++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

บุคคลที่จะถอดสลักทักษิณให้พ้นบ่วงกรรม

โดย โยทวา ณ สิงห์


เทศกาลเข้าพรรษาเวียนมาบรรจบอีกวาระ
หากแต่ชาวพุทธในบ้านนี้เมืองนี้ยังคงจมอยู่กับกองทุกข์
เนื่องเพราะเพื่อนชาวพุทธร่วมชาติกลุ่มหนึ่ง
ยังสร้างความวุ่นวายเพื่อคนคนเดียวไม่เลิก
ฤาว่ากึ่งพุทธกาลที่เพิ่งผ่านพ้นจะเป็นจุดหักเลี้ยวสำคัญของพุทธศาสนา

การที่พลพรรคเสื้อแดงออกมาเปิดประเด็นล่ารายชื่อประชาชนให้ครบหนึ่ง
ล้านเพื่อยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่ทักษิณ
ท่ามกลางกระแสสังคมที่มองเป็นสายตาเดียวกันว่า พฤติกรรมของสามเกลอหัวขวด
โดยเฉพาะหัวขวดตัวพ่อนั้น "มีนัยแอบแฝง"

วีระ มุสิกพงศ์ เคยต้องคดีหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์มาหลายครั้ง
อีกทั้งไพร่พลในก๊วนเสื้อแดงมีนักกฎหมายมากมาย ทั้งอดีตผู้พิพากษา
อดีตรัฐมนตรีที่มาจากผู้พิพากษา
กระทั่งทนายหน้าหอที่มีส่วนให้พระวิหารกลายเป็นกรณีพิพาท
หรือแม้กระทั่งอดีตนายกรัฐมนตรีที่ก้าวกระโดดมาจากปลัดกระทรวงยุติธรรม
บุคคลเหล่านี้ล้วนรายรอบอยู่กับทักษิณมาโดยตลอด
เพียบพร้อมทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ
แต่กลับขาดปัญญาที่จะแยกถูกแยกผิดว่าอะไรควรอะไรไม่ควร

การที่ทักษิณยังไม่หยุด แสดงว่ายังไม่ยอมแพ้
ยังไม่ยอมรับชะตากรรมของตน การกระทำของตนที่ส่งผลกระทบไปทั่ว
เป็นกรรมหนักที่หาได้ยากในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่จะมีใครทำได้ถึงเพียงนี้!

เมื่อยังไม่หยุดการกระทำ บาปกรรมเก่าจึงถูกสมทบกับบาปกรรมใหม่
ทำให้ทุกกลเกมการต่อสู้ที่ทักษิณจ้างผีโม่แป้งล้มเหลวลงครั้งแล้วครั้งเล่า
ถูกสังคมรุมประณามสาปแช่ง (อย่าง กรณีหัวขวดตัวพ่อ
อายุจนป่านนี้มีแต่คนสวดด่าจนนึกสงสัยว่า เขาจะเคยสะดุ้งสะเทือนบ้างมั้ย
และเคยมีสักเสี้ยวหนึ่งมั้ยที่จะสำนึกว่า กูกำลังทำอะไรลงไปวะ?)

น่าแปลกตรงที่
ทำไมไม่มีคนรอบข้างโดยเฉพาะคนในครอบครัวตักเตือนทักษิณบ้างว่า
ควรหยุดทำร้ายประเทศได้แล้ว กลับไปยอมรับชะตากรรมดีกว่า
หนักจะได้กลายเป็นเบา
เพราะขืนต่อสู้ต่อไปนอกจากไม่ชนะแล้วยังจะสูญเสียไปเรื่อยๆ
ทั้งชื่อเสียงเงินทอง และเกียรติยศ
ส่งผลกระทบไปถึงลูกเมียดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความทุกขเวทนา
เพราะสิ่งที่อดีตนายกฯ กำลังต่อสู้นั้นไม่ใช่กับคนหนึ่งคนใด
แต่เขากำลังต่อสู้กับชาติบ้านเมือง

