++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เวทีนโยบาย:'กลยุทธ์เมาไม่ขับ' พิทักษ์สิทธิชีวิตที่ถูกลิดรอน

โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ


'เมาแล้วขับ' นับเป็นประเด็นสากลที่ทั่วทุกมุมโลกเผชิญความสูญเสียไม่ต่างกันนัก
จะยกเว้นบ้างก็บางประเทศที่เคร่งครัดศีลธรรมจรรยาจนสามารถกำหนดกฎหมายเกี่ยว
กับสุราและจราจรจากรากฐานทางศาสนาและข้อบัญญัติวัฒนธรรม
หรือไม่ก็ประชาชนในประเทศเหล่านั้นไม่เพียงหวงแหนสิทธิในชีวิตตนเอง
หากแต่ยังเคารพสิทธิในชีวิตของบุคคลอื่นยามเดินทาง

ทว่าสำหรับเมืองไทยแล้วการกำหนดกฎหมายจากศีลธรรมคงยากมากเพราะพัวพัน
กับกลุ่มอำนาจธุรกิจและการเมืองที่ผลประโยชน์อยู่เหนือความถูกผิดใดๆ
ไม่เท่านั้นวัฒนธรรมไทยยังมองสุรายาเมาเป็นส่วนเติมเต็มความสนุกสนานของ
เทศกาลระดับชาติอย่างปีใหม่ สงกรานต์ และวันพุทธศาสนาสำคัญต่างๆ
ตลอดจนระดับปัจเจกเ ช่น งานวันเกิด งานบวช งานแต่ง งานศพ
จนถึงวาระอกหักรักคุด ตกงาน เลื่อนตำแหน่ง ฟุตบอลทีมโปรดชนะ
ที่ล้วนแล้วแต่ขาดของมึนเมาไม่ได้

นั่นทำให้สถิติการพลัดพรากสูญเสียจากการเมาแล้วขับขยับสะสมขึ้นทุกปี
ทุกเดือนทุกวัน เพราะมีเหตุผลมากมายให้ผู้คนต้องดื่มกันทุกวัน
แล้วดื่มแล้วขับกันอยู่เสมอๆ

จะมีสักกี่มากน้อยกันที่ตระหนักว่าถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูง 80
มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์จะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากกว่าคนที่ไม่ดื่มสุรา 3
เท่า และถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเพิ่มเป็น 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
โอกาสเกิดอุบัติเหตุจะทะยานมากกว่าคนที่ไม่ดื่มสุราถึง 40 เท่า

อันตรายจากการไม่รู้ว่าตัวเองอันตรายต่อชีวิตทรัพย์สินตัวเองและคนอื่นนั้นน่ากลัวนัก!

การกำหนดกลยุทธ์เมาแล้วขับจึงเป็นการทำสิ่งที่ถูกต้องในห้วงวิกฤต
ชีวิตคนไทยถูกลิดรอนมหาศาลจากการเมาแล้วขับ ที่ไม่ใช่แค่ตาย
แต่ยังพิการบาดเจ็บจำนวนมาก
ดังสถิติผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมาจาก
เหตุเมาสุราสูงถึงร้อยละ 40

การแปลงกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติเพื่อทำสิ่งที่กำหนดไว้ให้ถูกต้องนอก
จากจะต้องระดมสรรพกำลังหลากหลายฝ่ายเพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้แล้ว
ยังต้องสร้างการมีส่วนร่วมของหน่วยงานระดับปฏิบัติการทั้งภาครัฐและเอกชนที่
ดำเนินการภายใต้สภาพแวดล้อมจริงผ่านการวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic
planning) ร่วมกันด้วย
เพราะหน่วยงานระดับปฏิบัติการจะดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพได้นั้นจำต้องมี
กลยุทธ์สอดคล้องกับระดับบริหารนโยบาย

ดังนั้น เมื่อเป้าหมายคือการลดจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายจากเหตุเมามายแล้วขับขี่ให้มาก
ที่สุดเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิในชีวิตยามเดินทางของผู้คน
การกำหนดเป้าหมายจึงต้องกำหนดมาจากหน่วยงานและบุคลากรระดับปฏิบัติการ
บวกรวมกับการวิเคราะห์ SWOT ทั้งภายในและนอกด้านจุดแข็ง (Strengths)
จุดอ่อน (Weaknesses) โอกาส (Opportunities) และภาวะคุกคาม (Threats)
เพื่อสร้างทางเลือกทางกลยุทธ์ของฝ่ายบริหาร
ก่อนขับเคลื่อนกลยุทธ์เหมาะสมสูงสุด

