดต่อขอวีซ่ากับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและใบอนุญาตทำงานกับกระทรวงแรงงาน เนื่องจากอยู่ต่างสถานที่กัน มีขั้นตอน กระบวนการขออนุญาต และการอนุมัติที่ใช้เวลานาน นับเป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งต่อการลงทุนและการทำงานของชาวต่างชาติใน ประเทศไทย

เพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้น จึงก่อตั้งศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงานขึ้นตามระเบียบสำนักนายก รัฐมนตรีว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน พ.ศ. 2540 เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2540 เป็นต้นมา โดยหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกรมการจัดหางาน ได้จัดให้มีข้าราชการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการอนุญาตให้อยู่ต่อในราช อาณาจักรและการออกใบอนุญาตทำงานแก่คนต่างด้าวเข้ามาปฏิบัติงานเพื่อให้ บริการแบบเบ็ดเสร็จแบบ One Stop Services ณ สถานที่แห่งเดียวกัน โดยใช้เวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง

ล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 131/2552 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ประสานการบริการนักลงทุน โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) เป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นรองประธาน และเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นเลขานุการ เพื่อดำเนินโครงการจัดตั้ง ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน (One Start One Stop Investment Center – OSOS) โดยนักลงทุนสามารถติดต่อขอใช้บริการจากหน่วยราชการต่างๆ ได้ ณ จุดเดียว

การ ดำเนินการข้างต้นสามารถเดินหน้าอย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาเตรียมการเพียง 6 เดือนเศษ ก็สามารถแล้วเสร็จพร้อมเปิดดำเนินการ โดยบีโอไอกำหนดจะจัดพิธีเปิดศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุนขึ้นในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2552 ณ ชั้นที่ 18 อาคารจัตุรัสจามจุรี บริเวณสี่แยกสามย่าน ทั้งนี้ นับเป็นการเพิ่มคุณภาพบริการราชการแบบเบ็ดเสร็จครั้งสำคัญของไทย เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่หน่วยงานมากกว่า 20 แห่ง จาก 10 กระทรวง ที่จะมาเปิดให้บริการ ณ จุดเดียว

ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8161 หรือที่ head@boi.go.th