...+

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2550

รู้ไหมว่า....หลิว อาจารียา ออกอัลบั้มเพลงลูกทุ่งมาแล้วถึง 4 อัลบั้ม

คนฟังเพลงลูกทุ่ง คงเคยได้ยินเพลง สะใภ้นายก , บุษบาแดนเซอร์, หรือ เพลงคาถาขอใจกันมาบ้างแล้ว
เป็นเพลงของนักร้องลูกทุ่ง “หลิว อาจารียา”

Music video เพลงดังๆของเธอ ยังคงถูกเปิดในรายการเพลงของทีวีดาวเทียมอยู่ทุกวัน
ฟังเพลินๆ จนติดหู ไม่นึกว่า หลิวจะออกอัลบั้มมาแล้วถึง 4 อัลบั้ม
มีผลงานเพลงมากเพียงนี้ ถือว่า เป็นนักร้องหน้าเก่า เป็นนักร้องดังไปแล้ว

ผลงานเพลง 4 ชุดของหลิว อาจารียา มีดังนี้
1. บุษยาแดนเซอร์
2. 1479 รหัสรักรหัสใจ
3. คาถาขอใจ
4. จบข่าว

หลิวเป็นนักร้องในสังกัดค่าย U2 record รู้สึกว่า ได้ยินเพลงดัง ชินเมโจได๋ คาถาขอใจเมื่อไม่นานมานี้ แป๊บเดียว ออกชุดที่ 4 จบข่าว ซะแล้ว



ได้ยินเพลงหลายเพลงบ่อยๆ จนนึกว่า อยู่ในอัลบั้มชุดเดียวกัน
เพลงลูกทุ่งในยุคนี้ ออกมาเยอะมากๆ จนแทบจะจำไม่ได้แล้วว่า เพลงไหนอยู่ในอัลบั้มชุดอะไรบ้างแล้ว

การว่าจ้างบริษัทอเมริกัน ทำประชาสัมพันธ์ให้กับรัฐบาลไทย แล้วสังคมตะวันตกเข้าใจสังคมไทยดีแค่ไหน

จากการว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ของฝ่ายอดีตนายกฯ ทักษิณ ให้ข่าว เพื่อลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายปกครองบ้านเมืองของไทยในปัจจุบัน

ในสายตาของต่างประเทศ มองประเทศไทยในแง่ลบเป็นส่วนใหญ่
ฝ่ายรัฐบาลจึงไปว่าจ้างบริษัททำประชาสัมพันธ์ให้บ้าง
เดือนละ 2 แสนเหรียญสหรัฐ

แล้วบริษัทที่รับจ้าง เข้าใจสังคมไทยมากแค่ไหน
เข้าใจรูปแบบการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเพียงใด
เข้าใจความซับซ้อน ความลึกซึ้งที่เข้าถึงจิตใจคนไทยมากแค่ไหน

น่าสนใจต่อการทำงานของฝรั่ง ในการพยายามเข้าใจสังคมไทย
รูปแบบของสังคมตะวันตกนั้น เข้าใจง่ายกว่า ซึ่งฝ่ายอดีตนายกฯ ให้ข่าว+ข้อมูลในแนวทางของสังคมตะวันตก
น่าห่วงว่า แนวรบด้านสื่อของไทย
การชี้แจงทำความเข้าใจที่ถูกต้อง อาจจะยากพอสมควร
ในเมืออีกฝ่าย ให้ข้อมูลในด้านตรงกันข้ามตลอดเวลา

ทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ แล้ว เมื่อ 30 เม.ย. 2550

หลังจาก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร หลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อ 19 ก.ย. 2549
มีความพยายามที่จะกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง
และในวันนี้ ฝันนั้นก็เป็นจริง
ในการประชุมประจำปี ของสมาคมกอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทย ได้เลือกนายกสมาคมคนใหม่
ซึ่งได้ แก่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกสมาคมกอล์ฟ

ตอนนี้ จึงเรียก นายกฯทักษิณได้เช่นเดิม
แต่เป็นนายกสมาคมกอล์ฟ!!!
อาจถือว่า ได้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง

.. น่าสังเกตว่า สมาคมกีฬาของไทย มีกลุ่มนักการเมืองเข้ามามีบทบาท มีตำแหน่งในสมาคมต่างๆหลายสมาคม

ข่าวเล็กๆชิ้นนี้ เป็นความพยายามสร้างความเคลื่อนไหวให้เกิดเป็นข่าวอยู่ตลอด
ไม่ยอมอยู่เฉยๆซักที

เมืองไทยคงจะวุ่นวายไปอีกนาน

ทัวร์ทำดี ตอน : ทำดีง่ายๆ ด้วยการ"ถ่ายรูป" บ้านราชวิถี

วันนี้แวะไปเยี่ยมเยียนน้องๆ ที่บ้านเด็กหญิงราชวิถี บ้านเด็กหญิงราชวิถี นี้ เป็นสถานอุปการะให้ที่พักพิง ให้การศึกษา อบรมเลี้ยงดู เด็กหญิงกำพร้า เด็กที่ครอบครัวไม่สามารถเลี้ยงดูได้ เด็กที่ประสบปัญหาถูกกระทำชำเรา กระทำทารุณ Abuse ต่างๆ ภายในบ้านฯ นอกจากจะมีบ้านพักแก่เด็กๆ แล้ว ยังมีโรงเรียนสอนเด็กๆ ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึง ป.5 จบ ป.5ที่นี่ ก็จะสามารถออกไปเรียนโรงเรียนข้างนอกได้

