++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วาระไข้หวัดใหญ่-วาระของชาติ

โดย สุวิชชา เพียราษฎร์


เมื่อวานนี้ คุณหมอพิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา
กระทรวงสาธารณสุข พร้อมทีมงานหลายคนมาเยี่ยมกองบรรณาธิการ
ASTVผู้จัดการถึงที่บ้านพระอาทิตย์

คุณหมอบอกว่า ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนของกระทรวงมารับฟัง
และแลกเปลี่ยนความเห็นของสื่อในการควบคุมสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009
ที่ระบาดอย่างหนักในขณะนี้

ผมมีโอกาสได้ต้อนรับและพูดคุยกับคุณหมอ
ฟังคุณหมอเล่าสถานการณ์และความเป็นไปของโรคที่ตกเป็นข่าวพาดหัวในหนังสือ
พิมพ์และสื่อต่างๆ มาต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนมานี้ บอกตรงๆ ว่า
ผมเองมีความรู้เรื่องทางการแพทย์น้อยมาก
แต่ก็พยายามขวนขวายหาข้อมูลเกี่ยวกับไข้หวัดมรณะนี้เท่าที่จะทำได้มาตลอด
พอได้ข้อมูลในอีกแง่หนึ่งในฐานะผู้ปฏิบัติงานอย่างข้าราชการเช่นคุณหมอ
ทำให้รู้สึกว่า ดูท่ารัฐบาลต้องทำงานหนักกว่าที่ผ่านมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คุณหมอพิพัฒน์ ยอมรับว่า
ขณะนี้การทำงานของหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ถูกมองว่า
ท่าดีทีเหลว เพราะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้โดยมีผู้ป่วยที่ติดเชื้อหวัดเพิ่มมากขึ้น
เรื่อยๆ ขณะที่มีคนตายรายวัน 1 รายบ้าง 2 รายบ้าง และ บางวันเพิ่มสูงถึง
3 ราย ผิดกับช่วงต้นๆ ทีแรกมีข่าวว่า ไข้หวัดได้ระบาดเข้ามาถึงประเทศไทย
ช่วงนั้นรัฐบาลตื่นตัวและวางมาตรการเข้มข้นจนได้รับคำชม

เมื่อมียอดผู้ป่วยและตายมากขึ้นเป็นลำดับ
จากความเชื่อมั่นกลายเป็นความไม่มั่นใจ และหวาดผวาตามมา

เหตุที่เป็นเช่นนี้ คุณหมออธิบายว่า
ข้อมูลที่ใช้ประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์เกี่ยวกับโรคนี้เป็นเรื่องใหม่
แรกๆ หน่วยงานรัฐประเมินกันว่าเชื้อตัวนี้น่าจะรุนแรง
ประกอบกับข้อมูลจากต่างประเทศขณะนั้นก็บ่งชี้ว่าอันตราย
การกำหนดมาตรการต่างๆเพื่อรับมือและจัดการจึงเข้มข้น
แต่ต่อมาข้อมูลเปลี่ยนปรากฏว่าเชื้อไวรัสตัวนี้แม้แพร่กระจายเร็วแต่ไม่
อันตรายมากนัก การรณรงค์ป้องกันและควบคุมจึงย่อหย่อนลงมาโดยเบนเป้าหมายให้คนตระหนักถึงการ
ดูแลตัวเองเท่านั้น

ต่อเมื่อมีคนเริ่มตาย และยอดผู้ป่วยเพิ่มสูงจนน่าแปลกใจ
จากการวิเคราะห์ข้อมูลจึงพบว่า
มาตรการที่ทำอยู่ไม่เพียงพอต้องเปลี่ยนใหม่อีกครั้ง แต่ปัญหาก็คือ
คนเริ่มไม่เชื่อมือรัฐบาลแล้ว

ขณะเดียวกันรัฐบาลเองก็ไม่รู้จะสื่อสารให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูล
ได้อย่างไรว่า ลำพังกินของร้อน ใช้ช้อนกลาง
หรือวิ่งสู้หวัดนั้นไม่สามารถทำให้ตัวเองรอดจากไวรัสไข้หวัดอันตรายนี้ได้

หนทางเดียวและเป็นวิธีที่ดีที่สุดขณะนี้คือ
รณรงค์สร้างสุขอนามัยด้วยการล้างมือให้สะอาด และคาดหน้ากากให้เป็นนิสัย

การคาดหน้ากากให้เป็นนิสัยทั้งคนเป็นหวัด หรือไม่เป็น
ถือเป็นมาตรการป้องกันตัวเองเบื้องต้น เพราะไข้หวัดใหญ่ 2009
แตกต่างจากไข้หวัดนก หรือโรคซาร์ส
ที่เคยเป็นโรคใหม่และแพร่ระบาดมาก่อนหน้าแต่สามารถควบคุมได้โดยเร็ว
เพราะแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้ช้ากว่า แต่ไข้หวัดใหญ่ 2009
มีจุดพิเศษคือแพร่ได้เร็ว แค่ไอจามในรถไฟฟ้า
หรือแหล่งที่มีผู้คนชุมนุมกันหนาแน่น
เชื้อหวัดก็จะฟุ้งกระจายติดกันโดยง่าย

