++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิธีทำ เจลล้างมือ ใช้เอง

   อย.แนะวิธีทำ "เจลล้างมือ" ใช้เอง

วันนี้ (22 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า การล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค เป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยใช้สบู่เหลวหรือสบู่ก้อนกับน้ำก็สามารถล้างได้อย่างหมดจด สำหรับกรณีที่ไม่สะดวกใช้น้ำ เช่น เดินทาง หรือไปในที่ที่ไม่สะดวกล้างมือด้วยน้ำ ก็สามารถใช้เจลล้างมือชนิดไม่ใช้น้ำเป็นทางเลือกเสริมได้ 

นพ. พิพัฒน์ กล่าวต่อว่า หากต้องการใช้เจลล้างมือชนิดไม่ใช้น้ำในปริมาณมาก เช่น สมาชิกครอบครัวขนาดใหญ่ หรือสำนักงานและโรงงานที่มีคนงานจำนวนมาก เพื่อเป็นการประหยัดก็สามารถทำเองได้ง่ายๆ โดย เตรียมอุปกรณ์ สารเคมี ดังนี้  อุปกรณ์ ถัง หม้อสแตนเลส หรือพลาสติก ขนาดบรรจุ 1.5 ลิตร ไม้พาย ถ้วยตวงขนาดบรรจุ 1 ลิตร (1,000 มล.) สารเคมี เอธิลแอลกอฮอล์ ปริมาณ 740 มล. กลีเซอรีน 10 มล. น้ำ 245 มล. น้ำหอม 5 มล. 

วิธีการผสม เตรียมสารละลายน้ำหอม

1. ตวงเอธิลแอลกอฮอล์ ปริมาณ 40 มล. โดยใช้ถ้วยตวงที่เตรียมไว้

2. เติมน้ำหอม ปริมาณ 5 มล. ลงไป

3. เติมกลีเซอรีน ปริมาณ 10 มล. ลงไป

4. กวนด้วยพายจนสารผสมเข้ากันดี ได้สารละลายใส

การ ผสมผลิตภัณฑ์นำเอธิลแอลกอฮอล์ที่เหลือ ปริมาณ 700 มล. ใส่ในถัง หม้อสแตนเลส หรือพลาสติก ขนาดบรรจุ 1.5 ลิตร เติมสารละลายน้ำหอมที่เตรียมไว้ลงไป กวนด้วยพายจนสารผสมเข้ากันดี จากนั้นเติมน้ำ ปริมาณ 245 มล. ลงไป กวนด้วยพายจนสารผสมเข้ากันได้ วิธีการง่ายๆ เท่านี้ ก็จะได้เจลล้างมือไปใช้เองในราคาที่ประหยัดอีกด้วย.

ที่มา นสพ.เดลินิวส์


วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

รถเข็นคนพิการต้นทุนต่ำมากคุณภาพของดีจากมทร.ธัญบุรี

รถเข็นคนพิการต้นทุนต่ำมากคุณภาพของดีจากมทร.ธัญบุรี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 กรกฎาคม 2552 12:18 น.
ชีวิต คนเราเลือกเกิดไม่ได้ การมีร่างกายครบ 32
สมบูรณ์ทุกประการนั้น ถือว่าโชคดีกว่าเป็นไหนๆ แม้จะมีหรือจน
หากยังมีโอกาสทำมาหาเลี้ยงชีพได้ แต่สำหรับคนที่ต้องพิการมาแต่กำเนิดล่ะ
ความลำบากของพวกเขาจะมากเท่าใด แค่การขยับแขน ขายังยากแล้ว
จะนับอะไรกับการทำมาหาเลี้ยงชีพ
แต่ขึ้นชื่อว่าคนไทยแล้วความมีน้ำใจช่วยเหลือต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่เคย
หายไป เช่นเดียวกับสถาบันแห่งหนึ่ง

ทีมผู้จัดทำรถเข็นคนพิการแบบประหยัด
นอกจากการเรียน การสอนอย่างมีคุณภาพแล้ว
ยังสร้างสรรค์ประโยชน์ต่อสังคมด้วย
ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นความตั้งใจดีๆ ของ มทร.ธัญบุรี โดยนักศึกษา
และอาจารย์ภาควิชาครุศาสตร์อุตสาหการ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.) ธัญบุรี
ที่ได้คิดค้นงานวิจัยเพื่อคนพิการขึ้นนั่นคือ
"รถเข็นคนพิการควบคุมด้วยไมโครคอนโทรเลอร์ (PIC16F877)"
ที่เอื้อประโยชน์มากมายสำหรับคนพิการ
จากต้นทุนน้ำใจที่อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
ไปสู่การคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง แถมราคายังถูกแบบสุดๆ
ด้วย


อาจารย์เดชฤทธิ์ มณีธรรม เจ้าของงานวิจัยเล่าว่า รถ
เข็นคนพิการที่ควบคุมด้วยไมโครคอนโทรเลอร์ (PIC16F877)
เป็นรถเข็นกึ่งอัตโนมัติที่นำเอามอเตอร์ DC
มาเป็นตัวขับเคลื่อนล้อของรถเข็นทั้งสองข้างโดยใช้ข้างละตัวและใช้อีกหนึ่ง
ตัวเพื่อควบคุมทิศทางในการเคลื่อนที่ของรถเข็น โดยใช้ คีย์สวิตซ์
เป็นตัวบังคับซึ่งจะช่วยให้ผู้พิการสามารถช่วยเหลือตัวเองได้
โดยหลักการทำงานคือ1.เริ่มจากการเขียนโปรแกรม โดยภาษาซี
(ภาษาระบบคอมพิวเตอร์)

แล้วทำการแปลงเป็น hex.file (ภาษาเครื่องจักร Machine Languages)
แล้วต่อเข้าไปที่CPU 2.Set ปุ่มการทำงานโดยการดาวน์โหลดซอฟแวร์ลงไป
เพื่อตั้งระบบKEY PAD เพื่อกำหนดทิศทางการเคลื่อนที่ของรถเข็น เช่น เลข 4
ไปซ้าย เลข 6 ไปขวา เลข 2 ไปหน้า และเลข8 ถอยหลัง และ/หรือ
ปุ่มที่เหลืออาจตั้งค่าให้เป็นไฟไซเรนเพื่อเวลาคนพิการต้องการความช่วยเหลือ
เป็นต้น

ขั้น ตอนสุดท้าย SET ปุ่มปรับความเร็ว
เพื่อให้ผู้ป่วยเลือกความเร็วระดับไหน ตามความต้องการ
ตัวรถเข็นรับน้ำหนักมากสุดถึง130 กิโลกรัม อัตราความเร็ว 7 กม./ชม.
ตัวมอเตอร์ DC ขนาด 24 โวลท์ 3 ตัว เวลาการใช้งานสูงสุด 2-3
ชั่วโมงขึ้นอยู่กับผู้ใช้งาน

ราคาต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 10,000-40,000 บาท
ในขณะที่ของต่างประเทศราคาอยู่ที่ 150,000-300,000 บาท
ถูกกว่าทั่วไปเกือบสิบเท่าตัว

นอกจากนี้ตัวไมโครคอนโทรเลอร์ (Microcontroller)
ยังมีหลายตระกูลด้วยกัน ที่นิยมใช้กันมากก็คือ ตระกูล(PIC16F877)
ที่ใช้ในงานวิจัยนี้ จุดเด่นของมันคือ สามารถนำมาใช้ได้หลากหลาย
หาซื้อได้สะดวก และสามารถเขียนโปรแกรมคำสั่งได้หลายครั้ง

อาจารย์ยังย้ำทิ้งท้ายอีกว่า หาก มีผู้ร่วมสนับสนุนทุน
และวัสดุอุปกรณ์ ก็ยินดีอย่างมากที่ จะประกอบตัวรถเข็น
แจกจ่ายให้ผู้พิการได้ใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึงมากขึ้นและกระจายวงกว้างมาก
ขึ้นเพื่อยกระดับคนพิการอีกด้วย"...

http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000084705

ระวังการกินอาหาร ช่วยต้านทานกรดไหลย้อน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 กรกฎาคม 2552 16:34 น.
โรคกรดไหลย้อน
หรือโรคที่เกิดจากการไหลย้อนกลับของกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นไปใน
หลอดอาหารส่วนบนอย่างผิดปกติ ทำให้เกิดอาการจากการระคายเคืองของกรด
รู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณหน้าอกหรือลิ้นปี่
หรือรู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก คล้ายอาหารไม่ย่อย
และอาจทำให้เกิดอาการไอเรื้อรัง หรือเป็นโรคปอดอักเสบ
เป็นอีกโรคหนึ่งที่กำลังมาแรง
สร้างความรำคาญและความทรมานให้ร่างกายของใครหลายๆคนไม่น้อย

สาเหตุของโรคนี้มีหลายอย่างด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำหนักตัวที่มากเกินไป
ทำให้มีความดันในช่องท้องมากขึ้นจึงเกิดกรดไหลย้อนได้มากขึ้น
ความเครียดและการสูบบุหรี่ก็จะทำให้เกิดการหลั่งกรดมากเช่นกัน
ส่วนการนอนหลับหลังการกินอาหารก็มีส่วนเช่นกัน ควรรอประมาณ 3
ชม.หลังการกินอาหารหากต้องการนอนหลับ

ส่วนเรื่องของการกินนั้นก็มีส่วนมากเช่นกัน
โดยควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารมื้อดึก และไม่ควรรับประทานอาหารใดๆ
อย่างน้อยภายในระยะเวลา 3 ชั่วโมงก่อนนอน
พยายามกินอาหารที่มีไขมันต่ำและไม่กินอาหารที่มัน หรืออาหารที่มีรสจัด
เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด
อีกทั้งการกินมากเกินไปก็ทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้
จึงควรกินอาหารปริมาณพอดีในแต่ละมื้อ และควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภท
กาแฟ ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์
ก็จะช่วยลดอาการแสบร้อนจากโรคกรดไหลย้อนได้

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000085200

เพลิดเพลิน 5 พิพิธภัณฑ์ แห่งเกาะรัตนโกสินทร์

เพลิดเพลิน 5 พิพิธภัณฑ์ แห่งเกาะรัตนโกสินทร์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 กรกฎาคม 2552 16:33 น.
โดย : หนุ่มลูกทุ่ง

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
เมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมาฉันได้ไปร่วมกิจกรรม
"พิพิธพาเพลินเชิญเที่ยว ตอน เที่ยวย่านพิพิธภัณฑ์ ภาค 1" ที่ทาง
"มิวเซียมสยาม" เขาจัดขึ้นให้ผู้ที่สนใจได้ร่วมเดินทางโดยรถรางเพื่อเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ที่
น่าสนใจต่างๆในเกาะรัตนโกสินทร์
ซึ่งก็นับว่าตัดสินใจไม่ผิดเลยที่ขอร่วมเดินทางไปเที่ยวกันกับเขาด้วย
เพราะฉันได้ไปเยือนพิพิธภัณฑ์ถึงห้าแห่งด้วยกัน
แถมยังได้นั่งสบายๆบนรถราง
พร้อมทั้งมีมัคคุเทศก์คอยบรรยายสิ่งต่างๆที่น่าสนใจระหว่างทางให้ฟังกัน

เริ่มเดินทางไปชมพิพิธภัณฑ์แห่งแรก นั่นก็คือ
"พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร" พิพิธภัณฑ์ที่หลายๆคนเคยมาเที่ยวกันแล้ว
แม้บ่อยครั้งจะได้ยินคนบ่นว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ทันสมัย
มีแต่ของเก่าไร้ชีวิตชีวา
แต่ข้าวของหลายๆสิ่งภายในก็มีคุณค่าควรแก่การเข้าชม
อีกทั้งประวัติศาสตร์ของพื้นที่แห่งนี้ก็น่าสนใจ
โดยแต่เดิมนั้นบริเวณนี้เคยเป็น "วังหน้า" หรือ "พระราชวังบวรสถานมงคล"
ที่ประทับของวังหน้า หรือมหาอุปราช แต่ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5
ก็ได้ใช้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

ป้อมพระสุเมรุ หนึ่งในสองป้อมที่ยังเหลือในพระนคร
ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นอกจากจะมีข้าวของล้ำค่าจากหลายยุคหลายสมัย
แล้ว ก็ยังมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นโบราณสถานสำคัญอีกด้วย เช่น
พระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน
ซึ่งตอนนี้เป็นสถานที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ชาติไทย พระที่นั่งพุทไธสวรรย์
ที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองไทย
พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ที่เคยเป็นท้องพระโรงของวังหน้า หมู่พระวิมาน
หรือพระที่นั่งต่างๆ ของวังหน้าที่ใช้เป็นที่จัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ
ที่ควรค่าแก่การชม

รถรางวิ่งต่อมาที่ "พิพิธภัณฑ์ป้อมพระสุเมรุ" ป้อม
ปราการเก่าแก่ของกรุงเทพฯที่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงสองป้อมเท่านั้น
(อีกป้อมหนึ่งคือป้อมมหากาฬ) ป้อมแห่งนี้ตั้งอยู่ที่สวนสันติชัยปราการ
ตรงหัวมุมถนนพระอาทิตย์และถนนพระสุเมรุ

ป้อมพระสุเมรุนั้นสร้างขึ้นในปีที่สองของการขึ้นครองราชย์ของรัชกาล
ที่ 1 พร้อมๆกับการสร้างกำแพงเมืองและขุดคูรอบพระนคร
มีลักษณะเป็นป้อมก่ออิฐถือปูนความสูงสามชั้น
ชั้นบนเป็นหอรบสูงมีเครื่องบนเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องใช้ในการสังเกต
การณ์ข้าศึกจากทิศเหนือและบริเวณโดยรอบ

ข้าวของต่างๆ ที่ขุดพบในการปฏิสังขรณ์ป้อมพระสุเมรุ
วันนี้ฉันได้ปีนขึ้นไปอยู่บนป้อมพระสุเมรุเลยทีเดียว
ต่างจากวันอื่นๆ ที่ได้เพียงยืนมองอยู่เบื้องล่างเท่านั้น
โดยชั้นที่หนึ่งของป้อมนั้นเป็นลานป้อมรูปแปดเหลี่ยมด้านไม่เท่า
มีกำแพงล้อมรอบ บนกำแพงมีใบเสมา
ซึ่งระหว่างใบเสมาเหล่านั้นก็จะมีปืนใหญ่ตั้งไว้เพื่อป้องกันข้าศึกศัตรูที่
จะรุกรานเข้ามา และบนชั้นที่สองก็มีปืนใหญ่เช่นเดียวกัน
อีกทั้งที่กลางลานป้อมยังมีหอรบ ซึ่งปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ
แสดงประวัติของป้อมพระสุเมรุ รวมทั้งยังมีวัตถุโบราณต่างๆ
ที่ขุดพบในการปฏิสังขรณ์แต่ละครั้งอีกด้วย

ชมป้อมพระสุเมรุและสวนสันติชัยปราการกันแล้ว
รถรางพาเรามาต่อกันที่ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์"
แหล่งรวมผลงานศิลปะทั้งแบบไทยประเพณีและศิลปะร่วมสมัยชิ้นสำคัญของไทย
แต่เดิมนั้นสถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เคยเป็นพระตำหนักของเจ้านายฝ่ายวังหน้า
มาก่อน และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5
ก็ได้มีการรื้อถอนพระตำหนักเพื่อสร้างเป็นโรงกษาปณ์สิทธิการ
หรือโรงงานผลิตเงินเหรียญ ก่อนจะกลายมาเป็นหอศิลป์แห่งชาติ
หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ อย่างในปัจจุบัน

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์เจ้าฟ้า
ห้องจัดแสดงนิทรรศการถาวรของที่นี่นั้นมีผลงานชิ้นสำคัญหลายชิ้นด้วย
กัน ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 6 ภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน
พระบรมสาทิสลักษณ์ของกษัตริย์ที่วาดโดยจิตกรชาวต่างประเทศ
จิตรกรรมพุทธศาสนาวาดบนผืนผ้า หรือที่เรียกว่าพระบฎ
อีกทั้งยังมีผลงานภาพวาดและประติมากรรมของศิลปินแห่งชาติ
และศิลปินผู้มีชื่อเสียงของไทยอีกหลายท่านด้วยกัน

ในส่วนของนิทรรศการหมุนเวียนนั้นก็จะมีผลงานศิลปะของศิลปินทั้งชาว
ไทยและชาวต่างประเทศมาจัดแสดงให้ชมกันตลอดทั้งปี ประมาณเดือนละ 2
นิทรรศการ ซึ่งนิทรรศหมุนเวียนหนึ่งที่กำลังจัดแสดงอยู่ในตอนนี้ก็คือนิทรรศการของผู้
ที่ได้รับคัดเลือกจากโครงการประกวดจิตรกรรมร่วมสมัยพานาโซนิค ครั้งที่ 11
ซึ่งจะเปิดให้ชมกันได้ถึงสิ้นเดือนนี้

พระรูปของรัชกาลที่ 6 ภายในพิพิธภัณฑ์ รัชกาลที่ 6
รถรางวิ่งผ่านวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวังมาที่อาคารราชวัลลภ
ของหน่วยบัญชาการกำลังสำรอง หรือกรมการรักษาดินแดนเดิม เพื่อมาชม
"พิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ 6"
พิพิธภัณฑ์ที่มีสิ่งของเครื่องใช้ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นจำนวนมาก

พิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ 6 นี้ แบ่งเป็นสองห้องด้วยกัน โดยใน
"ห้องพระบารมีปกเกล้า" นั้น จะเป็น 5 ส่วน ได้แก่
ส่วนจัดแสดงการเทิดพระเกียรติ รัชกาลที่ 6
ซึ่งประดิษฐานพระบรมรูปจำลองรัชกาลที่ 6
ทรงเครื่องทรงพระมหาพิชัยยุทธเป็นสีแดงทั้งองค์
ถูกต้องตามตำราพิชัยยุทธนาการโบราณราชประเพณี ส่วนพระราชประวัติ
รัชกาลที่ 6 ส่วนจัดแสดงพระราชกรณียกิจ
ส่วนจัดแสดงพระปรีชาชาญด้านการทหาร
และส่วนจัดแสดงประวัติความเป็นมาของหน่วยบัญชาการกำลังสำรอง

ฉลองพระองค์แบบต่างๆของรัชกาลที่ 6
และห้องจัดแสดงอีกห้องหนึ่งนั้นก็คือ "ห้องรามจิตติ"
ซึ่งเป็นห้องที่จัดแสดงของใช้ส่วนพระองค์ ได้แก่ ฉลองพระองค์ ฉลองพระบาท
พระมาลา และเครื่องหมายต่างๆ
ซึ่งหน่วยบัญชาการกำลังสำรองได้รับมอบจากสำนักพระราชวัง
และเพื่อเป็นการรักษาของใช้ส่วนพระองค์เหล่านี้ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่
สุด โดยฉลองพระองค์เหล่านี้มีจำนวนนับร้อยๆเลยทีเดียว
ส่วนด้านในสุดของห้องก็จัดจำลองห้องทรงงานของรัชกาลที่ 6
ที่มีลายพระหัตถ์ของพระองค์ทั้งในภาษาไทย และภาษาอังกฤษให้ได้ชมกัน

มาปิดท้ายการเที่ยวย่านพิพิธภัณฑ์กันที่ "มิวเซียมสยาม"
พิพิธภัณฑ์ที่เน้นเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย
ด้วยการเรียนรู้ที่เน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ๆในการชมพิพิธภัณฑ์
และยังตั้งใจให้เด็กและเยาวชนไทยสร้างสำนึกในการรู้จักตนเอง
รู้จักเพื่อนบ้าน และรู้จักโลก ผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่
ทำให้การเรียนรู้ประวัติศาสตร์นั้นไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป

มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้
การเที่ยวชมมิวเซียมสยามนั้นถือว่าเป็นเรื่องสนุก
ต่างจากพิพิธภัณฑ์อื่นๆที่มักจะมีป้ายห้ามถ่ายรูป ห้ามจับ
แต่ที่แห่งนี้สามารถสัมผัสได้ทุกสิ่งแบบไม่หวงห้าม
อีกทั้งยังเล่นสนุกกับอุปกรณ์ทันสมัยต่างๆ ที่มีไว้ให้
สนุกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยทีเดียว
โดยเนื้อหาภายในมิวเซียมสยามนี้ก็แบ่งออกเป็น 17 ห้อง
ที่เล่าเรื่องราวความเป็นมาของประเทศไทยตั้งแต่ยังเป็นดินแดนสุวรรณภูมิ
จนมาถึงสยามประเทศ ก่อนจะมาเป็นประเทศไทยอย่างในปัจจุบัน

นอกจากพิพิธภัณฑ์ทั้ง 5 แห่งที่ฉันได้ไปเที่ยวมาวันนี้แล้ว
พิพิธภัณฑ์ในเกาะรัตนโกสินทร์นี้ยังมีอีกมากมายหลากหลายแห่ง
และนี่ก็เป็นการเที่ยวย่านพิพิธภัณฑ์ภาคแรกเท่านั้น
เชื่อแน่ว่าน่าจะมีภาคสองตามมาในไม่ช้านี้
ผู้ที่สนใจอยากเข้าร่วมกิจกรรมก็ต้องติดตามข่าวสารจากมิวเซียมสยามกันต่อไป

ความรู้มากมายในมิวเซียมสยาม

* * * * * * * * * * * * *
* * * * * * * * * * * * * *
* * * * * * * * * * * * * *
* * * * * *

สนใจกิจกรรมต่างๆ ของทางมิวเซียมสยาม
สามารถโทรสอบถามได้ที่.0-2225-2777 หรือดูรายละเอียดที่ www.ndmi.or.th

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000085370

'เมื่อก้าวขึ้นท่า เจ้ากับข้าพี่น้องกัน' สัญญาใจรับน้องข้ามฟาก ศิริราช' 119

'เมื่อก้าวขึ้นท่า เจ้ากับข้าพี่น้องกัน' สัญญาใจรับน้องข้ามฟาก ศิริราช' 119
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของนักศึกษาแพทย์
มหาวิทยาลัยมหิดลที่ได้มาเป็นลูกหลานสมเด็จพระบรมราชชนก(พระบิดาแห่งการแพทย์)
สโมสรนักศึกษาแพทย์ศิริราช จึงทำการต้อนรับน้องนักศึกษาแพทย์ชั้นปี 2
จากวิทยาเขตศาลายา จึงเข้าสู่บ้านอีกหลัง ณ ศิริราชด้วยประเพณี
"รับน้องข้ามฟาก" ที่มีมานานตั้งแต่สมัย พ.ศ. 2475