บ ้านราชวิถีจะดูแลส่งเสียเลี้ยงดูจนกว่าเด็กจะเรียนจบการศึกษาภาคบังคับ และพยายามสนับสนุนส่งเสริมให้เด็กได้เรียนต่อจนถึงระดับมหาวิทยาลัยเลยทีเดี ยว แต่อุปสรรคขวางการเรียนส่วนใหญ่ นอกเหนือจากที่เด็กไม่อยากเรียนเองแล้ว คือ "ครอบครัว" ของเด็ก มาขอรับเด็กกลับไปช่วยทำงาน เมื่อเด็กโตแล้ว เด็กก็อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ก็เลยทำให้ไม่ได้เรียนต่อ

แล้ววัฎจักรชีวิตเดิมๆ ก็เริ่มเกิดขึ้น ณ จุดนี้


วันนี้ที่นั่นเขามีกิจกรรม "ยายหลานประสานใจ" ซึ่งเป็นโครงการที่มีทุกปี เป็นการพบกันครั้งสำคัญ ของผู้สูงอายุยากไร้ ไม่มีลูกหลาน (ลูกหลานไม่เลี้ยงดู) จากสถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมาร(หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) จ.นครปฐม และ ถานสงเคราะห์คนชราหลวงพ่อลำใย จ.กาญจนบุรี กับน้องๆ จากบ้านเด็กหญิงราชวิถี เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน และไปเที่ยวนอกสถานที่ ซึ่งส่วนใหญ่จะไป "วัด"

ต อนไปพบคุณย่าคุณยาย และน้องๆ จะเห็นเขาเดินจูงมือกันเป็นคู่ๆ จับเป็นเหมือน Buddy ดูแลกัน ป้อนข้าว จูงเดิน พูดคุยกัน ตามประสา หลายคู่ก็จะคุยกัน กอดกัน เสมือนว่าเป็นยายหลานกันจริงๆ เห็นแล้วก็อดที่จะถ่ายภาพเป็นที่ระลึกไม่ได้ ปรากฎว่า เป็นที่ชื่นชอบของบรรดายายหลานกันยกใหญ่ โดยเฉพาะเด็ กๆ ชอบถ่ายรูปกันมากทีเดียว พอถ่ายให้คู่นึง อีกคู่นึกก็อยากถ่ายบ้าง ก็เลยเกิดไอเดียว่า ถ่ายให้ครบทุกคู่ แล้วจะอัดภาพส่งไปให้ทั้งยาย และหลาน ที่สถานสงเคราะห์ภายหลัง ไม่ต้องเดา ก็คงจะรู้ว่า น้องๆ ยายๆ แกคงไม่ค่อยมี หรือไม่มีรูปเลย ถ้ามีเอาไว้ดูเล่นบ้างคงจะดี เสียดาย ห้องที่พวกยายๆ หลานๆ นั่งอยู่มันมืดๆ ต้องเปิดแฟลช ภาพเลยสีประหลาดๆ ไม่สวยอย่างใจเลย เสียดายจัง

อันที่จริงเวลาที่เราทำอะไร แล้วทำให้คน "ยิ้มแย้มแจ่มใส" ขึ้นมาได้ มันก็น่าจะเรียกว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง

ถ้ามีโอกาสไปเยี่ยมเยียนสถานสงเคราะห์ต่างๆ นอกเหนือจากไปอาสาช่วยงาน หรือไปบริจาคเงินแล้ว ลองเอามุกนี้ไปใช้ดูนะจ๊ะ

จริงๆ วันนี้ตั้งใจว่าจะมาเยี่ยมบ้านราชวิถีที่เดียว แต่ขามา นั่งรถผ่าน "มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย" ซึ่งก็อยู่เยื้องๆ บ้านราชวิถีไป ไม่ไกลมาก เลยลองเดินๆๆ ฝ่าแดดไป เผื่อได้ข้อมูลดีๆ

ท ี่มูลนิธิช่วยคนตาบอดฯ เขาเน้นเปิดรับอาสาสมัคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาสาอัดเสียง และอาสาติวหนังสือ คือมาสอนการบ้านน้องๆตาบอดที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.1-ม.6 ตอนเย็นๆ ที่มูลนิธิ นอกจากนี้ยังมี อาสาพิมพ์งาน คือพิมพ์หนังสือแบบเรียนต่างๆ แต่ต้องใช้โปรแกรม CW-สุขุม ซึ่งเป็นโปรแกรมพิมพ์งานที่สามารถแปลงไปเป็นอักษรเบล
สนใจโทรไปปรึกษาการขอโปรแกรมและวิธีใช้ติดต่อ ศูนย์พัฒนาสมรรถภาพคนตาบอด (ที่อยู่ด้านล่างสุดๆ)

คุยๆอยู่ กับอาจารย์ที่มูลนิธิ ก็มีซิสเตอร์ ที่ดูแล "ศูนย์ฝึกอาชีพหญิงตาบอดสามพราน" เ ดินเข้ามาในห้อง เลยถือโอกาสถามซิสเตอร์เลยว่า ที่ศูนย์เปิดรับอาสาสมัครและความช่วยเหลืออะไรบ้างไหม ซึ่งคำตอบที่ได้ ก็เหมือนกันคือ อยากได้อาสาอัดเสียง อ่านหนังสือ ใส่เทป-ซีดี ให้คนตาบอดฟัง

เท่านี้ยังไม่พอ อยู่ๆ ก็มีหนุ่มน้อย2 คน (คนปกติ ไม่ได้พิการ) เดินเข้ามา บอกว่ากำลังทำ โปรเจคจบ จะทำ "หนังสือกลิ่นสำหรับคนตาบอด" ว่าแล้วก็หยิบหนังสือตัวอย่าง เป็นรูปดอกไม้นูนๆ มีกลิ่น แต่ละหน้า ก็เป็นดอกและกลิ่นต่างๆ กันไป เขามาปรึกษาเพื่อจะทำอักษรเบล กำกับ บอกชื่อดอกไม้ เป็นหนังสือที่น่าสนุก ไม่เฉพาะสำหรับคนตาบอด ว่ามั๊ย?