โอกาสของเมาไม่ขับห้วงยามปัจจุบันคือการขึ้นภาษีสุราของกรมสรรพสามิต
ที่สามารถนำไปใช้เป็นพลังลดจำนวนผู้เสพสุราลงได้
ด้วยนอกจากสุราจะราคาแพงขึ้นจนคนลดอัตราการบริโภคลงเองแล้ว ภาษีบาป (Sin
tax) ที่เพิ่มขึ้นยังนำมาสนับสนุนองค์กรสาธารณประโยชน์ต่างๆ ในการรณรงค์
'ลด ละ เลิก เหล้า' เพื่อบรรเทาผลกระทบภายนอกไม่พึงปรารถนา (Negative
externality) ทั้งมิติสุขภาพเสื่อมทรุดและอุบัติเหตุจราจรได้
เพราะขนาดก่อนปรับอัตราภาษี รายได้กรมสรรพสามิตระหว่างตุลาคม 2551-1
มกราคม 2552 ยังมาจากภาษีสุราถึง 11,741.36 ล้านบาท และภาษีเบียร์
16,684.13 ล้านบาท

ฉะนั้น แม้จะขึ้นภาษีสุรารวมถึงยาสูบด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจเป็นหลัก
หากแต่หน่วยงานอย่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ที่ได้ภาษีร้อยละ 2
จากภาษีสุราและยาสูบมาดำเนินงานด้านส่งเสริมสุขภาวะก็จะมีงบประมาณเพิ่มขึ้น
ไม่น้อย โดยส่วนหนึ่งควรจัดสรรสู่ภาคีสุขภาวะเพื่อเชื่อมร้อยพลังกันผลักดันกลยุทธ์
เมาไม่ขับให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากขึ้น
รวมถึงทีวีไทยที่มุ่งสร้างสังคมคุณภาพและคุณธรรมที่ใช้ภาษีบาปปีละ 2,000
ล้านบาทมาดำเนินงานก็ควรอุทิศเวลามากขึ้นเพื่อลดพฤติกรรมไม่พึงปรารถนานี้
เหมือนกัน

มาตรการจัดเก็บภาษีสุราและยาสูบจึงสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้คน
ได้ไม่ต่างจากความสำเร็จของมาตรการภาษีที่จูงใจประชาชนให้หันมาใช้แก๊สโซฮอล
แทนน้ำมันเบนซิน ถึงแม้นว่ากรณีเมาไม่ขับจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงก็ตาม
แต่ก็ได้รับอานิสงส์จากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีนี้ที่จะลดเหยื่อเมาแล้วขับ
ลงได้บ้างจากจำนวนผู้เสพสุราน้อยลงเพราะแพง

ถึงกระนั้นเสียงของภาคธุรกิจที่ควบแน่นกับการเมืองก็กระหึ่มกว่า
เสียงภาคประชาชนและองค์กรสาธารณประโยชน์ในโลกทุนนิยมอยู่ดี
การเผชิญหน้าสัประยุทธ์กันรังแต่แพ้พ่าย
ทางแก้จึงต้องดึงกระบวนการสร้างเครือข่าย เช่น เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ
และเครือข่ายลดอุบัติเหตุที่เป็นจุดแข็งหรือสมรรถนะหลัก (Core
competency) ของเมาไม่ขับมาใช้รณรงค์หลากหลายรูปแบบ

ด้วย ความรู้สึกร่วมที่เหยื่อเมาแล้วขับถ่ายทอดจนเป็นหนึ่งเดียวกับสังคมนั้นจะ
ได้รับการประเมินคุณค่าจากสาธารณชนว่าถึงที่สุดแล้วต่อให้เราขับรถระมัด
ระวังรอบคอบ เคร่งครัดกฎกติกาจราจรมากสักแค่ไหน
ทว่าก็ยังตกเป็นเหยื่อเมาแล้วขับได้เสมอ
ถ้าอีกฟากหนึ่งซึ่งเป็นผู้ขับขี่ยวดยานบนท้องถนนเดียวกันกับเราเมามาย
ขาดสติขับรถส่ายไปส่ายมา ท้าทายความเร็วแรง

กลยุทธ์ผลกระทบของเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับที่ขยายกว้างขวางทั่ว
ทั้งสังคมไทยจะช่วยให้การรณรงค์เมาไม่ขับพัฒนากลไกการทำงานแข็งแกร่งขึ้น
เนื่องจากสาธารณชนเชื่อมั่นว่าถ้าเข้าร่วมส่งเสริมจะสามารถคลี่คลาย
สถานการณ์การตกเป็น 'เหยื่อเมาแล้วขับ' ที่ไม่รู้ว่าวันใดจะมาถึงตัวเอง
ครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหายได้

