++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

รัฐบาลในระบอบทักษิณคือ ตัวปัญหา มิใช่ทางออก (บทความที่นักธุรกิจควรอ่าน)

โดย รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง,รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย 20 พฤศจิกายน 2551 16:19 น.
       1. ดูเหมือนว่าฝันร้ายแห่ง The Great Depression จะกลับมาเยือนชาวโลกอีกครั้งหนึ่งหลังจากหลีกหายไปนานเกือบ 80 ปีเต็ม
      
       หากมองในแง่มุมหนึ่งการล่มสลายของเศรษฐกิจฟองสบู่อเมริกาที่เป็นศูนย์รวมประสาทของระบบทุนนิยมโลก แทบไม่ต่างไปจากการชำระชดใช้ หลังจากการเกิดวิกฤตการเงินที่ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงในสหรัฐอเมริกาเมื่อช่ว งเดือน ก.ค. 51 ที่ผ่านมา และกำลังลุกลามไปสู่ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่ม EU หรือประเทศพัฒนาแล้วในภูมิภาคเอเชียอย่าง ญี่ปุ่น สิ่งหนึ่งที่พอจะคาดคะเนได้ว่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็คือเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวอย่างชัดเจน
      
       กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้ปรับการคาดการณ์ในการขยายตัวของเศรษฐก ิจโลกที่ได้ทำไว้เมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมาว่าในปี 2552 การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะลดลงอยู่ในระดับร้อยละ 3 จากที่เคยประมาณการไว้ที่ร้อยละ 3.8 เมื่อ 6 เดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งอยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่โลกเคยประสบมาเมื่อ ค.ศ. 1982 ที่เศรษฐกิจโลกขยายตัวประมาณร้อยละ 3 ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วที่สำคัญจะมีอัตราการขยายตัวลดลงอย่า งรุนแรงด้วยกันแทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกาจากร้อยละ 0.6 เป็นร้อยละ 0.1 ประเทศในกลุ่ม EU จากร้อยละ 1.2 เป็นร้อยละ 0.2 หรือ ญี่ปุ่นจากร้อยละ 1.5 เป็นร้อยละ 0.5 ตามลำดับ
      
       สาเหตุของการหดตัวใ นเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นผลโดยตรงมาจากวิกฤตการ เงินของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อเร็วๆ นี้นี่เอง กล่าวคือเมื่อสถาบันการเงินประสบปัญหาจากการปล่อยกู้และผู้ที่กู้ยืมไปไม่ชำ ระเงินต้นและ/หรือดอกเบี้ยหรือที่รู้จักโดยทั่วไปว่าเป็นปัญหาหนี้เสียส ถาบันการเงินดังกล่าวจำเป็นที่จะต้องประเมินมูลค่าของการปล่อยกู้นั้นใหม่ซึ ่งโดยส่วนใหญ่จะมีมูลค่าลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับมูลหนี้เริ่มแรก ส่วนต่างหรือการขาดทุนที่เกิดขึ้นก็จำเป็นที่จะต้องชดเชยไม่ว่าจะโดยกำไรสะส ม และ/หรือจากทุนที่มีอยู่ และหากยังไม่พอเพียงแต่ยังมีทรัพย์สินอื่นๆ เหลืออยู่ก็สามารถที่จะนำเอามาขายเพื่อนำเอาเงินที่ขายได้มาชดเชยเพื่อรองรั บส่วนต่างที่เกิดขึ้นมา หากทำทั้งหมดตามที่ได้กล่าวมาแล้วสถาบันการเงินนั้นยังมีหนี้สินมากกว่าทรัพ ย์สิน เพราะนั่นก็คือการล้มละลายนั่นเอง
      
       วิกฤตการเงินในสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อเร็วๆ นี้นั้นมีผลทำให้สถาบันการเงินต้องหาเงินมาชดเชยส่วนต่างหรือผลการขาดทุนจาก การลงทุนประมาณ 1.45 ล้านล้านดอลลาห์สหรัฐ จากการประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เมื่อ ต.ค.51 ที่ผ่านมา โดยสถาบันการเงินที่เป็นธนาคารเป็นผู้รับภาระการขาดทุนดังกล่าวมากกว่าครึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็กระจายตัวไปที่สถาบันการเงินที่มิใช่ธนาคาร เช่น บริษัทประกัน และกองทุนประเภทต่างๆ เป็นต้นผ ลเป็นที่ทราบก็คือสถาบันการเงินชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ยุโรป และแม้กระทั่งในญี่ปุ่นต่างก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกันทั้งหมด หากไม่ประกาศล้มละลายก็จำเป็นที่จะต้องขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลของแต่ละ ประเทศ
      
       สิ่งสำคัญที่ติดตามมาก็คือ การขายทรัพย์สินที่สถาบันการเงินยังพอมีอยู่เพื่อหลีกเลี่ยงการล้มละลาย ทำให้ราคาหลักทรัพย์ เช่น หุ้น ในตลาดหุ้นทั่วโลกลดต่ำลงอย่างรุนแรง เพราะต่างก็จำเป็นต้องขายโดยไม่มีทางเลือก ส่วนในสถาบันการเงินพวกที่ไม่มีทรัพย์สินเพียงพอกับการขาดทุนก็จำเป็นต้องขอ รับความช่วยเหลือจากธนาคารกลางเพื่อมิให้ผู้ฝากเงินต้องสูญเสียเงินฝากไปด้ว ย ซึ่งจะเป็นภาระกับผู้เสียภาษีต่อไปในอนาคต
      
       ค วามมั่งคั่งที่สูญเสียไปจากราคาทรัพย์สินที่มีมูลค่าลดลงทำให้ประชาชนทั่วไป มีความรู้สึกจนลงแม้ว่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับการขาดทุนของสถาบันการเงินโ ดยตรงเช่น เป็นผู้ถือหุ้น และผลกระทบอีกประการหนึ่งก็คือสถาบันการเงินที่ยังหลงเหลืออยู่ก็จะมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้น
      
       ทั้งความมั่งคั่งที่ลดลงและมาตรฐานการปล่อยกู้ที่เข้มงวดมากขึ้นจึงเป็นช่องทางที่ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลง เพราะการบริโภคจับจ่ายใช้สอยจะขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งของคนมากกว่ารายได้ที่ได้รับไ ม่เชื่อลองเปรียบเทียบระหว่างลูกเศรษฐีกับลูกคนธรรมดาที่ทำงานพร้อมกันในตำแ หน่งเดียวกัน แต่จะมีการใช้จ่ายการบริโภคที่ต่างกันแม้ว่าจะได้เงินเดือนอัตราเดียวกันก็ต าม ในทำนองเดียวกันมาตรฐานที่เข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยกู้ของสถาบันการเง ินจะทำให้ธุรกิจมีความเข้มงวดในเงื่อนไขการค้าขาย จากที่เคยให้เครดิตก็จะกลายมาเป็นการค้าด้วยเงินสดเพื่อลดความเสี่ยง หรือที่จะเพิ่มการลงทุนก็กลายมาเป็นลดการลงทุนเพราะไม่แน่ใจว่าจะได้รับสินเ ชื่อจากสถาบันการเงินหรือไม่
      
       2. ประเทศไทยแม้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากนักจากวิกฤตการเงินของสหรัฐอเมร ิกาในครั้งนี้ แต่ก็จะได้รับผลกระทบทางอ้อมผ่านมาทางสินค้าที่สามารถส่งออกได้น้อยลงเพราะค ู่ค้าจนลง ในขณะเดียวกันที่การบริโภคภายในประเทศก็ลดลงเพราะความมั่งคั่งจากทรัพย์สินท ี่ตนเองถือครองอยู่มีมูลค่าลดลง การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจึงลดลงตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
      
       วิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้จึงถือได้ว่ารุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งหลัง The Great Depression ที่เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1930เ พราะมีขนาดความสูญเสียคิดเป็นตัวเงินมากกว่ากรณีของประเทศไทยเมื่อ ค.ศ.1997 ถึงกว่า 3 เท่าจากการประเมินโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่ผู้เขียนคิดว่ายังต่ำเกิ นไป และมากกว่าวิกฤตการเงินที่เกิดกับญี่ปุ่นระหว่าง ค.ศ.1990-99 ถึงกว่า 2 เท่า การรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นของประเทศไทยจึงมีทั้งด้าน ที่ได้เปรียบที่เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงมากนัก แต่ก็เสียเปรียบเป็นอย่างมากเพราะเรามีรัฐบาลที่เป็นตัวปัญหาแทนที่จะเป็นผู ้เข้ามาแก้ไขปัญหากล่าวคือนอกเหนือจากความสามารถที่จำเป็นต้องมีอยู่แล้ ว วิสัยทัศน์และความจริงใจในการแก้ไขปัญหาก็เป็นสิ่งสำคัญมากอย่างยิ่งในการรั บมือปัญหาจากวิกฤตเศรษฐกิจที่จะมาถึง
      
       หลังจาก The Great Depressionในทศวรรษ1930ได้ติดตามมาด้วยสงครามโลกครั้งที่สองและความย่อยยับใ นเศรษฐกิจของประเทศในทวีปยุโรป รวมถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทยใน พ.ศ. 2475ป ระธานาธิบดี แฟรงค์กลิน ดี รูสเวลท์ ที่ดำรงตำแหน่งระหว่าง ค.ศ.1933 – 1945 ได้แสดงวิสัยทัศน์พร้อมด้วยคำมั่นที่จะนำพาไม่เพียงแต่ประเทศอเมริกาแต่จักน ำพาโลกออกจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและสงครามโลกครั้งที่สองแม้ว่าในวันแรกที ่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 4 มีนาคม ค.ศ. 1933 ธนาคารใน 32 มลรัฐจะต้องปิดตัวลงเพราะไม่มีเงินให้ผู้ฝากเงินถอน หรือการที่ต้องตัดสินใจและชักชวนพันธมิตรที่ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สองว่ าจะต้องเอาชนะนาซีเยอรมนีเสียก่อนจึงจะหันมาจัดการกับญี่ปุ่นทั้งๆ ที่สหรัฐอเมริกาเป็นฝ่ายถูกญี่ปุ่นลอบโจมตีก่อนที่อ่าวเพิร์ลแต่ด้วยวิสั ยทัศน์และความจริงใจในการแก้ไขปัญหาของส่วนรวมที่อยู่เหนือการหาเสียงทางการ เมือง ทำให้สหรัฐอเมริการอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจและสงครามโลกในครั้งนั้นไปได้
      
       เช่นเดียวกับในยุคของประธานาธิบดี โดแนลด์ เรแกนที่เป็นเพียงแค่ดาราหนังเกรดบี แต่เป็นประธานาธิบดีเกรดเอ ที่สามารถนำสหรัฐอเมริการอดพ้นจากเงื้อมมือของการบุกจากทุนญี่ปุ่นยุคใหม่ห ลังสงครามโลกครั้งที่สองที่รุกเข้ามาจนสหรัฐอเมริกาเกือบที่จะพ่ายแพ้ในช่วง ทศวรรษ1980 และสร้างเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาขึ้นมาใหม่ที่มีขนาดของรัฐบาลที่เล็กลงจากการล ดภาษี ลดการแทรกแซงและเพิ่มเสรีภาพในทางเศรษฐกิจมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและเป็นรูป ธรรม
      
       ในปัจจุบันบารัค โอบามาว่าที่ ประธานาธิบดีคนใหม่ที่จะเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคมปีหน้าที่มาด้วยการนำเส นอวิสัยทัศน์กับประชาชนของเขาว่า “การเปลี่ยนแปลง : เราต้องการมัน” ทำให้ประชาชนในสหรัฐอเมริกาไม่ว่าจะเป็น คนดำ คนขาว คนเม็กซิกัน คนจีน คนนับถือศาสนาคาทอลิก หรือแม้แต่คนที่ไม่เคยคิดจะไปเข้าคูหาเลือกตั้ง ตื่นตัวกับการเมืองใหม่และต่างมาเป็นผู้สนับสนุนโดยไม่สนใจว่าผู้ที่เขาเลือ กจะผิวสีอะไร แต่เชื่อมั่นว่าด้วยบารัค โอบามา เขาจะนำการเปลี่ยนแปลงมาให้และเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ และยินดีสนับสนุนทั้งเงินจำนวนเล็กน้อยจากคนหมู่มาก และด้วยคะแนนเสียงอย่างไม่เคยมีมาก่อนจนกลายเป็นประธานาธิบดีที่มาพร้อมกับการเมืองใหม่ ซึ่งช่างประจวบเหมาะ กับปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากสาเหตุแบบเก่าๆ เสียนี่กะไร!
      
       3. ประเทศไทยเมื่อการเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 ก็เคยมีนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณ ชินวัตร ที่มาพร้อมกับคำมั่นที่สวยหรูว่า “คิดใหม่ ทำใหม่” ถึงแม้จะไม่ชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่ทักษิณ ชินวัตร ก็เคยมีผู้สนับสนุนจำนวนมากจนกระทั่งตาชั่งยุติธรรมยังเอนเอียงอย่างเห็นได้ ชัด แต่แล้ว ทักษิณ ชินวัตร กลับทรยศกับความคาดหวังของคนทั้งประเทศโดยไม่รักษาคำมั่นที่ให้ไว้กับประชาช นครั้งแล้วครั้งเล่า “คิดใหม่ ทำใหม่” จึงกลายเป็น “คิดเก่า ทำซ้ำ” ในสิ่งที่นักการเมืองเลวๆ คนอื่นๆ ทำกันไม่เห็นมีความแตกต่างกันในความดีเหมือนที่เขาโฆษณาชวนเชื่อแต่อย่างไร ในทางตรงกันข้ามกลับมีความแตกต่างในความเลวอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบกับนักการเมืองที่เลวด้วยกัน คือเลวและเนรคุณอย่างแทบจะหาใครเปรียบเทียบไม่ได้อีกแล้วในแผ่นดินนี้
      
       รัฐบาลในระบอบทักษิณไ ม่ว่าจะเป็นชุดของสมัคร สุนทรเวช ที่ต้องพ้นตำแหน่งไปอย่างน่าละอายด้วยเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน หรือรัฐบาลของสมชาย วงศ์สวัสดิ์ที่แม้จะยังไม่พ้นออกจากตำแหน่งไปแต่ก็เป็นที่คาดการณ์ได้ว่าในไ ม่ช้าก็จะต้องออกจากตำแหน่งไปในไม่ช้าด้วยความบอบช้ำและน่าละอายมากกว่าสมัค ร สุนทรเวช เสียอีกจะสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่รู้กันอยู่แล้วและกำลังคืบ คลานใกล้เข้ามาได้อย่างไรหากไม่มีซึ่งวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นที่จะทำอะไร เพื่อบ้านเมืองที่เป็นเรื่องส่วนรวม เพราะที่รัฐบาลสมชายกระทำอยู่ทุกวันนี้ก็มุ่งที่จะแก้ไขปัญหาของ ทักษิณ ชินวัตรเพียงคนเดียวเท่านั้น
      
       ผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวถึงเรื่องความสามารถของรัฐมนตรีผู้ร่วมรัฐบาลว่ ามีมากน้อยเพียงใดเพราะจะเป็นการปรามาสกันมากเกินไป แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นที่จะทำอะไรเพื่อ บ้านเมืองที่เป็นเรื่องส่วนรวม เพราะการกระทำที่ผ่านมาล้วนแต่บ่งชี้ว่ารัฐบาลสมชายมิได้ปฏิบัติหน้าที่ตามท ี่ตนมีอยู่อย่างเห็นได้ชัด และยิ่งไปกว่านั้นก็คือมีการกระทำที่ส่อไปในทางที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับบุค คลเพียงคนเดียวก็คือ ทักษิณ ชินวัตร มิใช่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทย
      
       ค วามพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ที่มีมาโดยตลอดตั้งแต่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวชจนถึงรัฐบาลของสมชาย วงศ์สวัสดิ์เป็นตัวอย่างที่ดีที่ชี้ให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นที่ จะทำอะไรเพื่อบ้านเมืองที่เป็นเรื่องส่วนรวมมีมากน้อยเพียงใด
      
       ถามตรงๆ ก็ได้ว่าหากสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ได้ บ้านเมืองจะดีขึ้นมากน้อยเพียงใด?
      
       การแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจได้ทักษิณ ชินวัตร กลับคืนมาพร้อมกับพวก 111 คนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่จากผลงานที่ผ่านมากว่า 6 ปีเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าประเทศไทยมิได้มีสภาพที่ดีขึ้นมากกว่าก่อนที่ทักษิณ ชินวัตรจะเข้ามาปกครองประเทศแต่อย่างใด และท ี่สำคัญที่สุดก็คือนับตั้งแต่ 19 ก.ย. 49 เป็นต้นมา ทักษิณ ชินวัตรไม่เคยหยุดเล่นการเมืองและการบ่อนทำลายประเทศนี้มาโดยตลอดในทุกวิถีท าง ซึ่งเป็นการเมืองเพื่อประโยชน์ของตนเองเท่านั้น เพราะแม้กระทั่งยอมหย่ากับภรรยาที่อยู่กินกันมากว่า 30 ปีก็สามารถทำได้เพื่อสนองกิเลสตัณหาของตนเท่านั้น
      
       เหตุผลหรือ? ก็เพราะทักษิณ ชินวัตรและระบอบของเขามิได้มีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นที่จะทำอะไรเพื่อบ้า นเมืองที่เป็นเรื่องส่วนรวมแต่ประการใด ส่วนรวมแทบจะไม่ได้อะไรเลยหากทักษิณ ชินวัตรและพรรคพวกไม่ได้ประโยชน์ด้วยและได้ในสัดส่วนที่มากกว่า หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งให้ชัดเจนก็คือ ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องจะต้องมาก่อนประโยชน์ส่วนรวม นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นและที่จะเป็นหากระบอบทักษิณไม่ถูกขจัดออกไป
      
       วิกฤตเศรษฐกิจที่รออยู่ข้างหน้าจึงไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้ เพราะรัฐบาลในระบอบทักษิณ คือตัวปัญหา มิใช่ทางออก
      
       ในสถานการณ์เช่นนี้ ประชาชนไทยทุกคนจะท้อแท้หรือหมดกำลังใจไม่ได้ แต่จะต้องยืนหยัดคัดค้านการคืนชีพของระบอบทักษิณและการกลับมาทำ “สงครามครั้งสุดท้าย” ของทักษิณ ชินวัตรอย่างถึงที่สุดถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่ จะมาถึงนี้อย่างจริงจังและอย่างมีวิสัยทัศน์ได้
      
       หมายเหตุ : เป็นความเห็นของผู้เขียน ไม่ผูกพันกับหน่วยงานที่สังกัด

from http://www2.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000137654 

สงคราม 9 ทัพ เผด็จศึกรัฐบาล

โดย ชัยสิริ สมุทวณิช 26 พฤศจิกายน 2551 17:15 น.






สงครามเก้าทัพของพันธมิตรฯ ขณะนี้เคลื่อนไหวด้วยกำลังไม่น้อยเลยครับ และยังไม่มีความรุนแรงแต่ประการใด โดยรัฐบาลก็ตั้งรับและดูเชิงอยู่ ไม่มีวี่แววว่าจะถอยเพราะคนอย่างนายสมชายนั้นไม่มีวันลาออกง่ายๆ ด้วยรู้ดีว่ามีกองหนุนจากอดีตนายกฯ ทักษิณคอยยกหางอยู่



แต่คนอย่างทักษิณ นับวันจะยิ่งเหิมเกริมครับ



ด่ากราดไปทั่ว แม้กระทั่งประเทศอังกฤษซึ่งเคยใจดีให้เขาไป เคยพำนักพักพิงอยู่ตั้งนาน แต่ทักษิณไม่เคยนึกถึงบุญคุณ พอเขาถอดวีซ่าก็อาละวาดด่าเปิงถึงขั้นหาว่ารัฐบาลเขาไปรับสินบน ซึ่งหาใช่วิสัยของผู้ดีอังกฤษ ต่างจากกุ๊ยอดีตนายกฯ ซึ่งแย่กว่ากุ๊ยเพราะตกเป็นนักโทษหนีคดีจากประเทศไทย



ควรขอบคุณอังกฤษเขาด้วยซ้ำที่ไม่ได้ร่วมมือกับตำรวจไทยจับตัวมาติดคุก



ไม่งั้นป่านนี้เข้าซังเตไปแล้ว



ทักษิณซึ่งห้อมล้อมด้วยบริวารซึ่งล้วนแต่ติดคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพยังสะเออะคิดจะขอพระราชทานอภัยโทษ โดยไม่เคยส่องกระจกดูตัวเองเลยว่านักโทษหนีคดีอย่างตัวเขานั้นสมควรหรือไม่



มีแต่คนที่ต้องมาติดคุกก่อนเขาจึงใช้สิทธิขอมาพึ่งบารมี



นี่หนีหัวซุกหัวซุน



ทำอะไรแทนที่จะนึกไม่ให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทกันบ้าง รังแต่จะหาเรื่องให้บ้านเมืองวุ่นวาย



เอาเป็นว่าโดยสรุปนั้น ทักษิณยังหลงคิดว่าตัวเขาจะกลับมาฟื้นฟูประเทศได้เหมือนกับว่าคนไทยเวลานี้ ไม่มีใครมีฝีมือพอที่จะเทียบชั้นเท่าเขาแล้ว



การที่ทักษิณเหิมเกริมแบบนี้ ทำให้พวกเลียแข้งเลียขาอย่างนายจักรภพ เพ็ญแข เอาทักษิณขึ้นตีเสมอรัฐบุรุษปรีดี พนมยงค์ อีกแล้วครับท่าน



ห่างกันลิบลับ



รัฐบุรุษอย่างปรีดี พนมยงค์ นั้นเคยดำรงตำแหน่งถึงผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เป็นเสรีไทย รักชาติ และรักษาราชบัลลังก์ก็ยิ่งชีพ มีความเป็นอยู่สมถะ แค่นี้ก็ห่างไกลกับอดีตนายกฯ สัมภเวสีทักษิณ ที่อย่าว่าแต่เคยมีเกียรติระดับผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเลย, เสรีไทยรักชาติก็ไม่เคยทำอะไรเทียบชั้นได้ แถมโกงจนรวย และคอร์รัปชันมากที่สุด นายปรีดี และท่านผู้หญิงพูนสุขนั้น แม้แต่บาทเดียวก็ไม่เคยฉ้อฉล เศษอิฐเศษดินที่ทิ้งแล้วแถวหน้าบ้านยังไม่เก็บมาทำถนนในบ้านเลย อย่าว่าแต่เอามาทำประโยชน์ส่วนตัวอย่างอื่นเลย



การที่นายจักรภพพยายามอ้างนายปรีดี มาเทียบกับทักษิณนั้น นายจักรภพก็ไม่เคยเรียนประวัติศาสตร์ไม่รู้จักนายปรีดีว่าเป็นอย่างไร เคยทำอะไรบ้าง คิดเพียงว่าเคยลี้ภัยอยู่ต่างประเทศเท่านั้น



การลี้ภัยกับการหนีหัวซุกหัวซุนเพราะเป็นนักโทษฉ้อโกงมันคนละเรื่องว่ะจักรภพ แล้วการเป็นรัฐบุรุษก็ต่างกับการเป็นโมฆบุรุษอย่างนายทักษิณด้วย



เทียบไม่ได้ ดังนั้นเอ็งอย่าได้เสือกคิดอะไรที่เทียบชั้นกันไม่ได้



เพราะยิ่งเทียบยิ่งเห็นถึงความแตกต่างห่างชั้นกันชัดเจน



ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความรักชาติ เพราะว่าคนอย่างรัฐบุรุษที่ชื่อปรีดี พนมยงค์นั้น เมื่ออยู่ประเทศจีน พวกคอมมิวนิสต์ไทยเคยเสนอให้ใช้ชื่อถนนในเมืองไทยเป็นภาษาจีน ท่านยังไม่ยอมเลย นี่แหละรักชาติยิ่งชีพละ



และท่านก็ไม่ได้ลี้ภัยไปอยู่ในฐานะคนร้าย แต่ได้รับเกียรติจากรัฐบาลจีน



ไม่เคยต้องใช้พาสปอร์ตแดง ซึ่งนายทักษิณยังหน้าด้านใช้อยู่ ทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจว่า มันไม่สมควร แต่ก็อยากยึดเอาไว้เพื่อให้ได้สิทธิอันมิบังควร



กระทรวงการต่างประเทศก็พิลึกควรถอนพาสปอร์ตนี่ได้แล้ว

ควรทำนานแล้วครับ



กลับมามองสงคราม 9 ทัพดีกว่า



เวลานี้สภาผู้แทนฯ เตลิดเปิดเปิงครับ เพราะพันธมิตรฯ เข้าปิดล้อมไว้หมด



มีแค่ 4-5 คน ที่หลงเข้ามาดูลาดเลา



เลขาธิการรัฐสภา นายพิทูร พุ่มหิรัฐ แกก็ยืนยันว่าอย่างไงเสียคงประชุมไม่ได้แน่ๆ เพราะดูรูปการแล้ว ชุมนุมยืดเยื้อไปจนถึงวันที่ 28 พ.ย. แน่ สภาฯ จะยึดในวันนั้นเสียด้วย



เปิดอีกทีก็ปีหน้าฟ้าใหม่นั่น



ประสาร มฤคพิทักษ์ พูดถูกใจคนทั้งหลายว่า กลุ่ม 40 ส.ว. ซึ่งรวมตัวแกด้วยรวม 40 กว่าคน ได้ดูสถานการณ์แล้ว เห็นว่ารัฐบาลนี้หมดสิ้นความชอบธรรมไปแล้ว เพราะเหตุการณ์เมื่อ 7 ตุลาคม ก็ไม่เห็นว่ารัฐบาลจะรับผิดชอบ



ความจริงต้องรีบลาออก ไม่ก็ต้องยุบสภาฯ ไป



พวกดื้อรั้น ส.ส.พลังประชาชนก็ยังทำพิเรนทร์คิดจะปีนรั้วอีก ทำตัวเป็นฮีโร่ โดยไม่กลัวว่าจะตกลงมา



อีกทัพหนึ่งของพันธมิตรฯ ไปชุมนุมอยู่หน้า บช.น.ครับ ซึ่งตามปกติพวกตำรวจรีบปิดประตู ทั้งๆ ที่แกนนำบอกว่ามาแบบอหิงสา และจะไม่มีการประท้วงรุนแรงแล้วก็ตาม



อีกทัพหนึ่งไปกระทรวงการคลัง



ทัพนี้นำโดยนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และศิริชัย ไม้งาม มีพลพรรคร่วม 3,000 คน อยู่ตั้งแต่ 11.00 น. เปิดปราศรัยคึกโครม เรียกร้องให้ รมต.รีบกลับบ้านไปนอนเล่นจะเข้าท่าที่สุด



แท็กซี่อุบาทว์คันนึง คงโดนเมียเอาครกทุ่มหัวหรือโดนไม้ตีพริกแพ่นกบาลก่อนออกรถกระมัง เลยควันออกหูเห็นพันธมิตรฯ เดินอยู่ดีๆ ก็เอาหินปาใส่เฉยเลย ทำให้ไปโดนรถยนต์บางคัน คนขับรถยนต์ซึ่งไม่รู้เรื่องจึงอยากลงมาเตะปากเข้าให้สักครั้ง ดีแต่ว่าคนขับหนีไปเสียก่อน



ครับ... บรรยากาศก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก



แต่น่าจะแตกหักกันไม่พรุ่งนี้ก็อีกไม่นาน



สงคราม 9 ทัพก็เตรียมกันมาดี



และเป็นการรวมตัวของประชาชนชาวพันธมิตรฯ ครั้งใหญ่มีคนมากที่สุดครั้งหนึ่งนะครับ





http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000140058

6 เดือนของพันธมิตรกับสงครามม้วนเดียวจบ

โดย วริษฐ์ ลิ้มทองกุล 26 พฤศจิกายน 2551 17:11 น.






