เคยสงสัยเหมือนดิฉันเวลาดูละครไทย
หรือทัศนคติของผู้ใหญ่รุ่นเก่าๆของเราไหมคะว่า
ทำไมต้องรังเกียจลาว...รังเกียจคนอีสาน... ความรู้สึกกึ่งดูแคลนเช่นนี้
ฝังรากกันมา กระทั่งมีการเรียกคนแต่งตัวไม่มีรสนิยม ว่า เสี่ยว หรือ
คนทำท่าเด๋อ ว่า ลาวในสมัยหนึ่ง..
วรรณดคีของไทยหลายเรื่องมักดูถูกหญิงลาว
หรือหญิงต่างถิ่นถึงความไม่มีวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสาวเครือฟ้า
หรือ เรื่องขุนช้างขุนแผนตอน มีเมียเป็นนางลาวทอง
หรือแม้กระทั่งละครหลังข่าวอีกหลายเรื่องของบ้านเรา
ก็มักจะมีลักษณะเช่นนี้อยู่...
แล้วถ้าหากเราจะพูดถึงเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสาน
เราคงหนีไม่พ้นที่จะต้องนึกถึง แคน ใช่ไหมคะ
ทราบไหมคะว่า
เมื่อครั้งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เคยมีพระราชดำรัสแก่ข้าราชการทั้งใหญ่น้อยในเวลานั้นห้ามไม่ให้เล่นลาวแคน
หรือหมอลำในเขตพระนคร...
ทั้งที่จริงๆ แล้วในสมัยอยุธยา
แคนเองก็เคยเป็นเครื่องดนตรีขับกล่อมถวายแด่พระเจ้าแผ่นดิน
เหตุที่เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่ทรงโปรด หรอกนะคะ
แต่เป็นเพราะพระองค์ทรงเล็งเห็นถึงการแพร่อิทธิพลของเครื่องดนตรีชนิดนี้
ที่กลายเป็นที่นิยมของชาวพระนครในยุคนั้นกระทั่งหลงลืมเครื่องดนตรีอื่น
ของไทยเสียหมด
การเข้ามาของแคนถึงเขตพระนครได้ ก็เพราะสงครามนี่ล่ะค่ะ
มีการกวาดต้อนเชลยศึก ตามพระราชพงศาวดารแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่
3 ได้บันทึกไว้ถึง การกวาดต้อนครัวเมืองเวียงจันทน์
ได้ถูกขุนทัพทางกรุงเทพฯ กวาดต้อนมาเป็นจำนวนมาก
โปรดให้ตั้งรกรากอยู่ตามแถบถิ่นต่างๆ ในเขตภาคกลางปัจจุบัน และเมื่อคนมา
ของอื่นๆ ก็ต้องตามมาด้วยแน่นอนค่ะ และหนึ่งในนั้นคือ เสียงดนตรี...
ใครชอบกันบ้างในเวลานั้น ดิฉันไม่อาจรู้ได้ ทราบก็แต่เพียงว่า
พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเครื่องดนตรีที่เรียกว่า แคน ยิ่งนัก
ในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 4 ได้บันทึกไว้ว่า พระองค์โปรดแคน
ไปเที่ยวทรงตามเมืองพนัสนิคมบ้าง ลาวบ้าง ลำปะทวนเมืองนครชัยศรีบ้าง
บ้านสีทา แขวงเมืองสระบุรีบ้าง พระองค์ฟ้อนและแอ่วได้ชำนิชำนาญ
ถ้าไม่ได้เห็นพระองค์แล้วก็สำคัญว่าลาว....
ด้วยเหตุนี้ในเวลานั้นก็กลายเป็นที่กล่าวขานกันทั่วทั้งพระนคร ว่า
พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเสียงแคนมาก
ทำให้ในช่วงนั้นไม่มีผู้ใดสนใจจ้างวงดนตรีไทยอย่างปี่พาทย์หรือวงมโหรีไปออก
งานต่างๆ เลย จนทำให้กิจการของวงดนตรีเหล่านี้ซบเซาไปถนัดตา
และนี่ก็เป็นหนึ่งเหตุค่ะที่ทำให้
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องมีพระราชดำรัส
ห้ามไม่ให้มีการละเล่นลาวแคนและหมอลำในเขตพระนคร...
และนับแต่นั้นเครื่องดนตรีชนิดนี้รวมทั้งผู้เล่นก็มีสถานภาพที่ต่ำลง
กลายเป็นเครื่องดนตรีที่ถูกเหยียดหยามและเป็นสัญลักษณ์ของผู้คนชั้นต่ำที่
อยู่ในประเพณีลาวเท่านั้น...
สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในเนื้อร้องของเพลงลาวแพน ที่แต่งขึ้นตอนหนึ่งว่า
ผ้าทอก็บ่มีนุ่ง
ผ้าถุงก็บ่มีห่ม
คาดแต่เตี่ยวเกลียวกลม
หนาวลมนี่เหลือแสน
ระเหินระหกตกยาก
ต้องเป็นคนกากคนแกน
มีแต่แคนคันเดียว
ก็พอได้เที่ยวขอทานเขากิน...
จะว่าไปแล้ว แคน
เองก็เป็นเครื่องดนตรีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานทีเดียวค่ะ
เพราะเคยมีการขุดพบแคนที่เก่าแก่ที่สุดอายุกว่า 3,000
ปีที่บริเวณริมแม่น้ำซอง เมืองดองซอน จังหวัดถั่นหัว เลยทีเดียว
แต่กว่าจะมาเป็นแคน ตามที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้
ก็มีการพัฒนารูปแบบ และการผลิตกันมาตลอดนะคะ
จากเครื่องเป่าลมไม้ที่มีเพียงเสียงเดียว ที่เรียกกันว่า ปี่ฟางหรือ
เป่ากอข้าวของชนชาติจ้วง ในสิบสองปันนา ประเทศจีน
ก็พัฒนามาใช้ไม้อ้อบ้าง ไม้ซาง ไม้ไผ่บ้าง
กระทั่งคนเราทดลองใช้ไม้ซางเสียบเข้ากับผลน้ำเต้า แล้วเป่าให้เกิดเสียง
เรียกกันว่า ปี่น้ำเต้า
แล้วจากน้ำเต้าก็เปลี่ยนมาใช้ไม้แก่นมาถากและเจาะรูเป่าโดยมีไม้กู่แคนเสียบ
เหมือนเดิม แม้ว่าวัสดุที่ใช้จะเปลี่ยนไปแล้ว
แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังคงเรียกกะเปาะลมนั้นว่า เต้าแคน เช่นเดิม
ปัจจุบันแคนกลับมาเป็นเครื่องดนตรีที่มีคนพูดถึงอีกทั้งทัศนคติหลายๆ
อย่างก็เริ่มคลี่คลาย
เสียงเพลงหมอลำกลับมาได้รับความสนใจและนิยมจากคนทั่วไปอีกครั้งหนึ่ง.
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000077502
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น