เ มื่อเราเดินก้าวออกจากบ้าน ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ถ้าใส่ใจกับสิ่งรอบๆ ข้าง ลองเดินออกนอกเส้นทางบ้าง (แต่ไม่นอกลู่นอกทาง) มันก็มักจะพาเราไปเจอเรื่องดีดีที่น่าแปลกใจ วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยใช้ได้ แต่ก็สนุกมากๆ วันหนึ่ง ทำให้ 1 วันในชีวิต ดูคุ้มค่า


- - - - - - - - - - - - -

ข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับผู้สนใจ

บ้านราชวิถี

ที่อยู่ 255 ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กทม. 10400
โทร 0 2354 7484 แฟกซ์ 0 2354 7485
www.rajvithihome.org

กิจกรรมทำดีที่ทำได้
อาสาสมัคร ช่วยสอน มี2 ระดับ
ระดับสอนจริงจัง จำเป็นต้องมีเวลาทุ่มเทสอน ในวันธรรมดา แบ่งเป็น2 เทอมเหมือนกับโรงเรียนทั่วไป พ.ค.- ก.ค. และ พ.ย - มี.ค.

สอนระดับสมัครเล่น อาจมาช่วยสอนการบ้านตอนเย็นๆ หรือมาติววิชาต่างๆ หรือสอนประดิษฐ์สิ่งของ สอนศิลปะ ทำกิจกรรมพัฒนาจิตใจและบุคคลิกภาพ (อันหลังนี้ ต้องการอย่างแรง)

บริจาคเงิน สนับสนุนเป็นค่าใช้จ่าย และส่งเสริมการศึกษาเด็กๆ
ชื่อบัญชี "มูลนิธิอนุเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี" เลขที่ 021-1-08821-8
ถ้าโอนเงินแล้ว กรุณาแฟกซ์ใบโอนเข้ามาด้วยที่ 0-2354-7485(ขอสัญญาณ) เพื่อมูลนิธิจะได้ส่งใบเสร็จรับเงินไปให้


วิธีเดินทาง
บ ้านราชวิถี อยู่ภายในบริเวณ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (พม.) อยู่บริเวณช่วงต้น-ปลาย สะพานข้ามแยกตึกชัย อยู่หัวมุมถนน ราชวิถี ช่วงที่ตัดกับถนนสวรรคโลก ที่มีทางรถไฟพาดผ่าน อยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลประสาท
แผนที่

รถเมล์ที่จอดหน้า บ้านราชวิถีเลย มีสาย 12 / 18 / 28 / 108 / ปอ.10 / ปอ. 16 / ปอ. 542 / ปอพ.4
ส ามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าBTS ลงสถานีอนุสาวรีย์แล้วเดินมาต่อรถแท็กซี่ หรือรถประจำทาง เข้าไปถนนราชวิถี ลงป้ายไหนถามกระเป๋ารถเมล์อาจจะชัวร์กว่า ฝั่งที่รถจอดจะอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านราชวิถี



- - - - - - - - - - -

สถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมาร หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์
ที่อยู่ 25 หมู่ 3 ต.วัดสำโรง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม 73120
โทร.034-338412, 034-265209

สถานสงเคราะห์คนชรา หลวงพ่อลำใย
(ไม่มีข้อมูล)

- - - - - - - - - -

มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์
ที่อยู่ 420 ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
โทร 0-2354-8365-71 แฟกซ์ 0-2354-8369
www.blind.or.th

ต้องการอาสาช่วยสอนหนังสือ ติวหนังสือเด็ก ม.1-ม.6 ตอนเย็นๆ
ต้องการอาสาอัดเสียง อ่านหนังสือ ลงเทป หรือซีดี

- - - - - - - - - -

ศูนย์ฝึกอาชีพหญิงตาบอดสามพราน

42/126 หมู่ที่ 5 ซอยศรีเสถียร ถนนเพชรเกษม ต.ไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม 73210
โทร 0-2429-0856, 0-2812-6246 แฟกซ์ 0-2812-5233
www.blind.or.th

ต้องการอาสาอัดเสียง อ่านหนังสือ ลงเทป หรือซีดี
หรือถ้าแวะไปแถวนั้น แวะพัก "นวดแผนไทยโบราณ" 8 โมงเช้า - 5โมงเย็น (หยุดทุกวันที่ 1 ของเดือน) หรืออุดหนุนผลิตภัณฑ์คนตาบอดก็ได้


- - - - - - - - - -

ศูนย์พัฒนาสมรรถภาพคนตาบอด

78/2 ถนนติวานนท์ ตำบลบางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120 โทรศัพท์ 0-2583-7327, 0-2583-2533

ที่มา http://learners.in.th/blog/variety/29118

P


เมื่อความตั้งใจจริงถูกมองในแง่ลบ : การเขียนบันทึกใน blog ที่มองกันคนละมุม

มีเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งอยู่ในส่วนภูมิภาค มีแนวคิดที่จะเผยแพร่เรื่องราวการทำงาน เพื่อเป็นวิทยาทานความรู้ แหล่งข้อมูลค้นคว้า เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงานให้เป็นแบบอย่าง เป็นที่รู้จักกับบุคคลผู้สนใจทั่วไป ..