ในการชุมนุมครั้งล่าสุดที่แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกว่าเป็น “สงครามครั้งสุดท้าย” เริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2551 ซึ่งหากนับถึงวันนี้ก็กินเวลายาวนานเกือบ 200 วัน หรือ กว่า 6 เดือนแล้ว



การชุมนุมแบบต่อเนื่องของกลุ่มพันธมิตรฯ ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย ผ่านฤดูกาลของประเทศไทยมาครบถ้วน ทั้งร้อน ฝน และหนาว



แรกเริ่มเดิมทีเมื่อเริ่มต้นการชุมนุมแบบยืดเยื้อ หลายคนปรามาสว่า พอเข้าหน้าฝนการชุมนุมก็คงสลายตัวไปเอง ทว่า พันธมิตรฯ ได้พิสูจน์ด้วยการกระทำแล้วว่า การอดทนชุมนุมท่ามกลาง “พายุฝน” กลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก เมื่อเทียบกับการต้องอดทนอยู่กับรัฐบาลหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มุ่งแต่จะคอร์รัปชันหาผลประโยชน์ส่วนตน และทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง



ในช่วง 6 เดือนกว่ามานี้ พันธมิตรฯ หลายล้านคนที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาชุมนุม และนั่งเป็นกองหนุนอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงานล้วนแล้วผ่านประสบการณ์มามากหลาย ทั้งดีใจอย่างสุดซึ้งและโศกสลดน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ทั้งปลาบปลื้มกับรสชาติแห่งชัยชนะและจมจ่อมกับบรรยากาศของความสูญเสีย



ขณะที่ผู้เสียสละหลายคนก็ได้ลิ้มรสชาติของ “คุก-ตะราง-หมายจับ-หมายเรียก” เป็นครั้งแรกในชีวิต



ทั้งนี้ ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดระยะเวลาในการชุมนุมที่ผ่านมาของพันธมิตรฯ หนึ่ง คือ การสูญเสียปราสาทพระวิหารและดินแดนโดยรอบ สอง คือสูญเสียมิตรร่วมรบไปแล้ว 4 คน น้องโบว์ อังคณา, สารวัตรจ๊าบ พ.ต.ท.เมธี, พี่เจนกิจ กลัดสาคร และน้องยุทธพงษ์ เสมอภาค สาม คือ การที่พี่ๆ น้องๆ อีกหลายร้อยคนที่ต้องสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใจกลางพระนคร และต่างจังหวัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า



ทั้งหมดนี้ได้ขมวดปมมาเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของสุดท้าย หรือที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมืองเรียกขานว่า “สงครามม้วนเดียวจบ”



หลายต่อหลายคนเมื่อได้ยินคำกล่าวของ พล.ต.จำลอง แล้วก็หันมาถามผมว่ามันจะม้วนเดียวจบได้อย่างไร?



“ไม่รัฐบาลชั่วจบ พันธมิตรฯ ก็จบ และประเทศชาติก็จบเห่ไง” ผมตอบ



ประชาชนจำนวนมาก และผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ประเทศไทยหลงประเด็นไปว่า พันธมิตรฯ คือ ต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้ง ความแตกแยกของคนในสังคม แต่แท้จริงแล้วพวกเขาลืมนึกไปว่า พันธมิตรฯ นี่แหละคือ โดมิโนตัวแรกที่ถ้าหากล้ม ก็จะนำพาประเทศไปสู่เส้นทางของรัฐบาลเผด็จการอำนาจนิยม ที่อาศัยกลไกของการโกงการเลือกตั้งเพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐในทันที



ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ระบบศาลยุติธรรมของประเทศไทยก็จะสูญสิ้นความน่าเชื่อถือ เพราะเป็นที่แน่นอนว่า ส.ส.ทาสระบอบทักษิณก็จะต้องเร่งออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้นายใหญ่ของตัวเอง รอดพ้นจากคำตัดสินของศาลฎีกาในคดีทุจริตประพฤติมิชอบกรณีซื้อที่ดินรัชดา พร้อมกันนั้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณียุบพรรคไทยรักไทยก็จะกลายเป็นโจ๊กของนักการเมือง เพราะอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนก็จะได้สิทธิในการกลับมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองใหม่ได้ ทั้งๆ ที่ทั้งหมดรวมหัวกันโกงการเลือกตั้งครั้งมโหฬาร



ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม องค์กรอิสระทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. ปปง. กกต. สตง. ฯลฯ ก็จะถูกผลักให้กลับเข้าไปสู่ยุคมืด ยุคถูกครอบงำอย่างเบ็ดเสร็จเหมือนครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเรืองอำนาจอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี



ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม กองทัพไทยก็จะกลายเป็นกองทัพของ “นักการเมือง” ไปโดยสมบูรณ์ มิใช่กองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและกองทัพของชาติและประชาชนอีกต่อไป ด้วยหลังเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา กองทัพถูกจัดระเบียบให้มีความเข้มแข็งในตัวเองและมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นมา สังเกตได้จากในยุคที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อกองทัพขออะไร สั่งซื้ออะไรรัฐบาลก็ไม่กล้าขัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่พันธมิตรฯ เริ่มชุมนุม ผบ.เหล่าทัพต่างๆ ยิ่งได้รับความเกรงอกเกรงใจจากนักการเมืองอย่างมาก



ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ระบบการเมืองของไทยก็จะเข้าสู่ยุค “ธนกิจการเมือง” เต็มตัว นักการเมืองทุกคนและพรรคการเมืองทุกพรรคจะมองการเมืองเป็น “การลงทุน” ที่ต้องหวังผลตอบแทน มิใช่ “การเสียสละ” อีกต่อไป กล่าวคือ เมื่อนักการเมืองลงทุนในช่วงเลือกตั้งเพื่อเข้าสู่อำนาจ พวกเขาก็จะคิดว่าพวกเขามีสิทธิโดยชอบธรรมในการ “ถอนทุน” และหากำไรส่วนเกิน ด้วยการคอร์รัปชันหรือเรียกร้องค่านายหน้าจากงบประมาณแผ่นดิน เพื่อประกอบอาชีพนักการเมืองของเขา และสืบทอดอำนาจทางการเมืองในวงศ์วานและเครือญาติต่อไป



ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ตระกูลชินวัตรและเครือญาติก็จะกลับมาเป็นศูนย์กลางของอำนาจต่อรองทางธุรกิจของประเทศอีกครั้ง บริษัทใดต้องการประมูลโครงการก็ต้องวิ่งเข้าหาคนในตระกูลนี้ บริษัทใดอยากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ต้องแบ่งหุ้นลมให้ สื่อใดอยากได้โฆษณาจากภาครัฐก็ต้องคอยเอาอกเอาใจ เป็นต้น



ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมจะสูญสิ้น เพราะทุกคนจะเอาอย่างนักการเมืองที่ไม่รับผิดชอบกับสิ่งที่ตนทำผิดพลาดไว้ ทุกคนพร้อมจะเสี่ยงกับการทำผิดวินัย การโกงและใช้ความรุนแรงเพราะรู้ดีว่าตราบใดที่มีเงินมีอำนาจตนไม่มีทางจะถูกตัดสินว่าผิด ข้าราชการระดับสูงสามารถจะหาเศษหาเลยกับลูกน้อง พาเด็กคราวลูกไปกินข้าว เข้าโรงแรมม่านรูดได้ตามใจชอบแม้ในเวลาราชการ



ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นและไม่มีทางยุติ เพราะหลักฐานระบุชัดว่าในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ระบอบทักษิณ เป็นตัวจุดและกระพือเพลิงแห่งการใช้ความรุนแรงในภาคใต้ให้โหมหนัก นอกจากนี้ความพยายามผลักดันให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่บรรจุเอาข้อความที่ว่า “ศาสนาพุทธ” เป็นศาสนาประจำชาติก็ยิ่งสร้างความขัดแย้งระหว่างศาสนาให้หนักหนาขึ้นไปอีก



และที่สำคัญยิ่ง ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ก็มีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่ศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งมวลไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด เผ่าพันธุ์ใด ศาสนาใดอย่างสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็จะต้องตกอยู่ในภาวะเสื่อมถอยอย่างหนัก และในที่สุดก็จะกลายเป็นเพียงสถาบันที่เป็นเพียงสัญลักษณ์ของประเทศเท่านั้น เพราะเป็นที่แน่ชัดว่าในรัฐธรรมนูญที่พลพรรคระบอบทักษิณกำลังผลักดันอยู่นั้นเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่พยายามลิดรอนพระราชอำนาจ และสิทธิของกษัตริย์อย่างชัดเจน อย่างเช่น ในเรื่องของการล้มเลิกสถาบันองคมนตรี



ขณะเดียวกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็เป็นที่แน่ชัดว่า คนในระบอบทักษิณได้พยายามแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า สถาบันกษัตริย์นั้นทำให้ประเทศไทยด้อยพัฒนา ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง และมีความพยายามในการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างต่อเนื่องอีกด้วย



แน่นอนว่า กระบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และบ่อนทำลายสถาบันกษัตริย์นี้จะขยายตัวและเติบโตเป็นร้อยเท่าพันทวี เมื่อพันธมิตรฯ สลายตัวไป หลังจากสงครามม้วนเดียวจบครั้งนี้



หากใช้มาตรวัดทางความรู้สึก ระยะเวลา 6 เดือนของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ อาจดูเหมือนเป็นช่วงเวลาที่นานแสนนานและไม่จบไม่สิ้นเสียที ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่ปราศจาก 6 เดือนของการต่อสู้ของพันธมิตรฯ และระบอบทักษิณกลับมาปกครองประเทศอีกครั้งแล้ว ระยะเวลาที่ว่าจะไม่ใช่ 6 เดือน แต่จะเป็นยี่สิบปี สามสิบปี ห้าสิบปี จนกว่าจะมีผู้หาญกล้าลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจแห่งอธรรมอีกครั้ง



ถ้าวันนี้ท่านไม่ลุกขึ้นมามีส่วนร่วมกับ “สงครามม้วนเดียวจบ” ณ วันนี้แล้ว ท่านจะรอถึงเมื่อไหร่?





ที่มา http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000140057

Do you know WHAT LOVE IS ?..................READ BLW STORY

(คุณรู้ไหมครับว่า รักคืออะไร..........เชิญอ่านเรื่องราวด้านล่างเลยครับ)


An incredible love story has come out of China recently and managed to touch the world.

(เรื่องราวความรักอันเหลือเชื่อปรากฏขึ้นที่ประเทศจีนเมื่อเร็วๆ นี้ และได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก)

It is a story of a man and an older woman who ran off to live and love each other in peace for over half a century.

(เป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งกับหญิงที่มีอายุมากกว่าผู้ซึ่งหลีกหนีความมีชีวิต และรักกัน อย่างสงบสุขกว่าครึ่งศตวรรษ)
 


cid:008d01c8ccfc$f0627b70$4c190101@svy

The 70-year-old Chinese man who hand-carved over 6,000 stairs up a mountain for his 80-year-old wife has passed away in the cave which has been the couple's home for the last 50 years.
(ชายอายุ 70 ปี ผู้ซึ่งสลักหินเป็นบันไดด้วยมือ มากกว่า 6,000 ขั้น ปีนภูเขาไปหาคู่รักอายุ 80 ปี ซึ่งจากเขาไปแล้ว เพื่อไปยังถ้ำซึ่งเป็นรังรักของพวกเขามากว่า

 50 ปี)

O ver 50 years ago, Liu Guojiang a 19 year-old boy, fell in love with a 29 year-old widowed mother named Xu Chaoqin..

(เมื่อ 50 กว่าปีที่แล้ว หลิว โกวเจียง ชายหนุ่มวัย 19 ตกหลุมรักแม่หม้ายลูกติดนาม ซู เฉากวิน)
 




cid:008f01c8ccfc$f0627b70$4c190101@svy

In a twist worthy of Shakespeare's Romeo and Juliet, friends and relatives criticized the relationship because of the age difference and the fact that Xu already had children.
cid:009101c8ccfc$f0627b70$4c190101@svy
At that time, it was unacceptable and immoral for a young man to love an older woman.. To avoid the market gossip and the scorn of their communities, the couple decided to elope and lived in a cave in Jiangjin County in South ern ChongQing Municipality.

(ดัง นิยายโรมิโอกับจูเลียตอันเลื่องชื่อของเชคเปีย ผองเพื่อนและญาติๆ กล่าวขวัญถือความสัมพันธ์ อันเนื่องจากความต่างของวัย กับความจริงที่ว่า ซู มีลูกแล้ว ในขณะนั้น เป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมและรับไม่ได้ ที่ชายหนุ่มจะรักกับผู้หญิงที่แก่กว่า เพื่อหลีกหนีพวกปากตลาดและการดูถูกของสังคม ทั้งคู่ตัดสินใจพากันหนีและอาศัยอยู่ในถ้ำที่ เจียงจิน เมืองชนบททางตอนใต้ของเขตปกครองตนเอง ชงควิน)

 

cid:009301c8ccfc$f0627b70$4c190101@svy
In the beginning, life was harsh as hey had nothing, no electricity or even food. They had to eat grass and roots they found in the mountain, and Liu made a kerosene lamp that they used to light up their lives.

(ช่วง เริ่มต้น ชีวิตไม่มีอะไร ไม่มีไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งอาหาร ทั้งคู่กินหญ้าและพืชหัวที่พบแถวๆ ภูเขา และหลิวก็ได้ประดิษฐ์ตะเกียงน้ำมันก๊าดเพื่อให้แสงสว่าง รวมทั้งนำทางชีวิต)

Xu felt that she had tied Liu down and repeatedly asked him, 'Are you regretful? Liu always replied, 'As long as we are industrious, life will improve.'
(ซูรู้สึกว่าเข้าผูกมัดหลิว จำกัดอิสระภาพของหลิว เธอถามคำถามซ้ำๆ กับหลิวว่า 'หลิว เธอเสียใจมั้ย' 'ตราบเท่าที่เราขยัน ชีวิตเราจะดีขึ้น' คือคำตอบที่ออกจากปากของหลิวเสมอเมื่อเจอคำถาม)


 
 

In the second year of living in the mountain, Liu began and continued for over 50 years, to hand-carve the steps so that his wife could get down the mountain easily.

(ในปีที่สองของชีวิตบนภูเขา หลิวเริ่มแกะสลักบันได และทำอย่างนั้นต่อเนื่องมากว่า 50 ปี เพื่อที่จะให้คู่ชีวิตของเขาลงจากภูเขาได้โดยง่าย)



Half a century later in 2001, a group of adventurers were exploring the forest and were surprised to find the elderly couple and the over 6,000 hand-carved steps. Liu MingSheng, one of their seven children said, 'My parents loved each other so much, they have lived in seclusion for over 50 years and never been apart a single day. He hand carved more than 6,000 steps over the years for my mother's convenience, although she doesn't go down the mountain that much.'

