++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

แก้รธน.-นิรโทษกรรม-สมานฉันท์= ความฝันอันสูงสุดสีแดง

โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ    


ท่านผู้อ่านที่เคารพ บ่ายวานนี้ (พฤหัสฯ 14.00-15.00 น.) เมียผมเกือบช็อกที่ได้เข้าเห็นอะไรบางอย่างในทำเนียบรัฐบาล เรานั่งรถตู้อายุ 10 ขวบ ไม่มีป้ายผ่านหรือความน่าเกรงขามใดๆ เลี้ยวซ้ายเลียบคลองผ่านกระทรวงศึกษาฯ เข้าไป ทั้งป้อมรักษาการแรก และป้อมที่เลี้ยวเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล มีตำรวจอยู่แห่งละ 5-6 คน ไม่มีใครเรียกขอดูบัตร ไม่มีใครโบกมือให้ผ่าน ไม่มีใครแสดงความสนใจว่ารถตู้เก่าๆ คันหนึ่งกำลังจะวิ่งเข้าไปในสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย
      
       เราไม่ได้เข้าไปหาผู้ยิ่งใหญ่ที่ไหนหรอกครับ ผมไปขอดูหลักฐานค่าใช้จ่ายติดพันมาแต่ปีมะโว้กับข้าราชการเล็กๆ คนหนึ่ง ขากลับออกมาด้านข้างหน้า ก.พ. ตำรวจรักษาการก็มีลักษณะลอยชายไม่รู้ไม่เห็นเช่นเดียวกัน
      
       ผมเองรู้มานานแล้วว่าการรักษาความปลอดภัยสถานที่ และบุคคลสำคัญประเทศไทยแย่ที่สุดในโลก คือแย่สุดที่จะบรรยาย ไม่มีประเทศไหนแย่เท่า ผมจึงไม่แปลกใจเรื่องเกิดที่พัทยาและกระทรวงมหาดไทย แต่เกิดเรื่องจนถึงเพียงนี้แล้ว เมียผมเขาไม่เชื่อสายตาว่าเราจะยังหละหลวมกันถึงเพียงนี้ อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าหากมีคนแอบเอาลูกระเบิดเวลาไปซ่อนไว้ในส้วม ในสนามหญ้า หรือใต้ถุนห้องประชุม ครม.
      
       ความสูญเสียและเสียหายใช่จะเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวเท่านั้น ประเทศชาติและประชาชนต้องรับเต็มๆ
      
       ใครเป็นผู้รับผิดชอบ หัวหน้าเวรรักษาการ สำนักงานตำรวจสันติบาล กองทัพ รองนายกฯ ความมั่นคง หรือนายกรัฐมนตรี
      
       ผมนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อสองสัปดาห์มานี้ ท่านผู้ใหญ่ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ เป็นห่วงเรื่อง ใคร อะไร ที่ไหน ภายในทำเนียบรัฐบาล ถึงกับโทร.มาหาผม อยากให้รัฐบาลส่งคนไปรับข้อมูลและข้อแนะนำ บังเอิญมีผู้ต่อโทรศัพท์ถึงคุณนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ให้ ผมจึงเรียนให้คุณนิพนธ์ซึ่งเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเหยื่อเหตุการณ์ในกระทรวงมหาดไทยได้ทราบ
      
       แล้วอย่างนี้ยังเป็นอย่างนี้ ซึ่งผมถือว่าเลวกว่าเดิมเสียอีก มันเหมือนกับว่าทุกคนเป็นพวกหรือเป็นใจให้ขบวนการเสื้อแดงกันหมด
      
       ผมเห็น ได้ยิน และรู้มานานแล้วว่า ความสามารถและความมุ่งมั่นของขบวนการเสื้อแดงมิใช่ธรรมดา พวกเราหรือคนนอกต่างหากที่นึกว่าพวกนี้หมดพิษสงแล้ว กำลังเฉาและคอยวันตาย หัวหน้าก็กลายเป็นสัมภเวสีไร้ที่อยู่ ร่อนเร่ไปจนกว่าจะฆ่าตัวตาย ตามคำสันนิษฐานของจิตแพทย์ภายในปีนี้
      
