++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ครม.และส.ส.แตกแถว : เหตุให้ปรับครม.และยุบสภา

โดย สามารถ มังสัง 18 พฤษภาคม 2552 16:43 น.
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แวดวงการเมืองไทยได้เกิดเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น 2
เรื่อง และเมื่อเกิดขึ้นแล้วภาพลักษณ์การเมืองโดยรวมได้ตกเป็นเหยื่อแห่งการวิพากษ์
ในเชิงลบของบรรดาสื่อมวลชน
และนักวิชาการทั้งหลายที่อยากเห็นการเมืองไทยมีมาตรฐานทัดเทียมกับประเทศที่
เจริญแล้วทั้งหลายทั้งปวง
ทั้งในด้านคุณธรรมและจริยธรรมที่นักการเมืองจะต้องมี
และจะต้องเป็นในฐานะเป็นผู้แทนปวงชนในระบบการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย

สองเรื่องที่ว่านี้ก็คือ

1. ครม.เกิดความขัดแย้งกันในเรื่องการคัดเลือกบริษัทเอกชนเข้ามาทำหน้าที่ระบาย
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่รัฐบาลรับซื้อไว้ในราคาประกัน โดยมีนางพรทิวา
นาคาศัย รมว.กระทรวงพาณิชย์ เป็นเจ้าของเรื่องนำเสนอเรื่องต่อที่ประชุม
ครม.

แต่เมื่อเรื่องนี้ได้ถูกนำเข้าที่ประชุม ปรากฏว่า นายกอร์ปศักดิ์
สภาวสุ ในฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ได้แสดงความเห็นคัดค้านตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ชี้แจงว่าเรื่องนี้เป็นอำนาจของรัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพราะกระทรวงพาณิชย์เป็นนิติบุคคล
ไม่ใช่อำนาจของคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
พร้อมกันนี้ได้ขอให้นายยรรยง พวงราช
อธิบดีกรมการค้าภายในชี้แจงเพิ่มเติมว่า
การเซ็นสัญญาซื้อขายสินค้าเกษตรในโครงการรับจำนำเป็นอำนาจของกระทรวงพาณิชย์

ถึงตอนนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ถามกลับว่า
ถ้าเป็นอำนาจของกระทรวงพาณิชย์
หากมีความเสียหายเกิดขึ้นพร้อมจะรับผิดชอบหรือไม่
ถ้าอยากได้อำนาจก็เอาความรับผิดชอบไปด้วย
เนื่องจากการขายข้าวโพดทำอย่างไรก็ขาดทุน แต่นายยรรยง ไม่ตอบ นายกฯ
จึงได้ถามว่ามีอะไรชี้แจงอีกหรือไม่ จากนั้นจึงกล่าวขอบคุณ
พร้อมกับโบกมือให้ออกไปจากที่ประชุม

2. ในการประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 พ.ค.
ได้เกิดข้อขัดแย้งระหว่าง ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาธิปัตย์
ด้วยเหตุที่ว่า

เมื่อประธานสภาได้ให้มีการนับองค์ประชุม และได้มี
ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยขออนุญาตเดินตรวจการเสียบบัตรแสดงตนว่ามีการกดแทนกัน
หรือไม่ และเมื่อทางผู้ขออนุญาตพูดจบ ทาง
ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ท่านหนึ่งได้ลุกขึ้นตะโกนด่าโดยใช้นามของสัตว์ขึ้นมา
เปรียบเทียบกับคน พร้อมกับกวักมือให้มาตรวจบัตรของตัวเอง
จึงเกิดการตอบโต้กันขึ้นและมีความวุ่นวายตามมา

จากทั้ง 2 เรื่องจะเห็นว่าไม่ควรจะเกิดขึ้นถ้าทุกฝ่ายเคารพเหตุผล
และมีเจตนาทำงานเพื่อส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

เริ่มด้วยการขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะเห็นได้ชัดว่า
รมว.กระทรวงพาณิชย์ยึดติดอำนาจและผลประโยชน์ของกระทรวงที่ตนเองเป็นอยู่
โดยไม่ดูว่าการทำงานของรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้ง
ครม.ในฐานะเป็นรัฐบาลร่วมกัน จะอ้างเพียงว่ากระทรวงเป็นนิติบุคคล
และเจ้ากระทรวงมีอำนาจลงนามอันเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำงานในฐานะเป็นเจ้า
กระทรวง โดยไม่ดูขั้นตอนว่าการลงนามจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจาก
ครม.ก่อน นั่นแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะของคนเป็นรัฐมนตรีว่ามองงานไม่ครอบกระบวนการ
แต่จับเอาขั้นตอนที่ตนเองเกี่ยวข้องขึ้นมาโต้แย้ง