(ครึ่งศตวรรษต่อมา ปี 2001 นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งได้ค้นพบป่าและต้องประหลาดใจที่พบคู่รักวัยชรา และบันไดที่สลักด้วยมือกว่า 6,000 ขั้น หลิว หมิงเส็ง หนึ่งในลูกทั้งเจ็ดกล่าวว่า 'พ่อ-แม่ของเรารักกันมาก พวกเขาอาศัยอยู่อย่างสันโดษมากว่า 50 ปี และไม่เคยทิ้งกันแม้แต่วันเดียว บันไดที่สลักด้วยมือกว่า 6,000 ขั้นที่มานะทำขึ้นหลายปี เพื่อความสบายของแม่ แม้ว่าเธอจะไม่ได้ลงจากภูเขาบ่อยเช่นนั้น')



cid:009501c8ccfc$f0627b70$4c190101@svy





The couple had lived in peace for over 50 years until last week. Liu, now 72 years, returned from his daily farm work and collapsed. Xu sat and prayed with her husband as he passed away in her arms. So in love with Xu, was Liu, that no one was able to release the grip he had on his wife's hand even after he had passed away.

(คู่รักอาศัยอยู่อย่างสงบมากว่า 50 ปี กระทั่งสัปดาห์ที่แล้ว หลิว ชายวัย 72 ใน วันนี้ กลับจากงานประจำวันที่ไร่จากนั้นก็ทรุดกายลง ซู นั่งและสวดมนต์กับสามี จากนั้น หลิวก็จากไปภายในอ้อมกอดของภรรยา ดังที่เห็นความรักของหลิวที่มีต่อซู ไม่มีใครสามารถแกะมือของเขาออกจากมือภรรยาได้ แม้กระทั่งหลังเขาตาย)
 


cid:009701c8ccfc$f0627b70$4c190101@svy

'You promised me you'll take care of me, you'll always be with me until the day I died, now you left before me, how am I going to live without you?'
(คุณสัญญาว่าจะดูแลฉัน คุณจะอยู่กับฉันเสมอจนถึงวันที่ฉันตาย แต่ตอนนี้คุณจากฉันไปก่อน ฉันจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีคุณ)


Xu spent days softly repeating this sentence and touching her husband's black coffin with tears rolling down her cheeks.
(ซูใช้เวลาหลายวัน พูดประโยคซ้ำๆ แผ่วๆ และสัมผัสโลงศพของสามี ด้วยน้ำตานองหน้า)


In 2006, their story became one of the top 10 love stories from China , collected by the Chinese Women Weekly. The local government has decided to preserve the love ladder and the place they lived as a museum, so this love story can live forever.

(ในปี 2006 เรื่องราวของพวกเขา กลายมาเป็นเรื่องรักติดอันดับทอปเท็น ในประเทศจีน ซึ่งรวบรวมโดย Chinese Women Weekly รัฐบาลท้องถิ่นตัดสินใจอนุรักษ์ บันไดแห่งความรักและรังรักของพวกเขาเป็นพิพิธภัณฑ์ ยังผล ให้เรื่องราวแห่งความรักนี้มีอยู่ตลอดไป)
 


cid:009901c8ccfc$f0627b70$4c190101@svy


Once you send the message, press F6 and you will see what appear .... unbelievable but true .....
(ครั้งใดที่คุณส่งข้อความ ให้กด F6 แล้วคุณจะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่น่าเชื่อแต่เป็นความจริง)


cid:009b01c8ccfc$f0627b70$4c190101@svy

Send this to at least 15 pe ople , and then press F6 ; the name of the person you love will appear...
(ส่งข้อความนี้ต่อให้อย่างน้อย 15 คน จากนั้นกด F6 ชื่อคนที่คุณรักจะปรากฏ)



by: forward mail


Fwd: ถึงคุณที่เป็นกลางทุกคน

Bloody Oct 7"


นี่อีกคน



ตอนแรกเรายอมรับว่าเราอยู่ตรงกลาง แต่ ณ.ตอนนี้แล้ว เราคิดว่าพันธมิตรทำเกินไป การที่คุณต้องการเอาชนะมันทำให้ทุกอย่างเสียหาย บ้านเมืองเสียหาย การที่คุณเข้าไปยึดสนามบิน ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายและเดือดร้อนอย่างมาก ทุกอย่างกระทบไปหมด



เราคือประชาชนคนไทยคนหนึง ซึ่งรักในหลวง และเคารพสถาบันพระมหากษัติเหนือชีวิตเหมือนพวกคุณ แต่เราก็เคารพในระบอบ ระบบ และกฎหมาย พวกคุณคิดว่าการกระทำของพวกคุณ มันถูกต้องแล้วหรือ การที่เอาประเทศ และก็คนไทย60กว่าล้านคนเป็นตัวประกัน กับสิ่งที่พวกคุณต้องการและเอาชน่ะ ตอนนี้เราภาวนาขอให้บ้านเมืองสงบซะที เพราะถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ประเทศชาติ และคนในชาติ จะต้องเสียใจกับการกระทำที่คุณคิดว่าถูกโดยไม่เคารพต่อกฎหมายบ้านเมือง



ไม่ว่าเสื้อแดงหรือเสื้อเหลือง หรือว่าเสื้อสีอะไรก็เหอะ แต่เราก็เป็นคนไทยเหมือนกัน มีพระมหากษัติองค์เดียวกัน ก็เหมือนมีพ่อคนเดียวกัน ถ้าพ่อเห็นลูกทะเลาะกันแล้ว พ่อจะมีความสุขได้อย่างไร













Subject: ถึงคุณที่เป็นกลางทุกคน

ถึงคุณที่เป็นกลางทุกคน ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ชอบพันธมิตร โปรดอ่านสักนิด



คุณอยากอยู่ในประเทศ ที่มีรัฐบาล ที่เป็นระบอบทุนนิยม ผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศไทย ด้วยคนไม่กี่ตระกูลหรือ



คุณอยากได้ประธานาธิบดี หน้าสี่เหลี่ยม ชื่อทักษิณ.........หรือ



คุณอยากได้ประเทศ ที่สถาบันสูงสุด เป็นเพียงแต่ในนามหรือ ศุนย์รวมจิตใจของคนในชาติต้องล่มสลายไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ



คุณทนให้พ่อหลวงของเรา ถูกรังแก โดยไม่มีทางต่อสู้ได้เลยหรือ



คุณ อยากอยู่ในประเทศ ที่มีอันตพาล ปิศาจแดงเต็มบ้านเต็มเมือง ทำร้ายคนที่มีความคิดไม่เหมือนตัวเอง ด้วยกำลังและอาวุธ จนถึงแก่ชีวิต หรือ



คุณอยากเห็นระบบ การคอรัปชัน กลายเป็นค่านิยมที่น่าชื่นชม ในรุ่นลูก รุ่นหลานของเราหรือ



คุณ อยากอยู่ในประเทศที่มีแต่ตำรวจ ที่เห็นเรื่องการพิทักษ์ปกป้องประชาชนเป็นเรื่องน่าขัน รับอามิสสินจ้างเป็นงานหลัก มองดูประชาชนที่ถูกทำร้ายด้วยการวางเฉย หรือให้การสนับสนุนคนทำผิดหรือ



คุณอยากอยู่ในประเทศ ที่มีแต่ทหาร ที่เกียรติของชายชาติทหารแปลว่า การวางเฉย ทั้งๆที่รู้ว่าประเทศกำลังวิบัติหรือ



คุณ อยากได้ รัฐมนตรี ที่พวกคุณได้ยินชื่อแล้วต้องร้องว่า ไอ้หย๋า มาบริหารประเทศ กระหาย แย่งกันสูบกินคอมมิชชัน งบบริหารประเทศ ที่เป็นเงินภาษีที่ได้มาจากน้ำพัก น้ำแรง ของเราหรือ



คุณอยากอยู่ใน ประเทศ ที่มีแต่สื่อทีวี ที่มีแต่รายการน้ำเน่า มอมเมาผู้คนในประเทศ และขาดจรรยาบรรณสื่อ ขายเกียรติแลกเงิน บิดเบือนข่าวสาร ป้ายผิดคนดี อย่างนั้นหรือ



คุณอยากให้คนดีๆ ที่ออกมาเรียกร้องให้เกิดสิ่งดีๆ เกิดการเมืองใหม่ ที่พวกเราสิ้นหวังที่จะได้สัมผัสสักวันหนึ่ง แล้วถูกป้ายสี ทำร้ายทุกวิถีทาง ค่อยๆล้มหายตายจากไปจากสังคมไทยทีละน้อย อย่างนั้นหรือ



คุณอยากอยู่ในประเทศ ที่ทุกคนวางเฉย ไม่ออกมาต่อสู้เรียกร้อง เพราะเห็นว่าเป็นธุระไม่ใช่ ปล่อยให้รัฐบาลที่ทุกๆคนรู้ว่าไม่ชอบธรรม บริหารบ้านเมือง สูบกินเงินภาษีของเราต่อไป อย่างนั้นหรือ



คุณถามใจตัวเองกัน สักนิด ว่าการวางเฉยช่วยให้ประเทศไทยของเราดีขึ้น จริงหรือ



คุณถามใจตัวเองกัน สักนิด ว่าคุณทนให้กลุ่มคนที่ออกมาเรียกร้องแทนพวกเรา ต้องถูกทำร้าย ฆ่าตายวันละคน สองคนอย่านั้นหรือ



คุณ โยนความผิดให้กลุ่มคนเหล่านั้น ที่เสียสละออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม ด้วยการใช้ยุทธวิธีปิดสุวรรณภูมิ อันเป็นยุทธวิธีสูงสุด ในการกดดันรัฐบาลหน้าด้าน ที่ไล่ยังงัยก็ไม่ออก ทั้งๆที่รู้ว่า แค่ลาออก ทุกอย่างก็จบ คนเหล่านั้นผิดหรือ



คุณคิดว่า คุณยังรับได้กับรัฐบาลหน้าด้าน หน้าทน ที่มีนายกรัฐมนตรีที่ขาดคุณธรรม และจริยธรรมในทุกๆด้าน บริหารประเทศต่อไปหรือ



ออก มาเถอะค่ะ ออกมาช่วยกัน กอบกู้ประเทศไทย ให้กลับมาเป็นสยามเมืองยิ้ม เมืองที่ผู้คนมีแต่รอยยิ้ม เมืองที่เต็มไปด้วยสันติสุข เมืองที่มีพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยทศพิศราชธรรมกลับคืนมาสู่ผืนแผ่น ดินไทย

การแพร่ของอนุภาคแบบไฮโดรไดนามิกในการกรองไมโครฟิลเตรชันแบบการไหลขวาง

การแพร่ของอนุภาคแบบไฮโดรไดนามิกในการกรองไมโครฟิลเตรชันแบบการไหลขวาง
Hydrodynamic particle diffusion in cross flow microfiltration
สมพรัตน์ จิโรภาส (Somparat Jiropas)*
ดร.กัลยา ศรีสุวรรณ (Dr.Galaya Srisuwan)**
ไพบูลย์ อินนาจิตร (Paiboon Innachitra)***
บทคัดย่อ
ปัญหาความยุ่งยากที่พบบ่อยในระบบบำบัดน้ำเสียแบบตะกอนเร่งคือการแยกตะกอน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการควบคุมปริมาณการป้อนกลับของตะกอน และประสิทธิภาพของการบำบัด ในงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาการปรับปรุงประสิทธิภาพของการแยกตะกอนจุลินทรีย์ในระบบบำบัดน้ำเสียแบบตะกอนเร่งโดยใช้ไมโครฟิลเตรชันเมมเบรนแทนการใช้ถังตกตะกอน สารป้อนที่ใช้เป็นน้ำเสียจากบ่อเติมอากาศของระบบตะกอนเร่งโรงงานอาหารทะเล ส่วนแรกของการทดลองเป็นการศึกษาอิทธิพลของตัวแปรต่างๆที่มีต่อค่าฟลักซ์และประสิทธิภาพของระบบการกรองที่ใช้เซลลูโลสไนเตรท การทดลองทำในช่วงค่าความดัน 5-15 psi ความเข้มข้นสารป้อน 1500-3500 mg/l อัตราการไหล1.25-1.75 Lpm และขนาดรูพรุนของเมมเบรน 0.1-5 micron พบว่าการกรองให้เพอมิเอทฟลักซ์ในช่วง 9.38-27.58 L/m2.hr ซึ่งทุกการทดลองมีประสิทธิภาพในการกำจัดของแข็งแขวนลอย > 99% และลดค่าซีโอดีของน้ำได้ >58.1% และสภาวะที่ให้ค่าฟลักซ์สูงที่สุดคือการดำเนินการที่ ความดัน 5 psi ความเข้มข้น 1500 mg/l อัตราการไหล 1.75 Lpmและขนาดรูพรุน 5 micron โดยค่าเพอมิเอทฟลักซ์ที่ได้จากการทดลองนี้คือ 27.58 L/m2.hr ซึ่งประสิทธิภาพในการกำจัดของแข็งแขวนลอยสูงถึง 99.73% และเป็นผลพลอยได้ทำให้ลดค่าซีโอดีของน้ำได้ถึง 58.1% การทดลองส่วนที่สองเป็นการตรวจสอบรูปแบบการอุดตันบนเมมเบรนกับโมเดลการอุดตันมาตรฐาน ซึ่งจะทำให้สามารถกำหนดวิธีการล้างที่เหมาะสมที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของเมมเบรน พบว่าเกิดการอุดตันบนเมมเบรนเป็นแบบ cake filtration ซึ่งสอดคล้องกับผลที่ได้จากการดูด้วยกล้องจุลทรรศ์แบบส่องกราด (SEM) โดยการล้างเมมเบรนแบบล้างสวนกลับเหมาะสำหรับการอุดตันแบบดังกล่าว
ABSTRACT
Major problems often encountered for the activated sludge system in waste water treatment is sludge filtration. This problem affects control of the sludge return and leads to low treatment efficiency. The objectives of this research was to improve the efficiency of the activated sludge system by using membrane microfiltration instead of a conventional sediment tanks. The waste water feed came from the aeration tanks of an activated sludge system of a seafood factory. In the first part of the experiment, study of the effects of transmembrane pressure, feed concentration, feed rate and membrane pore size on the flux value and the efficiency of the system were conducted.Their values were คำ
คำสำคัญ : ไมโครฟิลเตรชัน เมมเบรน การอุดตัน
Key words: Microfiltration; Membrane; Fouling
*นักศึกษามหาบัณฑิต หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
**รองศาสตราจารย์ ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
***ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์


ranging from 5-15 psi, 1500-3500 mg/l, 1.25-1.75 Lpm and 0.1-5 micron, respectively. The results revealed that the filtration permeate flux values were 9.38-27.58 L/m2.hr. It can remove suspended solid more than 99% and reduce COD more than 58.1%. The highest permeate flux was obtained at the transmembrane pressure of 5 psi, the feed concentration of 1500 mg/l, the feed rate of 1.75 Lpm and the pore size of 5 micron for cellulose nitrate membrane. At the permeate flux value of 27.58 L/m2.hr it can remove 99.73% of the suspended solids and 58.1% of COD. In the second part of the experiment, it was found that after the crossflow microfiltration process, the outcome resulted in cake filtration fouling and it can be washed using a backwash process to extend shelf life of membrane. The result of this cake filtration fouling was confirmed by SEM.

