++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อภิสิทธิ์จะรับมือวิกฤตการเมืองรอบใหม่อย่างไร?

โดย สิริอัญญา 14 พฤษภาคม 2552 16:38 น.
ในท่ามกลางสถานการณ์ที่เรียกว่าเข้ากลหมากตาบังคับ
ที่คนทั่วไปจำต้องโอบอุ้มให้รัฐบาลอภิสิทธิ์บริหารบ้านเมืองไปจนครบเทอม
แต่วิกฤตทางการเมืองหลายระลอกกำลังเกิดขึ้นและก่อเค้าตามมาไม่ขาดช่วง

ทำให้เกิดความประหวั่นพรั่นพรึงว่าวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่
ที่อาจมีการยุบสภากำลังจะมาถึงแล้วหรืออย่างไร?
และอะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองต่อไป?

ดังนั้นในสถานการณ์อย่างนี้
จึงต้องติดตามดูกันให้ดีว่าพรรคประชาธิปัตย์จะรับมือกับวิกฤตทางการเมืองรอบใหม่ได้อย่างไร

มรสุมทางการเมืองก่อเค้าทะมึนจนน่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง
เพราะบ้านเมืองยามนี้เป็นที่รู้และเข้าใจกันดีว่าหากนายกรัฐมนตรียุบสภาหรือ
ลาออกแล้ว ก็จะเกิดช่องว่างแห่งอำนาจ
จนไม่มีใครหน้าไหนจะไปรับมือกับวิกฤตทางเศรษฐกิจและโรคร้ายซึ่งกำลังโหมรุม
เร้าทั่วสากลโลก และแผ่ปกคลุมเข้ามายังประเทศไทยของเราได้

ทุกผู้ทุกนามทุกภาคส่วนและทุกธุรกิจจะพากันพินาศยับเยินหมดสิ้น
สถานการณ์เช่นนี้จึงก่อเกิดเป็นสภาพบังคับให้ผู้คนจำต้องโอบอุ้มค้ำจุนให้
รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประคองรัฐนาวาต่อไปให้ได้นานที่สุด
หรือไปตลอดรอดฝั่งจนครบเทอมได้ก็จะเป็นการดี

เพราะ อย่างน้อยเวลาสองปีกว่าหรือราว 31 เดือนที่เหลือข้างหน้า
หากมีความกล้าหาญเด็ดขาดและตั้งมั่นอยู่ในความสุจริต
เห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมืองแล้ว
ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถฟันฝ่าวิกฤตไปสู่ความรอดปลอดภัยได้

สถานการณ์แบบนี้เคยเกิดมาแล้วในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ซึ่งตัวนายกรัฐมนตรีไม่มีพรรคการเมืองและไม่มี ส.ส.
ในสังกัดแม้แต่คนเดียว
แต่มีสิ่งเดียวที่เป็นเลิศนั่นคือความสัตย์สุจริตและจงรักภักดีต่อแผ่นดิน
ทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ถือประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชนเป็นที่ตั้ง
จึงสามารถฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการและนำพาสยามรัฐนาวาได้รอดปลอดภัยอย่างมี
เสถียรภาพ

ครั้งนั้นรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ตัดสินใจการใหญ่ 4 ครั้ง คือ

ครั้งแรก
การตัดสินใจเปลี่ยนรัฐมนตรีที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นที่ประจักษ์ออกไป
โดยไม่ยำเกรงว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะถอนตัว แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าถอนตัว
บรรดานักการเมืองพากันยำเกรงความสุจริตและความกล้าหาญเด็ดขาดนั้น
แล้วพากันเข้าแถวตั้งหน้าทำงานเพื่อบ้านเมืองโดยราบรื่น

ครั้งที่สอง
ตัดสินใจลดค่าเงินบาททั้งที่รู้ดีว่ามีผลกระทบและความเสียหายแก่บางภาคส่วน
แต่ผลโดยรวมจะบังเกิดประโยชน์สูงสุดแก่บ้านเมือง
และในที่สุดก็ได้เยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบนั้นจนเป็นที่พอใจถ้วน
หน้ากัน การตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่นี้ได้เป็นรากฐานแห่งความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของ
รัฐบาลนั้น และที่สำคัญทำให้สาธารณชนได้เห็นว่าการตัดสินใจที่ถูกต้องเด็ดขาดคือพลัง
อำนาจอันยิ่งใหญ่ที่จะค้ำจุนชาติบ้านเมืองในยามวิกฤตได้
ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ทุกภาคส่วนและนานาชาติ
และกลายเป็นพลังค้ำจุนสำคัญให้รัฐบาลนั้นครองอำนาจต่อมาถึง 3 สมัย
รวมเวลาถึง 8 ปี

