++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

โกมล - สสส.ร่วมหนุนเทคโนฯพระจอมเกล้า ลาดกระบัง สร้างค่าย "บ้านเล็กในป่าใหญ่"

โดย ASTVผู้จัดการออนไล

มูลนิธิโกมล คีมทอง ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ร่วมหนุนเทคโนฯพระจอมเกล้า ลาดกระบัง สร้างค่าย "บ้านเล็กในป่าใหญ่"
      
       "บ้านเล็กในป่าใหญ่" เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ที่มีเป้าหมายให้แก่ราษฎรอยู่ร่วมกับป่าไม้ได้อย่างยั่งยืน และเกื้อกูลกัน โดยราษฎรมีความเป็นอยู่แบบพอเพียง ตามวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่า รวมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อให้เกิดความรักถิ่นฐาน และการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
      
       ลิขิต จริตรัมย์ ประธานชมรมอนุรักษ์พลังงานหารสอง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารราชกระบัง กรุงเทพฯ เปิดเผยว่า จากการออกค่าย โครงการ“ค่ายลาดกระบังรวมพลังหารสอง ปีที่ 5”โดย ได้รับการคัดเลือกจากมูลนิธิโกมล คีมทอง ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากร่วมมือกับชุมชนในพื้นที่เพื่อร่วมกันทำโครงการ บ้านเล็กในป่าใหญ่ในครั้งนี้ มีแกนนำ และลูกค่าย ประมาณ 60 คน
      
       ทั้งนี้ ได้เลือกพื้นที่บ้านเกาะสะเดิ่ง ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เนื่องจากชุมชนนี้เป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ นเรศวร การดำรงชีวิตส่วนใหญ่ของชุมชนเกี่ยวข้องกับการพึ่งพาอาศัยป่าเป็นหลัก หากแต่การคืนสู่ป่าของชุมชนนั้นจะทำให้พื้นที่ป่ากลับมาไม่ใกล้เคียงกับอดีต ไม่ว่าจะเป็นระบบนิเวศป่าไม้ดั้งเดิม และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ เป็นต้น ชมรมอนุรักษ์พลังงานหารสองเป็นกลุ่มนักศึกษาที่เล็งเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้จัดตั้งโครงการดังกล่าวขึ้น ซึ่งกำหนดออกค่ายระหว่างวันที่ 13 – 27 มีนาคมที่ผ่านมา
      
       " จากการลงพื้นที่พบว่า ห้องเรียนสาขาเกาะสะเดิ่ง ตั้งอยู่หมู่ 3 ตำบลไล่โว่ เป็นห้องเรียนสาขาของโรงเรียนบ้านกองม่องทะ โดยมีระยะทางห่างจากโรงเรียนบ้านกองม่องทะ 11 กิโลเมตร ต้องเดินทางด้วยเท้าใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง ซึ่งลำบากมากในช่วงหน้าฝน ทางผ่านจะเป็นป่าทึบ สลับร่องเขาและแม่น้ำ จะมีทากมาก ไม่มีไฟฟ้าใช้"
      
       ลิขิต กล่าวว่า โรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนที่อาศัยในหมู่บ้านเข้ารับการศึกษา ซึ่งจะจัดการศึกษาในระดับอนุบาล และช่วงชั้นปีที่ 1 สำหรับนักเรียนในพื้นที่จำนวน 1 ห้อง และยังจัดให้เป็นศูนย์เด็กเล็กรวมอยู่ด้วย เนื่องจากบางครอบครัวพ่อแม่ ญาติ พี่น้อง ต้องออกไปทำไร่ ทำนา จึงต้องมาฝากไว้ รวมแล้วมีจำนวนนักเรียนกว่า 50 คน โดยอยู่ในการปกครองขององค์การบริหารส่วนตำบลไล่โว่ ประชากรส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายกะเหรี่ยงและผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า มีอาชีพทำไร่ เลี้ยงสัตว์ และบางครอบครัวก็ปลูกผัก ซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอน
      
       ส่วนสภาพของชุมชนยังไม่เข้าถึงหน่วยงานราชการเท่าที่ควร ประกอบกับชาวบ้านเองยังไม่เปิดใจรับหน่วยงานราชการ 100% เพราะยังมีความหวาดระแวงต่อเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานของรัฐที่มาจากนอกพื้นที่ เนื่องจากเกรงว่าจะเข้ามาขับไล่ให้ออกจากป่า ยังคงเป็นชุมชนครอบครัว เป็นเครือญาติกัน และส่วนใหญ่แต่งงานกันเองในหมู่บ้าน มีการแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และสิ่งที่สำคัญคือ ความมีน้ำใจต่อกันและกันยังมีอยู่มาก ยังคงมีขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นเดิมไว้ และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ
      