จากการประชุมทางวิชาการ เสนอผลงานวิจัย ระดับบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 9
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2550 ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
The 9th Symposium on Graduate Research, KKU. 19 January 2007

ความคิดของนักวิชาการภายใต้การมองเพียงมิติเดียว


 ผู้เขียน: Peter  
เ มื่อฟังแนวความคิดของนักการเมือง ที่ดูจะไม่เข้าใจต่อปฏิบัติการของ พธม นั้น จะมองเห็นได้ในประเด็นหนึ่งว่า นักวิชาการเหล่านี้ ยึดติดอยู่แต่เพียงเนื้อหาในตำรา ว่า แนวทางของประชาธิปไตยเป็นเรื่องของการต่อสู้กันทางกรอบความคิด และเป็นการมองอยู่ในเพียงมิติเดียว  แต่หาได้มองไปถึงความเป็นจริงว่า หลักของประชาธิปไตยตามตำรานั้นใช้ได้กับเฉพาะกลุ่มบุคคลที่มีจิตวิญญานของนั กประชาธิปไตยเฉกเช่นกัน  แต่ไม่มองถึงพฤติกรรมที่แท้จริงของนักการเมืองในปัจจุบันที่สร้างปัญหาให้กั บแผ่นดิน  เพราะนักการเมืองเหล่านี้หาได้มีจิตวิญญานของนักประชาธิปไตยไม่  แต่เป็นบุคคลที่มองว่าการเลือกตั้งเป็นเพียงวิถีทางของได้มาซึ่งอำนาจ และอาศัยอำนาจนั้นเป็นหนทางของการได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่จะกอบโกยจากเงินภาษ ีของประชาชน ไม่ว่าจะจากเงินภาษีที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน ( เงินงบประมาณ ) หรือเงินภาษีที่จะต้องมีในอนาคต ( เงินกู้ภาครัฐ )  จนคนกลุ่มนี้กระทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจของพวกตนไว้ โดยไม่คำนึงถึงว่าพฤติกรรมเช่นนั้นถูกต้องตามครรลองของประชาธิผปไตยหรือไม่ ( คือ ขาดไร้ซึ่งจริยธรรม คุณธรรม )  หรือแม้กระทั่งเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่  ด้วยเหตุนี้วิภีทางในการต่อสู้จึงหาใช่วิธีการที่จะต่อสู้กันด้วยตรรกะทางปร ะชาธิปไตยได้ไม่  แต่ต้องต่อสู้เพื่อให้คนพวกนี้หลุดพ้นจากอำนาจรัฐก่อน เพื่อให้คนใหม่เข้ามาแก้ไข  และสิ่งนี้คือที่มาของการที่ต้องพัฒนารัฐธรรมนูญกันมาโดยตลอดเพื่อต้องต่อสู ้กับคนพวกนี้ และเพื่อสร้างความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องของประชาธิปไตยให้ประชาชนได้ทราบ  โดยทฤษฎีนั้น หากทุกคนที่เข้ามาในแวดวงการเมืองล้วนมีจิตสำนึกของประชาธิปไตยที่แท้จริง และมีจิตอันเป็นสาธารณะเห็นแก่ประโยชน์ของแผ่นดินและส่วนรวมเป็นหลักใหญ่  รัฐธรรมนูญก็เป็นเรื่องรอง หรือไม่ต้องมีเลยก็ได้  แต่ด้วยเหตุที่คนที่เข้ามาในระบบการเมืองหาได้มีจิตสำนึกเช่นนั้นไม่ จึงต้องมีการสร้างรัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์แบบ เพื่อป้องกันคนพวกนี้ไม่ให้มาฉกฉวยประโยชน์ และต้องมาต่อสู้กันเช่นนี้ ประเทศไทยจะมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบได้ต้องกำจัดคนที่มีความคิดเห็นไม่ถู กต้องออกไป และอย่าให้คนเหล่านี้มามอมเมาความคิดของประชาชนในเรื่องของประชาธิปไตยในทาง ที่ผิดๆ อีกต่อไป
วันที่ :  24 พฤศจิกายน 51 21:42

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

โดเรมอน-โนบิตะ-อิกคิวซัง-“หน้าเหลี่ยม”!


โดย เชี่ยว ชวนะ 18 พฤศจิกายน 2551 17:19 น.

   โดเรมอน-โนบิตะ-นั่งเครื่องไทม์แมชชีนแอบมาเที่ยวประเทศไทย!
      
        เที่ยวไปเที่ยวมาได้ยินเรื่องเล่าขานถึงคนไทย “หน้าเหลี่ยม” ที่ร่ำรวยมหาศาล และเคยเป็นนายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับโกงบ้านเมืองจนถูกประชาชนขับไล่ไสส่ง และถูกศาลตัดสินให้จำคุก 2 ปี ต้องระเห็จไปอยู่ถึงประเทศอังกฤษโน่นแน่ะ
      
        ร้ายกว่านั้น..อดีตนายกฯ ที่กลายเป็นนักโทษชายคนนี้ ยังโดนประเทศอังกฤษเพิกถอนวีซ่า เพราะเงินที่ซื้อขายอะไรบางอย่างในอังกฤษ ไม่สะอาดโปร่งใสแจ๋วแหว๋วเท่าที่ควร แถมซ่า..ดัน
       โฟนอินหมิ่นศาล และบังอาจพูดจาเกิดผลในทางลบต่อสถาบันกษัตริย์ไทยอีกด้วย
      
        “โดเรมอน..ขอนั่งไทม์แมชชีนไปดูอีตานายกฯ “หน้าเหลี่ยม” หน่อยนะ..อยากรู้จัง..”
      
        โดเรมอนทนการรบเร้าของโนบิตะไม่ไหว ทั้งคู่จึงนั่งเครื่องไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูอดีตนายกฯ ที่เคยยิ่งใหญ่คนนี้ทันที เมื่อรู้เห็น..ทั้งคู่แทบร้องไห้ด้วยความเสียดายอย่างยิ่ง กับนาทีทองชีวิตของชาย “หน้าเหลี่ยม” ที่ควรจะได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษของชาวไทย
      
        ทว่า..ชาย “หน้าเหลี่ยม” ผู้ร่ำรวยคนนั้น..กลับดันกลายเป็น ทรพี-ทรชน-ทรราช-ทรยศต่อชาติและประชาชนคนไทยไปเสียได้..
      
        โอ..ผีห่าซาตานอะไรทำให้มหาเศรษฐี อดีตนายกฯ “หน้าเหลี่ยม” รวยแล้วยังดันโกงอีก
      
       เมื่อโนบิตะกับโดเรมอนกลับถึงประเทศญี่ปุ่น ก็รีบแจ้นไปปุจฉา-วิสัชนา กับเณรน้อยเจ้าปัญญา “อิกคิวซัง” ทันที
      
       โนบิตะ (ถาม) - เณร..ทำไมคนรวยมหาศาลขนาดนั้น แถมใหญ่โตเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศหนึ่ง จึงโกงและทำชั่วได้มากมายขนาดนี้ จิตสำนึกชั่วทำไมจึงชนะจิตสำนึกดีได้ถึงเพียงนี้ โอ..เหลือเชื่อจริงๆ ท่านอิกคิวซัง..
      
       อิกคิวซัง (ตอบ) - มนุษย์นั้น..ใจที่คิดดีทำดีต้องเป็นประธาน ใจต้องเป็นนายเหนือรัก-โลภ-โกรธ-หลง ใครก็ตามใจต่ำใจละโลบ ถึงรวย..ก็ยังอยากรวยยิ่งขึ้นไม่หยุดหย่อน คน “หน้าเหลี่ยม”คงตกเป็นทาสอำนาจ-ลาภยศเงินทอง จึงไม่เคยคิดทำดี-คิดแต่ทำชั่วท่าเดียวไงล่ะ
      
       โดเรมอน (ถาม) - ถูกยกเลิกวีซ่าเข้าประเทศอังกฤษ แทนที่จะสำนึกผิดชาย “หน้าเหลี่ยม”กลับประกาศจะเอาคืนศัตรู จะเปิดเผยชื่อพวกศัตรูของตน..ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นคนผิด เป็นคนโกงชาติ..อืม..ทำไมเขาไม่ทบทวน ว่าตัวเองทำผิดอะไรบ้างในชีวิต..แปลกจัง..
      
       ที่สำคัญชาย “หน้าเหลี่ยม” ถึงขนาดใช้แผนหย่ากับภริยา โดยทางเมียจะได้ดูแลธุรกิจและลูกๆ แต่ทั้งสองคนยังคงแยกและร่วมกัน รบพุ่งกับปรปักษ์ตนแบบใครดีใครอยู่กันเลยล่ะครานี้
      
       อิกคิวซัง ( ตอบ) - คนไม่ยึดธรรม-ย่อมเป็นคนไม่เต็มคน คนยึดตนเป็นศูนย์รวมแห่งความถูก ต้อง มักคิดว่าคนอื่นนั้นผิดหมด นี่คือจุดจบของพวกหลงตนเอง ชาย “หน้าเหลี่ยม” คนนั้น คงถือตนเป็น “เทพเจ้าแห่งความถูกต้อง” จึงมองตัวตนของตนไม่พบไงล่ะ
      
       ที่สำคัญระบอบทุนนิยมสามานย์ที่เขายึดมั่น ถือหลักเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่นถ่ายเดียว ไม่แยแสสนใจว่า..การโกงเป็นสิ่งผิด-ใครโกงเก่งคือคนเก่ง ใครเหยียบหัวคนอื่นเข้าเส้นชัย หรือมีเงินทองยศถาบรรดาศักดิ์มากกว่าคนอื่น คนคนนั้นคือยอดคน ทั้งที่..นั่นคือความเลว..มิใช่ความดี ทำให้สังคมขาดคุณธรรม จริยธรรมวุ่นวายไปหมด..อืมม..ตอบเสียยาวยืดเลย
      
        อิกคิวซัง (ทำหน้าฉงน..ถาม) - เอ๊ะ..โดเรมอนกับโนบิตะ ทำไมไม่นั่งไทม์แมชชีนไปดูอนาคตของชาย “หน้าเหลี่ยม” คนนี้ ว่าเป็นอย่างไร..น่ารู้มิใช่หรือ..หือออ..?
      
        โดเรมอนและโนบิตะ (อุทานพร้อมกัน) - เออ..จริงด้วย..เราไปกันเลยนะ..
      
       ไทม์แมชชีนทำงานอีกครั้ง มุ่งไปสู่การสำรวจอนาคตนักโทษชาย “หน้าเหลี่ยม” ทันที ไม่นาน..โนบิตะกับโดเรมอนก็กลับมานั่งตรงหน้าอิกคิวซังอีกครั้ง ด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกกับสิ่งที่พบเห็น
      
        อิกคิวซัง (ถาม) - เป็นไง..หน้าจ๋อยมาเชียว อนาคตของนายกฯ “หน้าเหลี่ยม” เป็นไงหรือ?
      
        โดเรมอน ( รำพึงเบาๆ) - อิกคิวซัง..ชาย “หน้าเหลี่ยม” ยังเชื่อว่า เงินนั้นยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เงินจะจ้างทั้งผีหรือคนให้โม่แป้งได้ เขาเชื่อว่า..เงินบันดาลทุกอย่างให้เขาได้ทุกเรื่อง
      
        โนบิตะ ( ตอบ) - เฮ้อ..เณรอิกคิวซังไม่ต้องเรียก เขาว่านายกฯ “หน้าเหลี่ยม” อีกแล้วล่ะ ในเมืองไทยเรียกคนคนนี้ว่า “นักโทษชาย” หมดแล้ว ตอนนี้เขาใช้เงินจ้างคนทั้งลับและเปิดเผย เอ้อ..เพื่อเอามาทำเรื่องไม่ดี ซึ่งอาจจะมีการบาดเจ็บล้มตายในไทยครั้งใหญ่ เพราะเขาหวังจะกลับมามีอำนาจอีกครั้งในประเทศไทยไงล่ะเณร..
      
        อิกคิวซัง ( ตอบ) - อืม..ใครก็ตามใช้เงินจ้างคนไปทำกรรมชั่ว โดยไม่คำนึงถึงธรรมแห่งความดี เขาไม่น่าทำ..เขาควรจะหยุด..เวรกรรมมีจริงนะจะตามสนองเขา...
      
        โนบิตะ (เล่าต่อ) – นักโทษชาย “หน้าเหลี่ยม” ซื้อนายทหารใหญ่บางคนเป็นพวก เพื่อให้วางตัวเฉยหรือเป็นกลางเข้าข้างรัฐบาล ที่ยึดอำนาจรัฐจากการโกงเลือกตั้งอยู่ในกำมือ จ้างกลุ่มอดีตนายทหารใหญ่บางคน ให้ทำงานเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อนักโทษชาย “หน้าเหลี่ยม” ด้วย
      
       อ้อ..ยังมีนายทหารอันธพาลบ้าเลือดอีกคน ประกาศว่า..จะยึดยิงปืนอาร์พีจี ขว้างระเบิดเอ็ม26 และเอ็ม 29 ฆ่าคนที่ชุมนุมอย่างสงบด้วยสองมือเปล่า เพื่อยึดทำเนียบฯ คืน..ไอ้หมอนี่เป็นทหาร..พูดแบบนี้ได้..นายทหารใหญ่ต้องขยิบตาหรือหลิ่วตาให ้ท้ายแน่นอน
      
        อิกคิวซัง ( รำพึง) - แบบนี้ประเทศไทยคงวุ่นวายนะโนบิตะ ฟังดู..รัฐบาลเป็นคนไม่ดี..คนรักษาขื่อแปอย่างตำรวจก็ไม่ดีอีก แบบนี้..เมืองไทยคงวุ่นแน่ เอ..ทำไมหน่วยงานที่ดูแลด้านความมั่นคงของประเทศไทย ยังนิ่งอยู่? ทำไมไม่จัดการให้บ้านเมืองสู่ความสงบสันติล่ะ?
      