ครั้งที่สาม ตัดสินใจปลดผู้บัญชาการทหารบกกลางอากาศ
ในฐานะที่ทำตัวเป็นอำนาจแฝง ข่มเหงรัฐบาลเป็นเนืองนิตย์
เพราะคิดว่ารัฐบาลกลัวในอำนาจหรือกลัวการรัฐประหาร
หลังการตัดสินใจครั้งนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าลบหลู่ดูแคลนรัฐบาลนั้นอีกเลย
การทั้งปวงได้ดำเนินไปตามที่พึงเป็น
และเกิดเป็นเอกภาพครั้งใหญ่ที่สุดระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ

ครั้งที่สี่ ตัดสินใจครั้งสำคัญและยิ่งใหญ่ในทางการเมือง
ยุติความขัดแย้งที่เป็นสงครามกลางเมือง
ซึ่งต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมายาวนานถึง 30
ปีลงได้อย่างสิ้นเชิงด้วยนโยบายการเมืองนำการทหาร
และอ้าแขนรับให้คนไทยที่มีความเห็นไม่ตรงกันได้เข้ามาร่วมสร้างชาติบ้าน
เมืองกันใหม่

เพราะการกระทำที่กล้าหาญ เด็ดขาด
ถูกต้องและยิ่งใหญ่บนพื้นฐานผลประโยชน์แห่งประเทศชาติและประชาชนทั้ง 4
เรื่องนี้ จึงทำให้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งไม่มีพรรคการเมืองและไม่มี
ส.ส. ในสังกัดสามารถดำรงตำแหน่งมาได้ถึง 3 สมัยเป็นเวลา 8 ปี

แล้ว รัฐบาลปัจจุบันซึ่งมีพรรคการเมืองและมี ส.ส.
เป็นกำลังทางการเมืองอยู่มากมาย
ทั้งสถานการณ์ก็เข้าตาบังคับที่คนทั้งปวงต้องโอบอุ้มค้ำชูดังนี้
จึงมีวิสัยที่จะแก้ไขวิกฤตทางการเมืองให้ตลอดรอดฝั่งได้

จึงขึ้นอยู่กับความเข้มแข็ง กล้าหาญ เด็ดขาด ซื่อสัตย์ สุจริต
คิดถึงประโยชน์แห่งชาติและประชาชนเป็นที่ตั้งของพรรคประชาธิปัตย์
โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือไม่เท่านั้น

ว่า จะตัดสินใจทำการโดยทำนองเดียวกันกับรัฐบาลพลเอกเปรม
ติณสูลานนท์ หรือว่าจะประนีประนอมออมชอมโดยไม่ยึดมั่นในหลักการ
ตรงจุดนี้จะเป็นจุดชี้ชะตากรรมและอนาคตของรัฐบาลตลอดจนบ้านเมืองด้วย

ขณะนี้มรสุมวิกฤตทางการเมืองได้เกิดขึ้นและก่อเค้าตามมาหลายระลอก
ส่อให้เห็นว่าการเมืองไทยอาจเกิดวิกฤตใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
ที่อาจถึงขนาดต้องเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
และจะเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศไทยและคนไทยทั้งมวล

ระลอกหนึ่ง คือการขับเคลื่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ
และนิรโทษกรรมเพื่อฟอกผิดฟอกโกงให้กับนักการเมือง
โดยไม่คำนึงถึงนิติปรัชญา นิติรัฐ
และนิติธรรมทั้งปวงที่มีมาสำหรับแผ่นดิน
และไม่แยแสต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชนเลย

ระลอกนี้จะนำมาซึ่งวิกฤตการเผชิญหน้าทางการเมืองระหว่างภาคประชาชน
กับรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะช้าเร็วประการใดเท่านั้นเอง
หรือว่าจะหยุดม้าไว้ริมผาให้ทันท่วงทีได้หรือไม่

ระลอกหนึ่ง
คือการฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดินของนักการเมืองที่ยังคงกำเริบเสิบสาน
ทำการอย่างมูมมามอื้อฉาวครึกโครม ไม่แพ้กับเหตุการณ์ที่เคยเกิดมาเมื่อ
5-6 ปีที่ผ่านมา ประดุจดังมะเร็งร้ายที่ทำลายประเทศชาติและประชาชน
ทำลายมโนธรรมและสำนึกจนยับเยิน
จนรายได้แผ่นดินไม่พอแก่การปล้นสะดมที่เกิดขึ้น