โดยการสมัครสร้าง blog และเขียนบันทึกใน blog ซึ่งเจ้าหน้าที่ท่านนั้นได้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ใส่รูปถ่ายตัวเอง ที่อยู่ รายละเอียดต่างๆ ใน blog ที่เป็นชุมชนที่เปิดเผย



แรกเริ่มเขียนบันทึกเผยแพร่ด้วยความตั้งใจที่ดี เขียนไปหลายบันทึก เวลาผ่านไป มีผู้สนใจเข้ามาค้นพบ รวมทั้งบุคลากรในสังกัดเดียวกัน เลยถูกกังขาว่า คนเขียนบันทึกคนนั้น คงมีผลประโยชน์ หวังสร้างภาพ สร้างผลงานให้ตัวเองแน่ๆ

เวรจริงๆ
มีความคิดเลวๆ อีกแล้ว


การเขียนบันทึกที่ต้องการที่จะสร้างชื่อเสียง สร้างผลงานนั้น ดูไม่ยาก จากเนื้อหาของบันทึกนั่นเอง หากเนื้อหาเป็นไปในทิศทางที่ยกย่องตัวผู้เขียนบันทึกเอง ในทำนองว่า หากไม่มีตัวเขา ไม่ใช่เพราะเขา ทุกสิ่งที่เขียนมา คงไม่เกิดได้ แถมยังระบุอย่างชัดเจน... ซึ่งเหมือนกับผลงานของผู้แทนราษฎร นักการเมืองต่างๆ ที่มักจะใส่ชื่อ-สกุล ติดไว้ในสาธารณูปโภค สิ่งก่อสร้าง ถนน สะพาน ที่ตนเองผลักดัน และมีการติดป้ายระบุชื่อไว้ว่า ผลงานนี้ เกิดจากการผลักดันของ ส.ส..... แม้แต่ ศาลาริมทาง ก็จะมีชื่อของนักการเมืองติดไว้

การเขียนบันทึกนั้น มีหลายลักษณะ มีทั้งลักษณะการบอกเล่าเรื่องราวสู่กันฟัง ทั้งเรื่องราวของคนอื่น และเรื่องราวของตัวเอง การเล่าเรื่องราวของคนอื่น เปรียบเหมือนกับผู้สื่อข่าวที่บอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ของคนอื่นสู่สาธารณะ ในกรณีนี้ไม่เห็นมีใครมองว่า นักข่าวคนนั้น สร้างภาพ สร้างผลงานให้ตัวเอง....

อาจเพราะ นั่นคือหน้าที่ของเขา และทุกคนก็ยอมรับว่า นักข่าวเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวที่เป็นข่าวนั้นให้หลายคนได้รับรู้

กรณีเจ้าหน้าที่สังกัดกรมพัฒนาที่ดิน มาเขียนบันทึกใน blog แห่งหนึ่ง แล้วมีผู้มองว่า ต้องการสร้างภาพให้ตัวเอง มีผลประโยชน์แอบแฝง...

..มันเป็นการมองแบบคนใจแคบ..
...มองตัวเองเป็นหลัก...
... เพราะความคิดที่คับแคบของผู้มองนั่นเอง ซึ่งผู้มองมีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวสมองอย่างฝังแน่น
...คนที่ไม่มีความคิดที่จะสร้างภาพ มีความจริงใจย่อมไม่คิดเช่นนั้น
คนที่คิดแบบไหน ลึกๆแล้ว ย่อมเป็นคนแบบนั้น

ผู้ที่มีมุมมองแบบนั้น ขี้อิจฉา กลัวคนอื่นจะได้หน้ามากกว่าตัวเอง

เฮ้อ เมืองไทย....

บันทึกรักจากชายคนหนึ่ง : มีดกรีดหัวใจ กับการเยียวยาแผลเป็นจากความรัก

เมื่อชายคนหนึ่ง คบหาดูใจกับแฟนสาวมาได้สักระยะหนึ่ง จนแฟนสาว รักเขาอย่างมากมาย
แต่แฟนสาวรู้สึกไม่สบายใจ เพราะยังคงมีเรื่องหนึ่งที่ปกปิดชายคนหนึ่งเอาไว้ เกี่ยวกับเรื่องราวความรักในอดีตของเธอ เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา

เธอเคยเป็นของคนอื่นมาก่อน อยู่กับชายคนอื่นในแบบครอบครัว ซึ่งพ่อแม่ของเธอและของชายคนอื่นรับรู้และยินยอม ให้ครองคู่กัน

ซึ่งน่าจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ที่ราบรื่น สดใส สวยงาม เฉกเช่นเดียวกับคู่รัก คู่สมรสคู่อื่นๆ

แต่ 1 ปีที่อยู่ด้วยกัน ฝ่ายชายกลับไม่สนใจเธอมากนัก ไม่เอาใจใส่ และไปคบหากับผู้หญิงคนอื่น ทั้งๆที่มีเธออยู่ที่บ้านอยู่แล้ว

ในยามที่เธอป่วยเข้าโรงพยาบาล ในฐานะสามี เขายังไม่รู้สึกห่วงใยแม้แต่น้อย
เธอทนมาจนถึงขีดสุด จนต้องตัดสินใจแยกทางเดินจากกัน...