ส่วนในทางรักษาเมื่อรู้ตัวว่าป่วยก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ
หลังจากมีไข้หรือสงสัยก็ควรพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย
หากติดเชื้อจะได้รับการรักษาได้ทันท่วงที
โดยยาต้านไวรัสที่ใช้รักษากันอยู่มีข้อจำกัดซึ่งจะได้ผลจริงๆ
ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยถูกตรวจพบว่าติดเชื้อนรกนี้แค่ไม่เกิน 2
วันหลังจากนั้นก็เสี่ยงที่จะไม่ได้ผล

กล่าวได้ว่า
มาตรการป้องกันและควบคุมรักษาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จากนี้ไปจะได้ผล
หรือไม่อย่างไรฝากความหวังไว้ที่ "ความรู้ความเข้าใจ" ของประชาชนเป็นหลัก

พวกเรานั่งฟังคุณหมอเล่าอุปสรรคและปัญหาในการดูแลควบคุมโรคก็มีทั้ง
เห็นด้วยกับคุณหมอพิพัฒน์ในหลายประเด็น
แต่บางประเด็นเราก็เรียนกลับไปด้วยความเป็นห่วงว่า
เราเห็นการทำงานของรัฐบาลไม่ต่างจากสายตาของชาวบ้านร้านช่องเท่าไหร่นัก
คือ เรายังไม่เห็นความจริงใจเอาใจใส่ของรัฐบาลต่อเรื่องนี้

ผมเรียนคุณหมอไปว่า ประชาชนรู้สึกสับสนระหว่าง 'ข้อเท็จจริง' และ
'ความรู้สึก' เราแทบไม่ได้เห็นการใช้เวลาโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11
หรือกระทั่ง ทีวีไทย
ที่พวกเราจ่ายภาษีให้ปีละหลายพันล้านบาทเป็นเวทีให้ข้อมูล
ให้ความรู้เรื่องนี้เลย

เราเห็นแต่ภาพนักการเมืองอาศัยวาระบนความหวาดผวาวิตกกังวลของประชาชนสร้างภาพหาเสียง

เราเห็นแต่ภาพนักการเมืองเยี่ยมดารา เสนอหน้าไปคอนเสิร์ตดังๆ
เพียงเพื่อพีอาร์ตัวเอง

ทำไมรัฐบาลไม่ใช้สื่อของตนเองเป็นวาระแก้วิกฤตเรื่องนี้
นั่นเป็นข้อคิดเห็นของเราต่อคุณหมอเลขาฯ คณะกรรมการ อ.ย.

จากนั้นคุณหมอและคณะก็เดินทางกลับ พร้อมกับมอบหน้ากาก
และเจลล้างมือให้กอง บก.ได้ใช้งาน...

ผมเห็นหน้ากากแล้วก็อดประหวัดคิดถึงใครคนหนึ่งที่คาดหน้ากากไปตรวจการวิจัยวัคซีนไข้หวัดใหญ่
2009 เมื่อวันก่อนไม่ได้

ไข้หวัดมรณะระบาดมานานหลายเดือนแล้ว ผมยังไม่เคยเห็นนายกฯ
จริงจังในเรื่องนี้ นอกจากนั่งประชุมใน ครม.ตามงานรูทีน ผมยังไม่เคยเห็น
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นั่งหัวโต๊ะกำชับกำกับบัญชาการด้วยตนเองเป็นวาระเร่งด่วนของชาติอย่างแท้
จริง

ตรงกันข้ามเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ผมรู้สึกหดหู่แทนญาติผู้เสียชีวิตจากโรคร้ายนี้
แทนผู้ป่วยและผู้จะป่วยอีกหลายรายในวันข้างหน้า
เมื่อมองเห็นภาพข่าวในทีวีที่ทำร้ายความรู้สึกกันอย่างแรง

ภาพหนึ่งคุณชวน หลีกภัย
ที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานประชุมวอร์รูมสู้ภัยไข้หวัด
ใหญ่ 2009 ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัส คุณชวนไม่ได้มีตำแหน่งในรัฐบาล
และเป็นวันเสาร์ที่คนในวัยอย่างท่านควรมีวันพักผ่อนสบายๆ

อีกภาพหนึ่ง เป็นนายกฯ นั่งรถอีแต๋น ผ้าขาวม้าคาดพุงโบกมือหยอยๆ
ใบหน้าโปรยยิ้มให้กับประชาชนเสื้อสีน้ำเงินที่มายืนต้อนรับที่
จ.บุรีรัมย์ ตามที่นายเนวิน ชิดชอบ และรมว.โสภณ ซารัมย์ จัดให้

อะไรคือ เรื่องเร่งด่วน อะไรคือ วาระของชาติ?
ผมไม่กล้าและบังอาจถามนายกฯหรอกครับ.

ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อก
http://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail
suwitcha@manager.co.th


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000079105

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น