++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552

จักษุแพทย์เตือนโรคตาเสื่อม..ไม่ระวังอาจตาบอดได้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
จักษุแพทย์เตือน โรคตาเสื่อมในผู้สูงอายุไม่ธรรมดา
หากไม่ระวังอาจตาบอดได้ แนะสังเกตอาการ หากมองเห็นจุดตรงกลางภาพเป็นสีดำ
ภาพเบลอ บิดเบี้ยว อย่านิ่งนอนใจควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์
ชี้ผู้ที่สูบบุหรี่เสี่ยงเพิ่มขึ้น 3 เท่า
และมีโอกาสเกิดเร็วกว่าผู้ไม่สูบถึง 10 ปี แนะผู้ทีมีอายุ 40 ปีขึ้นไป
ควรรับการตรวจสุขภาพตาทุก 1-2 ปี
และรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลูทีน และซีแซนทีน
ช่วยป้องกันได้ แต่ควรเลือกใช้อย่างระมัดระวัง
อย่าตกเป็นเหยื่อโฆษณาชวนเชื่อ
เพราะปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวออกมามากมาย
ทางที่ดีควรปรึกษาจักษุแพทย์หรือเภสัชกรใกล้บ้าน

เมื่อตัวเลขอายุเพิ่มขึ้น หลายๆ
คนคงรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย
ทั้งความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กระดูก รวมถึงความสมบูรณ์ของอวัยวะต่างๆ
ซึ่งถือเป็นภาวะปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย แต่สิ่งที่ไม่ควรนิ่งนอนใจ
นั่นคือความเสื่อมถอยที่จะนำไปสู่การสูญเสียอย่างถาวร เช่น
โรคจอประสาทตาเสื่อม โรคร้ายที่อาจนำไปสู่อาการตาบอดได้

รศ.นพ.วิชัย ประสาทฤทธา หัวหน้าหน่วยจอประสาทตา ภาควิชาจักษุวิทยา
โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยว่า โรคจอประสาทตาเสื่อม หรือ
โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ (Age-related Macular Degeneration)
เป็นโรคร้ายทางตาของผู้สูงอายุ พบมากในกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 50
ปีขึ้นไป และถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กลุ่มผู้สูงอายุ
สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร ดังนั้น
การทำความรู้จักโรคและหาวิธีการป้องกันไว้ตั้งแต่ต้น
ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้

รศ.นพ.วิชัย กล่าวว่า
ปัญหาของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมจากอายุก็คือ
โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะไม่รู้ตัวว่ามีอาการของโรคดังกล่าวเกิดขึ้น
จนกว่าจะสังเกตได้ว่าการมองเห็นผิดปกติไปจากเดิม เช่น ตาพร่ามัว
ความชัดเจนในการมองเห็นลดลง มองเห็นภาพบิดเบี้ยว
มองเห็นตรงกลางของภาพไม่ชัดเจน
ดังนั้นหากรู้สึกว่าเกิดอาการผิดปกติเหล่านี้ขึ้นกับดวงตา
ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่ซับซ้อน
ควรต้องใส่ใจและระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ทางที่ดีผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40
ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจสุขภาพตาทุก 1-2 ปี แม้ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ
เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ก็เริ่มจะมีปัญหาเรื่องสายตาเปลี่ยนแปลง
หรืออาจมีความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตาที่ไม่แสดงอาการ เช่น ต้อหิน ต้อกระจก
การตรวจพบและให้การรักษาโรคตั้งแต่ระยะแรก
จะสามารถเยียวยาให้ดวงตาสามารถใช้งานได้ต่อไป

โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมจากอายุนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลาย
ปัจจัย เช่น ขบวนการเสื่อมสภาพของร่างกาย พันธุกรรม การติดเชื้อ
สายตาสั้นมากๆ การสูบบุหรี่
ซึ่งมีหลักฐานการศึกษาทางการแพทย์พบว่าผู้ที่สูบบุหรี่
มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
และมีโอกาสเกิดโรคนี้เร็วกว่าผู้ไม่สูบถึง 10 ปี นอกจากนี้
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงและมีระดับไขมันในเลือดสูง
รวมถึงผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ไม่ได้รับประทานฮอร์โมนทดแทน
ก็พบว่ามีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมได้เช่นกัน

โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ แบ่งได้ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
แบบแห้ง (Dry AMD) และ แบบเปียก (Wet AMD) ซึ่งรูปแบบที่พบได้มากที่สุด
คือ แบบแห้ง เกิดจากการเสื่อมสลายและบางลงของบริเวณศูนย์กลางรับภาพของจอประสาทตา
(Macula) จะทำให้การมองเห็นค่อยๆ ลดลง และเป็นไปอย่างช้าๆ
ส่วนแบบเปียกนั้น แม้จะพบได้ประมาณ 15-20%
ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด
แต่ก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดตาบอดอย่างรวดเร็ว
เกิดจากการที่มีเส้นเลือดผิดปกติงอกขึ้นมา
หากเส้นเลือดที่เปราะบางเกิดการรั่วซึม จะทำให้จุดรับภาพบวม
ภาพเริ่มพร่ามัว และตาบอดในที่สุด

สำหรับการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมจากอายุนั้นมีหลายวิธี
ทั้งการรักษาด้วยการยิงเลเซอร์
การฉีดยาเพื่อยับยั้งเส้นเลือดใหม่ที่งอกขึ้นมา หรือแม้กระทั่งการผ่าตัด
อย่างไรก็ตาม รศ.นพ.วิชัย แนะนำว่า การดูแลสุขภาพดวงตา
และการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของโรคตั้งแต่ยังหนุ่มสาว
นับว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุด โดยควรปฏิบัติตนดังนี้ 1) งดการสูบบุหรี่ 2)
หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดด โดยเฉพาะในวัยอายุน้อยๆ 3) ควบคุมน้ำหนักตัว
ไม่ทานอาหารที่มีไขมันสูง และรับประทานผักใบเขียวและผลไม้ทุกวันและ 4)
มีผลการวิจัยในต่างประเทศ พบว่า การรับประทานสารอาหารต้านอนุมูลอิสระ
เช่น ลูทีน และซีแซนทีน
จะสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมอย่างได้ผล
นอกจากนั้น การรับประทานสารอาหารเพื่อต้านกระบวนการอนุมูลอิสระก็จะสามารถช่วยป้องกัน
และชะลอการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมอย่างได้ผล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนไข้แบบแห้ง (Dry AMD)

"สิ่ง หนึ่งที่อยากย้ำเตือนก็คือ
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อดวงตา
ที่มีลูทีนและซีแซนทีนเกิดขึ้นมากมาย
ผู้บริโภคควรเลือกซื้อด้วยความระมัดระวัง
อย่าซื้อเพียงเพราะโฆษณาอย่างเดียว
ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์จึงจะดีที่สุด
หรือหากต้องการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เอง
ก็ควรเลือกจากแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ อ่านฉลากกำกับให้ละเอียด
และเลือกที่มีสารอาหารที่ให้ประโยชน์เกี่ยวกับดวงตาโดยตรง เช่น วิตามินซี
วิตามินอี สังกะสี เบตาแคโรทีน โอเมกา 3 ลูทีน ซีแซนทีน เป็นต้น
และควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีผลการวิจัยและเอกสารทางการแพทย์รับรองประสิทธิภาพ
ฉะนั้น ในฐานะผู้บริโภคจึงควรคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000022754

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น