        โดเรมอน ( พูดต่อ) - ตอนนี้ที่ประเทศไทยกำลังมีงานพระราชพิธีสำคัญของชาติ แต่นักโทษชาย “หน้าเหลี่ยม” ก็เตรียมทำงานสำคัญบางประการ ที่ไม่ส่งผลดีต่อชาติบ้านเมืองและสถาบันพระมหากษัตริย์ หลังวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 เมืองไทยต้องเกิดเรื่องใหญ่..
      
        โนบิตะ ( พูดเสริม) – นักโทษชาย “หน้าเหลี่ยม” มีหลายแผน เช่น ส่งมือสังหารฆ่าผู้นำต่อต้านเขา รวมทั้งระเบิดและเผาสถานที่สำคัญเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เลวร้ายยิ่งขึ้น สุดท้ายอาจถึงขั้นรัฐประหารยึดอำนาจ เพื่อให้นักโทษชาย “หน้าเหลี่ยม” กลับประเทศไทย..อย่างผู้ยิ่งใหญ่อีกครา
      
        อิกคิวซัง (อุทาน) - อะไรนะ..นักโทษชาย “หน้าเหลี่ยม” กล้าทำกันถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?
      
        โดเรมอน- คนคนนี้ท่านอิกคิวซัง..เห็นทั้งอดีตและปัจจุบันแล้ว เขาเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตเลือดเย็นที่สุด เคยใช้ศาลเตี้ยสั่งฆ่าคนตายหลายพันคน ด้วยข้อหา..ค้ายาเสพติดและแบ่งแยกดินแดนมาแล้ว มันกล้าทำทุกอย่าง..ขอให้ได้อำนาจและเงินทองเป็นพอ
      
        โนบิตะ (พูดเสริม) – มีข่าวลึกๆ ว่า..นายพล 1 จ. 1 ว. 1 พ. 1 ด. 2 ม.กับพวก ดำเนินแผนหลายแผนให้คน “หน้าเหลี่ยม” อยู่ แต่คนลังเลคือนายพล 1 อ.ปัจจุบันใหญ่โตมาก หมอนี่แอบกิ๊กกับคน“หน้าเหลี่ยม” อยู่ แต่ 1 อ.จะทำตัวนิ่งไม่ทำอะไรเลย แถมทำทีเป็นไม่เข้าข้างฝ่ายไหน นั่งเฝ้าดูทางลมว่า..ใครจะชนะ ที่สำคัญ 1 อ.อยากให้ “เหลือง-แดง” รบกันจนบอบช้ำ เพื่อตนจะได้เป็น “ตาอยู่” ไงล่ะ..เณรอิกคิวซัง..
      
       อิกคิวซัง ( แจ้งแถลงไขตอบ) - ดีนะที่เรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นของเรา ประเทศไทยปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้บานปลายไปเรื่อยๆ มีหวังเลือดนองแผ่นดินแน่ อันธพาลเสื้อแดงที่ชาย “หน้าเหลี่ยม” จ้างมา คงจะทำร้ายเข่นฆ่าประชาชน “เสื้อเหลือง” ที่มาด้วยใจ..เพื่อปกป้องราชบัลลังก์อีก เฮ้อ..น่าสงสารจังเลย..
      
       หากทหารดีๆ ในกองทัพไทยออกมาจัดการเรื่องนี้ ทุกอย่างก็น่าจะจบลงด้วยดีนะโนบิตะ..
      
        โนบิตะ (ทำหน้ากังวล) - ทหารใหญ่บางคนคือตัวปัญหา แต่ทหารไทยในกองทัพส่วนใหญ่ดีนะอิกคิวซัง เชื่อว่า..สักวันทหารไทยดีๆ คงต้องทำอะไรสักอย่าง ที่สำคัญ..อย่างที่อิกคิวซังพูดน่ะแหละ น่าสงสารประชาชนในประเทศไทย พวกเขาถูกนายกฯ น้องเขยชาย “หน้าเหลี่ยม” ชื่อ “สมชาย” สั่งตำรวจใจชั่วบางคนยิงและขว้างระเบิดใส่ ต้องบาดเจ็บล้มตายหลายร้อยคน โดยที่ทหารพระราชาของพวกเขานิ่งเฉย..ไม่ออกมาช่วยเลย..นี่เป็นเรื่องน่าเศร้ าจริงๆ..
      
        โดเรมอน-เออ..โนบิตะ..อนาคตนักโ ทษชาย “หน้าเหลี่ยม” ตอนจบน่ะ ไอ้หมอนี่มันพ่ายแพ้อย่างหมดรูปนี่นา แม้นแต่ชีวิตของมันเองยังสั้นกว่าที่ควรจะเป็น แต่เสียดาย..เราไม่ได้ดูรายละเอียดนะโนบิตะ ว่ามันพ่ายแพ้และตายเร็วกว่าวัยเพราะอะไร..?
      
        อิกคิวซัง ( พูดสวน) - ไม่ต้องนั่งไทม์แมชชีนกลับดูหรอกโดเรมอน ธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอ เพียงแต่จะชนะเร็ว-ชนะช้าเท่านั้นเอง นักโทษชาย “หน้าเหลี่ยม” คนนั้น คงรัฐประหารให้ตนเองกลับมามีอำนาจไม่สำเร็จหรอก และที่ว่าอายุสั้นผิดปกตินั้น..หากไม่ใช่เพราะตรอมใจ ก็คงเครียดจนเป็นโรคร้ายตายเร็วกว่าปกติ..
      
       อ้อ..หรืออาจถูกคนดี ที่ทนเห็นเขาทำชั่วกับชาติสถาบันกษัตริย์ไม่ได้ ทำร้ายเอาจนตายก่อนวัยอันสมควรละกระมัง..
      
        โดเรมอน - ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะท่านเณร..อิกคิวซัง
      
        อิกคิวซัง (ครุ่นคิดก่อนพูด) – นี่เป็นบทเรียนของทุกประเทศ ที่ไหนมีคนชั่วครองเมือง ชาติและประชาชนจะวายป่วง เมืองไทยตอนนี้..คนชั่วโกงการเลือกตั้ง เข้ามายึดอำนาจรัฐเป็นรัฐบาลอยู่..ขืนปล่อยไว้..วุ่นวาย..วอดวายแน่..
  


ชัยชนะของคนอเมริกันและสหรัฐอเมริกา

โดย ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน 19 พฤศจิกายน 2551 16:31 น.
       ชัยชนะของนายบารัค โอบามา โดยเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ ถือว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของโอบามาเองซึ่งเป็นคนอเมริกันผิวดำ แต่ขณะเดียวกันชัยชนะดังกล่าวนั้นต้องถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะของคนอเม ริกันและสหรัฐฯ แผ่นดินใหม่ที่ได้ถูกพัฒนาจนเป็นดินแดนแห่งสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย และความเสมอภาคในโอกาส เป็นแหล่งผสมผสานวัฒนธรรมที่ประสบความสำเร็จ มองในแง่นี้ การพัฒนาของรัฐชาติสหรัฐฯ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดจากเหตุการณ์ดังกล่าว
      
       ในยุคประธานาธิบดีจอห์นสัน สังคมอเมริกาตกอยู่ในความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างคนต่างสีผิว กฎหมายเกี่ยวกับความเสมอภาคของประชาชน หรือที่เรียกว่า Civil Right เป็นกฎหมายที่นำไปสู่ความขัดแย้งและแตกแยกอย่างยิ่ง สังคมยังไม่สามารถรับความเสมอภาคระหว่างคนผิวขาวและคนเผ่าพันธุ์แอฟริกาซึ่ง มีประวัติความเป็นทาสได้ คำวินิจฉัยของศาลสูงสหรัฐฯ ที่ว่า ความเสมอภาคที่แยกกันอยู่และแบ่งผิวนั้นขัดรัฐธรรมนูญกลายเป็นตัวกระตุ้นที่ สำคัญที่นำไปสู่การผ่านกฎหมายต่างๆ เพื่อให้เกิดความเสมอภาคระหว่างคนสองผิว การต่อสู้ของคนผิวดำต้องผ่านการสูญเสียมากมาย ที่เด่นชัดที่สุดคือ นักเคลื่อนไหวอหิงสา หรืออารยะขัดขืน อันได้แก่ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ถูกสังหารชีวิต บางกลุ่มของคนผิวดำก็ใช้วิธีต่อสู้อย่างรุนแรง นั่นคือ ขบวนการเสือดำ (Black Panthers Movement)
      
       ในต้นคริสต์ศตวรรษ 1960 ปรากฏการณ์ที่เขย่าขวัญคนอเมริกันมี 2 เรื่อง นอกประเทศคือสงครามเวียดนาม ในประเทศคือความแตกแยกระหว่างผู้เห็นด้วยและต่อต้านสงครามเวียดนาม และที่สำคัญคือ การก่อการจลาจลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูร้อนของคนอเมริกันผิวดำ มีทั้งการเผาอาคารร้านค้า ปล้นสะดม การใช้กำลังทำร้าย การปราบปรามของเจ้าหน้าที่ จนทำให้การรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อยเป็นปัญหาใหญ่
      
       คนอเมริกันผิวดำจำนวนหนึ่งเริ่มต้องการหาภูมิหลังและเอกลักษณ์ของตนเ อง คนผิวดำนั้นเป็นเผ่าพันธุ์นิกรอย และใช้ภาษาอังกฤษเรียกว่านิโกร แต่มีคำพูดที่หยาบคายที่เรียกคนผิวดำว่านิกเกอร์ (Niger) คนกลุ่มอเมริกันผิวดำกลุ่มนี้จึงได้เสนอให้มีโครงการศึกษาอเมริกันเกี่ยวกับ ความเป็นมาของคนผิวดำที่เรียกว่า Afro-American Studies Program ซึ่งเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยต่างๆ นอกจากนั้นยังมีความพยายามจะเรียนภาษาแอฟริกา เช่น ภาษาอาวาอีลี เพราะเชื่อว่าบรรพบุรุษของคนผิวดำจำนวนหนึ่งถูกจับมาขายเป็นทาสจากดินแดนดัง กล่าว
      
       ผู้เขียนได้เคยสัมผัสกับชีวิตของคนอเมริกันผิวดำมาพอสมควร ใน ค.ศ.1964 ( พ.ศ. 2507) ผู้เขียนได้รับเชิญจาก USIS และ Experiment in International Living ไปเยี่ยมสหรัฐฯ เป็นเวลา 3 เดือน โดยใน 3 เดือนนี้ได้พักอยู่กับครอบครัวอเมริกันคนดำที่เซนต์หลุยส์ประมาณ 3 อาทิตย์ หัวหน้าครอบครัวเป็นแพทย์ ส่วนภรรยาเป็นครึ่งคนผิวดำและฝรั่ง มีบุตรชาย 3 คน โดยบุตรชายสองคนไปเรียนหนังสือที่อื่น
      
       ในการพักอยู่กับคนอเมริกันผิวดำนั้นเป็นความทรงจำอันดียิ่ง เพราะผู้เขียนได้มีโอกาสเห็นการดำรงชีวิตของชนชั้นกลางคนผิวดำ และได้มีการพูดคุยกันถึงเรื่องสิทธิความเสมอภาค (Civil Right) รวมทั้งมีโอกาสได้เข้าไปร่วมรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริก า ซึ่งนิกสันประสบชัยชนะในยุคนั้น นอกเหนือจากนี้ผู้เขียนยังได้มีโอกาสเสวนากับคนชั้นกลางและคนมีการศึกษาซึ่ง เป็นอเมริกันผิวดำ โดยการพบปะพูดคุยจากการแนะนำของครอบครัวที่ได้ไปอยู่ด้วยเพราะส่วนใหญ่เป็นเ พื่อนร่วมอาชีพเดียวกันคือเป็นนายแพทย์และเป็นอาจารย์ รวมทั้งนักกฎหมาย
      
       นอกเหนือจากการพักอยู่กับคนอเมริกันผิวดำแล้ว ผู้เขียนยังได้มีโอกาสไปพักอยู่กับคนผิวดำ Tuskegee Institute ที่เมืองอลาบามา เมืองทั้งเมืองมีคนผิวดำเต็มไปหมด ในการแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียนมีคนผิวขาวเพียงคนเดียวคือคนขายไอศกรีม นอกนั้นคนผิวดำทั้งสิ้น ดูประหนึ่งเป็นอีกประเทศต่างหาก และขณะที่เดินทางนั่งรถยนต์โดยสารเกรฮาวด์ไปทางใต้นั้น สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ เมื่อคนผิวดำขึ้นรถจะเดินเข้าไปนั่งหลังรถโดยไม่พูดอะไร ที่นั่งแถวหน้าจะถูกจองโดยคนผิวขาวทั้งสิ้น เสมือนหนึ่งเป็นการยอมรับความต่ำต้อยของตน เมื่อคนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับเราคือคนญี่ปุ่นและเกาหลียึดที่นั่งแถวหน้านั ้น คนผิวดำที่นั่งข้างหลังต่างจ้องมองด้วยความงุนงงถึงความกล้าหาญชาญชัยที่ไปน ั่งที่นั่งซึ่งเป็นประเพณีที่จะต้องเป็นที่นั่งของคนผิวขาว
      
       เมื่อผู้เขียนเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยบราวน์ก็ได้มีโอกาสเป็นอาจารย์ผ ู้ช่วย ในโครงการ Afro-American Studies จากการเป็นผู้ช่วยในการบรรยายนั้นก็ได้มีโอกาสอ่านวรรณกรรมเกี่ยวกับประวัติ ของคนอเมริกันผิวดำเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังได้มีการฟังความคิดเห็นจากการเสวนาและจากการพูดคุยกับอาจารย์แ ละนักศึกษาผิวดำ ยุคนั้นเป็นยุคที่เรียกว่า “Black is beautiful” ความดำเป็นความสวยงาม เพื่อที่จะสร้างค่านิยมความสวยงามใหม่แข่งกับสีขาว
      
       เมื่อมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ถูกสังหาร ผู้เขียนได้ส่งจดหมายแสดงความเสียใจแก่ภรรยาและบริจาคเงินให้ 10 เหรียญ หลังจากศึกษาจบและกลับมาทำงานที่ประเทศไทยก็ยังติดต่อกับคุณป้า (ภริยาของครอบครัวที่อยู่ด้วย) มาตลอด และเมื่อปีกลายก็ยังได้รับโทรศัพท์ถามไถ่ทุกข์สุขซึ่งขณะนี้อายุ 80 ปี สามีได้เสียชีวิตไปแล้ว ถ้าหากสามียังมีชีวิตอยู่คงจะมีความปีติอย่างยิ่งที่บารัค โอบามา คนผิวดำได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี เนื่องจากประเด็นความเสมอภาคนี้เป็นสิ่งซึ่งครอบครัวนี้ต่อสู้กันมาตลอด
      
