++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552

หยุดรีดนาทาเร้นผู้มีเงินฝากได้แล้ว!

โดย สิริอัญญา    
ในขณะที่ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2551 ซึ่งเป็นผลงานของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ได้ออกผลล่าสุดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบถึง 4.5 ปรากฏว่าผลประกอบการของภาคธนาคารและสถาบันการเงินยังคงมีกำไรหลายแสนล้านบาท
      
       ช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เสียนี่กระไรที่ กิจการในภาคธนาคาร และสถาบันการเงินมีผลกำไรในท่ามกลางวิกฤตและความเดือดร้อนของประชาชาติไทย
      
       เป็น ผลกำไรท่ามกลางเสียงติฉินนินทาว่ามีการสมรู้กันเอาเปรียบประชาชนชาวไทยอย่าง ไม่ยั้งมือ และทำกันเช่นนี้ตลอดมา โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้คนในแผ่นดิน
      
       ทำไมจึงมีเสียงติฉินนินทาเช่นนั้นเล่า? ก็เพราะว่า
      
       ประชาชนผู้ต้องพึ่งพาอาศัยเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินต้อง เสียดอกเบี้ยที่เรียกเก็บในอัตราที่สูง ซึ่งในปัจจุบันนี้แม้อัตราที่ประกาศทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 7% ต่อปี แต่ในความจริงยังมีรายการบวกๆ อยู่อีกและในที่สุดก็ต้องเสียดอกเบี้ยถึง 9-10% หรือกว่านั้น
      
       ประชาชนผู้มีเงินออมหรือมีเงินฝากกับธนาคารและสถาบันการเงินกลับได้ รับดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำ และในขณะนี้อัตรายิ่งต่ำลง ๆจนใกล้ 0% ต่อปี หรือเรียกว่าฝากเงินฟรีๆ จนกระทั่งมีผู้หยันว่าในอนาคตใครฝากเงินก็ต้องเสียค่าฝากเหมือนกับเสียค่า ฝากรถยนต์เป็นแน่
      
       ใน ประเทศของเรานั้น ด้วยการรู้เห็นเป็นใจของรัฐบาล กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคาร รวมทั้งสถาบันการเงินได้ทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยการให้กู้ยืมที่ ธนาคารหรือสถาบันการเงินเรียกกับผู้กู้ กับอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ฝากเงินจะได้รับจากการฝากเงินมีส่วนต่างถึง 5-6%
      
       และในทางปฏิบัติ ส่วนต่างมากกว่านี้เพราะมีตัวบวก ๆ ดังนั้นในความเป็นจริงประชาชนผู้ใช้บริการกู้ยืมเงินและต้องเสียอัตรา ดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราที่ประกาศจึงทำให้ส่วนต่างที่เป็นจริงเป็น 7-9% นับว่าเป็นอัตราส่วนต่างที่สูงที่สุดในโลก
      
       แม้อัตราส่วนต่างปกติที่ไม่มีตัวบวกๆ ก็สูงที่สุดในโลกอยู่แล้ว เพราะมาตรฐานของทั่วโลกนั้นยินยอมให้มีส่วนต่างดังกล่าวได้เพียงแค่ 2-3% เท่านั้น
      
       เป็นหน้าที่อันสำคัญของผู้บริหารธนาคารและสถาบันการเงินที่จะต้องทำ กำไรภายใต้ส่วนต่างดังกล่าว นั่นคือในการบริหารจัดการก็ต้องทำให้มีต้นทุนไม่สูงเกินมาตรฐาน และในการอำนวยสินเชื่อก็ต้องมีมาตรฐานไม่ก่อให้เกิดหนี้สูญเกินอัตรา
      
       แต่ประเทศไทยของเรา ด้วยการสมรู้เช่นนี้ได้ส่งผลให้การบริหารจัดการฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย และทำให้การปล่อยสินเชื่อเต็มไปด้วยความหละหลวมและเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้อง
      
       เพราะสามารถสร้างค่าใช้จ่ายจำนวนมากขึ้นในกิจการได้
      
       สามารถให้สินเชื่อแบบห่วยๆ หรือเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องโดยรู้กันว่าไม่ต้องชำระหนี้ และสามารถตัดเป็นหนี้สูญได้
      
       เพราะส่วนต่างนั้นมันมากมายมหาศาลเหลือที่จะคณา จึงสามารถทำอะไรชุ่ยๆ และแสวงหาประโยชน์จากส่วนต่างดังกล่าวนั้นได้อย่างเต็มที่
      