อนึ่งถึงกลยุทธ์ดี แต่ถ้าไม่ได้ถูกนำไปใช้อย่างเหมาะสมก็ไร้ค่า
กระบวนการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ (Strategy implementation)
เพื่อบรรลุผลตามเป้าหมายจึงเรียกร้องการลงมือทำตามขั้นตอนครบถ้วนของระดับ
ปฏิบัติการทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรสาธารณประโยชน์
ตลอดจนต้องสร้างความสอดคล้องของกลยุทธ์กับองค์ประกอบด้านโครงสร้าง
วัฒนธรรม บุคลากร สิ่งจูงใจ กิจกรรมสนับสนุน และภาวะผู้นำ
โดยเฉพาะเจตจำนงทางการเมือง (Political will)
ที่รัดร้อยกับทางเลือกทางกลยุทธ์ของเมาไม่ขับ
ด้วยจะบรรลุเป้าหมายได้ก็ต้องปรับทั้งกลยุทธ์ควบคู่วัฒนธรรม

กล่าวคือการปรับวัฒนธรรมไทยให้สอดคล้องกับกลยุทธ์เมาไม่ขับนั้นเป็น
พันธกิจที่ผู้นำรัฐนาวาไทยไม่อาจปัดปฏิเสธ
เพราะพฤติกรรมเมาแล้วขับจะเปลี่ยนเป็นเมาไม่ขับได้ก็ต่อเมื่อปลูกฝัง
จิตสำนึกรักษาสิทธิในชีวิตของบุคคลอื่นอย่างกว้างขวางผ่านการบังคับใช้
กฎหมายจริงจังและสร้างตัวแบบพฤติกรรมและค่านิยมในหมู่ผู้คนจนกระทั่งรื้อถอน
วัฒนธรรมสนุกสนานจากฤทธิ์น้ำเมาได้

ในขณะเดียวกันก็ต้องเทียบเคียงการทำงานเมาไม่ขับกับต่างประเทศเพื่อ
หาแนวทางปฏิบัติงานที่ดีที่สุด (Best practice) พร้อมๆ
กับปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติงานให้สามารถดึงจุดแข็งของเครือข่ายมาใช้
ประโยชน์ได้สูงสุดด้วย โดยเฉพาะการแปลงแผนกลยุทธ์ไปสู่แผนปฏิบัติการ
(Action plan) ของหน่วยงานระดับปฏิบัติการที่ต้องระบุเป้าหมายหลักเชิงกลยุทธ์ในแต่ละขั้น
ตอนดำเนินการ และวัดความก้าวหน้าตลอดช่วงดำเนินการนั้นๆ
ให้สอดรับกับกลยุทธ์สูงสุดตลอดเวลา

รวมถึงการกำหนด 'ใครทำอะไรที่ไหนเมื่อไรอย่างไร'
ในขั้นตอนปฏิบัติการ (Action steps)
ที่แจ่มแจ้งจักเหนี่ยวนำความสำเร็จมาให้ได้ เพราะไม่เพียงมี 'เจ้าภาพ'
รับผิดชอบงานชัดเจนจนไม่เกิดกรณีเกี่ยงงานหรือทำงานซ้ำซ้อนกันดังก่อน
ทว่ายังจัดสรรทรัพยากรได้เหมาะสมกับการดำเนินงาน
ตลอดจนระบุจุดเชื่อมต่อของความร่วมมือกันในแต่ละฝ่ายได้ด้วย

ทั้ง นี้ เหตุที่เมาไม่ขับยังไม่อาจบรรลุผลสักเท่าใดในสังคมไทย
ไม่ใช่เพราะกลยุทธ์นี้ไม่ดี
แต่ที่ล้มเหลวก็เพราะไม่ได้ถูกนำไปปฏิบัติเพียงพอ ขาดการบูรณาการ
ติดตามประเมินผลแก้ไขข้อผิดพลาด แยกการวางแผนออกจากการลงมือปฏิบัติ
ทั้งยังละเลยความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากไม่ตระหนักว่ากลยุทธ์
หนึ่งๆ จะใช้ได้ในบริบทหนึ่งๆ เท่านั้น
และเหนืออื่นใดไม่สร้างวัฒนธรรมไทยให้หันมา 'พิทักษ์สิทธิชีวิต'
ทั้งของตนเอง ครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหายจากอันตรายเมาแล้วขับกันสักที.-

เวทีนโยบายสาธารณะ มูลนิธิสาธารสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น