..... หลังเกิดเหตุนิสิตเตรียมแพทย์ที่ต้องข้ามไปเรียนฝั่งศิริราชในปีต่อไป
ทำร้ายผู้เล่นทีมคณะแพทย์ในการแข่งขันฟุตบอลระหว่างคณะแพทยศาสตร์กับคณะ
วิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดังนั้น ในปี 2475
รุ่นพี่เล็งเห็นว่าหากจะแก้แค้นก็จะกลายเป็นการทำลายความสามัคคีในหมู่นิสิต
แพทย์ไปเสีย จึงจัดเลี้ยงต้อนรับเป็นการแสดงการให้อภัย
และเชื่อมสามัคคีไปด้วยพร้อมกัน และเป็นการเริ่มต้นประเพณี
"รับน้องข้ามฟาก" ตั้งแต่นั้นมา

ซึ่งในปี 2552 สโมสรนักศึกษาแพทย์ฯ ได้จัดประเพณี
"รับน้องข้ามฟาก" เพื่อต้อนรับนักศึกษาแพทย์ปี 2 รุ่นที่ 119 จำนวน 263
คน จากวิทยาเขตศาลายาเพื่อมาศึกษาที่ศิริราช โดยพิธีเริ่ม
ตั้งแต่เช้าตรู่ทำบุญตักบาตรหน้าลานพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบรมราชชนก(พระ
บิดา) พร้อมเตรียมลงเรือข้ามฟาก ณ ท่ามหาราช สู่ท่าศิริราช
โดยมีคณบดีคณะแพทย์ศิริราชพยาบาล
จูงมือต้อนรับน้องใหม่ขึ้นท่าศิริราชด้วยตนเอง จากนั้นเข้าสู่พิธีสำคัญ
นั่นคือการถวายบังคมพระราชานุสาวรีย์เพื่อถวายคำสัตย์ปฎิณาณตนสู่การเป็นลูก
พระบิดาอย่างเต็มตัว
และเข้าสู่พิธีบายศรีสู่ขวัญเพื่อเป็นศิริมงคลแก่นักศึกษาแพทย์ศิริราช
พยาบาลในการใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้

"บี" สุวิกรม ฉัตรธรรมนาท นักศึกษาชั้นปี 5 คณะแพทย์ศิริราชพยาบาล
มหาวิทยาลัยมหิดล นายกสโมสรนักศึกษา บอกว่า
พวกเราต่างรอคอยเวลาที่จะมีน้องใหม่มาอยู่ในบ้านหลังนี้
สถานที่แห่งนี้น้องๆ
จะได้สัมผัสและฝึกฝนการเป็นแพทย์ตั้งแต่เนื้อหาความรู้
การประพฤติปฏิบัติตนที่เหมาะสมสำหรับการเป็นแพทย์

"ประเพณี
รับน้องข้ามฟากจัดขึ้นเพื่อต้อนรับน้องใหม่เข้าสู่บ้านหลังที่สอง
จะทำให้ความรู้สึก ความผูกพันที่รุ่นพี่มีให้รุ่นน้องนั้นเสื่อมคลาย
โดยเฉพาะคำแนะนำในการใช้ชีวิตของนักศึกษาแพทย์ศิริราชไม่ได้มีแค่ตำราเรียน
เรื่องกิจกรรมก็เป็นสิ่งสำคัญ
จะช่วยฝึกฝนให้นักศึกษาแพทย์เป็นคนโดยสมบูรณ์"

ณัฎฐิดา โอวัฒนาพานิช หัวหน้านักศึกษาแพทย์ศิริราชพยาบาลชั้นปี 6
รุ่น 115 เล่าถึงประเพณีนี้ว่า
สิ่งที่น้องจะได้รับจากประเพณีรับน้องข้ามฟาก คือ ความรู้สึก รับรู้
มองเห็น ความเข้าใจที่รุ่นพี่ มีให้รุ่นน้อง

"จากนี้ไปเราจะเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง การทำงานอาจจะหนัก
เหนื่อย ท้อใจ เสียใจ แต่เราก็อยู่และยิ้มรับได้ เพราะเมื่อมองไปรอบๆ
ที่แห่งนี้ยังมีเพื่อน พี่ อาจารย์ที่พร้อมจะรับฟังและช่วยเหลือเสมอ
มีโอกาสที่จะทำสิ่งๆ ดีให้กับบ้านหลังนี้ให้มากที่สุด
เพื่อจะได้บอกตัวเองในภายหลังได้อย่างภูมิใจว่า
เราเป็นหนึ่งในนักศึกษาแพทย์ศิริราชพยาบาล"

ด้าน "เมย์" ประภา ภักดีมีชัย นักศึกษาแพทย์ชั้นปี 2
กล่าวถึงความประทับใจที่เกิดขึ้นว่า
รู้สึกว่าเป็นวันสำคัญที่ทำให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งของศิริราชอย่างเต็มตัว
เพราะการเรียนในช่วงปี 1 เหมือนกับการเรียนรู้วิชาหลักๆ ทั่วไป แต่ถึงปี
2 มีโอกาสมาเรียนที่ศิริราช ซึ่งเปรียบเสมือนคลังความรู้
และประสบการณ์ชีวิตจากในห้องเรียนสู่ชีวิตการทำงานจริง

"เมื่อ ได้สัมผัสกับความรักที่ได้จากท่านคณบดี
และคณาจารย์ที่คอยดูแลตั้งแต่ขึ้น-ลงท่า
ทำให้รู้สึกอุ่นใจและประทับที่สุด ถือว่าเป็นการเดินทางเพื่อที่จะเป็น
นศพ. ศิริราชอย่างเต็มตัว"เมย์กล่าวด้วยความประทับใจ

ชมภาพบรรยากาศ ได้ที่นี้....
(ขอบคุณภาพจาก ชมรมถ่ายภาพ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล)

http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000084865

เวทีนโยบาย:ธรณีนี่นี้ใครครอง?

โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ


ท่ามกลางขณะประชากรโลกเท่าทวีทุกวี่วัน
ทว่าผืนแผ่นดินเพื่อเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่เพียงตกอยู่ในมือเจ้า
ที่ดิน (Landlord) น้อยราย
ซ้ำร้ายยังถูกแย่งชิงฉกฉวยด้วยวาทกรรมการพัฒนาและความมั่นคงทางอาหาร
(Food Security)
จากประเทศมั่งคั่งที่ตื่นตระหนกกับวิกฤตการณ์ข้าวยากหมากแพงกว้านเช่าและ
ซื้อที่ดินกักตุนเพื่อทำการเกษตรและนำผลผลิตที่ได้กลับไปประเทศตนเอง

เมื่ออาหารก่อเกิดจากแผ่นดิน
ผืนดินอุดมสมบูรณ์เข้าถึงแหล่งน้ำจึงมีค่าดั่งทองคำในมุมมองกลุ่มประเทศ
พัฒนาและกลุ่มประเทศคณะมนตรีความมั่นคงรัฐอ่าวอาหรับ (GCC)
ที่มีสหรัฐอาหรับเอมิเรตต์ และซาอุดิอาระเบีย เป็นหัวหอก
ดังปรากฏการณ์ประเทศซูดาน
อู่ข้าวแห่งโลกอาหรับที่ถูกสองยักษ์ใหญ่ใช้พื้นที่ปลูกข้าวสาลีรวมกัน 8
แสนเฮกตาร์ ขณะเกาหลีใต้ใช้ไปถึง 6.9 แสนเฮกตาร์

อีกทั้งซาอุฯ จะลงทุนถึง 100
ล้านเหรียญสหรัฐเช่าที่ดินเอธิโอเปียปลูกข้าว ข้าวสาลี และข้าวบาร์เลย์
สหรัฐอาหรับฯ ก็เล็งซื้อที่ดินเพิ่มในทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้ เวียดนาม
กัมพูชา เพื่อเพาะปลูก
และจีนก็จับจ้องคองโกในการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อรองรับการบริโภคอาหารและ
พลังงานชีวภาพ

นอกจากระดับรัฐบาล บรรษัทระดับโลกยังแห่ลงทุนด้านนี้ เช่น Alpcot
Agro ของสวีเดนซึ่งซื้อที่ดิน 1.2 แสนเฮกตาร์ในรัสเซีย Morgan Stanley
ซื้อที่ดิน 4 หมื่นเฮกตาร์ในยูเครน Hyundai ของเกาหลีใต้ทุ่ม 6.5
ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อถือหุ้นใหญ่บริษัท Khorol Zerno
ที่เป็นเจ้าของที่ดิน 1 หมื่นเฮกตาร์ในไซบีเรียตะวันออก ทั้งนี้
โดยการประมาณของ IFPRI
พบว่าที่ดินประเทศยากจนถูกเช่าหรือซื้อโดยต่างชาติเพื่อทำเกษตรราว 15-20
ล้านเฮกตาร์ มูลค่าแต่ละปี 20-30 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ขนาดไม่รุ่มรวยทรัพยากรยังถูกยึดครอง
แล้วไยไทยที่อุดมสมบูรณ์สุดแห่งภูมิภาคจะรอดพ้น
ดังความพยายามของประเทศบาห์เรนที่จะมาลงทุนปลูกกล้วยและข้าวในไทยโดยกระบวน
การเจรจาระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล (G2G) หรือที่ทักษิณ
ชินวัตรชักชวนนักธุรกิจชาวซาอุฯ เข้ามาลงทุนทำนาหรือเช่าที่ดินทำนา
และส่งข้าวขายต่างประเทศ
โดยจัดตั้งบริษัทรวมใจชาวนาขึ้นมารองรับสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช รวมทั้ง
GCC ยังยืนยันจะลงทุนปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์ในไทยต่อไป

ด้วยถึงไทยจะมีทั้ง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542
ที่ระบุชัดว่าคนต่างชาติไม่สามารถเข้ามาลงทุนทำนาทำไร่ทำสวนเลี้ยงสัตว์และ
ค้าที่ดินในไทยได้เพราะถือเป็นธุรกิจสงวนสำหรับคนไทยที่กำหนดไว้ในบัญชี
หนึ่ง และระเบียบปฏิบัติการขอได้มาซึ่งที่ดินของนิติบุคคลที่มีคนต่างด้าวถือหุ้น
เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงกฎหมายโดยให้คนไทยเป็น 'นอมินี'
ถือหุ้นแทนคนต่างด้าว

หากกระนั้นในกฎกติกาที่ดูเข้าที่เข้าทางก็ยังพบช่องโหว่อยู่มากจาก
การเปิดโอกาสให้ต่างชาติสามารถร่วมลงทุน (Joint Venture)
กับคนไทยทำธุรกิจใดก็ได้
ไม่เว้นแม้แต่เช่าหรือซื้อที่ดินไทยเพื่อทำการเกษตรถ้าถือหุ้นไม่เกินร้อยละ
49.99 เพราะที่ผ่านมามีการตั้งบริษัทรับโอนที่ดินเพื่อประโยชน์แก่คนต่างด้าวมาก
มายที่สาวลึกลงไปจักพบว่าเงินผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยนำมาซื้อที่ดินนั้นเป็น
ของต่างชาติ

เหนือ อื่นใดการเป็นหนอนบ่อนไส้บ่อนทำลายชาติบ้านเมืองโดยสมคบคิดกับต่างชาติสร้าง
อาณานิคมใหม่ (Neo-Colonial) ทางการเกษตรในผืนแผ่นดินมาตุภูมิ
ด้วยการฉกฉวยที่ดินไปจากมือเกษตรกรไทยตามแรงขับทางเศรษฐกิจที่อยู่เหนือ
เหตุผลผิดถูกใดๆ
โดยไม่คำนึงว่าพวกเขาจะต้องตกเป็นลูกจ้างทำนาทำไร่ทำสวนบนธรณีที่เคยเป็นของ
ตนเอง หรือรุนแรงขนาดตกงานหรือไม่

หรือว่าการเห็นธงต่างชาติปลิวไสวในผืนแผ่นดินอู่ข้าวอู่น้ำบรรพบุรุษไม่รวดร้าวราน?

การปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมและสุขภาวะเกษตรกรไทยจึงต้องกระทำ
ทั้งทวงคืนความสมบูรณ์แก่แผ่นดินด้วยการลดละเลิกใช้เคมีภัณฑ์ตัวการทำลายดิน
หันมาทำเกษตรอินทรีย์ และปลูกหญ้าแฝกอนุรักษ์ดินและน้ำ
เร่งกระจายที่ดินทำกินแก่เกษตรกรรายย่อยให้มีที่ดินของตนเอง
รวมถึงบังคับใช้กฎหมายที่กำลังมาถึงเคร่งครัด ทั้ง
พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะทอนอำนาจเจ้าที่ดินและนักพัฒนาที่ดิน
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจการเมืองด้วยมาตรการภาษี และ
พ.ร.บ.สภาเกษตรกรที่เสริมสร้างสิทธิเกษตรกร (Farmers' Rights)
ให้เข้าถึงปัจจัยผลิต เมล็ดพันธุ์ ที่ดิน และแหล่งน้ำมากขึ้น

และที่สำคัญต้องเท่าทันวาระการเมืองโลก (World's Political
Agenda) ที่ใช้เงินสด สมุดเช็ค ทนายความ
และความมั่นคงทางอาหารแย่งชิงฉกฉวยผืนแผ่นดิน (Land Grab)
ของชาติยากจนต่างๆ ไปทำการเกษตรเพื่อป้อนผลผลิตกลับบ้านเมืองตนเอง
เนื่องด้วยประเทศร่ำรวยต่างตระหนักแล้วว่าภายใต้ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี
แหล่งน้ำ และที่ดินเหมาะแก่การเพาะปลูก
ย่อมนำมาซึ่งความไม่มั่นคงทางอาหาร ดังถ้อยความ Mohammed Raouf
ผู้จัดการโครงการวิจัยสิ่งแวดล้อมของ Gulf Research Center
ที่ยอมรับว่าการได้ครอบครองแผ่นดินต่างชาติคือนโยบายดีที่สุดในการสร้างความ
มั่นคงทางอาหารระยะยาว
และลดงบประมาณมหาศาลจากการไม่ต้องซื้อหาผลผลิตผ่านตลาดโลก

ขณะอีกด้านกลับทอดทิ้งผู้คนในประเทศฐานผลิตอาหารไว้ในความอดอยาก
เหมือนดังซูดานและเอธิโอเปีย 2
ดินแดนแห่งภาวะทุพภิกขภัยที่ไม่อาจจัดหาอาหารให้แก่ประชากรตนเองได้เพียงพอ
เพราะพื้นที่ส่วนหนึ่งถูกจับจองโดยประเทศร่ำรวย
จนจลาจลปากท้องกิ่วหิวโหยเกิดหลายครั้งคราว

ดังนั้นจะมองมุมใดก็ไม่ใกล้เคียง Win-Win
นอกเสียจากว่าประเทศคู่ลงทุนจะเข้าใจลึกซึ้งถึงนัยสำคัญของผลประโยชน์ร่วม
กัน (Mutual Benefits)
ผ่านการถ่ายโอนเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์นวัตกรรมและเพิ่มพูนผลผลิต
จนถึงสร้างงานตามข้อเสนอเชิงนโยบายของ FAO เป็นอย่างน้อย

ครั้นหวนมองไทยที่ส่งออกข้าวอันดับหนึ่ง
การปล่อยประชากรทุพโภชนาการคงยากมากกว่าการสมยอมต่างชาติเข้ามาเช่าหรือซื้อ
ที่ดินเพื่อทำการเกษตรโดยอาศัยการร่วมทุนกับคนไทยบังหน้า

ซึ่งถ้าพินิจเชิงลึกอาจพบว่าพื้นที่เกษตรกรรมกว่า 170
ล้านไร่หรือร้อยละ 53.10
ของพื้นที่ประเทศกลายเป็นของต่างชาติไปแล้วจำนวนมากจากการร่วมลงทุนที่หนุน
นำโดยคนไทยหรือบรรษัทไทยหัวใจนอมินี
ขณะผืนดินส่วนใหญ่ก็ตกเป็นของกลุ่มทุนธุรกิจการเมืองหมดแล้ว
จะเหลือที่ดินทำกินของเกษตรกรรายย่อยก็น้อยนัก
ทั้งแนวโน้มยังหลุดไปเป็นของเจ้าหนี้ทั้งที่เป็นภาครัฐและธุรกิจอีกด้วย

ก็ ได้แต่วาดหวังว่ารัฐบาลที่ผ่านประสบการณ์ ส.ป.ก. 4-01
มาแล้วจะเข้าใจความหมายการปฏิรูปที่ดิน (Land Reform)
ว่าไม่ใช่แค่การจัดที่ดินและมอบสิทธิการใช้ประโยชน์พื้นที่ปฏิรูปที่ดิน
ทว่ารวมถึงการบริหารจัดการให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงปัจจัย 'ที่ดิน'
ต้นกำเนิดแห่งอาหารอย่างยั่งยืนด้วยการกำหนดกฎกติกาว่าด้วยการร่วมลงทุนด้าน
การเกษตรระดับ B2B และ G2G อย่างเข้มข้น

ทั้งนี้ เพื่อสกัดสภาวะโลกล้อมประเทศอีกทางหนึ่ง
การเร่งแปรหลักการรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ทั้งมาตรา 84 (8)
ที่ให้รัฐต้องคุ้มครองผลผลิตและการตลาดของเกษตรกรให้ได้ค่าตอบแทนที่เป็น
ธรรม และส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกรในรูปสภาเกษตรกร และมาตรา 85 (2)
ที่ให้รัฐต้องกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและดำเนินการให้เกษตรกรมี
กรรมสิทธิ์หรือสิทธิในที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างทั่วถึงโดยการปฏิรูป
ที่ดินและจัดหาแหล่งน้ำอย่างเหมาะสมเพียงพอ มาเป็น
พ.ร.บ.สภาเกษตรกรที่มีอำนาจปฏิบัติการจริงด้านสิทธิเกษตรกร
โดยเฉพาะการเข้าถึงที่ดินจึงจำเป็นยิ่งยวด

ด้วยศักยภาพ พ.ร.บ.สภาเกษตรกร
ไม่เพียงจะทำให้ชาวนาชาวไร่ชาวสวนทำเกษตรกรรมแบบทุนนิยมได้โดยไม่โดนเอารัด
เอาเปรียบเกินไป
หากยังยับยั้งการแย่งชิงผืนดินทำกินโดยต่างประเทศหรือนอมินีคนไทยได้อย่างมี
นัยสำคัญจากการรวมเป็นเครือข่ายพิทักษ์สิทธิเกษตรกร

ด้วย ถึงที่สุดธรณีที่ก่อเกิดอาหารเป็นสมบัติร่วมกันของมนุษยชาติ
หาควรมีใครครอบครอง
ฉากชีวิตผู้คนล้มหายตายจากจากการอดอยากหิวโหยเพราะถูกฉกฉวยที่ดินอย่างไม่
เป็นธรรมมาแล้วอ้างความเป็นเจ้าของเพียงลำพังดั่งปัจจุบันจึงยอมรับไม่ได้
ไม่ว่ากรณีใดๆ ด้วยอาหารคือปัจจัย 4
ที่ประชากรโลกทุกคนไม่เลือกยากดีมีจนมีสิทธิเข้าถึงไม่ต่างกัน.-

มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org

กรรม! โดย แสงแดด

กรรม!

โดย แสงแดด


เป็นกรณีที่น่าแปลกอย่างมาก ที่คนไทยจำนวนมาก ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด
ตั้งแต่ระดับล่างไปจนถึงระดับสูง "ยากดีมีจน!"
ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "รู้-เข้าใจ" ทั้ง "หลักการ-แนวคิด" ของ
"กฎแห่งกรรม" กันเป็นอย่างดี ตลอดจนกล้าหาญชาญชัยว่า สามารถตระหนักถึง
"กรรมดี-กรรมชั่ว" ได้อีกต่างหาก แต่พอซักถามทั้งในเชิงราบและเชิงลึกแล้ว
อาจจะตอบไม่ได้อย่างที่ทึกทักเข้าใจเองว่า "สามารถอธิบายได้!"

"กรรม" เป็นปรัชญาและเป็นคำสั่งสอนแทบจะทุกศาสนาที่มีอยู่ในโลกนี้
เพียงแต่ศาสนาพุทธจะมีการอธิบาย "หลักทางพระพุทธศาสนา" ได้มากกว่า
ทั้งนี้น่าเชื่อว่า ศาสนาคงจะมีกระบวนการอธิบายและสั่งสอน "หลักแห่งกรรม"
หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า "Karma" เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น
ศาสนาอื่นไม่ว่า ศาสนาคริสต์ ศาสนาฮินดู ศาสนาอิสลาม ลัทธิพราหมณ์
คงต้องมีปรากฏไว้ไม่แตกต่างจากศาสนาพุทธมากเท่าใดนัก

อย่างไรก็ตาม "แสงแดด"
คงไม่มีความรู้ความสามารถที่จะไปอาจเอื้อมนำหลักการและแนวคิดของศาสนาและ
ลัทธิอื่นมาอธิบาย สังเคราะห์ในบทความนี้ได้ เกรงว่าจะนำเสนอผิดๆ ถูกๆ
นอกเหนือจากเป็นการละเมิดจนถึงขั้นอาจถูกเข้าใจผิด แล้วอาจจะเป็น
"บาปกรรม" ที่ส่งผลกระทบตนเองอีกต่างหาก

สังคมไทยเป็น "สังคมเก่า-สังคมโบราณ" ตลอดจนเป็น "สังคมผสมผสาน"
กล่าวคือ "อารยธรรม (Civilization)" ของสังคมไทยมีการพัฒนามาเกือบ 800 ปี
ด้วยมีการผสมผสานของวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนศาสนาที่เก่าแก่
ทั้งฮินดู พราหมณ์ และพุทธ จนแทบจะแยกกันไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
"ความเชื่อ" และ "พิธีกรรม" ที่จะถูกนำมาประกอบพิธีอย่างกลมกลืน
และแน่นอนที่สุด "การถ่ายทอด" ตราบเท่าทุกวันนี้ ที่คนไทยทุกเพศทุกวัย
ทุกยุคทุกสมัย แม้กระทั่งใน "สังคมโลกยุคใหม่-สังคมโลกาภิวัตน์"
ที่วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีล้ำสมัยมาก แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังยึดติดอยู่กับ
"ค่านิยม-ความเชื่อ" เดิมๆ
ที่ถูกถ่ายทอดมาอย่างยาวนานเริ่มตั้งแต่สมัยสุโขทัย อโยธยา
และรัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน

กรณี "กฎแห่งกรรม" นั้น "แสงแดด" เองขอรับสารภาพ "เชื่อ" แต่
"ไม่งมงาย" อย่างไรก็ดี ความเชื่อในเรื่องของ "คุณงามความดี" และ
"บาปบุญคุณโทษ" นั้น ต้องเรียนตามตรงว่า "ยึดมั่นร้อยเปอร์เซ็นต์"
ซึ่งว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว
ก็เป็นกรณีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงจนแยกกันไม่ออกกับ "กฎแห่งกรรม"

"กฎแห่งกรรม" เป็น "วงเวียนแห่งสัจธรรมชีวิต"
ที่สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกใบนี้จะต้องมี "เกิด แก่ เจ็บ ตาย"
และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าผู้ใดยึดมั่นในหลักคุณงามความดี และบาปบุญคุณโทษ
ก็จะทำให้ช่วงชีวิตของมนุษย์นั้น มักจะได้ "ผลกรรม" ที่สร้างไว้ด้วย
"ถ้าทำดีมักจะได้ดีเป็นผลกรรมดี" หรือ
"ถ้าก่อกรรมทำเข็ญมักจะได้รับกรรมชั่วตอบสนอง!"