       ในฐานะที่ผู้เขียนมีความสัมพันธ์และผูกพันพอสมควรกับคนอเมริกันผิวดำ จึงรู้สึกมีความยินดีอย่างยิ่งที่นายบารัค โอบามา แม้จะไม่ใช่ผู้ซึ่งมาจากภูมิหลังที่เป็นทาส แต่ก็เป็นคนอเมริกันผิวดำคนแรกที่ผ่านการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ปรากฏการณ์ครั้งนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญยิ่งสำหรับประวัติศาสตร์ทางการ เมืองและการสร้างชาติของสหรัฐฯ กล่าวได้ว่า สหรัฐฯ และคนอเมริกันได้เจริญรอยตามบรรพบุรุษของผู้สร้างประเทศที่ต้องการให้สหรัฐฯ เป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ เสมอภาค ประชาธิปไตย และความเท่าเทียมกันในโอกาส
      
       อย่างไรก็ตาม ก็มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่ง หนทางข้างหน้าสำหรับนายโอบามาจะเต็มไปด้วยขวากหนาม มีปัญหาต้องแก้มากมาย ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ การเงิน ปัญหาสังคม เสถียรภาพทางการเมือง สันติภาพของโลก ซึ่งต้องใช้ความรู้ความสามารถอย่างมหาศาลเพื่อจัดการปัญหาทั้งภายในและระหว่ างประเทศ ซึ่งอเมริกาไม่สามารถจะปลอดจากการมีบทบาทและความรับผิดชอบได้
      
       ประการที่น่าเป็นห่วงยิ่งสำหรับนายบารัค โอบามา ก็คือความปลอดภัยในชีวิต ผู้เขียนเองทราบข่าวเรื่องประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี้ ถูกสังหารเมื่อยังเป็นนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ และผู้เขียนก็เป็นผู้รับทุนคนแรกของมูลนิธิจอห์น เอฟ เคเนดี้ และเมื่อได้อยู่สหรัฐฯ ก็ได้เห็นการสังหารนายโรเบิร์ต เคเนดี้ นายมาร์ติน ลูเธอร์ คิง และการสังหารนักศึกษาที่ Kent State University จากข่าวทางโทรทัศน์ จึงหวังอย่างยิ่งว่าโศกนาฏกรรมเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น และต้องมีการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด
      
       ชัยชนะของนายบารัค โอบามา จึงเป็นชัยชนะของคนอเมริกันและอเมริกา สะท้อนถึงการพัฒนาถึงจุดสูงสุดของระบบการเมืองการปกครองอเมริกันที่น่าจะเป็ นตัวอย่างของชาวโลกได้ในแง่ที่เป็นระบบการเมืองที่เปิด มีความเสมอภาคและมีโอกาสเท่าเทียมกัน
      
       น ายบารัค โอบามา มีภารกิจสำคัญยิ่งต่อสหรัฐอเมริกา และต้องแก้ปัญหาต่างๆ อย่างรีบด่วน แต่นายบารัค โอบามา ในฐานะเป็นประธานาธิบดีของมหาอำนาจยังมีภารกิจต้องรักษาสันติภาพ เสถียรภาพ และการเมืองระหว่างประเทศด้วย จึงหวังว่าชัยชนะดังกล่าวนี้น่าจะเป็นชัยชนะที่จะทำเพื่อผลประโยชน์ของชุมชน โลกด้วย และถ้าสามารถประสบความสำเร็จในแง่ดังกล่าวได้ ชัยชนะของบารัค โอบามา ก็จะถูกบันทึกว่าเป็นชัยชนะของมนุษยชาติ

from http://www2.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000137155 

'600 ปีที่แล้วสึนามิเคยเกิดที่ไทย' งานวิจัยอ.จุฬาฯได้เผยแพร่ทั่วโลก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์     24 พฤศจิกายน 2551 12:25 น.
http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9510000138951

       อ.ดร.เครือวัลย์ จันทร์แก้ว ผศ.ดร.มนตรี ชูวงษ์ ผศ.ดร.ฐาสิณีย์ เจริญฐิติรัตน์ ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ได้ทำการวิจัยเรื่อง “สึนามิโบราณในประเทศไทย” ล่าสุดงานวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Nature ซึ่งเป็นวารสารของประเทศอังกฤษที่เผยแพร่ผลงานวิจัยทางวิชาการที่ได้รับการย อมรับเป็นอันดับหนึ่งของโลก นอกจากนี้ยังได้รับการเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ BBC News ด้วย
      
       อ.ดร.เครือวัลย์ จันทร์แก้ว เปิดเผยถึงเหตุผลที่ทำให้งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร Nature เนื่องจากเป็นหลักฐานชิ้นแรกที่ยืนยันว่าเคยเกิดสึนามิในมหาสมุทรอินเดียมาแ ล้วหลายครั้งในอดีต
      
       งานวิจัยเรื่องนี้เริ่มทำการศึกษามาตั้งแต่ปี 2547 โดยเริ่มจากการศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสึนามิบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลอั นดามันของประเทศไทย 6 จังหวัด ได้แก่ จ.ภูเก็ต จ.พังงา จ.ระนอง จ.กระบี่ จ.ตรัง และ จ.สตูล ผลงานที่ตีพิมพ์นี้เป็นการรายงานการค้นพบหลักฐานทางธรณีวิทยาที่ยืนยันได้ว่ าในอดีตประเทศไทยเคยเกิดสึนามิขึ้นมาแล้วและเหตุการณ์ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเม ื่อประมาณ 600 ปีที่ผ่านมา
       และมีแนวโน้มว่าเป็นสึนามิที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับเมื่อปี 2547
      
       เหตุผลที่นักวิจัยทำการศึกษาวิจัยเรื่องนี้เนื่องจากเมื่อย้อนไปก่อน ปี 2547 คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าสึนามิจะเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ก็เกิดคำถามขึ้นมาในวงวิชาการว่าจะมีโอกาสเกิดซ้ำได้อีกหรือไม่
      
       "ถ้าเราสามารถหาหลักฐานได้ว่าประเทศไทยเคยเกิดพิบัติภัยสึนามิมาแล้ว ในอดีต ก็จะมีส่วนช่วยในการประเมินความเสี่ยงของพื้นที่ เพื่อที่ชาวบ้าน หรือคนที่อยู่ในพื้นที่ชายฝั่งนั้นๆ จะได้เตรียมรับมือกับมหันตภัยดังกล่าว ตลอดจนลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น"
      
       อ.ดร.เครือวัลย์ก ล่าวว่าการวิจัยครั้งนี้ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากหลายแหล่งทั้งจากจุฬาฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หน่วยงานธรณีวิทยาของสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และมหาวิทยาลัยวอชิงตัน (ซีแอตเติล) เป็นต้น โดยใช้เวลาในการทำวิจัยกว่า 2 ปี
      
       "การหาหลักฐานของสึนามิจะต้องเดินทางเข้าไปในพื้นที่จริง และทำการขุดเพื่อหาหลักฐานตะกอนที่ถูกพามาสะสมโดยสึนามิ โดยได้ลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลในพื้นที่ของ จ. ภูเก็ต และพังงา ทำการขุดลงไปในพื้นดินลึกประมาณ 1 เมตร บริเวณที่ทำการศึกษาโดยละเอียดและนำไปสู่การตีพิมพ์ในครั้งนี้คือ เกาะพระทอง จ.พังงา ซึ่งพบชั้นตะกอนทรายสึนามิโบราณทั้งหมด 3 ชั้น แทรกอยู่ระหว่างชั้นดินสีดำ ซึ่งทั้งหมดถูกปิดทับโดยชั้นตะกอนสึนามิเมื่อปี 2547 ที่มีความหนา 5 - 20 เซนติเมตร"
      
       อ.ดร.เครือวัลย์ กล่าวต่อไปว่า ผู้วิจัยได้เก็บตัวอย่างจากเปลือกไม้จำนวนหลายตัวอย่างที่อยู่ระหว่างรอยต่อ ของชั้นดินกับชั้นทรายสึนามิโบราณชั้นบนสุด และส่งตัวอย่างนี้ไปตรวจหาอายุที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผลปรากฏว่าได้อายุที่ใกล้เคียงกันมาก คือ 600 ปี ทำให้เราทราบว่าเหตุการณ์สึนามิครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 600 ปีที่แล้ว
      
       ส่วนตะกอนทรายสึนามิโบราณอีก 2 ชั้นที่อยู่ลึกลงไปยังไม่สามารถหาอายุได้อย่างแน่ชัด แต่จากอายุของตัวอย่างหอยที่อยู่ลึกลงไปทำให้คาดว่าชั้นทรายสึนามิโบราณอีก 2 ชั้นนี้มีอายุน้อยกว่า 2,800 ปี
      
       ผลงานวิจัยนี้ช่วยยืนยันว่าฝั่งทะเลอันดามันของบ้านเราเคยเกิดสึนามิ มาก่อน และเป็นไปได้ว่าเกิดขึ้นมาแล้วมากกว่า 1 ครั้ง ซึ่งจะจุดประกายความคิดให้กับภาครัฐในการให้ความสำคัญต่อการให้การศึกษากับป ระชาชนที่อยู่ในพื้นที่ชายฝั่ง เพื่อให้ทราบถึงภัยจากสึนามิและให้รู้วิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ในอนาคต ในบริเวณนี้อาจมีสึนามิเกิดขึ้นอีกในอนาคต เพียงแต่ไม่สามารถบ่งบอกวันเวลาที่ชัดเจนได้
      
       แต่หากช่วงเวลาที่จะเกิดยิ่งนานออกไปเท่าใด ความรุนแรงก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากลักษณะของการเกิดแผ่นดินไหวโดยเฉพาะบริเวณที่มีการมุดตัวของแผ่นเป ลือกโลกนั้น เมื่อแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่เข้าหากัน เปลือกโลกที่มีองค์ประกอบที่หนักกว่าก็จะมุดตัวลงไปด้านล่าง ในขณะที่เปลือกโลกที่อยู่ด้านบนก็ถูกดันขึ้นเรื่อยๆ และเกิดการสะสมของแรงเครียด เมื่อเสียดสีกันมากขึ้นก็จะยิ่งเกิดแรงเครียดสะสมมากขึ้น
      
       เมื่อไม่สามารถรับได้ต่อไปเปลือกโลกที่อยู่ด้านบนก็จะดีดออก ทำให้เกิดแผ่นดินไหวพร้อมกับมีการเคลื่อนที่ของน้ำและเกิดเป็นสึนามิขึ้น ฉะนั้นยิ่งมีการสะสมของแรงเครียดเป็นเวลานานเท่าไร ขนาดของแผ่นดินไหวและสึนามิที่จะเกิดตามมาก็ยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้นตามไปด้ วย
      
       “งานวิจัยชิ้นนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้มีการศึกษาเกี ่ยวกับเรื่องสึนามิมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นในการให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภ ัย เพื่อให้คนตื่นตัว และรู้วิธีปฏิบัติตนเพื่อให้รอดพ้นจากภัยพิบัติได้ หากรัฐบาลไทยร่วมกับกระทรวง ศึกษาธิการให้การศึกษาเกี่ยวกับสึนามิอย่างจริงจัง เพื่อถ่ายทอดข้อมูลและความรู้ไปยังคนรุ่นหลังได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง” อ.ดร.เครือวัลย์ กล่าวทิ้งท้าย

การป้องกันตัวของฝ่าย พธม






 
 ผู้เขียน: Peter  
ใ นการต่อสู้กับรัฐบาลนั้น ฝ่าย พธม ได้เปรียบในหลายด้าน ทางด้านกฏหมายก็ได้เปรียบเพราะได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญอยู่  การต่อสู้กับการใช้อำนาจรัฐนั้น ต้องเร่งคดี 7 ตุลาคม 2551 ให้บรรลุผลโดยไว เพื่อตรึงรัฐไว้ไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับ พธม อีก เรียกว่าเชือดไก่ให้ลิงดู  ในส่วนของ นปก นั้น เมื่อมองการตอบโต้ของ พธม แล้วเห็นว่า ฝ่าย นปก ไม่กล้าเข้ามายุ่มย่ามนัก เพราะ นปก เองเข้ามาแบบผิดกฏหมาย พธม จึงสามารถตอบโต้ได้ทุกรูปแบบ ปัญหาจึงอยู่ที่การใช้อำนาจมืดมาทำร้ายด้วยอาวุธสงคราม  ที่ต้องจัดแนวป้องกันให้ดี  และหากคนพวกนี้มีการใช้พาหนะในการเข้ามาทำร้าย อาวุธหนึ่งที่ใช้ได้ดี ก็คือเรือใบที่ใช้สะกัดรถได้ชะงัดนัก ก่อนที่จะหาทางจับกุม  วงป้องกันก็ต้องขยายให้กว้างขึ้น  และต้องมองทิศทางของการปฏิบัติการของฝ่ายตรงข้ามให้ทั่วถึงเพื่อวางกำลังป้อ งกัน

ต้มสุขภาพคอยารุ่นเยาว์ต่ำเตี้ยถึงแม้จะสูบบุหรี่น้อยและปานกลาง

นักศึกษาระดับวิทยาลัยที่แม้จะสูบบุหรี่ในขั้นน้อยถึงปานกลาง ก็ยังได้รับคะแนนตกต่ำด้านสุขภาพทั้งร่างกายและสติปัญญา เมื่อเทียบกับกลุ่มเพื่อนที่ไม่สูบบุหรี่

วารสารเชสต์ (Chest) รายงานผลการวิจัยจากบราซิลที่พบว่า ในหมู่นักศึกษา 174 ราย จากมหาวิทยาลัยสองแห่งที่ทำการศึกษา ปรากฏว่าคนที่สูบบุหรี่นั้น จะได้คะแนนสำรวจคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวกับสุขภาพในระดับต่ำ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง แต่ก็มีแววว่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยแอ็กทีฟ ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง และแสดงให้เห็นว่ามีความรู้สึกท้อแท้ และกระวนกระวายมากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนเสียทีเดียวว่าจะไปโทษนิสัยการสูบบุหรี่เสียอย่างเดียว

ดร.โฮเซ อันโตนิโอ บัดดินี มาร์ติเนซ และคณะ จากมหาวิทยาลัยเซา เปาโล บอกว่า ในด้านหนึ่งสารเคมีจำนวนมากมีผลต่อการทำงานทางร่างกาย และสติปัญญาของนักสูบรุ่นเยาว์ แต่อีกด้านหนึ่ง คือคนที่กลุ้มใจมักจะค่อนข้างหันเข้าหาการสูบบุหรี่
ในการศึกษานี้ได้เลือกกลุ่มนักศึกษา 77 คนที่สูบบุหรี่มาแล้วประมาณ 3 ปี และจัดว่าเป็นกลุ่มที่สูบบุหรี่น้อยถึงปานกลาง โดยนิยามว่า คนที่สูบมากจะสูบบุหรี่ 25 มวนต่อวัน หรือมากกว่านั้น ส่วนนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่ง 97 คน เป็นกลุ่มที่ไม่สูบบุหรี่ นำมาใช้เปรียบเทียบในการทำแบบสอบถามที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิต โดยดูทั้งด้านร่างกาย การเข้าสังคม และความสมบูรณ์ทางสติปัญญา ปรากฏว่าคนสูบบุหรี่ได้คะแนนต่ำในทุกกรณี.