มาวันนี้ เธอมาพบรักกับชายคนหนึ่ง ได้รับความรัก การดูแลที่จริงใจ และเธอก็รักชายคนหนึ่งอย่างมาก แต่มีเรื่องที่ไม่สบายใจกับเรื่องความรักในอดีต

เรื่องราวที่หากชายคนหนึ่งรู้แล้ว อาจจะทำให้เขาไม่สบายใจ
เมื่อปรึกษาหารือกับพี่สาว และน้องสาวที่สนิทกัน เธอจึงตัดสินใจบอกเขา
ให้เขารู้เรื่องราวจากปากของเธอ ดีกว่า รู้จักปากของคนอื่น เพราะความลับย่อมไม่มีในโลก สักวันเขาย่อมรู้เรื่องนี้

เมื่อเธอเอื้อนเอ่ยเรื่องราวออกไป ในนาทีนั้น ชายคนหนึ่งตอบกลับไปว่า ไม่เป็นไรหรอก
แต่หลังจากผ่านไป 1 วัน เมื่อเธอโทรกลับไปหาเขา กลับไม่ได้รับการตอบรับ ไม่รับสาย...
..... ทำให้เธอคิดมาก คิดว่า ชายคนหนึ่งอาจจะเดินออกจากชีวิตของเธอ

บางเวลา เมื่อเธอพยายามโทรไปหาเขาหลายครั้ง ช่วงหนึ่งเมื่อเขารับโทรศัพท์ เขาก็คุยอย่างเสียไม่ได้
ไม่พูดคุยเหมือนเดิม

ผ่านไป 1 สัปดาห์ เธอจึงต้องเดินทางข้ามจังหวัดมาพบกับเขา เพื่ออธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยปากของเธอเอง
ต่อหน้าเขา

เธอเล่าเรื่องราวให้เขาฟังทั้งหมด แล้วบอกว่า ณ วันนี้ เธอไม่ได้รู้สึกผูกพันกับชายในอดีตของเธอ แต่อย่างใด
ไม่เคยคิดที่จะหวนกลับไปหาเขาคนนั้นอีก แม้จะทำงานอยู่ในเมืองเดียวกันก็ตาม

เมื่อเล่าให้ชายคนหนึ่งฟังแล้ว
สีหน้าเขาเรียบเฉย ไม่มีคำพูดใดๆออกมา
”ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ไม่พูดอะไรออกมาบ้างเลย ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ไม่เล่าให้ฟังหรอก”
แล้วเธอก็เริ่มร้องไห้ ต่อหน้าเขา

อึดใจใหญ่ ชายคนหนึ่งถึงได้เอ่ยคำพูดออกมา
”เมื่อเวลาผ่านไป กับการคบกับเธอในเวลาไม่กี่เดือน เขาเกิดความรู้สึกรักและผูกพันกับเธออย่างมาก และอยากให้เธออยู่เคียงข้างเขาตลอดไป......

..แต่เมื่อวันหนึ่ง เธอบอกเล่าเรื่องราวความผิดพลาดในอดีตให้รับรู้ เหมือนมีคนหยิบมีดมากรีดหัวใจให้เลือดทะลักออกมา เลือดไหลทะลักออกมาจากปาก....




กับความรู้สึกลึกๆของชายคนหนึ่ง เขายังรักเธอเช่นเดิม และมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเธอกล้าที่จะบอกเรื่องนี้กับเขาด้วยตัวเธอเอง แทนที่จะเลือกปิดบัง ให้เกิดปัญหาไม่เข้าใจกันในอนาคต

อดีตที่ผิดพลาด คงไม่มีใครย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ในปัจจุบัน
เมื่อยอมรับว่า รัก ย่อมไม่อยากที่จะเหยียบย่ำซ้ำเดิมคนรักให้เจ็บซ้ำขึ้นมาอีก
เลือดที่ไหลทะลักออกมาของเขา ก็ไม่ควรที่จะไปเปื้อนใครๆ
เขาจึงเลือกที่จะกลืนเลือดของตัวเอง ให้เวลาในการเยียวยาแผลใจสักพัก คงจะรู้สึกดีขึ้น
ให้แผลเป็นตกสะเก็ด และค่อยๆหายไปเอง

.....

Handicaption of Population ภาวะพิการของประชากร

Handicaption of Population

ภาวะพิการของประชากร

ค วามพิการทางกายภาพที่เป็นสิ่งที่มีผู้คนบางคนประสบและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งการกล่าวถึงคงไม่ดีและก็ไม่ได้มีประสงค์อะไรที่จะไปกล่าวถึง

ซ ึ่งความพิการทางประชากรนั้นไม่เหมือนกัน เพราะมันเป็นภาวะพิการเสมือนที่ไม่ได้พิการ แต่ก็พิกลพิการของมันเอง โดยที่รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆอีกที

ค วามพิการทางสายตา หรือที่ว่าตาสั้น ตาบอด ในตอนนี้โรคนี้ได้แพร่สพัด ไปทั่วเกือบทุกๆแห่งของประเทศ ผู้คนตามืดบอดเสมือนคนตาบอด ด้วยการปกปิดปิดบัง ครอบงำ กลุ่มอำนาจต่างๆต่างพากันกระทำการให้ประชาชนตามืดบอด หลงเชื่อในข้อมูลและข่าวสารของทางฝ่ายตนและโจมตีทางฝั่งตรงข้าม เป็นการระดมพลเพื่อเผชิญหน้ามวลชน
ส่วนตาสั้นก็ไม่น้อยเพราะ ผู้คนมักจะมองอะไรที่ใกล้ๆ อะไรที่เห็นผลในระยะเร็ว ใจร้อนด่วนได้ ไม่มีใครที่จะมองอะไรในแบบที่เรียกว่าวิสัยทัศน์ เพราะมันมองไม่เห็นด้วยสายตาอันสั้น ยิ่งเหล่าผู้มีอำนาจปกครองซึ่งมักจะสายตาสั้นมากกว่าเหล่าประชาชนนัก เพราะมองก็แค่ผลประโยชน์ที่กลุ่มตนจะเข้ามากอบโกย ส่วนที่จะมองระยะยาวทำเพื่อชาติบ้านเมืองนั้นคงหาไม่ค่อยได้เท่าไหร่