มนุษย์ปุถุชนทั่วไปเท่าที่ "แสงแดด"
ได้สัมผัสจากการพบปะผู้คนมากมายมา 50 กว่าฤดูฝน
ตลอดจนประสบการณ์ที่ได้สังเกตผู้คนที่มีโอกาสพบปะกัน ทั้งใกล้ชิดบ้าง
ห่างๆ ประปรายบ้าง จะตอบได้เลยว่า "ผู้ที่ประสบความสำเร็จ" ในชีวิต
มีชีวิตที่สงบราบรื่นจนถึงขั้นอิ่มเอิบ สุขสบาย
มักจะเป็นผู้ตระหนักและประพฤติปฏิบัติตนอยู่ใน "ศีลธรรม" อันดีงาม
ตลอดจนเป็นผู้ที่มี "คุณธรรม-จริยธรรม" ที่ดี

พูด ง่ายๆ ก็หมายความว่า "ผู้ใดที่ประกอบตนเป็นคนดีมีศีลธรรม
คุณธรรม จริยธรรม" อันดีงาม ไม่เคยเบียดเบียน รังแก ข่มเหงผู้อื่น
ไม่เคยเอารัดเอาเปรียบผู้ใด ตลอดจน ไม่โกงกิน ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง
ชีวิตของผู้นั้นจะเปี่ยมไปด้วย บุญ บารมี มีชีวิตที่สุขสบาย
มีแต่ผู้คนในสังคมยกย่อง สรรเสริญ อุปถัมภ์ค้ำจุน ซึ่งก่อแต่ "กรรมดี" จน
"กรรมชั่ว" ค่อยๆ มลายหายไปในชีวิตของคนคนนั้น

นั่นคือ ประสบการณ์ของ "แสงแดด"
ที่คอยเฝ้าติดตามบุคคลหลากหลายอาชีพตลอดระยะเวลา 30-40 ปีที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็น นิสิต นักศึกษา เพื่อนร่วมอาชีพ นักวิชาการ นักสื่อสารมวลชน
โดยเฉพาะข้าราชการ และ "นักการเมือง-นักธุรกิจ"

"ใครก็ตามที่ก่อกรรมทำเข็ญ" ย่อมต้องประสบพบเจอ "ผลกรรมชั่ว"
ที่ไล่ตามมาในที่สุด ดั่งคำกล่าวของผู้คนโดยทั่วไปว่า "กรรมติดจรวด"
หรือพูดง่ายๆ ก็หมายความว่า "ใครที่สร้างแต่กรรมชั่ว ด้วยการรังแก
เบียดเบียน โลภโมโทสัน ทุจริตคดโกง ในที่สุดก็ต้องโดนกฎแห่งกรรม"
นอกเหนือจากนั้น ยังมีการเปรยต่อด้วยว่า "ไม่ต้องไปรอชาติหน้าหรอก
ชาตินี้กรรมตามทัน!"

"การแก้เคล็ด" หรือ "แก้ดวง-สะเดาะเคราะห์"
เป็นปรากฏการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่นิยมชมชอบที่จะปฏิบัติกัน
โดยเชื่อมั่นว่าจะทำให้ชีวิตที่ประสบเคราะห์อยู่นั้น จะได้เจือจาง
หรือจนถึงขั้นมลายหายสิ้นไป ถามว่า วิธีคิดในลักษณะนี้ "ผิดหรือถูก"
ก็ต้องตอบว่า "ไม่ผิดและไม่ถูก"
เนื่องด้วยถ้าได้ประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์แล้ว "สุขใจ-สบายใจ"
ก็ดำเนินไปเถอะ เพียงแต่ว่า "เนื้อหาสาระ-แก่นแท้-ตัวตน" นั้น
"สะอาดบริสุทธิ์" หรือไม่

ถ้า "แก่นแท้ตัวตน" ยังจมปลักอยู่กับ
"ความชั่วร้าย-อาฆาตพยาบาท-เคียดแค้น"
ไม่สำนึกถึงบาปบุญคุณโทษและกรรมชั่วที่ตนเองก่อไว้ พิธีกรรมใดๆ
ก็ไม่สามารถลบล้างให้เกิด "กรรมดีได้!" นอกจาก "ความสุขใจ"
ต้องเกิดจากภายในเสียก่อน พิธีกรรมต่างๆ เหล่านั้น จะเป็นเพียง
"ตัวเสริม" ให้เกิดปีติได้เท่านั้น!

"หลักของพระพุทธศาสนา" เป็นศาสนาที่มุ่งเน้นเรื่องการพ้นทุกข์
และสอนให้รู้จักทุกข์และวิธีการดับทุกข์ให้พ้นจาก "อวิชชา :
ความไม่รู้ความจริงในธรรมชาติ" อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์จาก "กิเลส"
ทั้งปวง กล่าวคือ "ความโลภ-ความโกรธ-ความหลง"
โดยเน้นการศึกษาทำความเข้าใจ "การโยนิโสมนสิการด้วยปัญญา"
และพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง เห็นเหตุผลว่า
"สิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมีอิทัปปจจยตา"
ซึ่งเป็นไปตามความของธรรมชาติและสัตว์โลกที่เป็นไปตาม "กฎแห่งกรรม"
ด้วยความไม่ประมาทในชีวิตให้มีความสุขในทั้งชาตินี้ ชาติหน้าต่อๆ ไป
ด้วยการสั่งสมบุญบารมี ตลอดจนปรารถนาในพระนิพพานของ "ผู้มีปัญญา"

หลักคำสอนในพระพุทธศาสนา
มีทั้งหลักปฏิบัติที่เป็นหลักการพื้นฐานของ
"จริยธรรมสากล-คุณธรรมสากล-ศีลธรรมสากล" กล่าวคือ "จริยธรรมสากล" คือ
การรักษาหน้าที่ตามบทบาทที่สมมติของสังคม "คุณธรรมสากล" คือ
ความดีของจิตใจตามที่สังคมคาดหวังยึดถือ "ศีลธรรมสากล" คือ
การไม่ทำร้ายรังแกกัน ความประพฤติถูกต้องตามที่วัฒนธรรมนั้นๆ ยอมรับได้
และ "ปรมัตถธรรมสากล" คือ หลักปรัชญาหลักวิทยาศาสตร์หรือหลักวิชาการ

การประพฤติปฏิบัติของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ถ้ายึดมั่น
ยึดถือปฏิบัติตามหลักการของพระพุทธศาสนาและหลักการข้างต้น
ชีวิตก็มีแต่จะประสบความสุขความสำเร็จ และสุดท้าย คือ "จิตวิญญาณ-จิตใจ"
ก็จะ "สงบสุข!"

แต่ก็ยังมีคนบางคนที่ไม่เคยทบทวนและตระหนักเลยว่า
ตลอดระยะเวลาหนึ่งของช่วงชีวิตที่ผ่านมานั้น ได้ประกอบคุณงามความดี
โดยเฉพาะ "กรรมดี-กรรมชั่ว" มากน้อยเพียงใด จึงต้องมาประสบ "เคราะห์กรรม"
เช่นนี้ โดยอาจพยายามโกหกตนเอง สร้างวิจารณญาณ และ "ภาพลวงตา-ลวงใจ" ว่า
"ข้าฯ ทำถูก!" มาโดยตลอด

จะมา "แก้เคล็ด-สะเดาะเคราะห์" กันตอนนี้
มีแต่จะจมลึกสู่ก้นบึ้งของ "กฎแห่งกรรมชั่ว" เปรียบเสมือน
"บัวที่อยู่ในโคลนตม!"

น่า จะเลิกจองเวรจองกรรม อโหสิกรรม และทำสมาธิ
ทบทวนพฤติกรรมตนเองและคณะว่า "กรรมชั่ว"
ที่ยังพอกพูนอยู่นี้เกิดจากสาเหตุใด และสมควรจะก่อ "กรรมดี" ได้หรือยัง
เพื่อประโยชน์สุขบั้นปลายชีวิตของตนเองและครอบครัว
จะได้ส่องแสงสว่างอยู่เบื้องหน้า

มิใช่ยังเคลื่อนไหว ก่อกิจกรรม "ทำกรรม-ทำเข็ญ"
ให้แก่ชาติบ้านเมือง จนอยู่กันไม่เป็นสุข โดยเฉพาะ "ตนเอง-ครอบครัว!"
และที่เลวร้ายที่สุด "ชาติบ้านเมืองแตกแยก!" จนไม่รู้ว่า "สมานฉันท์"
จะเกิดขึ้นหรือไม่

ว่าไปแล้ว "การตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน!"
สมควรยึดถือปฏิบัติตั้งแต่เดี๋ยวนี้ มิใช่ "ก่อกรรมซ้ำเติมประเทศชาติ!"

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000085260

สังคมอุดมธรรม ชีวิตอุดมสุข "สภาวธรรม" ที่มวลมหาชนชาวไทยร่วมกันสร้างได้

สังคมอุดมธรรม ชีวิตอุดมสุข "สภาวธรรม" ที่มวลมหาชนชาวไทยร่วมกันสร้างได้
โดย สันติ ตั้งรพีพากร


บนฐานการเคลื่อนไหวปฏิบัติอย่างไม่หยุดยั้งของชาวพันธมิตรฯ
ทั้งในและต่างประเทศ กระบวนการถักทอต่อเชื่อมทางปัญญาก็ได้ดำเนินต่อไป
กระทั่งได้เกิดการเชื่อมโยงในระดับบูรณาการของ "ภูมิปัญญา" ชาวพันธมิตรฯ
(องค์ประกอบสำคัญของ "ปัญญาแกน" พันธมิตรฯ) เป็นระยะๆ
ในวงกว้างและไกลยิ่งขึ้น

ถึงวันนี้ กระบวนการดังกล่าว ได้ค่อยๆ
สะท้อนให้เห็นถึงอุดมการณ์สูงสุดของชาวพันธมิตรฯ ว่าถึงที่สุดแล้ว
จุดหมายปลายทางที่ชาวพันธมิตรฯ จะไปให้ถึงก็คือ
การสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมอุดมธรรม เพื่อให้คนไทยมีชีวิตอุดมสุข

อุดมการณ์สูงสุดนี้ จะทำหน้าที่เป็น "ธง"
คอยชี้ทิศนำทางให้ชาวพันธมิตรฯ ก้าวเดิน ด้วยจิตใจพร้อมที่จะฟันฝ่า
ต่อสู้ เอาชนะอุปสรรคต่างๆ
รวมทั้งการขัดขวางทำลายทุกรูปแบบที่มาจากทุกทิศทุกทาง
ในทุกขั้นตอนของการก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ "เดินมาถูกทาง" แล้วตั้งแต่ต้น

ดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่อง "อุดมการณ์พันธมิตรฯ" (ฉบับวันที่ 21
ก.ค. 52) สังคมอุดมธรรมที่ชาวพันธมิตรฯ จะไปให้ถึง เป็นองค์รวมแห่ง
"ธรรม" ของการปกครองที่สืบสานต่อเนื่องกันมาในบริบทสังคมชนิดต่างๆ
ที่มนุษยชาติสรรสร้างขึ้นมาเพื่อสนองตอบความต้องการของตนในการยกระดับคุณภาพ
และคุณค่าชีวิต หลักๆ ก็คือ ระบบ "ธรรมาธิปไตย" ของสังคมศักดินา ระบบ
"เสรีประชาธิปไตย" ของสังคมทุนนิยม และ ระบบ "ประชาธิปไตยประชาชน"
ในระบอบสังคมนิยม

กระนั้น ทั้งสามระบบนี้
กลับไม่ได้แสดงบทบาทได้อย่างเต็มที่ในยุคสมัยของตนเอง เช่น
ระบบธรรมาธิปไตยไม่ได้ยังประโยชน์สูงสุดแก่มวลมหาชน
ราษฎรผู้อยู่ใต้การปกครองของเจ้าศักดินาหามีสิทธิเสรีภาพในการดำรงชีวิตแต่
ประการใดไม่ ระดับความทรงธรรมของผู้ปกครองจึงมีความหมายเพียงว่า
ประชาราษฎร์ใต้อำนาจจะลืมตาอ้าปากได้มากขึ้นแค่ไหนในกรอบจารีตที่รัดรึงตรึง
อยู่ทุกลมหายใจนั้น

หรือสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลในสังคมทุนนิยม
ก็แสดงบทบาทได้เพียงแต่ในกรอบของตัวบทกฎหมายที่ตรากำหนดขึ้นมาโดยชนชั้นนาย
ทุน ผ่านทางนักการเมืองตัวแทนผลประโยชน์กลุ่มทุน
ซึ่งครองเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาเสมอ
ประชาชนผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ขูดรีด
ขาดซึ่งองค์ความรู้และการจัดการ
ย่อมไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้สิทธิเสรีภาพได้ตามตัวบทกฎหมาย หรือกระทั่ง
"เข้าไม่ถึง"กฎหมาย

ตรงกันข้าม กลุ่มทุนผู้ใช้อำนาจปกครองในระบบรัฐสภา กลับสามารถ
"เลือก" ที่จะใช้แง่มุมทางกฎหมายที่ "เปิดช่อง" ไว้ให้ล่วงหน้าแล้วเสมอ
ในการปกป้องและสนองตอบผลประโยชน์กลุ่มตน แม้เมื่อจับได้ไล่ทัน
ก็สามารถใช้กลไกรัฐปกป้อง เบี่ยงเบน หรือทำการแก้ไขปรับปรุง
ตัดแต่งตัวบทกฎหมายให้มีแง่มุมซับซ้อนยิ่งขึ้น
สำหรับการใช้กฎหมายในทางมิชอบเป็นไปอย่างแนบเนียนยิ่งกว่าเดิม
ในที่สุดระบบกฎหมายก็กลายเป็นเพียงตรายาง ประทับรับรองความเป็น "นิติรัฐ"
ของรัฐทุนนิยม และรับรองสิทธิเสรีภาพอันล้นเหลือของกลุ่มทุนเท่านั้น

ความเหลื่อมล้ำในการใช้สิทธิเสรีภาพดังกล่าว
ไม่มีทางแก้ไขให้ตกไปได้ในกรอบจำกัดของระบอบทุนนิยม

เมื่อมีความพยายามที่จะแก้ไขด้วยการปฏิวัติสังคม
โค่นล้มอำนาจปกครองของชนชั้นนายทุน สถาปนาอำนาจปกครองของชนชั้นกรรมาชีพ
เปลี่ยนจากรัฐทุนนิยมเป็นรัฐสังคมนิยม
ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในรัสเซียและยุโรปตะวันออก
ก็กลับปรากฏว่ากลุ่มและพรรคการเมืองที่ใช้อำนาจปกครองประเทศ
ส่วนใหญ่เอนเอียงไปในทางรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ
นัยว่าเป็นเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพที่กระทำต่อชนชั้นนายทุน
มิให้ชนชั้นนายทุนดำรงคงอยู่หรือถือกำเนิดขึ้นอีกต่อไป
แต่ความจริงกลับปรากฏว่า
ประชาชนผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดในประเทศ "สังคมนิยม"
เหล่านั้น ต้องสูญเสียสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลไปอย่างเบ็ดเสร็จ
ยิ่งเสียกว่าในรัฐทุนนิยม

ในที่สุดประชาชนในการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศต่างๆ
เกือบทั้งหมดก็พากันเลือกที่จะไม่เอาระบอบสังคมนิยม
พร้อมใจกันหันมายอมรับการปกครองในระบอบทุนนิยมเช่นที่เป็นไปอยู่ในประเทศ
ต่างๆ เกือบทั้งโลก
ทั้งนี้เพื่อให้สามารถใช้สิทธิเสรีภาพกำหนดชีวิตของตนเองเป็นเบื้องต้น

สำหรับประเทศจีนที่ยังคงความเป็นรัฐสังคมนิยมได้จนถึงทุกวันนี้
ก็ได้ปรับปฏิรูปตนเองอย่างขนานใหญ่
เปิดกว้างให้ประชาชนชาวจีนใช้สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลมากที่สุดเท่าที่จะมาก
ได้ พร้อมๆ กับเร่งพัฒนาทางเศรษฐกิจ
เสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่ชาวจีนส่วนใหญ่อย่างไม่หยุดหย่อน
สามารถพลิกชีวิตคนจีนส่วนใหญ่ที่เคยยากจนข้นแค้น เป็นอยู่ดีกินดี
มีสุขยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ความโดดเด่นของรัฐบาลจีน
โดยการกำกับของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน
อยู่ที่การดำเนินนโยบายสนองประโยชน์ประชาชนชาวจีน
ตามสถานภาพของการเป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน
และอุดมการณ์ยาวไกลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนที่จะสร้างประเทศจีนใน
ระบอบสังคมนิยมเอกลักษณ์จีนให้เจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟุ้งยิ่งกว่ายุคใดๆ

กระนั้น ด้วยโครงสร้างอำนาจที่รวมศูนย์อยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน
ทำให้ปัจจุบันนี้ สถานภาพของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์
โดยเฉพาะคือสมาชิกระดับสูงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ
ในการบริหารประเทศทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ทั้งในเมืองและในชนบท
ทั้งในภาคการเมืองและธุรกิจ "ลอยตัว" อยู่เหนือประชาชนชาวจีนทั่วไป
กลายสภาพเป็น "อภิสิทธิ์ชน"ที่ประชาชนชาวจีนทั่วไปรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์
และเป็นต้นตอที่ขุดออกได้ยากของการโกงกินคอร์รัปชัน

ในบริบทดังกล่าว สิทธิเสรีภาพของคนจีนทั่วไป
จึงไม่เท่าเทียมกับสิทธิเสรีภาพของสมาชิกพรรคและผู้มีอำนาจในพรรคและรัฐบาล
จีน อีกนัยหนึ่ง ก็คือ
ชาวบ้านทั่วไปมีสถานภาพต่ำต้อยกว่าเจ้าหน้าที่รัฐหรือสมาชิกพรรค
ตลอดจนวงศ์วานว่านเครือของพวกเขาเหล่านั้น

ทั้งหมดนี้ ชาวพันธมิตรฯ จะต้องแยกแยะ ดึงเอา "องค์ธรรม"
ที่เป็นแก่นสารที่แท้จริงของระบบ "ธรรมาธิปไตย" ระบบ "เสรีประชาธิปไตย"
และระบบ "ประชาธิปไตยประชาชน" มาประยุกต์ใช้ในระบบ "ประชาธิปไตยมวลมหาชน"
ที่ชาวพันธมิตรฯ ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น
ให้องค์ธรรมหรือแก่นสารของระบบการปกครองในอดีตแสดงศักยภาพอย่างสมบูรณ์ใน
ระบบใหม่ของเรา (และใหม่สำหรับชาวโลกเลยก็ว่าได้)

การสร้างระบบประชาธิปไตยมวลมหาชน ที่อำนาจกำหนดจากเบื้องล่าง
ทำหน้าที่กำกับการใช้อำนาจเบื้องบน บนฐานปัญญาของมวลมหาชนชาวไทย
จึงกลายเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวพันธมิตรฯ ที่จะต้องทำให้สำเร็จ
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

เพื่อรองรับการปรากฏขึ้นของ "สภาวธรรม" -- สังคมอุดมธรรม
ชีวิตอุดมสุข ที่คนทั้งโลกถวิลหา

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000085255

สุริยุปราคา : เหตุแห่งความกลัว

โดย สามารถ มังสัง


ถ้าเราย้อนไปในยุคที่สังคมมนุษย์ถูกครอบงำด้วยความกลัวต่อสิ่งลี้ลับ
อันเนื่องมาจากไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ
และขาดสติปัญญาในอันที่จะเข้าถึงเหตุอันเป็นบ่อเกิดของสิ่งลี้ลับนั้น
ก็จะพบว่า ผู้คนในยุคนั้นจะยอมจำนนต่อเหตุแห่งความลี้ลับ
และสถาปนาเหตุที่ว่านี้ให้อยู่ในภาวะของเทพเจ้า
และทำการเซ่นไหว้เป็นการเอาอกเอาใจเพื่อมิให้ทำอันตรายตน และคนที่ตนรัก
จึงทำให้เกิดเทพเจ้าประจำสิ่งต่างๆ ขึ้นมากมาย เช่น เทพเจ้าประจำไฟ
เรียกว่า พระอัคนี และเทพเจ้าประจำฝน เรียกว่า พระพิรุณ เป็นต้น
รวมไปถึงเทพเจ้าประจำดาวเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า พระอาทิตย์ และพระจันทร์

ต่อมาเมื่อมนุษย์มีการศึกษาค้นคว้าในเรื่องความลี้ลับ
โดยเฉพาะความลี้ลับของจักรวาฬ และสามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ
ได้อย่างมีเหตุมีผล
ความกลัวที่เคยเป็นต้นเหตุให้มีการเซ่นไหว้เพื่อเอาใจก็ได้เปลี่ยนมาเป็นการ
บูชาเทพเจ้า อันเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองธรรมชาติในลักษณะของการสำนึกคุณ
เช่น การบูชาแม่น้ำคงคา ด้วยเหตุว่าเป็นแหล่งน้ำในการทำการเกษตร เป็นต้น

การศึกษาและค้นคว้าของมนุษย์มิได้หยุดอยู่แค่ว่าเข้าถึงและอธิบายเหตุแห่ง
การเกิดปรากฏการณ์เท่านั้น
แต่ยังก้าวล่วงไปถึงการคาดการณ์แห่งการเกิดของปรากฏการณ์ต่างๆ
ได้ล่วงหน้าด้วย และการเข้าถึงเหตุแห่งการเกิดของปรากฏการณ์ได้ล่วงหน้า
แต่ของพุทธได้ปฏิวัติตัดแต่งคำสอนให้เข้าใจง่าย
และเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นด้วยคำว่า สมมติเทพ เช่น
มารดาและบิดาเป็นพรหมของบุตร โดยมีหน้าที่หรือคุณธรรมประจำ 4 ข้อ คือ
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นต้น

ความเชื่อในเรื่องสุริยุปราคาหรือราหูอมพระอาทิตย์
ถ้าดูจากนัยแห่งการเกิดศาสนาตามที่กล่าวแล้วข้างต้น
ก็น่าจะเกิดจากความสำนึกคุณในพระอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างในทำนองเดียวกับ
จันทรุปราคา

ดังนั้น การที่ผู้คนออกมาแสดงพฤติกรรมต่างๆ
ในวันที่เกิดเหตุการณ์ทั้งจันทรุปราคา และสุริยุปราคา
ด้วยการตีเกราะเคาะไม้ แม้กระทั่งยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อไล่ราหูให้ออกไป
ก็น่าจะเกิดด้วยต้องการช่วยพระจันทร์และพระอาทิตย์
ซึ่งผู้คนในยุคนั้นถือว่าเป็นเทพและมีคุณแก่โลกด้วยการให้แสงสว่างให้พ้นจาก
การถูกราหูอมนั่นเอง

ทำไมคนในยุคนี้ยังมีความเชื่อในเรื่องราหู ทั้งๆ
ที่ได้มีการค้นพบว่าแท้จริงแล้วราหูก็คือเงาของโลกที่ปรากฏบนดวงจันทร์
และเงาของดวงจันทร์ที่ปรากฏบนดวงอาทิตย์
และความเชื่อเช่นนี้ช่วยให้ผู้ที่เชื่อได้เนื้อหาสาระอะไรบ้าง?

