++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อย่าเอื้ออาทรนักการเมืองชั่ว

โดย ราวี เวียงพยัคฆ์


ท่ามกลางเสียงเรียกร้องความสมานฉันท์
ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผู้ใหญ่ 2
ท่านของพรรคประชาธิปัตย์แสดงความคิดเห็นเอาไว้น่าสนใจมาก

นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรค
ปัจจุบันเป็นประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์
กล่าวถึงการเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า
ส่วนตัวเป็นผู้ใช้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ผู้แก้ไข แต่ขอเอาไว้ให้ถึงเวลาก่อน
ตอนนี้ขอให้เป็นเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะพิจารณา
เมื่อพรรคมีการประชุมเพื่อขอความเห็น ก็จะให้ความเห็นในที่ประชุมพรรค

"อย่าไปเข้าใจผิดว่าวิกฤตตอนนี้ที่มีปัญหาความขัดแย้ง
แตกความสามัคคีนั้นมาจากรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นคนละเรื่อง
ไม่เกี่ยวข้องกัน"

นายชวน กล่าวว่า
ปัญหาความขัดแย้งขณะนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมาตราใดมาตราหนึ่งของรัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถทำได้
ถ้าเห็นว่าเป็นการแก้ไขให้ดีขึ้น

ครั้นนักข่าวถามว่าเป็นห่วงเรื่องนิรโทษกรรมหรือไม่
นายชวนกล่าวว่ายังไม่ได้มีการพูดถึง

อีกท่านหนึ่งคือ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรค
ปัจจุบันเป็นกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค
กล่าวว่าที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตลอด
เมื่อมาเป็นรัฐบาลกลับเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญจะอธิบายสังคมอย่างไร

นายบัญญัติกล่าวตรงไปตรงมาว่า
ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์
และแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่วิป 3 ฝ่ายได้หารือกับนายชัย ชิดชอบ
ประธานรัฐสภา

นายบัญญัติกล่าวว่า
หากแก้ไขรัฐธรรมนูญและนำไปสู่การนิรโทษกรรมนักการเมือง
สุดท้ายจะเป็นการเปิดช่องให้บุคคลที่เป็นเครือข่ายระบอบทักษิณกลับมา
และสุดท้ายคนเหล่านี้ก็จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237
และจะเป็นการนิรโทษกรรมให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยปริยาย

ความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
เกิดขึ้นตั้งแต่ที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้กำลังร่างอยู่ด้วยซ้ำ
เพราะคณะผู้ร่าง ร่างขึ้นจากการได้เห็นข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญฉบับปี
2540 ซึ่งเอื้อต่อการที่ให้นักการเมืองชั่วและเลวอย่างทักษิณก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่
และครอบครองอำนาจได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

นอกจากนี้
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันยังตัดหนทางอุบาทว์ของนักการเมืองที่จะเข้าสู่อำนาจ
ด้วยวิธีสกปรก คือ การซื้อเสียง
ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าเป็นพฤติกรรมที่เลวร้าย
และทำให้การเมืองของเราไม่พัฒนาตลอดมาใน 2-3 ทศวรรษหลังนี้
ทำให้นักการเมืองชั่วก้าวขึ้นสู่อำนาจเป็นรัฐมนตรีว่าการฯ ช่วยว่าการฯ
และเป็นนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วก็แสวงหาประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดิน
สร้างอิทธิพลเหนือข้าราชการประจำ

และในที่สุดก็เอาประเทศไทย เอาคนไทย อยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกเขา

รัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงมีบทลงโทษพรรคการเมือง
นักการเมืองที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งด้วยการให้ยุบพรรคการเมือง
และลงโทษกรรมการบริหารพรรคที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
ไม่ให้มีสิทธิในการเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี

บทลงโทษดังกล่าวนี้ไม่กระทบกระเทือนต่อพรรคการเมืองใดเลย
หากพรรคการเมืองนั้นเล่นการเมืองด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่ซื้อสิทธิ
ซื้อเสียง ไม่แจกเงินแจกข้าวของเพื่อเป็นสินจ้าง
เป็นน้ำใจให้ประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งไปลงคะแนนให้

หากพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเล่นการเมืองโดยมีสมาชิกพรรคมุ่งมั่นที่
จะเอาชนะการเลือกตั้ง ด้วยนโยบายที่เสนอต่อประชาชน
ให้ประชาชนเห็นว่าเป็นนโยบายที่จะนำพาประเทศชาติไปสู่ความวัฒนาสถาพร