       ผมอยากจะพูดสั้นๆ ว่า การเรียกร้องให้ยุบสภา การบีบให้นายกฯ ลาออก การป่วนบ้านเมือง รวมทั้งการประทุษร้ายหมายชีวิตผู้นำประเทศ ก็เป็นยุทธศาสตร์ และยุทธวิธีคนละเรื่องเดียวกันของขบวนการเสื้อแดงทั้งสิ้น ผมยังมิได้รวมการก่อวินาศกรรม และการทำสงครามในเมือง ที่ผู้นำบางคนของขบวนการได้ประกาศไปแล้ว
      
       ในบทความฉบับที่แล้ว เรื่อง จะพูดกันให้รู้เรื่อง หรือจะฆ่ากันต่อให้เลือดนองแผ่นดิน ผจก. 11 พ.ค. ออนไลน์ 10 พ.ค. ผมได้ทิ้งท้ายและซ่อนประเด็นไว้ให้ผู้อ่านช่วยกันคิด 3 เรื่องด้วยกัน เป็นเรื่องใหญ่ๆ เกี่ยวกับอนาคตบ้านเมืองทั้งนั้น ผมบอกว่าถ้ายังคิดไม่ออกวันหลังผมจะอธิบายให้เอง
      
       ปรากฏว่ามีผู้อ่าน 4,579 คน มีผู้โพสต์ออกความเห็นมาเพียง 18 ราย ผมผิดหวังมาก ไม่ใช่ผิดหวังผู้อ่านว่าอ่านกันน้อยหรือโพสต์มานิดเดียว แต่ผิดหวังตัวเองที่อุตส่าห์เขียนมาตั้งนมนาน ยังไม่มีความสามารถพอที่จะสื่อความหมายกับผู้อ่านได้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่เป็นไรครับ ผมจะพยายามต่อไปอีก ท่านผู้อ่านอย่าลืมคิดช่วยหรือแนะนำผมบ้างก็แล้วกันว่า ควรจะทำอย่างไรดี
      
       เรื่องที่ 1 ที่ผมห่วงมากที่สุดเวลานี้ ก็คือเรื่องสวัสดิภาพและความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรี มิใช่ว่าผมมีส่วนได้เสียอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์หรือรัฐบาล แต่ผมถือว่านายกฯ เป็นทรัพยากรทางการเมืองที่มีค่ามีโอกาสที่นายกฯ จะสามารถปรับปรุงแก้ไขปฏิรูปการเมืองและระบบราชการของเราให้ดีขึ้นได้
      
       แต่สวัสดิภาพของนายกฯ คืออุปสรรคหมายเลข 1 ของขบวนการเสื้อแดงเวลานี้ หลังจากที่พวกเขาพยายามทำสารพัดทั้งที่โหดเหี้ยมเลวทรามหยาบช้าผิดวิสัย มนุษย์แล้ว ยังไม่มีใครถอดใจและเขายังมิได้สิ่งที่เขาพึงประสงค์ ซึ่งเขาประกาศโจ่งแจ้งแล้วว่าคือ อะไร
      
       ขณะนี้ เขาก็กำลังนอนครางเอ๋งๆ และเลียแผลกันอยู่ ปรับยุทธศาสตร์ยุทธวิธีกลับไปสู่ลูกไม้เก่าเดิมๆ คือ จากเรียกร้องให้ยุบสภา ลาออก ไม่สำเร็จก็ยกเอาความสมานฉันท์มาบังหน้า โดยจะอาศัยการแก้รัฐธรรมนูญและนิรโทษกรรมเป็นปัจจัย
      
       ก็ตอนที่พ่อเองเป็นรัฐบาลมีอำนาจอยู่ ทำไมเองไม่สมานฉันท์ ไม่ยุบสภา ไม่ลาออกบ้างล่ะ ปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์เขาบาดเจ็บล้มตายไปทำไม
      
       เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผมไปสังสรรค์กับพี่น้องชาวชลบุรี พัทยา และสัตหีบ มีผู้เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่ไอ้พวกรักประชาธิปไตยสีแดงมากกว่ารักชาติจะป่วนทำลายการประชุมสุดยอด สำเร็จ มีบุคคลที่พวกนั้นเคารพยิ่งกว่าพ่อ สายตรงมาหาคนโตของ ชลบุรีที่สนิทกันผู้เล่าอย่างลึกซึ้งว่า “คราวนี้ต้องเอามันให้ตาย” คำว่าเอามันให้ตายในภาษาไทยกินความหมายกว้างเหลือเกิน ไม่สามารถระบุให้แน่นอนได้ ไม่เหมือนกับคำว่า เอาชีวิต หรือฆ่ามันให้ได้ ผมจึงได้แต่รับฟัง ไม่สามารถสรุปอะไรได้ ท่านผู้เล่าบอกว่าได้เล่าให้ท่านรัฐมนตรีกษิตฟังแล้วด้วย ผมยังไม่ทันได้ซักว่าเล่าก่อนหรือหลังเหตุการณ์พัทยา
      
       ในการพูดคุยของพวกเรา 200-300 คนที่สัตหีบคืนนั้น เราได้ตั้งคำถามกันด้วยว่า
      
       “พวกเราที่อยู่กันที่นี่กับพันธมิตรฯ ทั่วประเทศ มีใครที่แช่งชักหักกระดูกอยากเห็นทักษิณตายบ้าง” ปรากฏว่ายกมือขึ้นพรึ่บทั้งห้อง
      
       ครั้นถามต่อว่า พวกเรามีปัญญาหรือแม้แต่คิดว่าจะไปฆ่าหรือจ้างคนฆ่าทักษิณบ้าง ไม่มีใครยกมือสักคนเดียว
      
       ครั้นถามว่า “พวกเราคิดว่าพวกเสื้อแดงทั้งประเทศมีใครแช่งชักหักกระดูกอยากให้นายกฯ ตายบ้าง” ปรากฏว่ายกมือพรึ่บอีกเหมือนกัน
      
       ถามต่อไปว่า ในบรรดาเสื้อแดงคิดว่ามีคนโหดเหี้ยมเป็นนักฆ่าหรือรับจ้างฆ่าสามารถทำกับนายกฯ ได้เหมือนกับที่ทำสนธิหรือไม่
      
       ปรากฏว่ายกมือพรึ่บ ไม่เว้นสักคนเดียว เพราะไอ้พวกเสื้อแดงนี้มันพวกอธรรม มันจะทำชั่วขนาดไหนก็ได้
      
       ทุกคนจึงพากันห่วงสวัสดิภาพของนายกฯ ขึ้นมาจับใจ ทั้งๆ ที่จำนวนมากในนั้นบอกว่าคราวนี้จะลาออกจากประชาธิปัตย์หมดแล้ว พันธมิตรฯ จะตั้งหรือไม่ตั้งพรรคก็ไม่รู้
      
       ผมได้เขียนไปแล้วว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 วงเล็บ (1) แต่ผมไม่ได้คัดข้อความในมาตรานั้นมาเลย คำแรกและคำเดียวในวงเล็บนั้นก็คือคำว่า ตาย
      
       ผมเชื่อว่ามีอมนุษย์อยู่กลุ่มหนึ่ง ที่มีความฝันอันสูงสุดขอให้นายกฯ มีอันเป็นไป จะด้วย
       ธรรมชาติ ด้วยอุบัติเหตุหรือด้วยอะไรก็ได้
      
       อมนุษย์พวกนี้ทำชั่วได้ทุกอย่าง โกหกได้ทุกอย่าง แก้ตัวได้ทุกอย่าง รวมทั้งการบีบน้ำตาสงสาร
      
       แต่ถ้าหากนายกฯ เป็นอะไรไป มีเพียง 2 อย่างเท่านั้นที่จะเกิดขึ้น คือ (1) การปฏิวัติยึดอำนาจ (2) การให้สภาซาวเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่
      
       ทั้งสองกรณี การที่คนของขบวนการเสื้อแดงจะผงาดกลับขึ้นมา มีความเป็นไปได้สูงยิ่ง
      
       ผมจึงใจหายยิ่งกว่าใจหาย ห่วงยิ่งกว่าห่วง โกรธยิ่งกว่าโกรธที่เห็นการรักษาความปลอดภัยของสถานที่และบุคคลสำคัญของเรา ยังหละหลวม และเลวที่สุดในโลกอยู่อย่างนี้
      
       ขอโทษครับ ใครคนหนึ่งตะโกนเข้าหูผมว่า “พวกมึงเห็นประเทศของกูเป็นยังไงวะ”

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000054337

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น