เกี่ยวกับเรื่องนี้
ถ้าท่านผู้อ่านพอจะมีความรู้เรื่องโหราศาสตร์อยู่บ้าง
ก็พอจะรู้ว่าในศาสตร์นี้ถือว่าราหูเป็นบาปพระเคราะห์
คือดาวฝ่ายอกุศลมีอิทธิพลในด้านไม่ดีต่อบุคคลในดวงชะตาที่ราหูอยู่ในเรือน
ให้โทษ กล่าวคือจะทำให้คนคนนั้นเป็นคนมีนิสัยดื้อรั้น โลภ
และงมงายไร้เหตุผลเกินกว่าคนปกติ
แต่ทั้งนี้จะต้องไม่มีดาวพฤหัสบดีเข้ามาถ่วงดุลดาวราหูไว้
ถ้าดาวราหูและดาวพฤหัสบดีอยู่ในตำแหน่งถ่วงดุลกัน
จะทำให้คนคนนั้นรุ่งเรือง ประสบความสำเร็จในโลกแห่งโลกียะ

โดยสรุป ราหูไม่ใช่ดาว
แต่เป็นเงาของโลกในกรณีของการเกิดจันทรุปราคา
และเป็นเงาของดวงจันทร์ในกรณีของการเกิดสุริยุปราคา ไม่มีอิทธิพลใดๆ
แก่มวลมนุษย์ในทางตรง
แต่ในแง่ของความเชื่อในด้านโหราศาสตร์ในภาคพยากรณ์ที่อาศัยวิชาสถิติเป็น
เครื่องมือในการพยากรณ์ ก็คงจะนำมาบอกกล่าวอันอาจเกิดขึ้นได้บ้าง
แต่ไม่ใช่การเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากอิทธิพลของดาวราหูที่เข้ามาบดบัง
ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ในทำนองว่าเป็นผู้ดลบันดาลให้เกิด

ด้วยเหตุนี้ การที่เกจิอาจารย์ต่างๆ ออกมาทำนายทายทัก
ถ้ามองในแง่สถิติก็อนุมานได้ว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้บ้าง
แต่ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างมากก็แค่ 80%

ดังนั้น การที่ใครสักคนบอกว่าราหูให้โทษแก่โลก
และมนุษย์ทั้งโลกในวันที่เกิดจันทรุปราคาและสุริยุปราคาแล้วทำพิธีบูชาราหู
นั้น จึงไม่น่าเชื่อถือในแง่ของตรรกะ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1. ตามคติความเชื่อของพราหมณ์ที่ว่าราหูเป็นเทวดาองค์หนึ่ง
และเป็นเทวดาประเภทเกเรคอยทำร้ายพระจันทร์และพระอาทิตย์
แต่ในความเป็นจริงที่ค้นพบในทางดาราศาสตร์
เงาที่ปรากฏบนดวงจันทร์เป็นเงาของโลก
และที่ปรากฏบนดวงอาทิตย์เป็นเงาของดวงจันทร์

ดังนั้น
ความเชื่อเรื่องราหูตนเดียวคอยทำร้ายทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
ในลักษณะเดียวกันคือ บดบังแสงมิให้สว่าง หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า อม นั้น
ก็ขัดแย้งกัน ในกรณีของความเป็นราหูที่มีเพียงหนึ่ง
แต่โดยความเป็นจริงคือเงาของดาว 2 ดวงที่เทพเจ้า 2 องค์ในลักษณะเดียวกัน

2. ราหูในความหมายทางโหราศาสตร์
ถ้าดูให้ละเอียดแล้วมิได้ให้โทษถ่ายเดียว
แต่ยังให้คุณในลักษณะช่วยกระตุ้นให้เกิดความอยากเพื่อทำโน่นทำนี่
เพียงจะต้องมีดาวพฤหัสบดีคอยควบคุมให้อยู่ในกรอบแห่งคุณธรรมเท่านั้น

ดังนั้น ราหูในความหมายนี้ไม่ควรจะถูกขับไล่
แต่ควรจะถูกควบคุมให้อยู่ในกรอบ
และไม่ควรที่จะต้องทำพิธีเพื่อเอาใจในลักษณะแห่งความกลัวด้วย
เพราะเพียงกำหนดทิศทางพฤติกรรมของราหูให้แสดงบทบาทในทิศทางที่ควรจะเป็นก็จะ
ได้ประโยชน์จากราหู ในทำนองเดียวกับการคบคนเลว
ด้วยการป้องกันไม่ให้คนเลวทำร้ายคนดี
และจะได้ประโยชน์จากคนเลวมากขึ้นถ้าสามารถใช้คนเลวขจัดคนเลวด้วยกันให้พ้นไป
จากสังคมคนดี

จากนัยแห่งเหตุผลในเชิงตรรกะทั้ง 2 ประเภทนี้
ถ้านำเอามาคิดและประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ ก็พอจะได้ประโยชน์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการเมืองที่มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกัน
เหมือนกับเทพเจ้าในสรวงสวรรค์ที่มีทั้งฝ่ายเทพและฝ่ายมารอยู่ร่วมกัน
พระอินทร์ซึ่งปกครองสวรรค์จะต้องกำหนดบทบาทสองฝ่ายให้อยู่ร่วมกัน
และเกื้อกูลต่อหมู่มนุษย์เท่าที่ควรจะเป็น
เริ่มด้วยการให้เทพฝ่ายดีมีโอกาสปกครองเทพฝ่ายมาร
และใช้เทวดาฝ่ายมารเป็นเครื่องมือในการกำจัดความชั่วร้าย
ทั้งบนสวรรค์และโลกมนุษย์ไปพร้อมกัน

หรือ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ
เทวดาฝ่ายเทพจะอยู่ได้ยากหากควบคุมเทพเจ้าฝ่ายมารไม่ได้
และปล่อยให้มารมีอิทธิพลครอบงำสวรรค์ และลุกลามมาถึงโลกมนุษย์ด้วยอำเภอใจ
ชนิดไม่กลัวแม้กระทั่งพระอินทร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000084814

ประชาธิปไตย ไข้หวัด 2009

โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง


สถานการณ์โรคระบาดไข้หวัดใหญ่
เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่ใครคาดคิดไว้
และในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องใกล้ตัว มากกว่าที่ใครๆ
จะทำธุระไม่ใช่อีกต่อไป

หากเรามองปัญหาการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009
ให้ไกลไปกว่าปัญหาทางการแพทย์ หรือปัญหาของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ที่รัฐจะต้องคอยดูแลป้องกันเท่านั้น

เราจะเห็นมิติของความเป็น "ปัญหาสังคม" กลมกลืนอยู่กับปัญหาเชื้อโรค

เมื่อเป็นปัญหาสังคม ทุกคนในสังคมก็จะต้องมีส่วน ต้องช่วยเหลือกัน
ช่วยเหลือตัวเอง ช่วยเหลือชุมนุมของตนเอง
ช่วยเหลือสถาบันหรือองค์กรที่ตนเองสังกัด
และช่วยประเทศชาติส่วนรวมได้ในที่สุด

ถ้าเราสามารถจัดการกับปัญหาไข้หวัด 2009 ได้
เราก็จะสามารถพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศเราได้เช่นกัน เพราะอะไร ?

1) ไข้หวัด 2009 มีความเป็นประชาธิปไตย ไม่เลือกปฏิบัติ
แต่สามารถระบาดสู่คนทุกเพศ ทุกวัย
ทุกระดับชั้นมีโอกาสจะเข้าถึงหรือติดหวัดได้เท่าเทียมกัน
แต่เมื่อติดโรคหวัดนี้แล้ว โอกาสตายไม่เท่ากัน
ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานและการดูแลรักษาของแต่ละคน

สมมติ ว่า หากนายแดงเป็นคนมีภูมิต้านทานต่ำ มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง
ไม่ดูแลสุขภาพของตนเอง ส่วนนายเหลืองเป็นคนร่างกายแข็งแรง
ออกกำลังกายเป็นกิจวัตร มีพฤติกรรมดูแลสุขภาพของตนเองเป็นอย่างดี
เมื่อทั้งคู่ติดเชื้อ ปรากฏว่า นายแดงเสียชีวิต แต่นายเหลืองหายป่วย
เราไม่สามารถจะไปชี้หน้าด่าเชื้อหวัดว่า "สองมาตรฐาน" หรือ
"เลือกปฏิบัติ" ฉันใด ในประชาธิปไตยที่มีความเท่าเทียมทางกฎหมาย
ก็ต้องใช้บังคับกฎหมายไปตามข้อเท็จจริงและพฤติกรรมของแต่กรณี

2) ไข้หวัด 2009 สอนให้คนรู้จักสิทธิของตน
และสิทธิของสังคมส่วนรวม ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตย

เพราะคนติดเชื้อหวัด 2009 อาจคิดว่า
บุคคลย่อมมีสิทธิส่วนบุคคลที่จะพูด จะกิน จะนอน จะเดินทาง จะไปเที่ยว
จะทำกิจกรรมต่างๆ นานา ฯลฯ
แต่เมื่อการใช้สิทธิของตนอาจทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถูกละเมิดสิทธิ
หรือสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความอันตราย เกิดผลกระทบต่อสังคมส่วนรวม
สังคมก็สามารถ "จำกัดสิทธิของบุคคลหนึ่ง"
เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิและประโยชน์ของสังคมส่วนรวม
ตลอดจนสิทธิของคนอีกจำนวนมากในสังคมได้เช่นกัน

3) ไข้หวัดใหญ่ 2009 สอนให้คนใช้ช้อนกลางในการกินอาหาร
โดยเฉพาะคนไทยที่ชอบกินส้มตำ และกินกับข้าวจากจานเดียวกัน
เพราะจะป้องกันการติดเชื้อหวัดและเชื้อโรคอื่นๆ
จากการจ้วงตักอาหารจานเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังเป็นการฝึกให้ใช้ หรือบริโภคทรัพยากรที่มีจำกัด
(อาหารในจานรวม) โดยการผลัดกันตัก ผลัดกันกิน ไม่แย่งชิง ไม่กินคนเดียว
ทำให้ต้องคำนึงถึงคนอื่นๆ ที่รอกินเช่นเดียวกับเราด้วย

เป็น การฝึกให้คนในสังคม
นึกถึงผู้อื่นที่ต้องกินต้องใช้ทรัพยากรส่วนรวมร่วมกัน
ซึ่งถือเป็นอุปนิสัยพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสังคมประชาธิปไตย

4) การล้างมือและใส่ผ้าปิดปากปิดจมูก เป็นเครื่องเตือนสติ เตือนใจ
ทำให้ได้คิดว่า เราจะต้องไม่ทำกิจกรรมที่สร้างผลกระทบต่อสังคมและคนอื่นๆ
ให้เสียหาย เพราะการปิดปากปิดจมูก และการล้างมือ
นอกจากจะช่วยป้องกันเชื้อโรคไม่ให้แพร่เข้าสู่ตัวเองแล้ว
ยังช่วยป้องกันมิให้แพร่กระจายไปสู่คนอื่นๆ ด้วย

หากสังคมใดมีแต่คนเห็นแก่ตัว เอาประโยชน์ของตัวเองอย่างเดียว
ไม่สนใจว่าสังคมส่วนรวมจะเป็นอย่างไร หรือคนอื่นๆ จะได้รับผลกระทบอย่าง
สังคมเช่นนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เป็นอนาธิปไตย

การเรียนรู้ที่จะไม่เห็นแก่ตัว แต่รู้จักนึกถึงผู้อื่น
เป็นหัวใจสำคัญของสังคมประชาธิปไตย

5) ไข้หวัด 2009 ระบาดข้ามประเทศ ข้ามรัฐ ข้ามพรมแดน ข้ามภูมิภาค
ข้ามจังหวัด ความเป็นประชาธิปไตยก็มีความสัมพันธ์ข้ามประเทศ ข้ามเขต
อย่างไร้พรมแดนมากขึ้นทุกวัน
ประเทศที่ไม่เคยมีประชาธิปไตยก็ติดต่อสัมพันธ์
จนต้องมีประชาธิปไตยในประเทศ แทบไม่ต่างจากการติดหวัด

ปัญหา สำคัญ คือ การรู้เท่าทัน รู้จักพิจารณาจำแนกแยกแยะ
ว่าสิ่งใด แบบไหน คือประชาธิปไตยจริงหรือจอมปลอม
เช่นเดียวกับการตรวจพิสูจน์ว่า เชื้อหวัด 2009 จริง
หรือเป็นหวัดอย่างอื่น

เชื้อหวัด 2009 อาจต้องใช้เครื่องมือไฮเทค
เข้าห้องแล็ปตรวจพิสูจน์เพื่อความแม่นยำ กำกับดูแล แต่กับประชาธิปไตย
เราสามารถใช้ "ธรรม" หรือ "ธรรมชาติ" เป็นเครื่องมือพิจารณา และกำกับดูแล
เพราะประชาธิปไตยจะต้องมีธรรมะ หรือธรรมชาติเป็นใหญ่

สังคมประชาธิปไตยอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่จะต้องมี "สังคมธรรมาธิปไตย"

6) การระบาดของเชื้อโรค "ชีวภาพ" เกิดขึ้นในโลกมานับครั้งไม่ถ้วน

ในโลกใบนี้ สารพัดโรคเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

เราได้เรียนรู้ว่า เชื้อโรคเหล่านี้
เมื่อเกิดครั้งใดก็เกิดขึ้นหลายระลอก บ้างก็ว่า 3-5 ระลอก
ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า ขณะนี้ กรุงเทพฯ
กำลังอยู่ในช่วงสูงสุดของระลอกแรก แล้วกำลังจะลดความรุนแรงลง
แต่ไปแพร่เชื้อ ระบาดในต่างจังหวัดและชนบทในวงกว้าง

พื้นที่ กรุงเทพฯ อาจจะดูปลอดภัยขึ้นระยะหนึ่ง แต่ก็จะมีระลอก 2
ระลอก 3 ตามมาอีก ซึ่งจะใช้เวลาทั้งหมดกว่า 2-3 ปี เชื้อร้ายจึงจะสร้างซา
แต่นี่ก็เป็นการคาดการณ์ด้วยความหวัง และการมองโลกในแง่ดีของผู้เชี่ยวชาญ

คำถาม คือ เราจะปล่อยให้การจัดการกับการแพร่ระบาดของไข้หวัด 2009
อยู่ในมือของรัฐบาล และผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นหรือ

การฝากความหวังไว้ว่า จะมีวีรบุรุษ ผู้เชี่ยวชาญ หรืออัศวินม้าขาว
เข้ามาช่วยปัดเป่า หรือเสกให้ทุกคนหายหวัด
เหมือนที่เคยฝันว่าจะมีวีรบุรุษเข้ามาเสกให้ทุกคนหายจน
หรือเสกให้ปัญหาบ้านเมืองทุกอย่างยุติลง
ก็คงจะเป็นความหวังที่เลื่อนลอยอีกเหมือนเดิม

การ ฝากความหวังไว้กับผู้อื่น
ดูจะเข้ากันดีกับระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย เพียงแต่ครั้งนี้
คนที่เรารักกี่คน อาจจะต้องล้มหายตายจากกันไป ระหว่างที่งอมืองอเท้า
รอความช่วยเหลือ

วันนี้ ทุกคนจะต้องเข้าร่วมป้องกันตัวเองและชุมชนของตน
ร่วมป้องกันและดูแลหน่วยงาน องค์กร
และสถาบันที่ตนเองมีบทบาทหรือเป็นสมาชิก ร่วมดูแลคนติดเชื้อ คนป่วย
คัดกรองป้องกัน ทำความสะอาด ให้การศึกษาข้อมูลแก่ชุมชนของตนให้
"รู้ทันไข้หวัด 2009" เหมือนที่สังคมประชาธิปไตยไทยได้ "รู้ทันทักษิณ"

การมีส่วนร่วมของพลเมืองจึงสำคัญอย่างยิ่งในการกำจัดเชื้อร้าย
เช่นเดียวกับที่สังคมไทยเคยมีประสบการณ์ในจากจัดการเชื้อร้ายของประชาธิปไตย
จอมปลอมอย่าง "ระบอบทักษิณ" มาแล้ว

การจัดการกับปัญหา "ไข้หวัด 2009"
จำเป็นต้องได้การมีส่วนร่วมของประชาชนในสังคม
ไม่ต่างกับการจัดการกับปัญหาของประชาธิปไตย

7) สื่อมวลชน จะต้องมีบทบาท และทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ

การเล่นข่าวเต้ากระแส หรือแม้แต่จัดฉาก หรือเล่นข่าวแบบปิงปอง
โต้กันไป-มา เล่นข่าวสีสัน ไม่จับประเด็นสำคัญของปัญหา
โดยที่สื่อไม่ทำหน้าที่ในการให้ข้อมูลที่จำเป็น
วิเคราะห์โดยจรรยาบรรณวิชาชีพอย่างตรงไปตรงมา จะต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาไข้หวัด 2009
สื่อจะเล่นข่าวแบบที่เล่นกับข่าวการเมือง ไม่ได้เด็ดขาด

สื่อจะต้องให้ข้อมูล และนำเสนอประเด็นหัวใจสำคัญในสถานการณ์นี้
คือ ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาไข้หวัด 2009 อย่างไร
ไม่ใช่เพื่อให้เกิดความรังเกียจผู้ป่วย หรือเกิดความแตกตื่น
หรือหวังแต่รอการจัดการของรัฐ แต่เพื่อความเข้าใจ
และเกิดแรงผลักดันที่จะช่วยกันแก้ปัญหานี้

8) ทรัพยากรของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นยากรักษาไข้หวัด 2009
"โอเซลทามิเวียร์" หรือ วัคซีนที่อาจจะผลิตได้ ก็มีจำนวนจำกัดมาก
ไม่เพียงพอสำหรับทุกคน และมีราคาสูง ใช้งบประมาณมาก
การป้องกันจึงมีความจำเป็นและได้ผลมากกว่า

การมีส่วนร่วมของภาคพลเมือง
จะทำให้การกระจายยาและวัคซีนเป็นไปด้วยความถูกต้อง ตรงจุด
ตรงบุคคลที่เดือดร้อนมากที่สุด และได้รับการยอมรับ โปร่งใส เป็นธรรม

มิเช่นนั้น ผู้มีอำนาจ ผู้มีเงิน
ก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าใช้สิทธิพิเศษที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

เชื้อโรค "ชีวภาพ" เฉกเช่นไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009
คงจะอยู่กับเราไปอีกหลายปี
จนกว่าเราจะสร้างภูมิคุ้มกันด้วยธรรมชาติของมัน
หรือไม่ก็เร่งสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีน

แต่ในที่สุด ในอนาคต เชื้อวัด 2009 ก็คงจะกลายเป็นเชื้อเก่า
และจะมีเชื้อสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน

การ รู้ทันพฤติกรรมของเชื้อโรค โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
พลเมืองของประเทศ จะเป็นประสบการณ์ที่มีค่า
นอกจากจะช่วยสังคมต่อสู้กับภัยโรคระบาดได้แล้ว
ยังช่วยให้คนในสังคมเข้าใจระบอบประชาธิปไตยที่มีธรรมนำหน้า
หรือประชาธิปไตยที่สอดคล้องกับธรรมชาติของคนไทยได้ดีขึ้น

ไม่พึ่งพิงคนๆ เดียว ไม่ถูกนำพาโดยคนๆ เดียว
และมีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งต่อไปในอนาคต หากต้องเจอกับเชื้อร้ายของหวัด
2009 หรือเชื้อร้ายของระบอบทักษิณ ที่อาจจะกลายพันธุ์กลับมาอีกครั้ง

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000084656

เมื่อ "วัคซีน HPV" เหมาะกับสาวบริสุทธิ์ที่สุด

เมื่อ "วัคซีน HPV" เหมาะกับสาวบริสุทธิ์ที่สุด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


เมื่อการสำรวจ ประชากรหญิงทั่วโลก พบว่า กว่า 300,000 ราย
ต้องเสียชีวิต เพราะโรคมะเร็งปากมดลูก
ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ประสบกับโรคร้ายนี้มักอาศัยอยู่ในภูมิภาคแถบเอเชีย
แปซิฟิก และด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการประชุม The 1st Symposium on
HPV Vaccination in the Asia Pacific Region โดยสถาบันวัคซีนนานาชาติ
(International Vaccine Institute หรือ IVI) ที่จัดขึ้น ณ กรุงโซล
ประเทศเกาหลีใต้