พรรคการเมืองจะไม่เดือดร้อนกับบทบัญญัติดังกล่าวนี้เลย

แต่ที่มีพรรคการเมืองเดือดร้อน
บางคนบอกว่าไม่กล้ามาเป็นกรรมการบริหารพรรค
ต้องหาตัวแทนมาเป็นกรรมการบริหารพรรค เพราะเกรงว่าพรรคจะถูกยุบ
ตัวจะถูกตัดสิทธิทางการเมืองโดยที่ตัวไม่ได้ทำผิด
หากแต่กรรมการบริหารพรรคคนอื่นทำผิด
รวมทั้งสมาชิกพรรคที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่กับการทำผิดก็ต้องมารับโทษด้วย
(โดยพรรคถูกยุบ) นี่ก็แสดงว่า เล่นการเมืองแบบคิดชั่วๆ อยู่คือ
ถ้าหากซื้อเสียงได้ก็จะซื้อ
ทำให้ประชาชนมาลงคะแนนให้ได้โดยการทำนั้นผิดกฎหมายก็จะทำ
หรือไม่ก็ให้กรรมการบริหารพรรคคนอื่นทำ โดยที่ตัวพลอยได้ประโยชน์ด้วย
เช่น ถ้าหากซื้อเสียงมาได้โดยที่กรรมการเลือกตั้งจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
พรรคของตัวก็จะได้เสียงมาก ได้โควตารัฐมนตรีมาก และตัวก็จะได้ด้วย

นี่คือแนวคิดของนักการเมืองชั่วหลายๆ คน หลายๆ
กลุ่มที่แสดงออกให้เห็นในขณะนี้ในการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 237

ดังได้กล่าวแล้วว่า
บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะไม่กระทบกระเทือนต่อพรรคการเมือง
นักการเมืองใดเลย ถ้าหากเล่นการเมืองด้วยความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา
ไม่คิดที่จะซื้อสิทธิ ซื้อเสียง จะกระทบก็แต่นักการเมืองชั่ว
พรรคการเมืองเลวเท่านั้น

รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับนั้นผู้ร่าง ร่างขึ้นมาตามความจำเป็น
และสภาของบ้านเมืองที่เป็นอยู่ เช่น
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้มีการเลือกตั้งวุฒิสภาครึ่งหนึ่งให้ใช้ระบบสรรหาอีก
ครึ่งหนึ่ง

ผู้ร่างเองก็รู้ว่า
การสรรหาครึ่งหนึ่งไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
แต่ก็เพราะการเลือกตั้งวุฒิสภาที่ผ่านมา สังคมก็เห็นกันแล้วว่า
เป็นสภาผัว สภาเมีย ผัวอยู่สภาล่าง เมียอยู่สภาบน เมียอยู่สภาล่าง
ผัวอยู่สภาบน หรือไม่ก็เป็นวงศาคณาญาติของนักการเมือง
ซึ่งเป็นนักเลือกตั้ง มีความสามารถในการจัดตั้งหัวคะแนน
มีเงินในการซื้อเสียง
มีอิทธิพลที่ทำให้กรรมการเลือกตั้งจับผิดได้ยากหรือจับไม่ได้เลย
ปล่อยไว้ก็จะเกิดความเสียหาย จึงให้เลือกตั้งครึ่งหนึ่ง สรรหาครึ่งหนึ่ง
ต่อเมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนไป ประชาชนมีความเข้มแข็งทางการเมือง
มีแนวคิดในทางการเมืองที่เงินซื้อไม่ได้
ก็สามารถที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้

ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใดที่สมบูรณ์พร้อม
ข้อบกพร่องในสายตาและแนวคิดของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน ปัญหาก็คือ
เราจะถือผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองหรือไม่

ใครเดือดร้อนจากรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่?

คนที่เดือดร้อนก็คือ นักการเมืองชั่ว
นักการเมืองเลวที่ทำร้ายประเทศไทยมาตลอดช่วง 2-3 ทศวรรษนี้มิใช่หรือ
เราสามารถกันพวกเขาออกไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง คือ 5
ปีตามที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไปแล้ว จะไปเอื้ออาทรต่อนักการเมืองชั่ว
นักการเมืองเลวเหล่านั้นให้มาทำร้ายประเทศชาติ และประชาชนอีกทำไม

พรรคประชาธิปัตย์ต้องฟังเสียงผู้อาวุโสในพรรคไว้

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000052425

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น