++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จากแถลงการณ์ร่วม (ลับ) ทักษิณ-ฮุนเซน ถึงแผนกำจัดกษิต!

จากแถลงการณ์ร่วม (ลับ) ทักษิณ-ฮุนเซน ถึงแผนกำจัดกษิต!
โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกแกนนำพันธมิตรประชาชน
เพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ผู้ปฏิบัติงาน และแนวร่วม
รวมจำนวนทั้งสิ้น 35 คน จะเข้ารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตาม
หมายเรียกในคดีความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร
และในคดีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน โดยมี 27
คนถูกหมายเรียกในการชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง และมีอีก 25
คนที่โดนข้อกล่าวหาเพิ่มเติมว่าเป็นผู้ก่อการร้ายอันเนื่องมาจากการชุมนุม
ที่หน้าอาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งคดีหลังนี้รวมถึงนายกษิต
ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

ในทางตรงกันข้าม กลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมช่วงสงกรานต์
มีการเผาบ้านเผาเมือง ประกาศให้ประชาชนใช้อาวุธ มีการจลาจล
และมีการยิงชาวบ้านจนเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่ตั้งข้อหา
"ผู้ก่อการร้าย" หรือให้ย้อนกลับไปนานกว่านั้น การยิงระเบิดคดี M-79
ใส่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหลายครั้งในปีที่แล้ว
จนมีประชาชนล้มตายบาดเจ็บมากมาย กลับไม่มีตำรวจ ทหาร
หรือนักการเมืองคนใดใส่ใจกับคดีดังกล่าวว่าเป็นการก่อการร้ายแต่ประการใด

ความผิดฐานก่อการร้ายนั้น ต้องระวางโทษประหารชีวิต
จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 20 ปี
และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงหนึ่งล้านบาท จึงถือว่าเป็นโทษที่รุนแรง
แต่ทว่า "วรรคสุดท้าย" ของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 135/1
ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายได้ระบุอย่างชัดเจนว่า

"การ กระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง
หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือ หรือให้ได้รับความเป็นธรรม
อันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำผิดฐานก่อการร้าย"

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้แล้วไปใส่ข้อหาที่เกินจริง
ย่อมมีเดิมพันสูงสุดในชีวิตเช่นกัน
เพราะจะต้องถูกฟ้องกลับตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200
ที่บัญญัติบทลงโทษเอาไว้อย่างรุนแรงในวรรคสองว่า:

"ถ้าการกระทำหรือไม่กระทำนั้นเป็นการเพื่อที่จะแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ
รับโทษหนักขึ้น หรือต้องถูกบังคับตามวิธีการเพื่อความปลอดภัย
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 20 ปี
และปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 14,000 บาท"

อะไรเป็นแรงจูงใจที่ทำให้ "สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี"
ในฐานะผู้แจ้งความในคดีสนามบินดอนเมือง และ "บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด
(มหาชน)" ในฐานะผู้แจ้งความในคดีสนามบินสุวรรณภูมิ รวมถึง
"เจ้าหน้าที่ตำรวจ"
จึงยอมเสี่ยงพร้อมใจกันดำเนินคดีนี้อย่างไม่ลืมหูลืมตา
แล้วยังเกิดขึ้นในรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอีกด้วย

จะ มาอ้างไม่ได้เด็ดขาดว่า
เป็นการดำเนินการตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว
เพราะช่วงเวลาระหว่างดำเนินคดีความ หากรัฐบาลมีความจริงใจจริง
ก็ต้องสั่งให้ "สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี" "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ"
และ "บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)"
ทบทวนหยุดยัดเยียดข้อกล่าวหาเกินจริง
และหยุดยัดเยียดข้อกล่าวหาผู้ที่ไม่ได้ทำความผิดใดๆ โดยทันที
หรือทำไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนคน!

การชุมนุมของฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ผ่านมาได้แสดง
จุดมุ่งหมายชัดเจนในการพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญมิให้ฟอกความผิดให้กับนักการ
เมือง คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมิให้ลดโครงสร้างหรือพระราชอำนาจของพระมหา
กษัตริย์ ต่อต้านแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาในการยกปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดย
รอบอันเป็นอธิปไตยของชาติไทยให้กับกัมพูชา
ต่อต้านอภิมหาโครงการรถเมล์เอ็นจีวีปล้นชาติ ฯลฯ
ล้วนแล้วแต่เป็นเจตนาที่ชัดเจนว่า
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นพวก "ก่อการดี" ต่อชาติ ราชบัลลังก์
รัฐธรรมนูญ และผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ

มิพักต้องพูดถึงนายกษิต ภิรมย์
ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการนำผู้ชุมนุม ไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติการ
ไม่ได้เป็นผู้สั่งการ
เพียงแค่เป็นผู้ปราศรัยให้ความรู้กับผู้ชุมนุมแต่ประการใด

คิด ไปเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเป็นการ "กลั่นแกล้ง"
เพื่อมุ่งหวังกำจัดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และทำลายนายกษิต
ภิรมย์ ให้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโดยเร็วที่สุด
โดยรัฐบาลที่กุมอำนาจรัฐอยู่แท้ๆ
ก็ยังนั่งเฉยปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้

เพราะนายกษิต ภิรมย์
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกและคนเดียวที่เพิกถอนหนังสือ
เดินทางทุกประเภทของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร
ติดต่อทางการทูตกับหลายประเทศเพื่อให้ความร่วมมือในการมิให้นักโทษชายทักษิณ
ทำร้ายประเทศไทยและยังขอความร่วมมือในการส่งตัวกลับมารับโทษทัณฑ์ในประเทศ
ไทย จึงถือเป็นบุคคลอันตรายที่สุดในระบอบทักษิณ ใช่หรือไม่?

แต่ที่น่าจับตามากที่สุดในเวลานี้
กลับเป็นเรื่องผลประโยชน์อันมหาศาลในเรื่องปราสาทพระวิหาร
พื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร และดินแดนอธิปไตยของไทย 1.5 ล้านไร่
ตลอดจนผลประโยชน์ทางพลังงานในพื้นที่อ่าวไทย
ที่ฝ่ายกัมพูชากำลังรุกล้ำอย่างหนัก ซึ่งเชื่อว่า
ไม่สามารถที่จะเจรจากับนายกษิต ภิรมย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ยินยอมในเรื่องเหล่านี้ได้

ทบทวนกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อคราวที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
มาชุมนุมอยู่บนสะพานชมัยมรุเชฐ
ในเช้าวันหนึ่งในรายการสภาท่าพระอาทิตย์บนเวทีคร่อมสะพาน ที่มีนายสำราญ
รอดเพชร นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นายบวร อัครบวร และนายกษิต ภิรมย์ ใน
วันนั้นนายกษิต ภิรมย์ เป็นผู้เสนอทางออกเรื่องปราสาทพระวิหารว่า
"ให้ทำหนังสือยกเลิกแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาส่งให้ประเทศกัมพูชา
และคณะกรรมการมรดกโลก"
อันเป็นที่มาของแถลงการณ์ในข้อเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ในเวลาต่อมา ซึ่งถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังไม่ได้ทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าว!

คดีแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยและกัมพูชาที่ยกปราสาทพระวิหารและพื้นที่
โดยรอบให้กับกัมพูชาไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวนั้น
ศาลปกครองและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่างมีคำวินิจฉันเช่นเดียวกันไปแล้วว่า
เป็นสนธิสัญญาซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2550 ในมาตรา 190
ซึ่งเป็นผลทำให้การกระทำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและคณะ
รัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวชผิดไปด้วย

ซึ่งบทลงโทษการกระทำที่ทำ การเตรียมการ และสนับสนุน
ให้ประเทศไทยสูญเสียอธิปไตยมีบทลงโทษทางอาญาสูงสุดถึงขั้น "ประหารชีวิต"