เป็น "กรรม" ของทักษิณที่ทั้งคนในครอบครัวลูกเมียและพี่น้อง
กลับไม่มีใครคิดจะห้ามปรามเขา หรือให้สติ
แต่กลับไปส่งเสริมให้ต่อสู้ต่อไป จึงสบช่องให้บ่าวไพร่บรรดาแกนนำเสื้อแดง
นำไปหาเหตุสร้างรายได้เอาจากเงินทักษิณ
ด้วยสารพัดแผนการด้วยข้ออ้างเพื่อนำทักษิณกลับบ้าน
แต่การกลับมาหมายความว่า ต้องปลอดทั้งข้อหาและอุปสรรคใดๆ

คนจำพวกนี้นับเป็นอันตรายต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะเกิดในประเทศใดประเทศนั้นก็จะประสบชะตากรรมไม่ต่าง คือ
สังคมไม่มีความสุข และการเมืองไร้เสถียรภาพ
ทั้งนี้เพราะกลุ่มผลประโยชน์จำพวกนี้เกิดมาเพื่อตักตวงผลประโยชน์เข้า
ตัวอย่างเดียว อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นเพียงเครื่องมือและสิ่งเอ่ยอ้าง

น่าเสียดายที่ยังมีคนจำนวนหนึ่งหลงผิดไปกับคนเหล่านี้
ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการที่ยังแอบเชียร์โดยเฉพาะตำรวจ รวมทั้งนักวิชาการ
นักศึกษา และสื่อมวลชนบางคน
ทั้งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และบางคนที่เห็นแก่ประโยชน์ซึ่งได้รับจากระบอบ
ทักษิณ น่าเศร้าใจตรงที่บ้านเมืองยับเยินขนาดนี้คนพวกนี้ยังไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบ
ชั่วดี หรือถ้าหากวิจารณญาณบกพร่อง
ก็ควรสังเกตจากบรรดาผู้ใหญ่ของบ้านเมืองว่า
ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายนั้นมีท่าทีหรือมีจุดยืนต่อเรื่องนี้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม ถ้าทักษิณไม่ร่ำรวยมหาศาลขนาดนี้
เขาจะไม่มีทางที่จะสร้างความปั่นป่วนให้แก่บ้านเกิดเมืองนอนได้เลย
เพราะบ่าวไพร่ก็จะค่อยๆ
หายหัวไปตั้งแต่ที่กลองรัฐประหารลั่นร้องตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 กันยายน
2549 นั่นแล้ว

เทศกาลเข้าพรรษา ณ
กึ่งพุทธกาลครานี้มีเครื่องสะท้อนจิตใจมนุษย์หลายประการ
หากแต่ประการสำคัญปรากฏในหมู่คนในระบอบทักษิณ
ที่ยังสุมหัวดันก้นนายใหญ่ให้ต่อสู้ต่อไป ไม่ว่าจะผิดหรือถูก
ไม่ว่าหนทางของการต่อสู้นั้นจะเป็นเส้นทางเดียวกับขุมนรกอเวจีที่กำลังเปิด
ประตูอ้ารอรับอยู่ก็ตาม

เพราะ ฉะนั้น
ลูกเมียและพี่น้องของนักโทษชายพึงสำเหนียกให้จงหนักว่า
ช่องทางที่ถูกต้องนั้นควรทำอย่างไร
จะปล่อยให้พวกบ่าวไพร่หลอกกินเงินจากทักษิณต่อไปหรือจะแนะให้เขาระลึกถึง
หิริโอตตัปปะกันดี.

หมายเหตุ

"โยทวา ณ สิงห์"
เป็นนามปากกาของอดีตบรรณาธิการนิตยสารประเภทเครื่องเสียงรถยนต์
และบรรณาธิการที่ปรึกษานิตยสารประเภทเครื่องเสียงบ้าน และอื่นๆ
ปัจจุบันอยู่ในวัย 40 กว่าๆ
และกำลังจะออกพ็อกเก็ตบุ๊กรายงาน+วิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองในช่วง
พธม.ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมขับไล่ทรราช
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000077099

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น