ค วามพิการทาง โสตประสาท หูหนวกบ้างหรือหูตึงบ้าง แต่ที่แน่ๆ หูเบาอันนี้ค่อนข้างจะเป็นเยอะ หูหนวกที่มักจะเป็นคู่กับอาการตาบอดเพราะกลุ่มอำนาจมักจะครอบงำทั้ง2ส่วนอย ่างพอๆกันคล้ายกับจะมีความยุติธรรม อาการหูหนวกเป็นอาการที่แปลกเพราะมักจะหนวกเฉพาะเรื่องที่ตนเองไม่ต้องการ และจะใช้งานได้ดีในเรื่องที่ตนเองสนใจ
ส่วนอาการหูเบา อันนี้เป็นระยะเริ่มต้นของการเป็นประชากร เพราะในตอนนี้เองมักจะได้รับข้อมูลข่าวสารมากมาย และเกิดอาการหลงเชื่อ ถึงแม้ว่าการเจาะหูมากๆเพื่อถ่วงน้ำหนักซึ่งเป็นที่นิยมกันในหมู่วัยรุ่น ก็ไม่น่าช่วยเหลืออะไร
อาการหูเบานี้มักจะพบเห็นได้ทั่วไป ภาหะนำโรคน่าจะเป็นทีวีที่มักจะนำพาโรคนี้ไปสู่ผู้คน ให้หลงเชื่อข้อมูลต่างๆ ส่วนใหญ่จะพบเห็นได้จากโฆษณา ที่ไม่ว่าอันไหนๆมันก็ชวนเชื่อไม่ต่างกัน

ความพิการทางจมูก อันนี้จะเป็นกันมาก เพราะว่าเป็นอาการที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นกันเกือบทั้งประเทศ คืออาการที่เรียกว่า ไร้จมูก หรือยืมจมูกคนอื่นหายใจ อาการนี้หาได้ทั่วไป และเห็นได้ชัดมากจากระบบเศรษฐกิจที่ในตอนนี้แทบจะเรียกได้เลยว่าเราไม่มีจมู กเป็นของตัวเอง เราอาศัยจมูกของต่างชาติหายใจอยู่ตลอดเวลา ถ้าวันไหนต่างชาติถอนการลงทุนซึ่งนั่นหมายถึงการเอาจมูกไป เราจะหายใจไม่ออก ถ้าย่อยลงมาหน่อยก็น่าจะเป็นเรื่องราวที่ผู้คนมักที่จะไม่ทำอะไรเองและอาศัย จมูกคนอื่นอยู่ตลอดๆ จะเห็นได้จากระบบการเมืองที่ผู้คนมักจะอาสัยเหล่าผู้แทนเป็นจมูก ซึ่งพอคนเหล่านั้นไม่ทำให้ ผู้คนบางคนถึงกับแทบตาย เพราะขาดอากาศ

ความพิการทางลำแข้ง อาจฟังดูแปลกๆ แต่ว่ามันคือส่วนตรงนั้นจริงๆ ก็คือการที่คนเรายืนบนลำแข้งของตัวเองไม่ได้
ม นุษย์ที่เมื่อมาถึงภาวะเจริญวัยย่อมหมายถึงการเลี้ยงดูตนเองได้ แต่ทว่าการยืนบนลำแข้งของตัวเองกลับไม่ใช่เรื่องที่ง่ายในประเทศนี้เพราะ โครงสร้างทางสังคมที่หมักหมมความเน่าเสียต่างๆ ระบบต่างๆที่ทำให้เกิดการดองภาวะเจริญวัยในคนยืนบนลำแข้งของตนเองได้ช้าลง ด้วยระบบการศึกษาที่พอเอาเข้าจริงเอามาใช้ยืนไม่ได้ ก็มันแค่กระดาษบางๆหนึ่งแผ่น ระบบการทำงานที่ค่าตอบแทนไม่พอยาไส้ ทำแทบตายไม่มีอะไรตกถึงท้อง ซึ่งพอรวมกันแล้วก็ยากที่จะให้คนหนึ่งๆ สามารถยืนบนลำแข้งตัวเองได้ หลายคนแม้จะทำงานแล้วก็ยังต้องอาศัยพ่อแม่ตนเองช่วยเหลือยู่เสมอๆ

อ าหารพิการมือและเท้า หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า งอมืองอเท้า อาการนี้ก็เป็นกันไม่น้อย เพราะว่าคนเรามักจะรอเหล่าอัศวินเจ้าชายขี่ม้าขาว ต่างๆที่จะออกมาจากหนังสือเทพนิยายมาช่วยเหลือ หรือไม่ก็เฝ้ารอปาฏิหารต่างๆที่จะเกิดขึ้นให้ตนเองมีสิ่งต่างๆที่ดีขึ้น หรือที่ฮิตกันก็คงไม่พ้นวัตถุมงคลต่างๆที่แห่ตามกันทั่วบ้านทั่วเมือง ซึ่งพอเอาเข้าจริงการกระทำของกลุ่มคนต่างๆก็เป็นเพียงงอมืองอเท้ารอให้สิ่งต ่างๆมันเกิดขึ้น พอมีคนเอาเงินมาโปรยให้ก็กลายเป็นว่านั่นคือผู้ช่วยเหลือ แต่ตนเองไม่ทำอะไรเอง เค้าเอาอะไรมาให้ก็กลายเป็นเค้าหวังดี ทั้งๆที่การให้แบบหวังผลนั้นมันค่อนข้างที่จะชัดเจน แต่ผู้คนที่งอมืองอเท้ากลับคิดว่าตัวเองไม่เคยได้สิ่งเหล่านี้จากผู้อื่น ซึ่งกลายเป็นว่า เป็นการส่งเสริมการงอมืองอเท้าให้แพร่หลายมากขึ้น จนคนเฝ้ารอของที่เค้าจะมาโปรยให้ไม่ทำอะไร

