++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คนพิการต้นแบบ...ชีวิตนี้ไม่มีคำว่า "แพ้"

รายงานพิเศษ โดย....สุกัญญา แสงงาม

จากตัวเลขผู้พิการในประเทศไทย ที่มีประมาณ 1.9 ล้านคน
ย่อมบ่งบอกให้ทราบว่ายังมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย
ที่ต้องประสบกับความยากลำบากในการดำรงชีวิต ถึงแม้ว่า ณ
ปัจจุบันภาคสังคมจะเปิดรับผู้พิการมากขึ้นแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังมีผู้พิการอีกจำนวนไม่น้อยที่ชีวิตในแต่ละวันหมดไปกับการนั่งอยู่
กับความท้อแท้ หมดหวังกับสภาพร่างกายของตัวเอง

ภพต์ เทภาสิต
สิ่งหนึ่งที่จะเปลี่ยนความท้อให้กลับมาฮึดสู้ได้อีกครั้ง
ก็คงต้องอาศัยแบบอย่างจาก "คนผู้พิการต้นแบบ"
ที่ไม่ยอมก้มหน้าให้กับอุปสรรคแห่งชีวิต
มาช่วยปลุกความหวังให้เกิดขึ้น...

"ภพต์ เทภาสิต"อายุ 40 ปี ช่างเป่าแก้ว จากกลุ่มอาชีพอิสระคนพิการ
อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี หนึ่งในคนพิการต้นแบบ ย้อนอดีตของการลุกขึ้นสู้ว่า
ปี 2536 ในช่วงวัยเบญจเพส ตนเองได้ประสบอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์
ซึ่งส่งผลให้กระดูกสันหลังหัก ทำให้กล้ามเนื้อช่วงล่างไม่มีความรู้สึกใดๆ
ตอนนั้นหน้าที่การงานก็กำลังไปได้ด้วยดี
จากพนักงานบริษัทอุตสาหกรรมสีทาเครื่องบินจากอเมริกาที่มีรายได้ต่อเดือน
เมื่อรวมกับงานพิเศษต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นบาท
ก็จบลงเพราะต้องออกจากงาน

"ตอน นั้นเริ่มมีทัศนคติไม่ค่อยดี รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า
ไร้ความสามารถ จนเก็บตัวเงียบ ไม่พูด ไม่มองหน้าใคร
ไม่สนใจสังคมคนรอบข้าง แต่หลังจากที่เห็นว่ายังมีคนพิการที่ทุกข์ยาก
ลำบากกว่าเราอีกมาก ซึ่งตัวเองก็ยังพอทำอะไรได้แล้วจะมานั่งปิดตัวเองทำไม
จึงได้เข้ามาอบรมฝึกอาชีพคนพิการ ตอนนั้นเรียนปั้นแป้ง นำไปขายได้ชิ้นละ
10-20 บาท สร้างรายได้ไม่น้อย
ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่กลุ่มอาชีพอิสระคนพิการ จ.นนทบุรี
อย่างเต็มตัว โดยพยายามเรียนรู้มาหลายอาชีพจนมาลงตัวที่ผลิตภัณฑ์เป่าแก้ว
และตอนนี้ก็เป็นอาจารย์สอนเป่าแก้วให้แก่ผู้พิการ และคนทั่วไปในที่สุด"
ภพต์ ให้ภาพ

ภพต์ ยังบอกอีกว่า
ผู้พิการทุกคนคงมีความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อต้องมานั่งนึกถึงความหลัง
แต่ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ ก็จงอยู่อย่างมีคุณค่า
เห็นความสำคัญของชีวิตตนเองให้มากที่สุด ทุกคนมีความสามารถ
มีพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน ตรงนึ้หากเราสู้
เอาใจใส่กับมันเชื่อว่าจะกลับมายืนในสังคมเหมือนคนปกติได้อีกครั้ง

เช่นเดียวกับ "ต่าย - อรุณวดี ลิ้มอังกูร" อายุ 35 ปี
ที่ร่วมสะท้อนภาพในอดีตด้วยว่า ได้รับอุบัติเหตุจากรถชนเมื่อปี 2539
เป็นผลให้ต้นคอหัก ทำให้ประสาทในเรื่องของระบบขับถ่ายสูญเสียไป
มือไม่มีแรง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จนกลายมาเป็นคนพิการตั้งแต่นั้นมา
แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้น คือ ก่อนที่จะเกิดเหตุตนเพิ่งคลอดลูกมาได้ 4
เดือน ซึ่งอุบัติเหตุครั้งนั้น
ได้กระชากอนาคตที่สดใสในชีวิตครอบครัวไปจนหมด ทั้งสามีที่ขอแยกทาง
รวมถึงธุรกิจของครอบครัวที่ทำร่วมกันก็ต้องจบสิ้นลง

"เหมือน มรสุมชีวิตที่โหมกระหน่ำเข้ามา
ไม่รู้ว่าเป็นเคราะห์กรรมอะไรหนักหนา ถ้าหากช่วงนั้นไม่ได้พ่อแม่ และลูก
คอยเป็นกำลังใจ ก็คงไม่มีแรงสู้ชีวิตมาถึงทุกวันนี้"

ต่าย บอกอีกว่า แรกๆ ยอมรับว่า
ใช้เวลาทำใจอยู่หลายปีถึงสภาพที่เกิดขึ้นกับตนเองที่ต้องมานอนรอความช่วย
เหลือจากคนอื่น ซึ่งตนก็ไม่อยากรอความช่วยเหลือตลอดไป
ทำให้ต้องลุกขึ้นสู้ เพื่อให้ตัวเองมีคุณค่า
จึงค้นหาตัวเองว่ามีความสามารถด้านไหน เริ่มจากฝึกการเขียนลายรดน้ำ
เพนต์แก้ว เทียนแฟนซี เป่าแก้ว
แต่เนื่องจากมือไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกนักจึงต้องเปลี่ยนมาเป็นการลงสี
แก้วแทน

"จากเดิมที่ธุรกิจของครอบครัวเคยทำเงินได้กว่า 5 หมื่นบาทต่อเดือน
ปัจจุบันมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 5 พันบาท ถึงแม้ว่ามูลค่าจะแตกต่างกันมาก
แต่อยากให้ผู้ที่พิการทุกประเภทลุกขึ้นสู้ ทำงานตามความสามารถที่ตนเองมี
โดยไม่ต้องแบมือขอจากคนอื่น นั่นคือ
การสร้างคุณค่าให้แก่ตัวเองอย่างดีที่สุด" ต่าย ฝากกำลังใจ

...ถึงตรงนี้ เพื่อนำผู้พิการไปสู่การสร้างกำลังใจแก่ตนเอง
สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ (พก.) จึงได้จัด
"มหกรรมต้นแบบคนพิการไทย" ขึ้น
เพื่อรวบรวมคนพิการทุกประเภทในหลากหลายอาชีพที่มีศักยภาพโดดเด่น
ประสบความสำเร็จ เป็นที่ยอมรับของสังคม มาเพื่อให้ผู้พิการ คนทั่วไป
ได้ศึกษาเป็นแบบอย่าง รวมถึงเป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนา
และตระหนักถึงคุณค่าในตัวผู้พิการเอง ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 15 ก.ค.นี้ ณ
ห้องแกรนด์ไดมอนด์บอลรูม ฮอลล์ 9-10 อิมแพค เมืองทองธานี

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000079586

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น