ช่างบังเอิญว่า นายกษิต ภิรมย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในช่วงหลังไม่ได้เป็นผู้เจรจากับนายฮุน
เซน ในเรื่องปราสาทพระวิหารและผลประโยชน์ในอ่าวไทยอีกต่อไป แต่
กลับเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
ที่ไม่เจรจาเรื่องปราสาทพระวิหารและการรุกล้ำอธิปไตยของไทย
แต่กลับไปเจรจาอย่างขะมักเขม้นในเรื่องผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทย
ซึ่งดูเหมือนว่าจุดยืนจะไม่เหมือนกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกษิต
ภิรมย์ ตามคำสัมภาษณ์ตอนหนึ่งของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อวันที่ 27
มิถุนายน พ.ศ. 2552 ว่า:

"คิดว่าความรุนแรงบริเวณเขาพระวิหารจะลดระดับลง อย่า
ไปคิดว่าเขาพระวิหารจะต้องมีอะไรโต้แย้งกันระหว่างไทยกับกัมพูชา
เพราะศาลโลกตัดสินมาตั้งหลายสิบปีแล้วว่าเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา
ส่วนการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน ก็มีส่วนอื่นๆ"

เป็นความคิดที่เหมือนเป็นพวกเดียวกันกับ นายนพดล ปัทมะ
และนายสมัคร สุนทรเวช อย่างไม่ผิดเพี้ยน!

ยังมีเรื่องน่าประหลาดใจมากขึ้นไปอีก ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ยังคงเน้นไมตรีระหว่างประเทศจนมองข้ามการเจรจาเรื่องอธิปไตยในพื้นที่รอบ
ปราสาทพระวิหาร มุ่งเน้นการเจรจาเรื่องผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทยแทน
ซึ่งมีพฤติกรรมคล้ายคลึงกันกับรัฐบาลหุ่นเชิดเมื่อปีที่แล้ว

ทำให้นึกถึงข่าวประจานของฝ่ายกัมพูชาที่ระบุว่า
ประเทศไทยมีการเจรจาเรื่องปราสาทพระวิหารมาแลกเปลี่ยนปะปนกับผลประโยชน์ทาง
ทะเล เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2551 จากหนังสือพิมพ์เดอะ คอมโบเดีย เดลี
(The Cambodia Daily) โดยระบุถึงคำให้สัมภาษณ์ของ นายจาม ประสิทธิ์
รัฐมนตรีพาณิชย์ของกัมพูชา ที่ให้สัมภาษณ์ความตอนหนึ่งว่า:

"ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายที่พยายามโยงกรณีพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหาร
เข้ากับผลประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา
ซึ่งกัมพูชาไม่เห็นด้วย โดยที่พวกเขาต้องการโยง 2 เรื่องเข้าด้วยกัน
ดังนั้น หากเราแก้ปัญหาเขาพระวิหาร เราก็ต้องแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนด้วย
มันเป็นคนละเรื่องกัน
ดูเหมือนว่าขณะนี้ฝ่ายไทยกำลังสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติมขึ้นมา
ทำให้การแก้ไขปัญหายากขึ้น"

ข่าวที่ว่านั้นเป็นการเจรจาในช่วงเวลาที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร
มีข่าวว่าจะไปลงทุนด้านพลังงานและสถานบันเทิงในเกาะกง
ซึ่งย่อมถูกกล่าวหาว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนกับรัฐบาลไทยที่มาจากการสนับ
สนุนของตัวเองในเวลานั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่ในเวลานี้มีคำถามว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
กำลังเดินรอยตามแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งลงนามโดยนายฮุน เซน
และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2544 หรือไม่?
ซึ่งเป็นแถลงการณ์ร่วมที่ไม่ได้ขอความเห็นชอบต่อรัฐสภา
และไม่ได้เปิดเผยให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ

สาระสำคัญส่วนหนึ่งในแถลงการณ์ร่วมฉบับดังกล่าวในข้อที่ 15
คือการอนุมัติ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและ
กัมพูชา ที่ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544
ซึ่งตามอุปนิสัยและเจ้าเล่ห์เหมือนเดิมของฝ่ายกัมพูชา
คือมีเอกสารแนบท้ายเป็น "แผนที่และเส้นแบ่งเขตทางทะเล"
เพื่อให้ทั้งสองประเทศลงนามอนุมัติ