       " โดยภาพรวมยังคงมีการดำรงชีวิตแบบวิถีดั้งเดิม และยังไม่เปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีสมัยใหม่มากนัก อยู่แบบพอมีพอกิน และอย่างพอเพียง การดำรงชีวิตโดยพึ่งพาอาศัยป่า อาทิ ปลูกข้าวไร่ ปลูกผักไว้กินเอง ไม่ได้ทำการเกษตรในรูปแบบที่ต้องไปกู้ยืมเงินจากแหล่งต่างๆ เหมือนเช่นคนทำไร่ในปัจจุบันที่มุ่งเรื่องของผลกำไรจึงต้องลงทุนมากในเรื่อง ของ เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เครื่องมือ เครื่องจักร แรงงาน รวมทั้งต้นทุนการผลิตต่างๆที่สูงมาก
      
       เมื่อ ได้พูดคุยกับชุมชน พบว่า ทางชุมชนต้องการโรงอาหารให้กับห้องเรียนสาขาเกาะสะเดิ่ง 1 หลัง เพราะชาวบ้านไม่มีเงินเหลือพอที่จะมาบริจาคสร้างโรงอาหาร ซึ่งที่ผ่านมาได้ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐ แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือแต่อย่างใด จึงได้ร่วมกับชุมชนสร้างโรงอาหารให้ ด้วยวัสดุอุปกรณ์ที่มีอยู่ในพื้นที่
      
       ที่ ผ่านมาเราได้ขอความช่วยไปยังสำนักงานเกษตรที่สูงอำเภอสังขละบุรี โดยการเชิญวิทยากรมาให้ความรู้กับชาวบ้านในเรื่องของการแปรรูปเมล็ดกาแฟ ซึ่งชุมชนมีกลุ่มแม่บ้าน และผู้ชายที่ว่างจากการทำไร่ ประมาณ 30 คน มาเข้ารับการอบรม รวมทั้งนักศึกษาอีกประมาณ 20 คน โดยได้เรียนรู้การแปรรูปเมล็ดกาแฟไปพร้อมๆ กัน ซึ่งชาวบ้านปลูกกาแฟไว้ในไร่ของตัวเอง ถึงแม้จะปลูกคนละไม่มากนักก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจำหน่ายได้ โดยชาวบ้านเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟสดมาตากแห้งได้ปี๊บละ 80 บาท แต่ถ้ามาแปรรูปเป็นกาแฟบดหรือคั่ว จะได้ราคาขีดละถึง 50 บาท เลยทีเดียว เป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้า ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีหน่วยงานใดยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือเลย"
      
       ลิขิต กล่าวต่อว่า ลูกค่ายยังมีกิจกรรมการอยู่ร่วมกับชุมชน เพื่อเรียนรู้การดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้การทำการเกษตรในที่สูง เช่น การปลูกข้าวไร่ ปลูกพริกกระเหรี่ยง เป็นต้น เพื่อศึกษาว่าพวกเขาสามารถทำการเกษตรในที่สูงได้อย่างไร และยังศึกษาด้วยว่า พวกเขาบุกรุกพื้นที่ป่า หรือทำไร่เลื่อนลอยตามข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐรายงานหรือไม่ เพราะไม่อยากฟังข้อมูลจากทางราชการเพียงทางเดียว
      
       “การ เข้าค่ายในครั้งนี้ทำให้เราเห็นความจริงของสังคมที่ยังมีความแตกต่างกันอยู่ มาก คนในสังคมเมืองกับคนในสังคมชนบทที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และหากไม่มีโซล่าเซลล์พวกเราก็ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่สามารถทำกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ ได้ หรือแม้กระทั่งกิจกรรมสันทนาการก็ทำไม่ได้ แต่ก็ทำให้เราได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชน ยังได้เรียนรู้ถึงความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อที่ชาวบ้านมีให้ ซึ่งหาได้ยากในสังคมเมือง”
      
       นายลิขิต กล่าวทิ้งท้ายถึงสิ่งที่รับการเดินทางเข้าค่ายของชมรมอนุรักษ์พลังงานหารสอง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารราชกระบัง ที่บ้านเกาะสะเดิ่ง ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
      
       " ทำให้บรรดานักศึกษา ได้ศึกษาเรียนรู้ชีวิตของเพื่อนร่วมชาติที่อยู่ห่างไกล ทั้งวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ และน่าจะเป็นบทเรียนหนึ่งที่สามารถให้เยาวชนกลุ่มนี้ ได้เข้าใจเพื่อนร่วมชาติกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้มากขึ้น"


http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000035057

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น