การศึกษาแนวคิดทางคณิตศาสตร์ในขั้นตอนการผลิตผ้าไหมมัดหมี่จังหวัดขอนแก่น

An Investigation of Mathematical Ideas in Khon Kaen Tie-Dyed Fabric Silk Process

กิตติปกรณ์ อ้มเถื่อน (Kittipakorn Omthuan)*ฉันทนา กล่อมจิต (Chantana Klomjit)**ดร. ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์ (Dr. Maitree Inprasitha)***


บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดทางคณิตศาสตร์ของกลุ่มผู้ทอผ้าไหมมัดหมี่ในขั้นตอน การผลิตผ้าไหมมัดหมี่จังหวัดขอนแก่น เป็นงานวิจัยด้านคณิตศาสตร์ชาติพันธุ์ วรรณา (
Ethnomathematics) โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพที่เน้นการศึกษาภาคสนาม (Field Studies)การเก็บรวบรวมข้อมูลแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรกเป็นการศึกษาเอกสาร (Documentary Studies) โดยผู้วิจัยทำการศึกษาเอกสารหลักฐานเพื่อศึกษาความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับผ้าไหมมัดหมี่ที่ใช้วิธีการดั้งเดิมในการผลิตของแต่ละท้องถิ่น รวมถึงสภาพภูมิศาสตร์ของพื้นที่ดำเนินการวิจัย ระยะที่ 2 เป็นการศึกษาภาคสนาม (Field Studies) โดยการสังเกตอย่างมีส่วนร่วม (Participatory Observation) ในการผลิตผ้าไหมมัดหมี่เมืองขอนแก่น ของกลุ่มทอผ้าไหม ตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีสมาชิกกลุ่มจำนวน 23 คน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึง สิงหาคม 2548 และทำการสัมภาษณ์เชิงลึก (Indepth Interview) ในประเด็นที่สื่อถึงแนวคิดทางคณิตศาสตร์ในขั้นตอนการผลิตผ้าไหมมัดหมี่ และทำการสัมภาษณ์ภายหลังจาก เสร็จสิ้นในแต่ละขั้นตอนของการผลิตผ้าไหมมัดหมี่นำข้อมูลที่ได้จากศึกษาภาคสนามทั้งในส่วนของการสังเกตอย่างมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์ ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเอกสาร มาตรวจสอบความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของขอมูลด้วยวิธีการแบบสามเส้า (Triangulation) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์ตามกรอบแนวคิดที่ใช้พิจารณาแนวคิดทางคณิตศาสตร์ในขั้นตอนการผลิตผ้าไหมมัดหมี่จังหวัดขอนแก่น ที่ผู้วิจัยได้ผนวกขั้นตอนการผลิตผ้าไหมมัดหมี่จังหวัดขอนแก่น ของสภาวัฒธรรมจังหวัดขอนแก่น (2542) 4 ขั้นตอน ได้แก่ การเตรียมเส้นไหม การมัดหมี่ การเตรียมเส้นเครือ (เส้นยืน) และการทอผ้าไหมมัดหมี่ กับแนวคิดเชิงทฤษฎีของ Bishop (1988) ที่พิจารณาแนวคิดทางคณิตศาสตร์ของกลุ่มชนต่างๆ จากกิจกรรมทางคณิตศาสตร์ ได้แก่ การนับ (Counting) การกำหนดขอบเขต (Locating) การวัด (Measuring) การออกแบบ (Designing) การละเล่น (Playing) และการอธิบายชี้แจง (Explaining) จากการวิจัยพบว่าแนวคิดทางคณิตศาสตร์ที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการผลิตผ้าไหมมัดหมี่จังหวัดขอนแก่น มีดังนี้1. กิจกรรมการนับ (Counting) แสดงให้เห็นถึงแนวคิดเกี่ยวกับการใช้คำลักษณะนาม (Classifier) ได้แก่ ด้ง ปอย เที๊ยะ ขีน ลำ ควม และหลบ การใช้สัญลักษณ์แทนการนับ ได้แก่ การไพไหม ขีนหมี่ (การไขว้กันของเส้นไหม) และการใช้เชือกวางพาดบนเส้นไหม การใช้สัญญาณเสียงเป็นจังหวะในการนับจำนวนรอบในการค้นไหม และการดำเนินการนับจำนวนรอยบากบนขาค้นหมี่2. กิจกรรมการกำหนดขอบเขต (Locating) แสดงให้เห็นถึงการมีแนวคิดเกี่ยวกับการกำหนดสัญลักษณ์เพื่อระบุตำแหน่ง ได้แก่ การทำบ้วง (ขมวดปลายเส้นไหม) การใช้สัญลักษณ์ในการกำหนดขอบเขต ได้แก่ การใช้กระดาษกาวติดบนขาค้นหมี่ในการกำหนดลำหมี่ การใช้กระดาษตารางเพื่อจำลองโครงสร้างในการออกแบบลาย การหาความสัมพันธ์ของจำนวนขีนหมี่และจำนวนลำหมี่สำหรับผ้าไหม 1 ผืน และการลำดับก่อนหลัง ได้แก่ การร้อยหลอดหมี่ตามลำดับก่อนหลัง และการทำให้เส้นไหมไขว้กันในการค้นเครือหูก3. กิจกรรมการวัด (Measuring) แสดงให้เห็นถึงการมีแนวคิดเกี่ยวกับ การนับจำนวนวัตถุดิบให้เท่ากัน ได้แก่การกำหนดจำนวนรังไหมที่จะทำการดึงเส้นใยในแต่ละวัน เทคนิควิธี การวัด ได้แก่ การวัดอุณหภูมิในการต้ม รังไหม การใช้ไม้ดันลายหมี่ในการมัดหมี่ และการแทก การประมาณ ได้แก่ การคะเนรังไหมที่ใช้ต้มแต่ละครั้ง มาตราวัด ได้แก่ มาตราวัดความยาวเส้นไหม การกำหนดสัดส่วน ได้แก่ การด่องไหม และการย้อมสีเส้นไหม และการกำหนดจุดเริ่มต้นจุดสิ้นสุดในการปั่นหลอดเพื่อให้หลอดหมี่แต่ละหลอดมีขนาดเท่ากัน4. กิจกรรมการออกแบบ (Designing) แสดงให้เห็นถึงการมีแนวคิดเกี่ยวกับการกระทำเพื่อให้เป็นผลต่อรูปร่างวัตถุ ได้แก่ การเกี้ยวเส้นไหมในการสาวไหม การใช้จินตนาการเพื่อวาดโครงสร้างในการออกแบบลาย แบบรูป (Pattern) ได้แก่ วิธีการมัดหมี่ วิธีการถักเปียเส้นเครือ และวิธีการสืบหูก และการขยายรูปร่าง ได้แก่ การสอด 4 ลวง 15. กิจกรรมการอธิบายชี้แจง (Explaining) แสดงให้เห็นถึงการมีแนวคิดเกี่ยวกับการสมมาตรในการให้เหตุผลของการค้นลำหมี่เป็นเลขคี่ และความสัมพันธ์ของตัวเลข ได้แก่ การค้นลำหมี่ที่ต้องมีความสัมพันธ์ของจำนวนขีนหมี่และจำนวนลำหมี่เพื่อให้ได้ผ้าไหมที่มีขนาด 1 ผืนเท่าเดิม


ABSTRACT

The objective of this research was to investigate mathematical ideas in the process of producing Khon Kaen tie-dyed fabric silk. This is the research of ethnomathematics by using qualitative analysis method, emphasizes to the field studies.There were two phases to collect data for analysis. The first phase was the documentary studies. Researcher studied through documents of the methods in the process of producing tie-dyed fabric silk of each district as well as the geography.The second phase was the field studies, the researcher made a participatory observation to a group of silk workers (23 persons) in Muang Pear subdistrict, Banphai district, Khon Kaen province for three months (June–August 2005). Subsequently, the researcher made an indepth interview of each worker while they were working and after they finished each of four procedures (i.e., preparing fabric, making tie-dyed fabric, preparing the fabric to be determined the length of silk, weaving). Based onBishop’s (1988) framework on 6 mathematical activities of human activities, data from transcriptions of the interview session and field notes from the observation session were used to clarify mathematical ideas embodied in activities of making tie-dyed fabric silk.Afterward, the collected data was examined with the triangulation method and was analyzed with the mathematical ideas in the process of producing Khon Kaen tie-dyed fabric silk.results of the research:The mathematical ideas occurred in the process of producing Khon Kaen tie-dyed fabric silk are shown as following;1. Counting It demonstrated the use of the classifier, (i.e., Dung (duŋ), Poy [pəəj], Tia [tía], Kheen [khìin], Lum [làm], Kuom [khúam] and Lop [lóp]). Moreover, the symbols was used instead of counting (i.e., Paimai [pàjmàj] (using the rope to tie around the string of silk), Kheenmee [khìinmìi] (the crossed of the silk) and put the rope on the string of silk), using the voice signal to be the rhythm to count of the round of Lummee [làmmìi] (group of silk string) and the process of counting the cross on the Lummee [làmmìi] setting tool.2. Locating It demonstrated the idea of setting a symbol in order to specify the position such as Buang [bùaŋ] (to knit on the end of silk string), using symbols in order to set the limitation, which were the using of paper table in order to be in image of the design, finding the relation of the amount of Kheenmee [khìinmìi] and Lum [làm] in a piece of silk, the priority such as to string the silk tube according to the priority and to cross the silk string in order to specify the length of the silk.3. Measuring It demonstrated the idea of counting material (i.e., to specify the amount of silk pods which were used each day), technique in measuring such as measuring the temperature in boiling silk pod, the using of the rod in Mudmee [mátmìi] and inserting the pattern (measuring the pattern), the estimation such as the estimation silk pod for each time of boiling. The measuring system are length measurement, the proportion such as Dongmai [dəŋmàj] (bleach) and yarn dye and specify the beginning and ending of throwing.4. Designing It demonstrated the idea of action that affected to the figure of the object (i.e., Kiew [kíaw] (to cross the silk string)), the using of imagination to design, the pattern such as Mudmee, maintain the warp, continuing the silk string and the expand the figure which was Sod [səət] 4 Luong [lùaŋ] 1 (dash the silk string that had pattern 4 times and another silk string 1 time).5. Explaining It demonstrated the idea of the symmetry in specification of Lummee [làmmìi] to be an odd number and the relation between the number of Lummee [làmmìi] and Kheenmee [khìinmìi] in order to get 1 piece of silk.

*นักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตรศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น**รองศาสตราจารย์ สาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น***ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาวิชาคณิตศาสตรศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น


จากการประชุมทางวิชาการ เสนอผลงานวิจัย ระดับบัณฑืตศึกษา ครั้งที่ 9
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2550 ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
The 9th Symposium on Graduate Research, KKU. 19 January 2007

การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และความสามารถคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรีย

การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และความสามารถคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT และการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง สารในชีวิตประจำวัน


The Comparison of Achievement, Skill Process Science and Thinking Skill of Student Pathomsuksa Six Between Using 4 MAT and Inquiry Instructionfor Sciene Subject on a Substance into Daily Life Topic

ฉันทนา กล้ำสำโรง (Chuntana Klumsamrong)*
ดร.นิราศ จันทรจิตร (
Dr. Nirat Juntarajit)**

จีระพรรณ สุขศรีงาม (
Jeerapun Suksringam)***


บทคัดย่อ

ในการวิจัยครั้งนี้ มีความมุ่งหมาย เพื่อพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หาดัชนีประสิทธิผล เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน และความสามารถคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT กลุ่มทดลองที่ 1 จำนวน 29 คน และแบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มทดลองที่ 2 จำนวน 29 คน เรื่อง สารในชีวิตประจำวัน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนท้าวสุรนารี(2521) อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา ผลการวิจัยปรากฏดังนี้ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพ 80.54/78.97 และ 77.19/76.78 ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 มีค่าดัชนีประสิทธิผลเพิ่มขึ้นร้อยละ 65.67 และร้อยละ 60.70 ตามลำดับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไม่แตกต่างกัน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ไม่แตกต่างกัน ความสามารถการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียน ที่เรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT สูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05

ABSTRACT

The researching of this time has purpose of developing in learning and teaching plans. By finding out the comparison of effectiveness index and study achievement , skill process science and ability of analytical thinking. In Pathom Suksa 6 students which have been studied in the from of 4 MAT separated them 29 pupile as experiment 1 with the Inquiry Instruction separated them 29 pupile as experiment 2 for Science Subject on a Substance into Daily life topic. The sample for this study of Pathom Suksa 6 at thaowsuranaree (2521) School Ampher suongsang, Nakornratchasima . The study results were as follows. The 4 MAT’s plan and Inquiry’s plan equation with one variable which planed up has capacity of 80.54/78.97 and 77.19/76.78 as following, which is higher than the standard of 75/75 The 4 MAT’s plan and Inquiry’s plan equation with one variable has more capacity of effectiveness index 65.67% and 60.70% as following. Study achievement of students is not different The skill process science is not different The ability of analytical thinking of students which have been studied as a from of 4 MAT’s plan is higher than the students who had been studied from Inquiry’s plan it was found that means were different at the 0.05 level of significance.


* นักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
** อาจารย์ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
*** รองศาสตราจารย์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม



จากการประชุมทางวิชาการ เสนอผลงานวิจัย ระดับบัณฑืตศึกษา ครั้งที่ 9
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2550 ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
The 9th Symposium on Graduate Research, KKU. 19 January 2007