ความพิการทางสมอง คือการปราศจากระบบความคิดต่างๆ มักจะเป็นอาการแทรกซ้อนที่มาจากอาการ ตาบอดและหูหนวก ทำให้ระบบความคิดมัดจะถูกกดทับด้วยการครอบงำทางความคิดจนไม่อาจจะคิดอะไรเอง ได้ ผู้ใหญ่ว่ามาเช่นไร ผู้คนก็จะเฮโรตามกันไป กลุ่มคนไหนฮิตอะไรคนอื่นๆก็จะเฮโรตามกันไป ซึ่งทำให้ระบบความคิดพิกลพิการลงที่ละน้อยและไปจนถึงการไร้ซึ่งความคิด ได้แต่คอยอิงความคิดของผู้อื่น ที่ใครว่าไงก็ว่าตามๆกันไป เค้าว่าให้เรียกร้องนั่นนี่ก็เรียกร้องไป เค้าว่าให้ทำนั่นนี่ดีก็ทำกันไป ประกอบกับะรบบการศึกษาที่ไม่ค่อยได้บริหารสมองเท่าไหร่ทำให้สมองอาจจะฝ่อมา ตั้งแต่ตอนสมัยเรียนก็เป็นได้

ความพิการทางปอด หรือเรียกง่ายๆ ว่าปอดแหก ที่มักจะพบเห็นได้ทั่วๆ ไปที่ผู้คนมักจะปอดแหกกลัวในสิ่งต่างๆ อย่างระบบคอรัปชั่นต่างๆที่มักจะทำได้จากการที่ผู้อยู่ในระบบที่เป็นคนดี กลัวอำนาจของเหล่าผู้ไม่ดีที่กำหนด ทำให้ระบบคอรัปชั่นนั้นประสบความสำเร็จง่าย ไอ้ครั้นจะบอกว่าต้องไม่ปอดแหกมันก็ยากเย็นแสนเข็ญซะเหลือเกินเพราะว่า โครงสร้างของสิ่งต่างๆในสังคมมันค่อนข้างจะเอื้อเพื้อให้ผู้คนเกิดอาการปอดแ หกได้ ด้วยความที่รัฐมักจะไม่ได้อยู่ข้างคนดี แน่นอนคนดีก็ย่อมที่จะปอดแหกเป็นธรรมดา และไม่อยากมีใครหาญกล้าเอาตัวเองไปเสี่ยง

แต่ถึงแม้ว่าจะมีหลายส่วนพิกลพิการไปแล้ว แต่ว่าก็ยังดีที่คนเรายังมีส่วนที่ใช้การได้ดีอยู่ตลอด นั่นก็คือ ดีแต่ปาก
อ าการปากดี ที่ น่าจะเป็นอาการยอดฮิตไม่น้อยไปกว่าอย่างอื่นๆ ผู้คนมักที่จะพูดดีแต่ปาก แต่ก็ไม่ค่อยที่จะลงมือทำอะไร อย่างเหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลายจะเป็นกันมากเพราะก็จะสักแต่พูดๆ พูดดี ปากดี ไปเรื่อยเปื่อย แต่ไม่เคยได้ทำอะไรอย่างที่พูดๆ กันเท่าไหร่ ผู้คนทั่วไปเองก็มักจะเป็นกันไม่มากก็น้อย ไม่รู้ว่ามัวเอาไปละเลงขนมเบื้องหรืออย่างไร แต่ก็จะเห็นได้ว่าผู้คนมักจะปากดีไว้ก่อน จะทำไม่ทำนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง



ภาวะพิการของประชากร จะเป็นภาวะที่บั่นทอนประสิทธิภาพ คุณภาพของประชากรต่างๆ เพราะว่าการรักษาไม่อาจจะรักษาแบบทั่วไปได้ และก็ไม่ใช่ว่าจะเห็นผลการรักษาได้แบบทันตา การปล่อยไว้ก็นับวันจะยิ่งเรื้อรังและไม่รู้ว่าจะมีอาการแทรกซ้อนไปถึงไหนอี ก


แต่ที่แย่กว่าก็คือ ยังมองไม่เห็นแนวทางและการริเริ่มที่จะรักษาภาวะนี้เลยแม้แต่น้อย

ที่มา http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5363877/K5363877.html

วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2550

ย่อเรื่องกรรม.

กรรมคือเจตนา กรรมเป็นคำกลางแปลว่าการกระทำ เป็นกรรมดีก็ได้ เป็นกรรมชั่วก็ได้ การกระทำกรรมเกิดขึ้นได้ทางกาย วาจา และแม้กระทั่งเกิดทางใจ คือ มีความคิดดี หรือไม่ดีก็เป็นกรรมแล้ว แต่แน่นอนว่าการกระทำกรรมที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งกาย วาจาและใจ ย่อมมีผลรุนแรงกว่าการคิดเพียงอย่างเดียว...