# มะเร็งปากมดลูกอันดับสองรองจากเต้านม

ดร. John Clemens
ประธานสถาบันวัคซีนนานาชาติและผู้เชี่ยวชาญการประเมินผลของวัคซีนในประเทศ
ที่กำลังพัฒนา ให้ข้อมูลว่า จากการรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO)
พบประชากรที่เสียชีวิต เพราะโรคติดเชื้อมากขึ้นทุกวัน
โดยประเทศที่พัฒนาแล้วมีคนเสียชีวิตจากโรคเหล่านี้เพียง 10% ขณะที่อีก
90% พบมากในประเทศที่ยังไม่พัฒนาและกำลังพัฒนา ดังนั้นทางสถาบันIVI
จึงต้องผลิตวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อ
โดยเฉพาะโรคมะเร็งปากมดลูกให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ดร.นพ. Xavier Bosch
ดร.นพ. Xavier Bosch ผู้บริหาร Cancer Epidemiology and
Registration Unit Catalan Institute of Oncology จากบาร์เซโลนา
ประเทศสเปนเสริมว่า เชื้อไวรัส HPV (Human Papillomevirus) คือ
ไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก
ซึ่งเชื้อไวรัสตัวนี้จะติดต่อทางผิวหนังเท่านั้น
ไม่สามารถติดเชื้อผ่านกระแสเลือดได้

"โรคมะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่พบมากที่สุดเป็นอันดับที่ 5
ในกลุ่มโรคมะเร็งทั้งหมด แต่เป็นอันดับที่ 2
สำหรับโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นในผู้หญิง รองจากโรคมะเร็งเต้านม
ซึ่งมีผู้หญิงกว่า 80%เป็นเหยื่อของโรคนี้อันมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมทางเพศ
เพราะการร่วมเพศกันในแต่ละครั้ง
ผู้หญิงจะได้รับเชื้อเอชพีวีมาอย่างน้อยหนึ่งชนิด
ทั้งนี้โดยเฉลี่ยแล้วในทุกๆ 2
นาทีจะมีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกทั่วโลกเสียชีวิต 1 คน"

อย่างไรก็ดี ผลการสำรวจพบว่า
ช่วงอายุที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชพีวี นั่นคือ
กลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปี
ซึ่งทั่วโลกพบผู้ติดเชื้อแล้ว ประมาณ 9.2 ล้าน หรือ 74%
ขณะที่อายุโดยเฉลี่ยของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปาดมดลูกนั้นจะอยู่ที่
ประมาณ 57 ปี ส่วนโรคมะเร็งอื่นๆนั้น ผู้ป่วยจะมีอายุโดยเฉลี่ยที่ 72
ปีเท่านั้น

นักวิจัยอธิบายการผลิตวัคซีนเอชพีวี
ทั้งนี้ จากประสิทธิภาพของวัคซีนตัวนี้บวกกับขั้นตอนการผลิตและต้นทุนที่ค่อนข้างสูง
ทำให้ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นทั่วทวีปเอเชีย นั่นคือ
ความสามารถทางด้านการงานกับความต้องการวัคซีนที่ไม่สอดคล้องกัน กล่าวคือ
จากการเปิดตัววัคซีนเอชพีวีในประเทศแทบเอเชียแปซิฟิก พบว่าหลายประเทศ
ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย เวียดนาม อินโดนีเซีย หรือไทย เอง
ประสบกับปัญหาราคาแพง
ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถรับวัคซีนตัวนี้ได้อย่างทั่วถึง
ซึ่งในเรื่องนี้แม้ว่าทางประเทศอินเดียเองจะมีการจัดการลดต้นทุนโดยการผลิต
ตัวยาบางส่วนในประเทศของเขาเอง
แต่วิธีนี้ก็ไม่สามารถครอบคลุมทั่วถึงทั้งประเทศ
จึงส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกยังเพิ่งสูงขึ้นเป็นระยะๆ

ดร.Linda Eckert นักวิจัยวัคซีน จาก สถาบันวัคซีนนานาชาติของ WHO
HQ จากกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เผยว่า ในเรื่องของราคานั้น
ยอมรับว่า เป็นปัญหาสำหรับหลายๆ ประเทศ แต่อยากให้ทุกคนเข้าใจว่า
จุดประสงค์ของนักวิจัยทุกคนและองค์กรทุกองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น
ต่างมีความเห็นที่ตรงกันคือผลิตวัคซีนขึ้นมาเพื่อป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก
แต่การผลิตย่อมมีต้นทุนเกิดขึ้นซึ่งต้นทุนของวัคซีนค่อนข้างสูงดังนั้นราคา
ที่ตั้งขึ้นมาจึงเป็นราคาที่สมเหตุสมผล

"โดยทั่วไปแล้ว ราคาของวัคซีนนั้นขึ้นอยู่กับบริษัทยาแต่ละประเทศ
โดยจะฉีดวัคซีนนี้เพียง 3 ครั้ง ซึ่งบางประเทศตั้งราคาอยู่ที่ประมาณ 20
ดอลลาร์/โดส แต่ราคาของแต่ละประเทศก็จะต่างกันออกไป
เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ทั้งนี้
วิธีหนึ่งที่จะช่วยคนลดค่าใช้จ่ายวิธีหนึ่ง นั่นคือ
หากคนไหนไม่สะดวกในการรับวัคซีนเอชพีวี อาจเข้ารับการตรวจภายใน (Pep
Smear) เพื่อหาเชื้อก่อนก็ได้ ซึ่งผู้หญิงควรตรวจเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว"

ดร.Linda Eckert
# เสียงสะท้อนจากแพทย์ไทย

ส่วนทางด้านของประเทศไทยนั้น รศ.นพ.วิชัย เติมรุ่งเรืองเลิศ สูติ
นรีแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า
จากการที่มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดสำหรับผู้หญิงไทย
ซึ่งตัวเลขคร่าวๆ ของผู้ป่วยรายใหม่จะอยู่ที่ประมาณ 6,000 กว่าราย
และในแต่ละปีผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเสียชีวิตประมาณ 3,000 กว่ารายต่อปี
หรือหากเฉลี่ยต่อวัน ตัวเลขจะอยู่ที่ประมาณ 7 ราย/คน

"เมื่อก่อนเรายังไม่ทราบสาเหตุว่าโรคมะเร็งปากมดลูกเกิดจากอะไร
แต่ปัจจุบันนี้เราทราบแล้วว่า
โรคมะเร็งปากมดลูกนั้นเกิดขึ้นจากเชื้อไวรัส Human Papillomevirus (HPV)
เลยทำให้เป็นมะเร็งที่ป้องกันได้ แต่แม้จะรู้สาเหตุของการเกิดโรค
แต่ที่เป็นอันดับ1อยู่เพราะโรคมะเร็งนั้น
ในช่วงเริ่มแรกจะยังไม่มีอาการนานกว่า 10-15 ปี
ซึ่งกว่าเชื้อไวรัสจะกลายเป็นมะเร็งกลุ่มคนเหล่านี้จะมีอายุประมาณ 30-40
ปี ทำให้กลุ่มเสี่ยงสูงที่สุดคือกลุ่มอายุอายุ 35-45 ปี โดยกลุ่มเหล่านี้
ส่วนหนึ่งมาจากการรับเชื้อตั้งแต่วัยรุ่นคือการมีเพศสัมพันธ์เร็ว"

เครื่องมือส่วนหนึ่งในห้องวิจัยสำหรับการผลิตวัคซีนเอชพีวี
อย่างไรก็ดี
เมื่อเชื้อเอชพีวีสามารถติดต่อกันส่วนใหญ่ทางเพศสัมพันธ์
การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชาย-หญิงจึงเป็นแรงเสริมหรือกลายเป็นอัตราเร่งให้
วัยรุ่นมีโอกาสรับเชื้อสูงมากขึ้นไปด้วย
ซึ่งอาการก่อนจะเข้าสู่โรคมะเร็งปากมดลูกนั้น จะเรียก ภาวะก่อนเป็นมะเร็ง
โดยจะทราบจากการตรวจภายในที่ปากมดลูกที่ควรตรวจปีละครั้ง
เพื่อดูเซลล์ของปากมดลูก

"นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงไทยเป็นโรคนี้กันเยอะเพราะหาก
เทียบกับผู้หญิงอเมริกันแล้ว พวกเขาตรวจภายในกันประมาณ 80% แต่ไทยเรา
10-15% เท่านั้น ซึ่งการที่ผู้หญิงอาย เขิน หรือกลัวเจ็บนี่เอง
จึงทำให้ไม่ทราบว่าเป็น พอรู้อีกทีก็สายไปแล้ว ดังนั้น
หากกล้าที่จะตรวจในระยะแรกเขาก็สามารถหายได้"

ส่วนอาการของโรคมะเร็งปากมดลูกนั้น รศ.นพ.วิชัย อธิบายว่า
ในระยะลุกลามจะมีตกขาวมาก มีกลิ่น และมีเลือดออก
อีกทั้งยังมีอาการผิดปกติในระบบอื่นๆ ได้
เนื่องจากมะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น ขับถ่ายผิดปกติ หรือ
ปวดตามตัว

"เมื่อทราบสาเหตุของการเกิดโรค และมีวัคซีนป้องกันโรคโดยเฉพาะแล้ว
เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส มี2ชนิด
แบ่งออกเป็นวัคซีนที่ฉีดป้องกันโรค 2 สายพันธุ์ (สายพันธุ์ที่ 16 และ 18)
ซึ่งเป็นเชื้อเอชพีวีกลุ่มเสี่ยงสูงที่เป็นสาเหตุหลักก่อให้เกิดโรคมะเร็ง
ถึง 70% ขณะที่วัคซีนที่ฉีดป้องกันโรค 4 สายพันธุ์ (สายพันธุ์ที่ 6, 11,
16 และ 18) จะครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงต่ำที่ทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่ด้วย"

เครื่องมือส่วนหนึ่งในห้องวิจัยสำหรับการผลิตวัคซีนเอชพีวี
# วัคซีนนี้เพื่อผู้หญิงวัยไหน

จากการที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เริ่มให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนป้องกัน
มะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้น ทำให้หลายคนเกิดความสับสนว่า
แท้ที่จริงแล้ววัคซีนนี้เหมาะกับวัยใดกันแน่ ซึ่ง รศ.นพ.วิชัยแนะว่า
สำหรับคนไทยแล้ว
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยารับรองไว้กลุ่มที่น่าฉีดวัคซีนเอชพีวีมากที่
สุดคือกลุ่มในช่วงอายุ 9-26 ปี
ซึ่งวัคซีนจะมีประสิทธิภาพดีที่สุดต่อเมื่อผู้หญิงคนนั้นยังไม่เคยรับเชื้อ
มาก่อน หมายถึงยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์แม้แต่ครั้งเดียว
ส่วนคนที่แต่งงานแล้วก็สามารถฉีดได้ แต่หากมีอายุเกิน 55 ปีขึ้นไปโอกาส
อาจไม่ต้องฉีด เพราะโอกาสที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูกนั้นจะน้อยลง
เนื่องจากการรับเชื้อเอชพีวีนั้น เป็นเชื้อที่มีการติดต่อล่วงหน้าหลายปี"

"ผลวิจัยล่าสุดจากทั่วโลกรวมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย พบว่า
วัคซีนชนิดป้องกัน 4 สายพันธุ์นั้น ผู้หญิงที่มีอายุ 45 ปี
ก็ยังได้ประโยชน์จากวัคซีนนี้เช่นกัน ซึ่ง ณ ตอนนี้ทางประเทศออสเตรเลีย
ได้ขยายช่วงอายุไปถึง 45 ปีแล้ว โดยวัคซีนประเภท 2
สายพันธุ์นั้นหลังจากฉีดครั้งแรกแล้ว จากนั้น 1 เดือนจะฉีดเข็มที่ 2
และเดือนที่ 6 ฉีดเข็มที่ 3
ขณะที่วัคซีนประเภทสี่สายพันธุ์นั้นหลังจากฉีดครั้งแรกแล้ว จะฉีดเข็มที่
2และ3ในอีก 2 เดือนและ 6 เดือนตามลำดับ"

ส่วนเรื่องราคาวัคซีนในเมืองไทยนั้น
แม้จะยังไม่มีนโยบายหางบประมาณ ฉีดฟรีสำหรับเด็กในช่วงอายุ 11-12 เฉกเช่น
สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียแต่ไทยเองก็ไม่ใช่ประเทศที่ยากจน
จึงยังพอมีกลุ่มคนที่สามารถฉีดวัคซีนตัวนี้ได้ ซึ่งกลุ่มคนที่มีอายุ
26ปีขึ้นไปจะฉีดกันเยอะเพราะอาจมีคนใกล้ตัวเป็น
เกิดความกลัวและมีความรู้มากขึ้น

รศ.นพ.วิชัย เติมรุ่งเรืองเลิศ
อีกทั้งกลุ่มนี้ คือ
กลุ่มคนทำงานจึงมีเงินพอที่จะตอบสนองความต้องการได้
โดยราคาวัคซีนนั้นอยู่ประมาณเข็มละ 4,000 บาท แต่ตอนนี้อาจลดเหลือ 3 เข็ม
ประมาณ 6,000-7,000 บาท
ซึ่งหากเทียบกับรายได้เฉลี่ยของคนไทยก็ยังถือว่าราคาสูงอยู่ตามเคย

"แม้ว่าเชื้อเอชพีวีจะติดต่อได้จากทางเพศสัมพันธ์
โดยเฉพาะขณะร่วมเพศและมีหลายคู่นอนซึ่งเสี่ยงถึง 80%
ในการติดเชื้อในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต
แต่คนที่ไม่สำส่อนก็สามารถติดเชื้อนี้ได้ถึง 47% เช่นกัน
เมื่อไวรัสนั้นอยู่ตามผิวหนังที่เปียกชื้น ดังนั้นการทำออรัลเซ็กซ์
หรือการร่วมเพศวิธีต่างๆ ก็จะได้รับเชื้อนี้
แต่การทำออรัลเซ็กซ์นั้นจะได้มีเชื้อเอชพีวีในร่างกายน้อยกว่าการมีเพศ
สัมพันธ์แบบปกติ" รศ.นพ.วิชัย กล่าว

อย่างไรก็ตาม รศ.นพ.วิชัย เผยว่า
เชื้อเอชพีวีไม่ได้ส่งผลร้ายแค่เพียงผู้หญิงเท่านั้น
เพราะผู้ชายกลุ่มพิเศษ ที่ได้รับเชื้อเอชพีวีก็มีโอกาสเป็นมะเร็งเช่นกัน
ซึ่งเชื้อนี้จะทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทวารหนัก
อันเกิดจากเชื้อเอชพีวีสายพันธ์ 16-18 มากถึง 70-80% ทีเดียว

"ผู้ป่วยมะเร็งที่ทวารหนักมีจำนวนเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า
ซึ่งก้นนั้นไม่ต่างจากปากมดลูกเลย
เพราะจากการวิจัยเรื่องวัคซีนเอชพีวีกับผู้ชาย ได้มีการสำรวจผู้ชาย 4,000
คน แบ่งเป็นเกย์ 800 กว่าคน ผู้ชายแท้อีก 3,200 กว่าคน พบว่า วัคซีน 4
สายพันธ์สามารถป้องกันการติดเชื้อเชื้อเอชพีวีได้"

"ในอเมริกาเอง แม้ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกจะลดลงไปมาก
โดยอยู่ที่ประมาณ 5:100,000 คน ขณะที่ไทยอยู่ในอัตรา 24:100,000 คน
แต่ตอนนี้ในอเมริกามีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งก้น โดยที่ยังไมติดเชื้อเอชไอวี
อยู่ที่ประมาณ 35:100,000 คน
แต่หากติดเชื้อเอชไอวีด้วยจะเป็นมะเร็งก้นสูงถึง75:100,000 คน"

อย่าง ไรก็ดี รศ.นพ.วิชัย กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
หากใครประสบปัญหาทางด้านการเงิน และไม่สามารถฉีดวัคซีนได้
ก็มีทางเลือกอื่นๆ อีก เช่น การลดพฤติกรรมเสี่ยง
อย่ามีเพศสัมพันธ์เร็วจนเกินไป หรือมีคู่นอนหลายคน
และการตรวจคัดกรองมะเร็ง หาเซลล์ระยะเริ่มต้น
โดยการตรวจภายในเป็นประจำก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ลดอัตราเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
ได้

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000085884

ประเด็นที่ละเอียดอ่อนทางการเมืองและการทูต

โดย ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน


นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา
ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมทางวิทยุโทรทัศน์ในรายการสัมภาษณ์กับนาย
สุทธิชัย หยุ่น ในวาระที่มาร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมอาเซียน
+ จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เมื่อเร็วๆ นี้
การแสดงความคิดเห็นของนางฮิลลารี คลินตัน
สะท้อนถึงการเข้าใจสภาวการณ์ทางการเมืองไทย
การกล่าวชมการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยในประเทศไทยแม้จะเผ็ดบ้าง
เหมือนอาหารไทยก็ตาม ทำให้เกิดความชื่นชมยินดีในหมู่คนจำนวนไม่น้อย

นอกจากนั้นนางฮิลลารี คลินตัน ยังมีมุกตลกเกี่ยวกับสังคมไทย
เป็นต้นว่า ได้มีการพูดว่ามีเสื้อผ้าบางสีที่ไม่ควรใส่อันหมายถึงสีเหลืองและสีแดง
ขณะเดียวกันเมื่อมีการถามถึงการบริหารของจอร์จ บุช นางฮิลลารี คลินตัน
ก็กล่าวทันทีว่าไม่ต้องการพูดถึงเรื่องในอดีต
และเมื่อมีการเอ่ยถึงคุกไทยที่ถูกกล่าวหาว่ามีการทรมานนักโทษนั้น
นางฮิลลารี คลินตัน ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอันใด

จากการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเทศไทยและเกี่ยวกับระบอบการปกครองแบบ
ประชาธิปไตย รวมทั้งความรู้เรื่องการขัดแย้งทางการเมืองในขณะนี้นั้น
สะท้อนให้เห็นถึงการมีข่าวสารข้อมูลหรือได้รับการชี้แจงสรุปจากเจ้าหน้าที่
ของสถานทูตเป็นอย่างดี
นอกเหนือจากนี้การวางตัวเป็นกันเองและเป็นมิตรในระหว่างการสัมภาษณ์นั้น
ก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่าสตรีชาวอเมริกันผู้นี้ซึ่งเกือบจะเป็นผู้สมัครรับ
เลือกตั้งแข่งขันเป็นประธานาธิบดี
น่าจะมีอนาคตทางการเมืองที่ยาวนานในอนาคต

อย่างไรก็ตาม
ความน่าชื่นชมดังกล่าวมานั้นก็ถูกบั่นทอนลงโดยการแสดงความคิดเห็นและการ
วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเมียนมาร์ เกาหลีเหนือ และอิหร่าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงจุดยืนบางอย่างของสหรัฐอเมริกา
และยังตามมาด้วยการชี้แนะชี้นำประเทศในกลุ่มอาเซียนให้กระทำการบางอย่าง
ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อการนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ได้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวง
การต่างประเทศสหรัฐฯ
ไม่ระมัดระวังในเรื่องความละเอียดอ่อนทางการเมืองและการทูต

ในกรณีเมียนมาร์นั้น ถึงแม้ความต้องการของสหรัฐฯ
ที่จะส่งเสริมการให้สิทธิเสรีภาพและการพัฒนาประชาธิปไตย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลพม่ากระทำต่อนางอองซาน
ซูจี ซึ่งก็มีเหตุผลในตัวของมันเอง แต่การที่นางฮิลลารี คลินตัน
ชี้แนะชี้นำต่อประเทศในกลุ่มอาเซียนว่าน่าจะมีการพิจารณาสมาชิกภาพของเมีย
นมาร์ หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ
พิจารณาถึงการขับเมียนมาร์ออกจากองค์กรอาเซียน

อาเซียนเป็นความร่วมมือส่วนภูมิภาค มีประวัติอันยาวนาน
ในการประชุมที่ภูเก็ตก็มี 3 ประเทศร่วมประชุมด้วย ซึ่งได้แก่ จีน ญี่ปุ่น
และสาธารณรัฐเกาหลี อาเซียนมาประชุมเพื่อร่วมมือกันในหลายๆ เรื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้กับไข้หวัด 2009
การเข้าไปก้าวก่ายกับสมาชิกภาพของประเทศในกลุ่มอาเซียนเป็นเรื่องที่ไม่งาม
อาเซียนย่อมมีวุฒิภาวะสามารถตัดสินและวินิจฉัยสถานการณ์และกรณีดังกล่าวได้
เอง

ข้อสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ก็คือการคว่ำบาตรให้เมียนมาร์ออกจากอาเซียนยิ่งจะ
ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น ในส่วนนี้นางฮิลลารี คลินตัน
ในฐานะตัวแทนของสหรัฐฯ น่าจะคิดให้รอบคอบและใช้ภาษาอย่างระมัดระวัง
ที่สำคัญน่าจะแสดงการให้เกียรติต่อความเป็นอิสระของประเทศในกลุ่มองค์กรอา
เซียน

ขณะเดียวกันจีนเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเมียนมาร์
พร้อมๆ กับการมีพรมแดนติดเกาหลีเหนือ
การพูดจาอย่างรุนแรงเกี่ยวกับเกาหลีเหนือซึ่งจะกล่าวต่อไป
ย่อมจะสร้างความไม่สบายใจแก่จีน ส่วนกรณีของอาเซียนนั้น
การแสดงความเห็นเช่นนั้นนำไปสู่ความกระอักกระอ่วนใจ
ในกรณีของอิหร่านนางฮิลลารี คลินตัน
ก็ใช้โอกาสดังกล่าวแสดงจุดยืนของสหรัฐฯ ออกมา
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

แต่ในกรณีของเกาหลีเหนือนั้นมีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงซึ่งมีลักษณะเป็นการ
ยื่นคำขาดกลายๆ การแสดงทีท่าที่แข็งกร้าวเช่นนี้ย่อมเสี่ยงต่อการมีปฏิกิริยาตอบโต้
และทำให้กระบวนการเจรจาเพื่อจะยุติการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ถูกกระทบได้
และผลก็ออกมาเช่นนั้นจริงๆ
ทางเกาหลีเหนือตอบโต้ด้วยภาษาที่ดุเดือดเผ็ดร้อน
และในบางส่วนก็เป็นการดูถูกดูแคลนซึ่งมักจะไม่ทำกันในวงการทูต
หรือในวงการเมืองระหว่างที่มีการเจรจาเพื่อหาข้อยุติในประเด็นความขัดแย้ง

การขาดความสนใจต่อความละเอียดอ่อนทางการเมืองและการทูตของรัฐมนตรีกระทรวง
การต่างประเทศสหรัฐฯ ครั้งนี้
ได้สร้างความเสียหายของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐฯ
ต่อเมียนมาร์และเกาหลีเหนืออย่างเห็นได้ชัดที่สุด