       ประเทศไทยของเรามีเงินฝากทั้งสิ้น 9,500,000 ล้านบาท ถ้ามีส่วนต่างของดอกเบี้ย 5% ต่อปี ก็จะเป็นมูลค่าถึง 475,000 ล้านบาท
      
       หมายความว่าในแต่ละปี ธนาคารและสถาบันการเงินสามารถมีค่าใช้จ่ายและปล่อยหนี้เสียหนี้สูญได้เกือบ 475,000 ล้านบาท นึกดูกันเอาเองก็แล้วกันว่าเป็นจำนวนมหาศาลเพียงไหน
      
       แล้วตัวเลข 475,000 ล้านบาทนี้มาจากไหนกันเล่า? ก็มีที่มาจาก 2 ส่วน
      
       ส่วนแรก คือการให้ดอกเบี้ยประชาชนผู้ฝากเงินในอัตราต่ำ และต่ำกว่าที่จะพึงได้มากนัก นั่นคือผลประโยชน์จากการฝากเงินของประชาชนถูกกักถูกยักไปให้กับธนาคารและ สถาบันการเงิน
      
       ส่วนที่สอง คือการเสียดอกเบี้ยของผู้กู้เงินในอัตราสูงๆ และสูงกว่าที่ควรจะเป็นมากนัก นั่นคือผลประโยชน์ที่ผู้กู้เงินไม่พึงเสีย แต่ถูกเรียกและถูกยักไปให้กับธนาคารและสถาบันการเงิน
      
       รวม ความว่าในแต่ละปีมีผลประโยชน์จำนวนมหาศาลคิดเป็นมูลค่าถึง 475,000 ล้านบาท ที่ประชาชนผู้ฝากเงินและผู้กู้เงินจากธนาคารและสถาบันการเงินต้องเสียไปให้ กับธนาคารและสถาบันการเงิน
      
       นี่คือความไม่สมดุลและความไม่เป็นธรรมที่ดำรงอยู่ในประเทศของเรา เป็นอุปสรรคขวากหนามอย่างสำคัญต่อการพัฒนาและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย
      
       เพราะในด้านประชาชนผู้กู้ก็ต้องเสียดอกเบี้ยแพง ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ทำให้สมรรถนะในการแข่งขันต่ำลง ทำให้สินค้าหรือบริการแพงเกินจริง และประชาชนต้องบริโภคหรือใช้บริการในอัตราที่สูงกว่าที่พึงเป็น
      
       ในด้านประชาชนผู้ฝากเงินก็ขาดประโยชน์ที่พึงได้ ทำให้กำลังซื้อหรือผลประโยชน์ที่พึงได้ลดลง
      
       เรียก ได้ว่าระบบอัตราดอกเบี้ยและแนวความคิดเรื่องส่วนต่างของดอกเบี้ยที่เป็นอยู่ ในประเทศไทยของเรานั้นเป็นต้นตอปัญหาและเป็นการกดขี่ขูดรีดที่ดำรงอยู่ และทำให้เกิดความเสียหายหรือเสียประโยชน์แก่ประชาชนไทยทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผู้กู้เงินหรือผู้ฝากเงินก็ตาม
      
       ในวันนี้คณะกรรมการนโยบายการเงินได้ลดอัตราดอกเบี้ยทั่วไปลงไปอีก ครึ่งเปอร์เซ็นต์อีกแล้ว เป็นการลดไม่รู้ครั้งที่เท่าใด และไม่รู้ว่าจะต้องลดต่อไปอีกสักกี่ครั้ง แต่มีแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยจะไปที่ระดับ 0 หรือฝากฟรีๆ นั่นเอง
      
       แล้วถามว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากและจะต่ำลงไปไม่หยุดยั้งเช่นนี้ ประชาชนได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์?
      