ครั้นนายกฯ ได้พูดถึงเหตุผลและกระบวนการทำงานร่วมกัน
เป็นกระบวนการในฐานะฝ่ายบริหารที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
กลับไม่กล้ายืนยันความผิดของตัวเอง
และยังนำเอาข้าราชการประจำเข้ามาเป็นพวกเพื่อหักร้างผู้นำรัฐบาล
ในทำนองสอนหนังสือสังฆราช จึงน่าจะเป็นเหตุให้สื่อพากันลงข่าวว่า นายกฯ
ตะเพิดอธิบดีกรมการค้าภายในออกจากห้องประชุม

ส่วนทางด้านนายกฯ และรองนายกฯ
ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนี้
ก็มีประเด็นที่น่าจะได้หยิบยกขึ้นมาวิพากษ์ที่ว่า
เมื่อมีการจัดตั้งกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใหม่
ทำไมจึงไม่มีการออกมติยกเลิกกรรมการชุดเก่าที่จัดตั้งในรัฐบาลชุดก่อน
และปล่อยให้ทำงานซ้ำซ้อนกัน และน่าจะมีประเด็นข้อกังขาทางกฎหมายว่า
เมื่อไม่มีการยกเลิกกรรมการชุดเก่า
กรรมการชุดใหม่ที่ตั้งขึ้นจะเป็นโมฆะหรือไม่
ถ้าเปรียบเทียบกับนิติกรรมเดียวกับการจดทะเบียนสมรส
ที่ระบุให้การจดทะเบียนภายหลังต้องเป็นโมฆะเมื่อมีการฟ้องร้องกันถึงขั้นศาล

ด้วยเหตุนี้
ประเด็นขัดแย้งในเรื่องข้าวโพดที่เกิดขึ้นถือได้ว่าเป็นข้อบกพร่องทั้งในแง่
กฎหมาย และในแง่บริหารที่ควรจะได้มีผู้รับผิดชอบดูแลแก้ไข
และป้องกันให้รอบคอบกว่านี้

ส่วนประเด็นข้อขัดแย้งในสภาผู้แทนราษฎรถือได้ว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย
และเป็นพฤติกรรมปัจเจกบุคคลของคนสองคนที่กระทำลงไปโดยขาดการไตร่ตรองให้ดี
ก่อน

แต่เรื่องเล็กที่ว่านี้จะเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้ถ้าปล่อยให้เกิด
ขึ้นบ่อยๆ เพราะจะนำไปสู่การแบ่งพวกแบ่งกลุ่มแล้วเผชิญหน้ากันทุกครั้งที่มีการประชุม
ร่วมกัน

เหตุเกิดทั้ง 2 ประการดังกล่าวแล้วข้างต้น
ถ้าดูในแง่ของการเมืองโดยรวมแล้วจะเป็นสัญญาณบ่งบอกทิศทางการเมืองบ้างหรือไม่?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียนเชื่อว่ามีและน่าจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ด้วย

ส่วนว่าจะมีอย่างไรนั้น
ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านลองย้อนไปดูภาวะแวดล้อมทางการเมืองต่อไปนี้

1. การต่อต้านรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์
และพรรคร่วมรัฐบาลของกลุ่มคนเสื้อแดง
ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอำนาจเก่าในช่วง 8-15 เมษายนที่ผ่านมา
ประสบความล้มเหลว
และค่อนข้างจะพูดได้ว่าการต่อสู้ในทำนองนี้จะเกิดขึ้นอีกได้ยาก
และนี่เองที่จะเป็นจุดเปลี่ยนจากการต่อสู้ด้วยการจัดกิจกรรมขับไล่บนท้องถนน
มาเป็นการตีรวนในสภาโดยอาศัยกำลัง ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย
และมีแนวร่วมจากพรรคอื่นบางส่วนจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อบีบให้รัฐบาลยุบสภา
อันเป็นการเปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้ต่อสู้ทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งอีก
ครั้ง ถ้าชนะก็เท่ากับว่าโอกาสที่กลุ่มอำนาจเก่าจะคืนชีพเกิดขึ้นได้

2. ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่
โอกาสที่คนกลุ่มเสื้อแดงจะหาประโยชน์จากนายทุนที่หนุนการเลือกตั้งก็มีขึ้นได้อีกครั้ง

ด้วยเหตุที่ว่ามานี้การตีรวนในสภาจึงเกิดขึ้น
และเชื่อว่าจะเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ
และในขณะเดียวกันพรรคร่วมรัฐบาลก็จะเริ่มหาทุนเพื่อการเลือกตั้ง
โดยการเริ่มทำโครงการที่เห็นว่าได้ทั้งเงินและกล่อง
เพื่อเป็นทุนในการเลือกตั้ง

ถ้าแนวคิดที่ว่ามานี้ถูกต้อง โอกาสที่รัฐบาลจะปรับ
ครม.และยุบสภาก็อยู่ไม่ไกลแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น