นางฮิลลารี คลินตัน ได้กล่าวว่าสหรัฐฯ
จะกลับมามีบทบาทอีกครั้งหนึ่งในเอเชีย
ซึ่งหมายความว่าจะไม่ปล่อยมหาอำนาจอื่น เช่น จีน อินเดีย
หรือแม้รัสเซียผูกขาดในความสัมพันธ์ทางการเมืองและการค้าต่อไป
แต่สิ่งซึ่งประเทศในภูมิภาคเอเชียอาจจะตั้งคำถามขึ้นมาคือ
ถ้าหากการเริ่มต้นการกลับมาสู่ภูมิภาคเอเชียของสหรัฐฯ
เริ่มต้นด้วยการขยายความขัดแย้งทางการเมือง
จนอาจจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของเกาหลีเหนือซึ่งอาจจะสร้างความตึงเครียดในคาบ
สมุทรเกาหลีหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม
หรือในกรณีของเมียนมาร์ซึ่งอาจจะทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวของอาเซียนถูกกระทบ
ได้ บทบาทของสหรัฐฯ จะกลายเป็นบทบาทในทางลบมากกว่าบวก
ขณะเดียวกันความพยายามของประเทศต่างๆ
ในอาเซียนที่จะให้มีการปฏิรูปการเมืองและการพัฒนาประชาธิปไตย
โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพในเมียนมาร์ชะงักงันลงได้ถ้าเมีย
นมาร์ออกจากอาเซียน

คำถามก็คือ ถ้าการกลับมาสู่เอเชียของสหรัฐฯ
เริ่มต้นด้วยความขัดแย้งหรือด้วยการสร้างความขัดแย้ง
หรือขยายความขัดแย้งให้มีขอบข่ายกว้างขึ้น
จะเกิดประโยชน์อันใดกับภูมิภาคเอเชีย
เพราะในขณะนี้ต่างก็เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งสหรัฐฯ
มีส่วนอย่างสำคัญยิ่งในการเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้นจากนโยบายเศรษฐกิจและการ
บริหารที่ล้มเหลวผิดพลาด
การฟื้นฟูเศรษฐกิจต้องอยู่บนฐานของการมีเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศและ
ภายในภูมิภาค การให้สัมภาษณ์และการแสดงความคิดเห็นและจุดยืนของนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ
ที่เพิ่มอุณหภูมิความขัดแย้งในทางการเมืองของภูมิภาคนั้น
เป็นการดำเนินการที่สวนทางกับสิ่งที่พึงประสงค์และถือได้ว่าล้มเหลวโดยสิ้น
เชิง

ความประทับใจที่มีต่อนางฮิลลารี คลินตัน
จากบุคลิกภาพและการพูดจาที่เป็นมิตร
กลับถูกทำลายลงอย่างน่าเสียดายจากการไม่ให้น้ำหนักกับความละเอียดอ่อนทางการ
เมืองและทางการทูต รัฐบาลสหรัฐฯ
อาจต้องทบทวนท่าทีที่แข็งกร้าวที่เคยแสดงมาเยี่ยงนี้ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา

สิ่ง ที่น่าจะตระหนักก็คือ ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปในระดับหนึ่ง
มหาอำนาจอื่นๆ กำลังผงาดขึ้นมาและมีบทบาทมากขึ้นตามลำดับ
ทีท่าที่มีความเชื่อมั่นถึงอำนาจทางทหารและทางเศรษฐกิจ
จนอาจทำให้หลายประเทศรู้สึกว่ากระเดียดไปในทางแสดงออกถึงความอหังการแห่ง
อำนาจ (arrogance of power) ซึ่งอาจจะส่งผลในทางลบต่อรัฐบาลสหรัฐฯ
อย่างน่าเสียดายยิ่ง

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000085832

ไม่เคยทำชั่ว อย่ากลัวปีศาจ

โดย อัญชะลี ไพรีรัก 29 กรกฎาคม 2552 17:04 น.
เดี๋ยวนี้เป็นงานอาสาสมัครให้กับ "พรรคการเมืองใหม่" ออกเดินสาย
"ปราศรัย" กับพี่น้องพันธมิตรฯ ไปมาหลายจังหวัดแล้วพบว่า
มีทั้งพี่น้องที่เห็นดีเห็นงาม พอๆ กับพี่น้องที่ไม่สู้จะชอบใจนัก

แต่ก็มีผู้หวังดีเตือนว่า เหนื่อยเปล่า!!! เพราะ "ปราศรัย"
หรือจะสู้ "ปาเงิน" อย่างแรกอาจได้ใจ แต่อย่างหลังได้คะแนนเสียงเต็มๆ

ฟังเสร็จเลือดขึ้นหน้า เลยเดินหน้าปราศรัยมันลูกเดียว
งานการอย่างอื่นเก็บใส่ลิ้นชัก

ก็ให้มันรู้กันไปว่า อำนาจเงินที่คิดแต่จะกอบโกย
ทำลายล้างบ้านเมืองให้พินาศย่อยยับ
จะมีชัยเหนืออำนาจใจบริสุทธิ์ที่คิดจะเปลี่ยนแปลง
และพาบ้านเมืองไปสู่สิ่งที่ดีกว่า งานนี้สุดแสนจะท้าทาย
ต้องเอากันให้เห็นดำเห็นแดงไปข้างหนึ่ง

ล่าสุดเพิ่งกลับมาจากกาญจนบุรี, อุบลราชธานี
และกำลังจะต่อไปที่ตราด, อุดรธานี, หนองคาย, เพชรบุรี
และสุรินทร์...ตารางคร่าวๆ เป็นดังนี้ พื้นที่ใดต้องการรับฟังเรื่อง
"การเมืองใหม่" ติดต่อมาได้ที่ "บ้านพระอาทิตย์"
ยินดีไปทุกงานไม่เกี่ยงเวที ยกเว้น "เวทีเสื้อแดง"

เพราะเวลานี้เวทีเสื้อแดงแรงฤทธิ์ขึ้นทุกวัน ยิ่งหลังงานวันเกิด
60 ปี ในชื่อ "ล้านดวงใจสร้างบุญใหม่เพื่อไทยร่มเย็น"
หรือบางแห่งใช้คำว่า "เพลทั้งแผ่นดิน แด่ทักษิณผู้ปลดหนี้"
กับพิธีหงายบาตร
และจุดพลุยิงสลุตกันเอิกเกริกเกรียงไกรให้กับนักโทษหนีคดี
ยิ่งทำให้ขวัญกำลังใจคนเสื้อแดงยิ่งฮึกเหิม

ล่าสุดเห็นพันธมิตรฯ หัวหินเล่าว่า
เสื้อแดงตั้งเวทีปราศรัยพร้อมล่ารายชื่อเพื่อถวายฎีกาฯ
ขอพระราชทานอภัยโทษให้นักโทษชายทักษิณที่บริเวณใกล้กับ "วังไกลกังวล"
ที่ประทับของล้นเกล้าล้นกระหม่อมทั้งสองพระองค์
ไม่รู้ว่าทหารและตำรวจไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกันหมด
ปล่อยให้เกิดเรื่องลบหลู่แบบนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน

ยังไม่จบแค่นี้ เพราะมี "พี่ชาย"
คนหนึ่งในแวดวงการเงิน-การธนาคาร ยกหูมาเล่าให้ฟังว่า คนเสื้อแดง
"เคาะประตู" แทบทุกบ้านในหัวหิน เพื่อข่มขู่ขอให้ประชาชนร่วมลงชื่อใน
"ฎีกาแดง" อย่างไม่ยำเกรง...เล่นกันหนักขนาดนี้เลย

เรื่องนี้นับว่าร้ายแรงแล้ว
ยังมีเรื่องต่ำช้าแทรกเข้ามาอีกด้วยวิธีการโสมมของคนสามานย์
เพราะพี่น้องพันธมิตรฯ พัทยา-นาเกลือ เล่าให้ฟังว่า
คนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งอาศัยช่องว่างในความโกลาหล
ดอดเข้าตีประตูหลังบ้านคนทำมาค้าขาย โดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจ "สีเทา"
ในพัทยา

เวลานี้คนทำธุรกิจสถานบันเทิงขนาดกลางและใหญ่ในพัทยา
ถูกคนกลุ่มหนึ่ง "ข่มขู่" เรียกเงินใต้โต๊ะ ถ้าขัดขืนจะโดนดี
โดยจะมีกองโจรเสื้อแดงมาคอย "กรรโชก" ตลอดเวลา ผลคือ
คนทำธุรกิจที่ก้ำกึ่งระหว่างถูก-ผิด ถูกปล้นกลางแดดกันถ้วนหน้า

ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยถูก "รีดไถ" ตามปกติจาก "คนสีกากี"
มาวันนี้โดนสองเด้งจาก "คนเสื้อแดง"
ผสมโรงกันเป็นสังขยาจากคนท้าทายกฎหมายกบิลเมืองสองพวก-เสื้อสองสี
ที่กำลังลามปามไปทั่วทุกเมืองบาป
โดยเฉพาะกับคนค้าขายสินค้าที่ท้าทายพลังศีลธรรมและกฎหมาย

พูดถึงกฎหมายแล้วดีใจที่เห็นครูบาอาจารย์ด้านกฎหมายหลายคนจากสำนักใหญ่ๆ
ออกโรงมาปกป้องสถาบัน และไขข้อข้องใจให้กับประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
เกี่ยวกับ "ฎีกาสีแดง" โดยผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้อธิบายว่า
จะล่าสักกี่ล้านรายชื่อก็ไม่สามารถถวายฎีกาได้เพราะผิดขั้นตอนของกฎหมาย

เพราะกฎหมายกล่าวไว้ว่า
การถวายฎีกาโดยล่ารายชื่อประชาชนนั้นไม่เคยมีมาก่อน และทำไม่ได้
เพราะตามกฎหมาย...ผู้กระทำความผิดและศาลพิพากษาลงโทษทัณฑ์แล้ว
"ต้องรับโทษก่อน" เพื่อเข้ากระบวนการก่อนส่งขึ้นถวายกราบบังคมทูลฯ

ที่สำคัญขั้นตอนการถวายฎีกา หรือขอพระราชทานอภัยโทษ
ต้องเกิดจากตัวผู้กระทำผิดเอง ภริยา หรือบุตร

การเสนอโดยรายชื่อของประชาชน นอกจากจะไม่เหมาะสมแล้ว
ยังไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย

ดูความสำคัญนี้แล้ว
พอมองเห็นเค้าลางความวุ่นวายที่กำลังก่อตัวขึ้น เหมือนเมฆดำก่อนฝนตก

ถ้าแกะจากคำอธิบายข้อกฎหมายการถวายฎีกาของผู้เชี่ยวชาญและผู้เกี่ยวข้อง
พอจะเดาได้ว่า ฎีกาของคนเสื้อแดงไม่ว่าจะกี่ล้านรายชื่อก็จะถูกตีกลับ
และบรรทัดต่อไปล่ะอะไรจะเกิดขึ้น มีหรือคนอย่าง "ทักษิณ"
จะยอมแพ้ด้วยเรื่องแค่นี้ เพราะ "ใหญ่" กว่านี้เขายังไม่ยอมก้มหัวให้เลย

ดูอย่างโครงการสถานีโทรทัศน์ 100 ช่องนั่นสิ
แม้คนในรัฐบาลบางคนจะประสานเสียงเสียดสีวิธีคิดของทักษิณไปต่างๆ นานาว่า
เชยบ้างละ หรือไร้ประโยชน์สู้ทีวีของช่องรัฐบาลไม่ได้บ้างล่ะ

แต่อย่าลืมความจริงข้อหนึ่งที่โบราณท่านว่า
น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน

ดูทักษิณโกหกทุกวัน ฟังทักษิณออดอ้อนปลิ้นปล้อนแต่งเรื่องทุกวัน
โดยไม่มีข้อเท็จจริงอีกด้านของทักษิณโกงบ้านกินเมืองมาคานสร้างความสมดุลของ
เหรียญสองด้านให้พี่น้องประชาชนทั่วทั้งแผ่นดินได้ตัดสินใจกับ "คนคนนี้"

สักวันหนึ่งเถิด...คงได้เห็นทักษิณตัวเป็นๆ กลับมาอย่าง "ฮีโร่"
ถ้ายังขืนคิดว่า การพูดความจริงเรื่องทักษิณโกงชาติมักใหญ่ใฝ่สูง คือ
การจองล้างจองผลาญ ไม่สมานฉันท์ คอยดูต่อไปเถอะ
คงได้เห็นบ้านเมืองลุกเป็นไฟ และคนไทยลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันเอง
ด้วยแรงยุจากคนร้อยลิ้นกะลาวน โดยอาศัยฐานเชื้อเพลิงชั้นดีจากทีวี 100
ช่อง

ตัวอย่างเห็นกันชัดๆ
จากโทรทัศน์สีแดงที่แพร่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคยกเว้นภาคใต้
เพราะบัดนี้สามารถหาดูได้อย่างง่ายดายจากเคเบิลทีวีท้องถิ่น
ทั้งนี้ยังไม่นับวิทยุชุมชนคนเสื้อแดงที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ดหน้าฝน

คนพวกนี้ผลิตรายการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อช่วยทักษิณคืนเมือง
โดยไม่สนใจบรรทัดฐานของกฎหมายและหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น

ขณะที่คนของรัฐบาลบางคนยังทำปากกล้าหน้ามึน วันๆ
คิดแต่จะหามุกใหม่ๆ มาเถียงเขาฉอด ฉอด ฉอด
แล้วพอใจกับการพูดจาส่งเดชไปวันๆ โดยไม่ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน

ครั้นพอจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง ก็ไร้รสนิยมเลอะเทอะ
จนแทบพาเอา "นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์" ตกคู-ตกเหวจากคำอวยพรวันเกิด 60
ปีทักษิณ ที่ทีมงานลอกมาจากรายการเชื่อมั่นประเทศไทยแล้วใส่ในทวิตเตอร์นั่นไง

"เนื่องในวันคล้ายวันเกิดที่ท่านคงเหมือนคนอื่น คงอยากมีความสุข
หากท่านจะดวงตาเห็นธรรม ท่านจะมีความสุขมากขึ้นครับ"

งามหน้าไหมล่ะ ถูกทักษิณตอกกลับนิ่มๆ ผ่านทวิตเตอร์ของเขา ว่า

"ขอขอบคุณท่านนายกฯ มาก ขอเป็นกำลังใจในการแก้ปัญหาบ้านเมือง
หากมีอะไรที่ผมช่วยได้ก็ยินดี"

เวลานี้สื่อเสื้อแดงเอาไปขยายความจนทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิก

งานนี้ต้องโทษ "น้องตาลเมืองตรัง" ที่สะเพร่าเอาแต่คุย
แถมโม้และยโสจนคนเขาเอือมระอาด่ากันอึงมี่

ผลเป็นไง เอแบค โพลล์ สำรวจความนิยมประชาชน 17 จังหวัดทั่วประเทศ
ทักษิณมีคะแนนนิยมเหนืออภิสิทธิ์ร้อยละ 34 ต่อ 32.9
โดยคะแนนนิยมของอภิสิทธิ์ลดลงจากเดือนมีนาคมที่อยู่เคยอยู่ที่ระดับร้อยละ
50.6 ตอนนั้นทักษิณมีคะแนนนิยมร้อยละ 23.6 ทั้งนี้คะแนนนิยมในภาคเหนือ
ภาคกลาง และเขต กทม.ใกล้เคียงกัน แต่ที่อีสานทักษิณชนะขาดด้วยคะแนนร้อยละ
44 ต่อ 18 ส่วนภาคใต้อภิสิทธิ์ชนะระเบิดด้วยคะแนน 66 ต่อ 8

งานนี้ถ้าไม่ใช่เพราะอิทธิพลของสื่อทางเลือกที่ทักษิณเลือกทำ
และแผนการตลาดของทักษิณที่ป้อนให้สื่อทั่วๆ ไปงับเล่น
ขณะที่การบริหารงานสื่อมวลชนของรัฐบาลล้มเหลวไม่เป็นท่า
ถ้าไม่โทษพ่อตาลเดี่ยวยืนต้นคนนั้นแล้วจะให้โทษใคร

ขณะนี้คนไทยทั่วๆ ไปแทบลืมสิ้นแล้วว่าทักษิณเลวอย่างไร
และสื่อมวลชนทั่วๆ ไปแทบไม่กล้าแม้แต่จะนำ "ความจริง"
เรื่องทักษิณกินเมืองมาตีแผ่ให้ปรากฏอย่างจริงจัง
ของแบบนี้ถ้ารัฐไม่นำร่อง ใครอื่นหมื่นแสนหรือจะกล้าแหยม
พอดีพอร้ายจะแห้งตายอย่าง ASTV นั่นไง ที่วันนี้ต้องทำทั้ง "ข่าว" และขาย
"ข้าว" เลี้ยงตัวไปวันๆ

จะว่าไปคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี
ที่ดูแลฝ่ายความมั่นคงนี่ก็ช่างกระไร
ไม่แยแสกับความเป็นความตายของชาติบ้านเมืองที่กำลังจะพังพินาศด้วยน้ำมือ
ทักษิณกันเสียเลย

เป็นถึงคนคุมความมั่นคงภายในประเทศ แต่กลับปล่อยให้เสื้อแดง
และหัวหน้าของมันอาละวาดไปทั่วทั้งแผ่นดินอย่างไม่ยำเกรงตัวบทกฎหมาย
ทั้งปิดถนน ประท้วง เผาเมือง ล่ารายชื่อกดดันพระเจ้าอยู่หัว
ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย ผลิตสื่อทางเลือกมอมเมาประชาชน
ชักจูงให้พสกนิกรเห็นผิดเป็นชอบ ใส่ร้ายป้ายสีสถาบันสูงสุด
ขาดสิ้นแล้วซึ่งความเคารพและจงรักภักดี

เดี๋ยวนี้มีภาพของนักโทษหนีคดีผุดขึ้นมาแทนที่ในรูปแบบเพลง
และมิวสิควิดีโอ ที่ดูไปก็คล้าย "สรรเสริญพระบารมี" ไม่ผิดเพี้ยน
ไปหาดูได้จากทีวีเสื้อแดง
และรับฟังคำสรรเสริญเยินยอเหล่านี้ได้จากวิทยุชุมชนที่เกลื่อนไปทั้งบ้าน
ทั้งเมือง สมกับที่คุณสุเทพพร่ำเพ้อว่า
"คนมีเงินกำลังทำลายสถาบัน"....พูดแล้วจะทำยังไงต่อละ

ยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมือง โลกล้อมไทย และน้ำหยดลงหิน
จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่ใช่เพราะมัวท่องแต่คำว่า "ไม่มีเขา
เราไม่ได้เป็นรัฐบาล"
และล่าสุดถึงกับเปรยให้ข้าราชการจัดการฉุดประชาชนขึ้นมาจากการเป็นทาสของ
กลุ่มเสื้อหลากสี

ไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้จะได้ยินกับหู เห็นกับตา
ว่าคุณสุเทพมองพันธมิตรฯ เป็นทาสของเสื้อสีเหลือง!!! แล้วปล่อยให้
ประชาชนผู้รู้ไม่เท่าทันก็ตกเป็นทาสข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนของทักษิณต่อไป

ดูตามแผงหนังสือวันนี้สิ
มีแต่เรื่องราวของทักษิณในด้านดีเต็มพรึ่ดไปหมด
คุณสุเทพปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร หน่วยงานต่างๆ
หายไปไหนกันหรือ จึงนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น
ทำไมไม่มีใครออกมาพูดออกมาเตือนสติประชาชน หรือ
เงินบาปของทักษิณเป็นชนักปักหลังอยู่

ถ้าคุณสุเทพยังไม่รู้ว่า
รากเหง้าของปัญหาชาติบ้านเมืองอยู่ที่ไหน ถ้ายังเสแสร้งไม่รู้ว่า
ทักษิณคือปัญหา และยังไม่รู้ว่าจะหาทางแก้อย่างไร

ก็จงอย่าอยู่ขวางทางคนอื่นเขาต่อไปอีกเลย นี่พูดจริงไม่เล่น

เหมือนกับ พี่ป. สีเขียวคนนั้นไง ขึ้นชื่อว่าน้องใคร ใครก็รัก
แม้น้องจะนั่งตะบักตะบวยไม่ช่วยอะไรให้บ้านเมืองเลยนอกจากช่วยตัวเอง
ซึ่งก็แทบทำไม่ได้จนร้อนถึงพี่ชายต้องอุ้มเข้าเอว
ออกมาอาละวาดฟาดงวงฟาดงา ถามว่า น้องหนูผิดอะไร ทำไมต้องปลด

รู้ไว้ด้วยว่าตอนนี้เอวของชายคนนี้เริ่มเคล็ด
เพราะไหนจะอุ้มแม้วข้างหนึ่งตามสัญญาว่าจ้าง
แล้วยังต้องอุ้มน้องอีกข้างหนึ่งตามสัญญาใจที่ให้ไว้กับมารดา

เล่นบทหน้าซื่อตาใสเอาแต่ใจกันแบบนี้ คงต้องย้อนกลับไปถามว่า
แล้วถ้ามีคนในเครื่องแบบกลุ่มหนึ่งขนอาวุธสงครามอันประกอบด้วย กระสุน 200
นัด และระเบิด 2 ลูกมายิงคนในครอบครัวคุณละ
คนอย่างพวกคุณจะยอมให้เรื่องมันจบๆ
กันไปอย่างง่ายดายโดยไม่ทำอะไรไหม...พวกคุณก็ต้องไม่ยอม

แล้วถ้าคุณสาวต่อไป สู้ต่อไป จากนั้นก็พบว่า
มีตำรวจใหญ่นั่งเป็นจระเข้ขวางคอ
ขัดขวางการทำงานของเจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวนล่ะ
คุณจะเรียกร้องให้ปลดเขาออกไหม เชื่อว่าคนอย่างพวกคุณจะทำ.