คนฉ้อฉลปล้นชาติจำนวนมากจึงเชิดหน้าชูตาลอยนวลอยู่ในวังวนแห่งอำนาจ
และใช้พลังทางการเมืองเข้าต่อรองกดดันเพื่อให้ได้ดังประสงค์แห่งตน
จนผู้คนระอากันทั้งบ้านทั้งเมือง

ระลอก นี้หนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้นทุกวัน
จนใกล้ถึงวาระที่จะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะทำให้วัวหลังหักแล้ว
เพราะในที่สุดผู้รักชาติรักประชาธิปไตยหรือแม้แต่ผู้พิทักษ์บ้านพิทักษ์
เมืองก็ไม่มีวันที่จะยอมก้มหน้าให้บ้านเมืองพินาศฉิบหายไปต่อหน้าต่อตาได้

ระลอกหนึ่ง
คือความแตกแยกแก่งแย่งผลประโยชน์กันระหว่างนักการเมืองที่เป็นประดุจดั่ง
สุนัขแย่งอาหารในชามข้าว
ระหว่างพวกหนึ่งซึ่งตั้งหน้าฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดิน โดยไม่ยำเกรงผู้ใด
ในขณะที่อีกพวกหนึ่งก็พยายามพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของบ้านเมืองเอาไว้
จนปรากฏรอยร้าวขึ้นหลายแห่ง ที่พร้อมผลิแตกออกไปทุกเมื่อ

ระลอกนี้จะนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลโดยการยุบสภา
หรือภาวะไร้เสถียรภาพ
ที่รัฐบาลอาจปรับคณะรัฐมนตรีและยอมเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยไปสักระยะหนึ่ง
ซึ่งย่อมกระทบต่ออาณาประชาราษฎรถ้วนทั่ว

ระลอกหนึ่ง เป็นความขัดแย้งระหว่างคนสองพวกทั้งในสภาและนอกสภา
ที่พวกหนึ่งทำการทั้งปวงเพื่อประโยชน์ของคนเพียงคนเดียว
แต่ดุเดือดเลือดพล่าน ไม่ถือเหตุถือผล
กับอีกพวกหนึ่งซึ่งพยายามรักษาชาติบ้านเมืองไว้ให้ลูกหลาน
จนบานปลายกลายเป็นมวยหมู่ในรัฐสภาไปแล้ว

ระลอก นี้จะทำให้ระบอบรัฐสภาไทยเสื่อมความศรัทธาเชื่อมั่นในหมู่ประชาชน
และไม่เป็นที่เชื่อถือศรัทธาอีกต่อไป
เพราะนับวันคนทั้งหลายได้ประจักษ์แก่ตาตัวว่าบรรดาคนที่เรียกตัวเองว่าผู้
แทนราษฎรนั้น แท้จริงแล้วเป็นผู้แทนของใครหรือเป็นทาสใครกันแน่
และเมื่อนั้นคนทั้งหลายก็จะไม่ยอมค้อมหัวยอมรับการกระทำของคนเหล่านี้และไม่
เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องมีคนเหล่านี้อีกต่อไป

ระลอกหนึ่ง คือความขัดแย้งแตกแยกในสังคม
ที่ต่างได้รับและซ่องเสพข่าวสารข้อมูลคนละชุด
มีปัจจัยหลักมาจากความไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องครบถ้วนของ
ประชาชน โดยรัฐไม่ใส่ใจแก้ไข ถอนปัญหานี้ให้ถึงรากถึงโคนเสียที
ปล่อยให้รากเหง้าของความขัดแย้งขยายตัวไปไม่มีที่สิ้นสุด

ระลอกนี้จะเป็นมูลเหตุใหญ่ที่ความขัดแย้งทางความคิดจะกลายเป็นความ
ขัดแย้งทางการปฏิบัติ
นั่นคือกลายเป็นสงครามกลางเมืองระหว่างคนเผ่าไทยที่มีเลือดเนื้อเชื้อไข
เดียวกัน

ทั้ง ห้าระลอกนี้คือมรสุมใหญ่ที่ก่อเค้าทะมึนอันน่าสะพรึงกลัว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์
จะรับมือนำพารัฐนาวาให้พ้นจากวิกฤตนี้ได้อย่างไร
ก็ควรตั้งใจศึกษาบทเรียนอันงามสง่าของรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
นั้นเถิด.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น