       ก็ตอบได้ว่าเสียประโยชน์เหมือนเดิม คือในปริมาณเงินฝากประมาณ 9,500,000 ล้านบาทของทั่วทั้งประเทศนั้นก็ยังคงมีส่วนต่างที่ถูกยักกักไปเป็นจำนวนเงิน ถึง 475,000 ล้านบาทอยู่นั่นเอง
      
       เพราะผู้ฝากเงินก็จะได้รับดอกเบี้ยน้อยลงอีก ในขณะที่ผู้กู้เงินก็ยังต้องกู้ในอัตราที่สูงอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ลดลงมาบ้างเล็กน้อย ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงควรจะเสียดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่านี้มาก
      
       เพราะ เหตุนี้นับวันจึงมีบรรดาผู้รู้และผู้รู้เท่าทันพากันตำหนิติเตียนวิธีคิด และการกระทำแบบสมรู้กันฉ้อฉลเพื่อผลประโยชน์ของธนาคารและสถาบันการเงินออกมา อย่างต่อเนื่องและกว้างขวางออกไปทุกที
      
       ซึ่งหมายความว่าแม้จะมีวิกฤตทางเศรษฐกิจประการใด คนไทยทั้งประเทศจะลำบากยากเข็ญสักปานใด ในระบบธนาคารและสถาบันการเงินก็จะยังคงมีรายได้จากส่วนต่างปีละ 475,000 ล้านบาทเหมือนเดิม
      
       และยามที่เกิดวิกฤตขึ้น ทั้งธนาคารและสถาบันการเงินก็จะไม่ยอมปล่อยเงินกู้ ใครมีวงเงินเหลือก็จะถูกตัด ใครมีหนี้ถึงกำหนดก็จะไม่มีการต่ออายุ และมีการเรียกชำระหนี้คืน ซึ่งเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนให้กับบรรดากิจการต่าง ๆ ต่อไปอีก
      
       เมื่อ การให้สินเชื่อลดลง รัฐบาลก็เอื้อประโยชน์ให้อีกโดยการออกพันธบัตรอัตราดอกเบี้ยสูงขายให้กับ ธนาคารและสถาบันการเงิน เป็นการเอาเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายค่าดอกเบี้ยสูงๆ เพื่ออุ้มชูกิจการธนาคารและสถาบันการเงินนั้น
      
       แต่สำหรับผู้ฝากเงิน ไม่เคยมีใครอุ้ม ไม่เคยมีใครเหลียวแล มีแต่จะกดขี่ขูดรีดเอาตามอำเภอใจ
      
       ไฉนไม่ระลึกบ้างว่าในบรรดาเงินฝากทั้งหลายนั้นก็มีประชาชนจำนวนมาก ที่อาศัยอยู่กินจากการเก็บหอมรอมริบ จากการสั่งสมเงินฝากไว้เป็นค่าใช้จ่ายในวัยปลายของชีวิต
      
       เมื่อ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลงเรื่อยๆ ย่อมเกิดผลกระทบต่อรายได้ของบรรดาประชาชนผู้มีเงินฝากทั่วประเทศ ข้าราชการบำนาญจำนวนมากที่เก็บหอมรอมริบไว้หวังได้ดอกเบี้ยเป็นค่าใช้จ่ายใน บั้นปลายของชีวิต กลับได้รับดอกเบี้ยน้อยลงกว่าที่พึงเป็นจนไม่พอแก่ค่าใช้จ่าย
      
       เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไปที่มีเงินออม หรือมีเงินฝาก ต่างมีรายได้ลดลงทั้งสิ้น
      
       ดังนั้นสถานการณ์ยามนี้จึงเป็นทีที่รัฐบาลจะต้องโอบอุ้มช่วยเหลือ บรรดาประชาชนผู้มีเงินออมทั่วประเทศแล้ว และความช่วยเหลือนั้นก็ไม่ต้องควักเงินงบประมาณไปค้ำจุนแต่ประการใด เพียงแต่ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้ฝากเงินเท่านั้น
      
       สามารถทำได้ง่ายๆ โดยการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากให้อยู่ที่ระดับที่เป็นธรรม อย่างน้อยก็ควรเท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่กิจการขนาดใหญ่จ่ายให้กับผู้ลงทุนใน หุ้นกู้คือประมาณ 5-6.5% ต่อปี
      
       หรือไม่รัฐบาลก็ให้รัฐวิสาหกิจออกพันธบัตรกู้เงินจากประชาชนเพื่อการ ลงทุนแทนการใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ โดยให้ดอกเบี้ยอัตรา 5-6% ต่อปี ก็จะทำให้ประชาชนมีทางเลือกและมีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่ต้องก้มหัวทนให้ถูกขูดรีดดังที่เป็นอยู่
      
       เพียงเท่านี้ก็เพิ่มรายได้ให้กับประชาชนผู้มีเงินฝากปีละ 475,000 ล้านบาทแล้วไม่ใช่หรือ?

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000022288

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น