ผิดแต่ว่าวันนี้คุณไม่ใช่เรา
และเราเป็นเพียงแค่นักสื่อสารมวลชนคนธรรมดาที่กล้าสู้ กล้าตาย และโดนยิง

ไม่ใช่คนบุญหนักศักดิ์ใหญ่อย่างพวกคุณ...ที่นั่งเสวยสุขบนกองเลือด
และคราบน้ำตาของประชาชน

บ้านนี้เมืองนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ และมีขื่อมีแป ใครทำอะไรไว้
ต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามนั้น ไม่เว้นแม้แต่ "คนอย่างคุณ"

สักวันหนึ่งความจริงซึ่งสถิตบนศาลยุติธรรม
จะกระชากหน้ากากคนขลาดผู้หิวโหยอำนาจและทะเยอทะยานอย่างพวกคุณออกมาให้สังคม
ได้รู้แจ้งว่า

ใครกัน คือผู้อยู่เบื้องหลังความหายนะทั้งปวงของชาติบ้านเมืองในวันนี้
และใครกันช่วยคนโฉดปกปิดความจริงด้วยอาวุธสงครามหลากชนิด คมกระสุนเกือบ
200 นัด และระเบิดอีก 2 ลูก และใครกันกำหนดท่าทีที่แข็งขืนกับการ
"ปลดตำรวจคนนั้น" ด้วยคำพูดที่ว่า

"ปล่อยให้พวกบ้านพระอาทิตย์มันด่าต่อไปเรื่อยๆ
มันจะกล้ามาทำอะไรเราได้ ไม่ต้องกลัวพวกมัน"...จำได้ไหมว่า
ใครพูด...พูดกับใคร...หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง

อีกไม่นานกาลเวลาจะพาความจริงมายืนยันบนชั้นศาลต่อหน้าประชาชน

ถึงวันนั้นประชาชนผู้รู้แจ้ง จะเป็นผู้ตัดสินตัวตนของพวกคุณ
ถึงนาทีนี้จงสาดวาทะที่เต็มไปด้วยความฉ้อฉลกันต่อไปตามสบาย

แต่อย่าลืมสิ คนจีนเขาถือกันว่า "หากไม่เคยทำชั่วอันใด
เหตุใดต้องกังวลว่าปีศาจมาเคาะประตูบ้าน"

อุ้มกันได้ อุ้มกันต่อไป ระวังตัวไว้
เทวดาแห่งความจริงกำลังปรากฏในเร็ววันนี้
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000085890

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

โต๊ะทำงานบอกอะไร

จาก หนึ่งสมอง สองมือ
รวมบทสนทนา "ชีวิตธุรกิจ" พ.ศ. 2530
โดย ประสาร มฤคพิทักษ์


โต๊ะทำงานเป็นสัญญาณบ่งบอกอะไรบางอย่างได้เหมือนกันครับ

บางคนเป็นเจ้าของโต๊ะทำงานที่มีเครื่องประดับสารพัดอย่างเรียงรายอยู่โดยรอบ
ที่ผนังมีโปสการ์ดติดเต็มไปหมด มีรูปศิลปินคนโปรด มีรูปภาพครอบครัว
ข้างๆโต๊ะมีหม้อต้มกาแฟที่กำลังเดือดส่งกลิ้นกาแฟหอมฉุยไปทั่วบริเวณ
ที่ชั้นหนังสือมีนวนิยายเล่มใหม่วางอยู่และมีอุปกรณ์ถักนิตติ้ง
มุมหนึ่งของโต๊ะมีถุงมะยมดองพร้อมพริกกะเกลือ เป็นบรรยากาศที่แสนสบาย
รู้สึกเหมือนบ้าน

บางคนเป็นเจ้าของโต๊ะทำงานที่ว่างเปล่า
ไม่มีกระดาษบันทึกหรือคลิปหนีบกระจัดกระจายให้เห็น
เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นจะเก็บเข้าลิ้นชักไว้หมด

โต๊ะทำงานของคนแรกกับคนหลังสะท้อนออกถึงอุปนิสัยที่ตรงกันข้าม

คนแรกต้องการจะบอกว่า "ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันสบายแล้ว มันเหมือนบ้านของฉัน
ฉันอยากอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องไปไหนอื่น"
เพราะสิ่งรอบๆตัวเขาคือชีวิตส่วนตัวเท่านั้น

คนที่สอง ต้องการจะบอกว่า "ฉันไม่ต้องการหยุดนิ่ง ณ จุดนี้
ฉันต้องการทำงาน ฉันอยากเคลื่อนไหว ฉันอยากก้าวไปข้างหน้า
ฉันพร้อมเสมอที่จะรับงานใดๆก็ได้ที่จะก่อให้เกิดผลสำเร็จขึ้นมา"

นี่คือความแตกต่างกันระหว่าง คนที่อยากนั่งอยู่กับที่
สนใจแต่ชีวิตส่วนตัวและคอยมองนาฬิกาบนผนัง
กับคนที่เอาการเอางานตลอดเวลาและพร้อมที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ.

"ฮัดเช้ย"แค่1ที ทำ150คนติดหวัด

"ฮัดเช้ย"แค่1ที ทำ150คนติดหวัด (ซื้อโลง ไว้เล๊ย ไม่ต้องรอ วัคซีน 555+)

อากาศ หนาวๆ อย่างนี้ คนเป็นหวัดกันเยอะ ดร. รอเจอร์ เฮนเดอร์สัน
เจ้าของคอลัมน์ความรู้เรื่องการแพทย์จากหนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทมส์
ทำการศึกษาและพบว่า
แค่คนจากเพียง 1 ครั้งในรถเมล์ รถไฟใต้ดิน จะทำให้ผู้โดยสารกว่า 150 คน
มีความเสี่ยงในการเป็นหวัดภายในเวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น
ยกเว้นว่าใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก เนื่องจากเชื้อจะลอยไปติดตามราว ที่นั่ง
และพื้นผิวอื่นๆ ดร. เฮนเดอร์สัน กล่าวว่า "การจาม 1 ครั้งจะพ่นละอองถึง
100,000 ละลอง เข้าไปในอากาศ ด้วยความเร็ว 90 ไมล์ต่อชั่วโมง"

จากการศึกษาพบว่า เมื่อหน้าหนาวปีที่แล้ว ผู้ที่ทำงานอยู่ที่บ้านเป็นหวัดแค่ 58%
ผู้ที่ออกไปข้างนอกเกือบทุกวันและ เดินทางด้วยรถไฟใต้ดินเป็นหวัด 99%
เดินทางด้วยรถเมล์เป็นหวัด 98% เดินทางด้วยรถไฟเป็นหวัด 96%
ส่วนผู้ที่เดินไปทำงานเป็นหวัด 88% การ สำรวจยังพบว่า ผู้โดยสาร 20%
ไม่ชอบใจเมื่อมีผู้จามโดยไม่มีผ้าเช็ดหน้าปิดปาก 33%
ไม่ชอบใจเมื่อมีผู้จามไม่ใช้มือป้องปาก
ส่วนใหญ่ผู้ชายไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือมือป้องปาก

บางคราว....ที่ปวดร้าวกับความรู้สึก

', '


ทุกครั้งที่เดินผ่านที่ตรงนี้
เพียงแค่ช่วงขณะ..ที่รู้สึกเหมือนได้เห็นแผ่นหลังของเขา
ในใจโหยหา...ภาวนาให้เป็น..เหมือนที่ใจเรียกร้อง
เค้ายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น..บนม้านั่ง
คอยอยู่เหมือนที่ผ่านมา

หันมองมา และส่งรอยยิ้มสดใส
แววตาเป็นประกาย.แสดงความดีใจ
เมื่อได้พบ...คนที่เค้าเฝ้ารอคอย

นึกไป.แล้วอมยิ้ม
เป็นความรู้สึก อุ่นๆ ในใจ .
ในโลกของจินตนาการ ความฝัน
และความหวังที่ริบหรี่

แต่.เมื่อมองดู..ในโลกของความเป็นจริง
ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น..ม้านั่งยาวก็ว่างเปล่า
ในใจเงียบเหงา..มีเพียงเรากับความฝัน

ได้แต่ยิ้มเศร้าๆ ปลอบใจตัวเอง
เราจะเข้มแข็งได้อีกนานไหม.ไม่รู้. ตอบตัวเองไม่ได้
เพียงแค่ตอนนี้.กลั้นเก็บไว้ ไม่อยากให้.มีน้ำตา

เพราะเมื่อสองตาเต็มไปด้วยน้ำ
ภาพที่เรามองเห็น จะพร่าเลือน
อย่างน้อยก็ยังหวัง ว่าจะได้เห็นภาพในความทรงจำ
.....อีกสักครา....


Story by : Angel Satan _Aim

ลูกน้องประเภทหนึ่ง

', '


จาก หนึ่งสมอง สองมือ
รวมบทสนทนา "ชีวิตธุรกิจ" พ.ศ. 2530
โดย ประสาร มฤคพิทักษ์


ท่านมีลูกน้องประเภมหนึ่งไหมครับ คือลูกน้องที่ทำงานเมื่อสั่งเท่านั้น
ไม่สั่งคือนั่งเฉยๆ และเมื่อสั่ง ไม่ใช่ว่าสั่งแล้วจะได้ผล
ในแต่ละงานนั้นยังต้องจี้กันทุกก้าว ไม่จี้ไม่ผลักดันก็ไม่เดิน
ต้องผลักดันจึงจะคลื่นที่เหมือนวัตถุชิ้นหนึ่งละครับ

ทำงานได้ผลก็เงียบ ไม่ได้ผลก็ปิดปาก
เราเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องนั่งเทียนคิดเอาเองว่าลูกน้องจะทำได้ไหม
วันไหนได้ผลก็โชคดีไป วันไหนไม่ได้ผลก็ไม่รู้เรื่องกัน
บางทีจะแก้ปัญหาก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะลูกน้องไม่ยอมรายงาน

สอนก็แล้ว แนะนำก็แล้ว ให้การศึกษาอบรมก็แล้ว
เขาก็ยังคงความเป็นเหมือนวัตถุชิ้นหนึงในสำนักงานที่ไม่ผลักไม่ไป

ปวดหัวหน่อยนะครับเจอคนแบบนี้

คนชนิดนี้ถ้าจัดให้นั่งโต๊พะที่ไกลตา
ก็ยิ่งสบายเพราะเขาจะสามารถขี้เกียจได้ทั้งวัน

จะจัดการกับเขาอย่างไรดี เป็นปัญหาที่น่าคิด สำหรับคนแบบนี้

หนึ่ง จะต้องจัดให้นั่งโต๊ะอยู่ใกล้ๆหัวหน้าครับ
ให้กระทำการเคลื่อนไหวอยู่ในสายตาได้ตลอด นี่เป็นการคุมชั้นหนึ่งแล้ว

สอง ก็จะต้องกำหนดหน้าที่การงานที่แจ่มชัดของเขาลงไป
ถ้าบริษัทยังไม่มีใบกำหนดหน้าที่การงานของคนทั้งหมด
ก็ลองทำเฉพาะตัวคนๆนี้ก็ได้ ว่ามีงานอะไรต้องทำบ้างในวันหนึ่ง
ถ้าสามารถกำหนดได้ละเอียดเท่าไรยิ่งดี

สาม ก็ต้องกำหนดวันเสร็จที่แน่นอนลงไปสำหรับงานแต่ละอย่างที่เขารับผิดชอบ
การกำหนดวันเช่นนี้ ช่วยให้เขามีเป้าหมาย

สี่ต้องติดตาม คอยผลักดันคอยจี้ให้ดำเนินงานไปตามแผนที่กำหนดไว้แล้วด้วยคำพูดที่ให้กำลังใจกัน
ไม่ใช่คำพูดที่บั่นทอนกำลังใจ

เอาแค่สี่วิธีนี้ลองใช้กับลูกน้องประเภทนี้ดูนะครับ

แด่คนเคยรัก...วันนี้ฉันยังรักเธอเท่าเดิม

', '

เคยได้ยินได้ฟังใครๆมากมายพูดไว้ว่า
หากผิดหวังจากเรื่องราวของความรักแล้ว
เวลาเท่านั้น...ที่จะช่วยให้ความเจ็บปวดเบาบางลง
แต่สำหรับฉันแล้ว ไม่ว่าวันเวลาจะเดินทางผ่านไปเนิ่นนานสักเท่าไหร่
ก็ไม่เคยทำให้ความรู้สึกที่มีให้เธอลดน้อยลงไปได้เลย
...ฉัน...อาจเป็นข้อยกเว้นของกฎแห่งเวลาในข้อนี้

จากวันแรกที่ได้รู้จักกับเธอ...
...ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่า
เธอจะยังจำเรื่องราวในวันนั้นได้เหมือนกันกับฉันหรือเปล่านะ
ที่ผู้หญิงจริงใจคนหนึ่งได้มาเจอกับผู้ชายหน้าเข้ม
เป็นเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย...ที่ดังกิ้น โดนัท-เวิร์ดเทรด เซ็นเตอร์
ฉันยังจดจำเวลาที่ดีนั้นได้จนถึงทุกวันนี้
สิบสองนาฬิกา สามสิบนาที ของวันที่ สิบสอง เดือนสิบสอง เมื่อห้าปีที่แล้ว

จำได้ว่า...มีของขวัญให้เธอเป็นกระดิ่งเซรามิกรูปดอกทานตะวันสดใส
เธออาจจะไม่ชอบใจมากมายนัก เพราะมันเป็นของขวัญสำหรับผู้หญิงมากกว่า
แต่เห็นว่าเหมาะกับผู้ชายตัวโตๆ หน้าเข้มอย่างเธอดี
ถึงแม้ว่า...เราจะเดินแยกทางกันนานแล้ว
ก็ยังหวังว่าเธอจะยังคงรักและทนุถนอมไว้อย่างเดิมนะ
เพราะมันเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ตั้งใจให้
เธออาจจะไม่รู้ว่า....
ฉันเทความรักและมิตรภาพของฉันไว้ตรงนั้นมากมายแค่ไหน
ก็อยากให้มันสว่างไสวสดใสเหมือนดอกทานตะวันไปนานๆ

หนึ่งปีกับอีกครึ่งปีแล้วที่ไม่ได้เจอกัน
ไม่ได้รับรู้ความเป็นไปของเธออีกเลย
นับตั้งแต่วันที่รู้ว่า มีใครอีกคนมาดูแลเธอแทนที่ฉัน..วั้นนั้น
วันนี้...เธอยังสบายดีอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่สำหรับฉันแล้ว.....
วันเวลาที่ไม่มีเธอที่ผ่านมานั้น....ไม่ได้สวยงามมากมายอะไรนัก
ถึงฉันจะได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ดีๆให้ใครๆได้ชื่นชม
ได้เดินทางไปในที่ไกลๆ หลายๆที่ หลายๆประเทศ
ได้มีโอกาสได้เจอใครๆอีกมากมาย...หลายเชื้อชาติ
มีชีวิตที่ใครหลายคนอาจอิจฉา...ชีวิตที่ใครๆก็มองเห็นว่าสวยงามมากมาย


แต่สำหรับฉันแล้ว...
ในมุมหนึ่งลึกๆข้างในนั้น...ฉันคิดถึงเธอ...อยากเจอเธออีกสักครั้ง
มีเรื่องราวมากมายที่ฉันอยากเล่าให้เธอฟัง
มีสถานที่มากมายที่อยากให้เธอได้มาเห็นด้วยกัน
...แต่ก็ไม่สามารถสื่อผ่านมาถึงเธอได้อย่างเคย
ฉันปล่อยให้เวลาเดินผ่านมาเรื่อยๆจนถึงวันนี้
เพียงหวังว่า วันเวลาจะทำให้ลืมเธอ

ฉันคงคิดผิดไปมาก....
ทุกวันนี้...ยังมีภาพเธออยู่ในใจตลอดมา
ยังคิดถึงเธอเสมอในเวลาที่เหนื่อยล้า
ในเวลาที่...รู้สึกไม่มีใครข้างกายเลยสักคน
อาจดูเหมือนเศร้า...แต่ฉันก็มีความสุข
สุขที่เคยได้มีช่วงเวลาที่สวยงามร่วมกับเธอให้นึกถึง
สุขที่ยังมีสิทธิได้คิดถึงเธอ...
ถึงแม้จะไม่อาจบอกกล่าวกับใครได้เลยก็ตามที

ฉันยังกลับไปยังที่เดิม...ที่ๆเราได้พบกันครั้งแรก...ทุกปี
กลับมาทวงถามความรักที่หลุดลอยไปนานแล้ว
และกลับมาเพื่อบอกตัวเองว่า...ฉันยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
อาจดูเหมือนเป็นการกระทำของคนโง่เขลา
แต่ฉันก็มีความสุขที่ได้กลับมาคิดถึงเธอที่นี่
แม้ว่าจะไม่มีเธออยู่ตรงหน้าดังเดิมก็ตาม

เธอ...อาจจะลืมเรื่องราวเหล่านี้ไปหมดแล้ว
แต่สำหรับฉัน...ทุกๆวันที่เคยมีเธอคือความทรงจำที่สวยงามเสมอ
และแม้ว่าเธอจะไม่เคยได้รับรู้...ฉันก็มีความสุข
ที่ครั้งหนึ่งในชีวิต...ฉันเคยมีเธอ...เป็นคนรัก....


Story by : Angel Satan _Aim
Date : 1 April 2004

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ข้อคิดสะกิดใจ(ของท่านว.)

ข้อคิดสะกิดใจ(ของท่านว.)

ชวนคิด ชวนคิด ->

แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน
ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน
ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ

คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวัน
ก็ยังโง่เท่าเดิม

ว วชิรเมธี

โดยท่านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว วชิรเมธี)

........................
นัยอันล้ำลึกของคำว่า "ขอบคุณ"

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ

ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

ขอบ คุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่
ขอบคุณความป่วยไข้ ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขฦnbsp;าพ
ขอบคุณความทุกข์ที่ ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน

ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ
เจริญพร

พันธมิตรฯขอนแก่นเตรียมเปิดศูนย์ประสานงานพรรค 28 ก.ค.นี้

พันธมิตรฯขอนแก่นเตรียมเปิดศูนย์ประสานงานพรรค 28 ก.ค.นี้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


เวทีหารือเตรียมความพร้อมการจัดงานพิธีทำบุญเปิดศูนย์ประสานงานพรรคการเมืองใหม่
และพิธีเปิดสถานีวิทยุชุมชน yellow wave radio

สถานีวิทยุชุมชน yellow wave radio คลื่นพันธมิตรเทิดทูนสถาบัน F.M.
99.25 MHz จ.ขอนแก่น อยู่ระหว่างทดลองออกอากาศ


ศูนย์ข่าวขอนแก่น -
แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดขอนแก่นจากหลายอำเภอ
ร่วมประชุมเตรียมการจัดงานพิธีทำบุญเปิดศูนย์ประสาน

งานพรรคการเมืองใหม่ และพิธีเปิดสถานีวิทยุชุมชน yellow wave radio
คลื่นพันธมิตรเทิดทูนสถาบัน โดยมี "สมศักดิ์ โกศัยสุข
หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่"

พร้อม "สุริยใส กตะศิลา เลขาฯ พรรค" ร่วมปราศรัย 28 ก.ค.นี้

วันนี้ (22 ก.ค.52) นายกมล กิจกสิวัฒน์
แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดขอนแก่น
พร้อมด้วยตัวแทนคณะทำงานแนวร่วมพันธมิตรฯ

จากอำเภอต่างๆ ในจังหวัดขอนแก่น อาทิ อ.เมือง อ.บ้านไผ่ อ.พล อ.ชุมแพ
อ.ภูเวียง และ อ.น้ำพอง ร่วมประชุมเตรียมความพร้อมการจัดงานพิธีทำบุญ

เปิดศูนย์ประสานงานพรรคการ เมืองใหม่ และพิธีเปิดสถานีวิทยุชุมชน yellow
wave radio คลื่นพันธมิตรเทิดทูนสถาบัน F.M. 99.25 MHz จ.ขอนแก่นในวัน

อังคารที่ 28 ก.ค.นี้

นายกมล เปิดเผยว่า คณะทำงานแนวร่วมพันธมิตรฯจากหลายอำเภอ
ได้แบ่งหน้าที่การประสานงานเพื่อเตรียมความพร้อมของการจัดงานครั้งนี้
ซึ่งจะมี

นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ พร้อมนายสุริยะใส กตะศิลา
เลขาธิการพรรค และนายพิชิต ไชยมงคล หรือตั้ม มาร่วมงาน และเปิดเวที

ปราศรัย ในบรรยากาศแบบพันธมิตร

โดยงานจะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วง 10.00-14.00 น.
เป็นพิธีทำบุญเปิดที่ทำการศูนย์ประสานงานพรรคการเมืองใหม่ บริเวณ
ถ.ประชาสโมสร อ.เมือง

จ.ขอนแก่น จากนั้นเวลา 16.00 น. เป็นต้นไป
เป็นพิธีเปิดอาคารสถานีวิทยุชุมชน yellow wave radio
คลื่นพันธมิตรเทิดทูนสถาบัน F.M. 99.25 MHz จ.