ภาพแสดง เอกสารแนบท้ายการยอมรับพื้นที่ทับซ้อนในบันทึกข้อตกลงระหว่างไทยกับกัมพูชาเมื่อวันที่
18 มิถุนายน 2544

การลงนามในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเท่ากับว่าประเทศไทยและกัมพูชาได้
ยอมรับพื้นที่ทับซ้อนระหว่างกัน ทั้งๆ
ที่เส้นแบ่งเขตทางทะเลที่ฝ่ายกัมพูชาได้ลากมาตั้งแต่ปี 2515
นั้นได้ลากมาจากหลักที่ 73 ชิดติดและผ่านเกาะกูด
ซึ่งเกาะกูดนั้นเป็นดินแดนของประเทศไทยจึงต้องมีดินแดนทางทะเลล้อมรอบเกาะจากผืนดินไม่น้อยกว่า
12 ไมล์ทะเล ซึ่งฝ่ายกัมพูชาก็ยังไม่สนใจ
และยังลากเส้นติดเกาะกูดต่อไปตามอำเภอใจโดยไม่มีมาตรฐานใดๆทั้งสิ้น
เพื่อให้ได้ครอบครองพื้นที่พลังงานในอ่าวไทยให้มากที่สุด
ในขณะที่ฝ่ายไทยได้ใช้วิธีลากเส้นแบ่งเขตทางทะเลตามมาตรฐานสากลที่ทำกันทั่ว
โลกแต่ก็ไม่ทักท้วงกัมพูชาอย่างจริงจัง

เขต พัฒนาแหล่งพลังงานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
ที่อ้างว่าทับซ้อนกันและจะร่วมมือกันระหว่างไทย-กัมพูชาซึ่งวัดจากละติจูด
ที่ 11 ลงมานั้น จึงย่อมไม่ถูกต้อง
เพราะมาจากการตั้งต้นในการลากเส้นที่ผิดของฝ่ายกัมพูชา
แปลว่าการเดินหน้าตามแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว
จะทำให้สิทธิประโยชน์ในแหล่งพลังงานและทรัพยากรทางทะเลของฝ่ายไทย
ถูกยอมรับให้เป็นพื้นที่ทับซ้อนและยกทรัพยากรซึ่งเป็นของประเทศไทยทั้งหมด
ให้กลายเป็นสมบัติของทั้งสองประเทศอย่างไร้เหตุผล

ฝ่ายกัมพูชามีแต่ได้กับได้
นับวันมีแต่โอกาสที่จะได้ดินแดนทางบกและทางทะเล
ตลอดจนพลังงานในอ่าวไทยเพิ่มมากขึ้น
เพราะความเห็นแก่ประโยชน์ต่อประเทศชาติและผลประโยชน์ของผู้นำกัมพูชาเอง

ในขณะที่ฝ่ายไทยนับวันมีแต่ความเสี่ยงที่เสียดินแดนทั้งทางบกและทาง
ทะเลตลอดจนสูญเสียพลังงานในอ่าวไทยเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
เพราะคำนึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนแต่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติตัวเอง

เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่คนอย่างนายกษิต ภิรมย์
จึงย่อมไม่เป็นที่พึงปรารถนาของคนเสื้อแดงและระบอบทักษิณ
ไม่เป็นที่ต้องการในการเจรจาของฝ่ายกัมพูชา
และยังเป็นสิ่งที่ต้องกำจัดของคนขายชาติอีกด้วย

นายกษิต ภิรมย์
จึงไม่สมควรจะลาออกด้วยเหตุผลอันเนื่องมาจากข้อหาผู้ก่อการร้าย
ซึ่งเป็นข้อหาที่บ้าบอคอแตกและไร้สาระ

แต่หากจะลาออกก็ควรจะเป็นเหตุผลในกรณีที่ไม่สามารถทำงานรักษาผล
ประโยชน์ให้กับประเทศชาติเพราะอิทธิพลของฝ่ายการเมืองกีดกันหรือขัดขวางการ
ทำงานเท่านั้น แล้วถือโอกาสป่าวประกาศให้ประชาชนได้รับทราบความจริง
จึงจะมีความสง่างามและมีเกียรติยิ่ง

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000076750

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น