ขอนแก่น ซอยประชาสโมสร 52 ถ.ประชาสโมสร

นายธรรมรัตน์ เสงี่ยมศรี แนวร่วมพันธมิตรฯ ขอนแก่น
ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมดูแลสถานีวิทยุชุมชน กล่าวว่าสถานีวิทยุแห่งนี้
แนวร่วมพันธมิตรฯขอนแก่น

ได้ร่วมกันจัดหาทุนเพื่อก่อตั้ง
โดยมีจุดประสงค์เพื่อถ่ายทอดสดรายการในช่วงเวลาสำคัญๆ
จากสถานีโทรทัศน์ASTV ทีวีของประชาชน สลับกับการจัด

รายการโดยพี่น้องพันธมิตรในขอนแก่น
เพื่อให้เป็นสถานีวิทยุชุมชนที่แสดงออกถึงการเทิดทูนสถาบัน
พร้อมให้ความรู้ ข่าวสารการเมืองใหม่ และไม่ทิ้งความ

บันเทิง

ภาย หลังจากการเปิดสถานีวิทยุชุมชน yellow wave radio แล้ว
จะเป็นการเปิดเวทีปราศรัยและพบปะพูดคุยกับหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่และ

เลขาธิการพรรค พร้อมแกนนำและวิทยากรคนสำคัญ ในบรรยากาศแบบพันธมิตร
โดยการเตรียมงานมีความพร้อมกว่า 90 % คาดว่าจะมีพี่น้องพันธมิตรทั้ง

ในจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดใกล้เคียง มาร่วมงานกว่าพันคน

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000082965

บีโอไอ:ขอรับการส่งเสริมฯ ไม่ยากอย่างที่คิด

บีโอไอ:ขอรับการส่งเสริมฯ ไม่ยากอย่างที่คิด
โดย วันเพ็ญ หรูจิตตวิวัฒน์


การขอรับการส่งเสริมฯ ในที่นี้หมายถึง
การขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
(Office of the Board of Investment - BOI) หรือบีโอไอ
ซึ่งเป็นหน่วยราชการในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม
ภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
พ.ศ. 2534 และ พ.ศ. 2544
โดยการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอเป็นการให้สิทธิประโยชน์
ทั้งด้านภาษีอากร และมิใช่ภาษีอากร

นอกจากนี้
ยังมีการบริการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนในการประกอบธุรกิจ
ครอบคลุมบริการชี้แนะลู่ทางการลงทุน แนะนำการขอรับการส่งเสริมฯ
บริการจัดหาผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ บริการจัดหาผู้ร่วมทุน
บริการศูนย์ข้อมูลการลงทุน และบริการเพื่อการลงทุนของคนไทยในต่างประเทศ

หลักการ และหลักเกณฑ์พื้นฐานโดยสังเขปในการขอรับการส่งเสริมฯ
ประกอบด้วย เขตส่งเสริมการลงทุน รูปแบบของสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ
ประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริม หลักเกณฑ์การอนุมัติโครงการ
หลักเกณฑ์การถือหุ้นของต่างชาติ และการยื่นขอรับการส่งเสริมฯ

เขตส่งเสริมการลงทุน

พื้นที่ในการส่งเสริมการลงทุนแบ่งตามเขตพื้นที่ โดยแบ่งออกเป็น 3
เขต ประกอบด้วย

เขต 1 6 จังหวัด คือ โครงการที่ตั้งสถานประกอบการในกรุงเทพมหานคร
นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร

เขต 2 12 จังหวัด คือ
โครงการที่ตั้งสถานประกอบการในจังหวัดกาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี
นครนายก พระนครศรีอยุธยา ภูเก็ต ระยอง ราชบุรี สมุทรสงคราม สระบุรี
สุพรรณบุรี และอ่างทอง

เขต 3 58 จังหวัดที่เหลือผู้ประกอบการสามารถเลือกจัดตั้งโรงงาน
หรือสถานประกอบการที่จังหวัดใดก็ได้หากไม่ขัดกับกฎหมายอื่น
สิทธิประโยชน์ขึ้นอยู่กับเขตที่ตั้งของโครงการที่ได้รับการส่งเสริมและข้อ
กำหนดพิเศษสำหรับเงื่อนไขนั้นๆ โดยปกติโครงการลงทุนที่ตั้งในเขต 3
จะได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด

รูปแบบของสิทธิประโยชน์

สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุน ครอบคลุมทั้งด้านภาษีอากร
และไม่ใช่ภาษีอากร โดยสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากร ได้แก่
ยกเว้น/ลดหย่อนอากรขาเข้าเครื่องจักร
ยกเว้น/ลดหย่อนอากรขาเข้าวัตถุดิบ/วัสดุจำเป็น
ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินปันผล
ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 หักค่าขนส่ง ไฟฟ้า ประปา 2 เท่า
หักค่าติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่เกินร้อยละ 25
นอกจากการหักค่าเสื่อมราคาตามปกติแล้ว

สำหรับสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษีอากร ได้แก่
การถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน เพื่อดำเนินการตามโครงการที่ได้รับการส่งเสริม
รวมถึงการขอใบอนุญาตทำงาน
และการขออนุญาตอยู่ในประเทศไทยที่ศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน (One
Stop Service Center for Visas and Work Permits)

ประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริม

คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
ได้ประกาศประเภทกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนครอบคลุมอุตสาหกรรมต่างๆ
แบ่งเป็น 7 หมวด ประกอบด้วย

หมวด 1 อุตสาหกรรมเกษตรและผลิตผลจากการเกษตร

หมวด 2 อุตสาหกรรมเหมืองแร่ เซรามิก และโลหะขั้นพื้นฐาน

หมวด 3 อุตสาหกรรมเบา

หมวด 4 อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง

หมวด 5 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

หมวด 6 อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ กระดาษ และพลาสติก

หมวด 7 อุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค

โดยหากประสงค์จะยื่นเอกสารขอรับการส่งเสริมฯ ที่สำนักงานใหญ่
สามารถยื่นได้ที่สำนักบริหารการลงทุนที่รับผิดชอบ แยกเป็นดังนี้

สำนักบริหารการลงทุน 1 กำกับดูแลและวิเคราะห์โครงการลงทุนหมวด 1 และ 3

สำนักบริหารการลงทุน 2 กำกับดูแลและวิเคราะห์โครงการลงทุนหมวด 2 และ 4

สำนักบริหารการลงทุน 3 กำกับดูแลและวิเคราะห์โครงการลงทุนหมวด 5

สำนักบริหารการลงทุน 4 กำกับดูแลและวิเคราะห์โครงการลงทุนหมวด 6 และ 7

หลักเกณฑ์การอนุมัติโครงการ

การพิจารณาความเหมาะสมของโครงการที่ขอรับการส่งเสริมฯ นั้น
คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มีหลักเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้

1. มีเงินลงทุนของโครงการที่ขอรับการส่งเสริมฯ
ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท
สำหรับอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 500,000
บาท

2. ต้องมีมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของรายได้
ยกเว้นการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน
กิจการเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร
และโครงการที่คณะกรรมการให้ความเห็นชอบเป็นกรณีพิเศษ
(มูลค่าเพิ่มเป็นผลต่างระหว่างรายได้ทั้งสิ้น
หักด้วยค่าวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ใช้ทั้งหมด
และค่าสินค้าและบริการที่มาจากแหล่งอื่น ได้แก่ ค่าบริการสาธารณูปโภค
เป็นต้น)

3. มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจดทะเบียนไม่เกิน 3 ต่อ 1
สำหรับโครงการริเริ่ม ส่วนโครงการขยายจะพิจารณาตามความเหมาะสมเป็นกรณีๆ
ไป

4. ต้องใช้กรรมวิธีการผลิตที่ทันสมัยและใช้เครื่องจักรใหม่
กรณีที่ใช้เครื่องจักรเก่าต้องให้สถาบันที่เชื่อถือได้รับรองประสิทธิภาพ
และคณะกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบเป็นกรณีพิเศษ

5. มีระบบการป้องกันมลพิษที่ดี
สำหรับโครงการที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการฯ
จะพิจารณาเป็นพิเศษในเรื่องที่ตั้งและการจัดการมลพิษ

6. โครงการที่มีเงินลงทุนไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนมากกว่า
500 ล้านบาท ต้องแนบรายงานศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการตามที่คณะกรรมการฯ
กำหนด

หลักเกณฑ์การถือหุ้นของต่างชาติ

โครงการลงทุนในกิจการเกษตรกรรมการเลี้ยงสัตว์ การประมง
การสำรวจและการทำเหมืองแร่
และการให้บริการตามบัญชีหนึ่งท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคน
ต่างด้าว พ.ศ. 2542 ต้องมีผู้มีสัญชาติไทยถือหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ
51 ของทุนจดทะเบียน แต่โครงการลงทุนในกิจการอุตสาหกรรม
ต่างชาติถือหุ้นข้างมากหรือทั้งสิ้นได้ ไม่ว่าจะตั้งอยู่ในเขตใด

การยื่นขอรับการส่งเสริมฯ

แบบฟอร์มการขอรับการส่งเสริมฯ มี 3 แบบ คือ แบบฟอร์มทั่วไป
แบบฟอร์มบริการ และแบบฟอร์มกิจการประเภท 5.8 กิจการซอฟต์แวร์
หรือกิจการประเภท 5.9 กิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดย แบบฟอร์มทั่วไป
ใช้สำหรับกิจการผลิต และกิจการบริการบางประเภท แบบฟอร์มบริการ
ใช้สำหรับกิจการบริการ ส่วน แบบฟอร์มสุดท้าย จะใช้กับกิจการประเภท 5.8
และ 5.9 เท่านั้น

การยื่นแบบฟอร์มขอรับการส่งเสริมฯ
สามารถยื่นทางอินเทอร์เน็ตได้ที่
https://boieservice.boi.go.th/IPS/Default.aspx
หรือยื่นเป็นเอกสารที่สำนักงานใหญ่ สำนักงานสาขา
หรือสำนักงานในต่างประเทศก็ได้

ขอรับการส่งเสริมฯ ง่ายนิดเดียว

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
สามารถติดต่อสอบถามขอข้อมูลได้ที่ศูนย์บริการลงทุน
หรือศึกษาข้อมูลจากเว็บไซต์ของสำนักงานที่ http://www.boi.go.th
โดยสามารถอีเมลหรือโทรศัพท์นัดหมายเพื่อมาพบเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการลงทุน
หรือเจ้าหน้าที่สำนักบริหารการลงทุนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อหารือสอบถามการกรอกแบบฟอร์ม รวมถึงปัญหาอื่นๆ

"โครงการลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมฯ
ไม่ว่าจะเป็นโครงการของนักลงทุนไทย หรือนักลงทุนต่างชาติ
จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ
และสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับก็เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ได้ประกาศไว้"

เมื่อ ยื่นขอรับการส่งเสริมฯ แล้ว
เจ้าหน้าที่สำนักบริหารการลงทุนที่รับผิดชอบในการวิเคราะห์โครงการลงทุนจะ
เชิญผู้ขอรับการส่งเสริมฯ มาชี้แจงโครงการ
ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินการปรากฏตาม
http://www.boi.go.th/thai/about/boi_promotion_procedure.asp
หากข้อมูลที่กรอกในแบบฟอร์มไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขประเภทกิจการนั้นๆ
เจ้าหน้าที่ก็จะแนะนำให้ผู้ขอรับการส่งเสริมฯ ปรับปรุงข้อมูล
ถ้าสามารถปรับปรุงได้
และเมื่อโครงการเป็นไปตามหลักเกณฑ์การอนุมัติให้การส่งเสริม
โครงการจะได้รับการพิจารณาให้การส่งเสริมต่อไป

โครงการลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมฯ
ไม่ว่าจะเป็นโครงการของนักลงทุนไทย หรือนักลงทุนต่างชาติ
จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ
และสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับก็เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ได้ประกาศไว้

นอกจากนั้นก็ไม่มีข้อห้ามที่จะยื่นขอรับการส่งเสริมฯ เข้ามาใหม่
หากเคยยื่นขอรับการส่งเสริมฯ แล้วไม่ได้รับการอนุมัติ
จะต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลที่เป็นสาเหตุให้ไม่เข้าเกณฑ์การให้การ
ส่งเสริมเสียก่อน แล้วจึงยื่นขอรับการส่งเสริมฯ
ใหม่ในกรณีที่สามารถแก้ไขได้

ฉะนั้น เมื่อใดที่ต้องการลงทุนในธุรกิจประเภทใดก็ตาม
ก่อนการลงทุนขอให้นึกถึงบีโอไอเป็นอันดับแรก
แล้วค้นหาประเภทที่ให้การส่งเสริมนั้นว่า
ครอบคลุมประเภทกิจการที่ต้องการประกอบการหรือไม่
หากมีประเภทที่ขอรับการส่งเสริมฯ ได้
ขอให้ศึกษาเงื่อนไขประเภทกิจการโดยละเอียด
เพื่อให้ได้รับสิทธิและประโยชน์สูงสุด รวมทั้งเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิต
และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันอีกด้วย

ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8161 หรือที่ head@boi.go.th


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000084431

ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุดมศึกษาไทย (แบบพึ่งตนเอง)

โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ 26 กรกฎาคม 2552 14:58 น.
การพัฒนาการอุดมศึกษาให้เข้มแข็งถือเป็นรากฐานที่สำคัญมากในการพัฒนาประเทศ
ดังจะเห็นได้ว่าอารยประเทศทั้งหลายในโลกนี้ต่างก็มีสถาบันอุดมศึกษาที่เข้ม
แข็งเสมอ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกานั้นได้มีการวิเคราะห์กันว่าที่ก้าวเข้ามาเป็นมหาอำนาจ
ของโลกได้อย่างรวดเร็วนั้นก็เพราะมีมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำเป็นปัจจัยส่ง
เสริมหลักนั่นเอง

สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (ร. 5)
ทรงเล็งเห็นการณ์ไกลในการเชื่อมโยงการศึกษากับการพัฒนาประเทศไทยให้ทัดเทียม
นานาอารยประเทศ จึงทรงส่งนักศึกษาออกไปศึกษาต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
ส่งผลให้เกิดการกระโดดทางการพัฒนาประเทศในยุคนั้นเป็นอย่างมาก

จนบัดนี้เวลาล่วงมากว่าร้อยปีแล้ว
รัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมาได้ลงทุนมหาศาลส่งนักศึกษาไทยออกไปศึกษาต่างประเทศ
เรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง และในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
จนจบปริญญาเอกในวิทยาการสาขาต่างๆ นับหมื่นๆ คน ปริญญาโทอีกเป็นแสน
แต่ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถยืนบนขาตัวเองได้ในแง่วิชาการสักที
จะทำโครงการใหญ่น้อยอะไรแต่ละทีก็ต้องมีที่ปรึกษาต่างชาติเสมอ
แม้แต่โครงการขุดค้นด้านโบราณคดีก็ตาม
ไม่ต้องเอ่ยถึงโครงการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ในที่นี้ขอวิเคราะห์แบบย้อนเกร็ดว่าความอ่อนแอของนักวิชาการใน
มหาวิทยาลัยไทยนั้น
มีสาเหตุหลักมาจากการที่เราส่งนักศึกษาไปเรียนต่างประเทศ
"เป็นระยะเวลายาวนานเกินไป" และ "ไร้ทิศทางเกินไป"
ซึ่งก่อให้เกิดผลพวงอันเลวร้ายตามมาหลายประการ เช่น

1. เสียเงินออกนอกประเทศ (ใน พ.ศ. 2545
ซึ่งแม้เป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ก็ยังเสียเงินไปเรียนกันประมาณปีละ 45,000
ล้านบาท เมื่อคิดรวมหมดทุกคนที่ไปเรียนอยู่โดยทุนส่วนตัวและทุนรัฐบาล..ประมาณตั้ง
5% ของงบประมาณชาติในขณะนั้น)

2. ทำให้มหาวิทยาลัยไทยอ่อนแอทางการศึกษา
เพราะไม่ได้นักศึกษาคุณภาพดีเข้ามาป้อนการศึกษาระดับโท-เอก
(ได้แต่พวกหมดหนทางไปเรียนนอกเข้าเป็นวัตถุดิบ)

3. ทำให้การวิจัยในมหาวิทยาลัยอ่อนแอ
เพราะไม่มีแรงงานและมันสมองของนักศึกษาบัณฑิตศึกษาที่เก่งๆ คอยช่วยเหลือ
(ทำวิทยานิพนธ์)
แต่กลับส่งมันสมองชั้นดีเหล่านี้ไปทำงานวิจัยเพื่อพัฒนาความเข้มแข็งให้
มหาวิทยาลัยต่างชาติเสียหมด เท่ากับว่าเราเอางบของประเทศไทยที่จนๆ
ส่งสมองชั้นเลิศของเราไปช่วยพัฒนาต่างชาติที่เขารวยกว่าเราร้อยเท่า

4. เมื่อมันสมองเหล่านั้นกลับมาสู่ประเทศแล้ว
(หากไม่โดนต่างชาติดูดตัวไปเสียก่อน)
ส่วนใหญ่ก็จะทำงานวิจัยในเรื่องเดิมที่เคยทำ ณ ต่างประเทศต่อไป
ซึ่งมักไม่ค่อยมีผลต่อการพัฒนาชาติไทย แต่กลับมีผลต่อการพัฒนาชาติอื่น
(ทั้งที่ใช้เงินคนไทยทำงานนี้)
เท่ากับว่าชาติเราเสียเงินทั้งขึ้นทั้งล่อง
(ยังไม่นับการเสียโอกาสอีกมหาศาล)

5. เมื่อมันสมองระดับสูงเหล่านี้เข้ามาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
และรับนักศึกษาปริญญาโท-เอก (ที่เหลือเดนจากการไม่สามารถไปเรียนนอกได้)
เข้ามาทำงานวิทยานิพนธ์กับตน
ก็จะแจกโจทย์วิจัยเพื่อพัฒนาชาติอื่นเหล่านี้ให้นักศึกษาช่วยทำกันต่อไปอีก
นาน นับเป็นการสูญเสียระยะยาวทีเดียว

กรณีประวัติศาสตร์ของสองชาติที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่งคือ รัสเซีย
และญี่ปุ่น สองชาตินี้สร้างชาติมาคล้ายกันคือพระเจ้าปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซีย
และจักรพรรดิเมจิแห่งญี่ปุ่นทรงส่งนักศึกษาออกไปศึกษาวิทยาการจากตะวันตกใน
เวลาเพียงประมาณ 30 ปี เท่านั้น จากนั้นก็ลดจำนวนการส่งออกลงมาก
แล้วหันมาพัฒนาการศึกษาและการวิจัยภายในประเทศของตนเอง
จนทั้งสองประเทศกลายสภาพจากบ้านป่าเมืองเถื่อนมาเป็นประเทศมหาประเทศได้
อย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โลกก่อนหน้านั้นก็ว่าได้
น่าคิดว่าถ้าสองประเทศนี้ส่งนักศึกษาไปเรียนนอกแบบต่อเนื่องยาวนานนับร้อยปี
เหมือนไทยเราโดยไม่คิดสร้างความรู้ด้วยตัวเองบ้าง ป่านนี้จะเป็นอย่างไร

ผู้เขียนใคร่ขอเสนอหนทางแก้ไขความอ่อนแอและพัฒนาความเข้มแข็ง
ของมหาวิทยาลัยไทยแบบย้อนเกล็ดว่า
ให้ลดการส่งนักศึกษาไปเรียนต่างประเทศให้มากที่สุด
(คงไว้เพียงจำนวนน้อยจำนวนหนึ่งเพื่อ "ทรง" ความรู้เท่านั้น)
แล้วหันมาสร้างค่านิยม และสร้างแรงจูงใจให้เรียนในประเทศไทยให้มากที่สุด
ซึ่งในขณะนี้สามารถทำได้เป็นอย่างดีเพราะประเทศไทยมีนักวิชาการระดับปริญญา
เอกในสาขาวิชาการต่างๆเป็นจำนวนมากพอที่จะตั้งตัวทางวิชาการได้แล้ว

โดยเฉพาะนักศึกษาทุนรัฐบาลต้องเรียนในประเทศเท่านั้น
โดยนักศึกษาระดับปริญญาเอกมีเงินเดือนให้ 15,000 บาทเป็นเวลา 4 ปี
มีงบสนับสนุนการทำวิทยานิพนธ์จำนวน 2 ล้านบาท
และมีงบให้อาจารย์ไปเสนอผลงานวิจัยต่างประเทศได้ 2 แสนบาท
(ซึ่งอาจารย์ไทยส่วนใหญ่ชอบมาก) การทำเช่นนี้มีข้อดีคือ

1. ถูกกว่าส่งไปเรียนนอก 3 เท่า

2. เงินอยู่ในประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยปีละนับหมื่นล้าน

3. ช่วยพัฒนาความเข้มแข็งของมหาวิทยาลัยไทย
(อาจารย์มีงานวิจัยทำและมีนักศึกษาเก่งๆ ช่วยงานวิจัย)

4. หัวข้อวิจัยสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศไทย
(อาจกำหนดเป็นเงื่อนไขของการให้ทุนวิจัยวิทยานิพนธ์)

5. เป็นการพึ่งตนเอง แทนการพึ่งต่างชาติร่ำไป
จะส่งอานิสงส์มหาศาลไปยังภาคอื่นๆ อย่างคาดไม่ถึงอีกมาก (ลองนึกดูสิ)

ศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของคนไทย
สอนให้เรารู้จักพึ่งตนเอง ดังพุทธพจน์ที่ว่า "ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน"
แต่นักวิชาการไทยส่วนใหญ่และนักวางนโยบายทางการศึกษาส่วนใหญ่มักคิดกันได้
แต่การจะพึ่งการศึกษาของต่างชาติอยู่ร่ำไป..และดูเหมือนว่าจะตลอดไปหากไม่มี
อะไรมากระตุ้นให้เป็นอื่น
ไม่มีใครคิดจะพึ่งตนเองด้วยการส่งเสริมให้เกิดการเรียนในประเทศแทนการส่งไป
เรียนเมืองนอกกันโครมๆ บ้างเลย เช่น รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ (นายกฯ
จบนอกอีกคน) นั้น

เมื่อฟื้นจากพิษโรคเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง"
ก็ประกาศนโยบายส่งออกนักศึกษา 5,000 คนทันที
นัยว่าเพื่อสร้างคนไว้เอามาพัฒนาประเทศ
ซึ่งเป็นการติดกับดักของวิสัยทัศน์เดิมๆ เก่าๆ
ทั้งที่หาเสียงทางการเมืองเสียเลิศหรูว่า "คิดใหม่ทำใหม่"
อีกทั้งยังมีโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งด็อกเตอร์
โดยด็อกเตอร์เหล่านี้ส่งไปเรียนต่างประเทศหมด
ไม่เคยคิดจะให้เรียนในเมืองไทยเราบ้างเลย

การส่งเสริมให้เรียนในประเทศ
และนโยบายมาตรการให้ทุนวิจัยที่ชาญฉลาด
จะช่วยพัฒนาปัญญาและความรู้ของนักวิชาการในมหาวิทยาลัยไทย
พร้อมกับช่วยพัฒนาประเทศให้มั่งคั่งพร้อมกันไป เชื่อได้ว่า 20
ปีจากนี้ไปไทยเราจะพึ่งตนเองได้ทางวิชาการ
ทั้งนี้หาใช่ว่าเราจะปิดประเทศด้านวิชาการ
เพราะการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับต่างชาติยังคงมีอยู่เพียงแต่ว่าบทบาทและ
ลักษณะจะเปลี่ยนไปเป็น "เพื่อนฝูง" แทนการเป็น "ลูกไล่" แบบเก่าก่อน
การให้ทุนไปเสนอผลงานวิจัย ณ
ต่างประเทศก็เป็นกุศโลบายในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยปริยายอยู่แล้วด้วย

ชาติ ไทยได้ลงทุนส่งคนไปเรียนนอกมาร้อยกว่าปีจนมีดอกเตอร์ในทุกสาขาวิชาการเต็ม
ประเทศ ผู้เขียนเชื่อว่าถ้ามีความตั้งใจทางการเมืองที่แน่วแน่
และมีวิสัยทัศน์ทางการศึกษาของชาติที่ถูกต้อง
ชาติเราต้องพึ่งตนเองทางวิชาการได้ภายใน 20 ปีจากนี้ไปอย่างแน่นอน


....ทวิช จิตรสมบูรณ์


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000084436