กรรมต้องมีเจตนา ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนาคือกรรม" ทุกครั้งที่กรรมเกิดขึ้นย่อมเก็บสะสมไว้ในจิต พร้อมมีการปรุงแต่งให้เมื่อมีโอกาส.. ถ้าเป็นกรรมชั่ว ความฟุ้งซ่านของจิตอาจนำมาซึ่งวิบากกรรมที่เร็วกว่าเวลาอันควร จึงเป็นเรื่องน่ากลัวมาก กรรมทำแล้วต้องมีผลแก่ผู้กระทำเสมอ เหมือนเราตบมือเป็นกรรม เสียงที่มาจากการตบมือคือวิบากกรรมนั่นเอง.. จะทำกรรมโดยไม่ให้มีวิบากกรรมไม่ได้เด็ดขาด เพราะเป็นสภาวธรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ผู้ฆ่าสัตว์ย่อมต้องการให้สัตว์นั้นมีอายุสั้น มีความเจ็บปวด ผลจากเจตนานั้นย่อมเข้าหาตัวผู้กระทำโดยอัตโนมัติ คือมีอายุสั้น ตายไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรตหรืออสูรกายแล้วแต่กรณี..

พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า "เรามีกรรมเป็นของเรา เราเป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทำกรรมอันใดไว้ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น"

ประเภทของกรรมพอจะแยกโดยสังเขปได้ดังนี้
กรรมนำเกิด (ชนกกรรม) คือ จิตที่ถือปฏิสนธิใหม่อาศัยกรรมเป็นผู้นำเกิดในทุคติหรือสุคติแล้วแต่อำนาจกรรม ไม่สามารถเลือกเองได้ตามใจชอบ ส่วนรูปที่เกิดใหม่เรียก "กรรมชรูป" ต้องอาศัยกรรมเป็นผู้สร้างเช่นกัน เช่น หน้าตาสวยงามมาจากการทำสมาธิ หรือ ริษยาอาฆาตทำให้หน้าตาไม่งาม เป็นต้น ไม่สามารถเลือกได้เช่นกัน

กรรมพี่เลี้ยง (อุปัตถัมภกกรรม) มีหน้าที่คอยอุปถัมภ์ค้ำจุน เป็นกรรมที่ช่วยอุดหนุนชนกกรรมให้มีโอกาสส่งผลได้ตลอดรอดฝั่ง ทารกบางคนแม้ได้อารมณ์ดีมาเกิดในครรภ์มารดา แต่เกิดมาต้องลำบากเพราะอดีตทำทานมาน้อย เป็นต้น

กรรมเบียดเบียน (อุปปีฬิกกรรม) มีหน้าที่คอยเบียดเบียนแทรกแซงผลจากกรรมดีหรือกรรมชั่ว มิให้เจริญงอกงาม เช่น กำลังมีความสุขกับลาภยศสรรเสริญสุข มีกรรมตัดรอนให้กลายเป็นคนเจ็บป่วย หรือพิการ เป็นต้น

กรรมตัดรอน (อุปฆาตกรรม) เป็นกรรมที่ทำหน้าที่ตัดรอนกรรมที่ให้ผลอื่นๆ หยุดการสืบต่อแห่งขันธ์ 5 ที่เกิดจากกรรมอื่นๆ เช่น ตัดชนกกรรมไม่ให้มีโอกาสส่งผลต่อไป เช่น ทารกที่คลอดใหม่ต้องตายลง โดยไม่มีโอกาสเสวยผลบุญจากกรรมพี่เลี้ยง หรืออาจไม่ตายแต่พอโตขึ้นมาอยู่ดีๆ เกิดตาบอด เป็นต้น

การให้ผลของกรรม จะให้ผลเรียงตามลำดับดังนี้
ครุกรรม เป็นกรรมหนักมีกำลังมากจึงให้ผลก่อน กรรมอื่นไม่สามารถตัดรอนได้ จะให้ผลทันทีในชาติหน้าถัดจากชาติปัจจุบัน ครุกรรมฝ่ายอกุศลได้แก่ อนันตริยกรรม 5 คือ ทำสงฆ์ให้แตกร้าว ทำร้ายพระพุทธองค์จนถึงห้อพระโลหิต ฆ่าพระอรหันต์ ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา และยังรวมความเห็นผิดที่เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ เช่น เห็นว่าไม่มีกรรมไม่มีผลของกรรม สัตว์บุคคลตายแล้วสูญ เป็นต้น ส่วนครุกรรมฝ่ายกุศลเช่น การทำสมถภาวนาจนได้รูปฌานหรืออรูปฌาน เป็นต้น

อาสันนกรรม ได้แก่ กรรมที่กระทำหรือระลึกถึงเมื่อใกล้จะตาย ให้ผลรองจากครุกรรม อารมณ์ที่เกิดขึ้นใกล้ตาย ย่อมทำให้ระลึกถึงวิถีจิตได้ง่าย จึงให้ผลก่อนกรรมอื่น

อาจิณกรรม ได้แก่ กรรมที่ทำอยู่เป็นประจำ ให้ผลรองจากอาสันนกรรม ดังนั้นแม้ท่านทั้งหลายจะหมั่นกระทำดีอย่างไรก็ตาม ถ้าแม้นก่อนตายมีอารมณ์อกุศลเข้าแทรก ย่อมจะทำให้ไปเกิดในทุคติภูมิได้ (แต่อำนาจของกรรมดี มีอำนาจเป็นกรรมตัดรอนทำให้พ้นจากทุคติภูมิได้ในเวลาอันสั้น)

กตัตตากรรม (กรรมเล็กน้อย) เป็นกรรมที่ไม่ครบองค์เจตนา เช่นไม่มีบุพพเจตนา หรือมุญจเจตนา เป็นต้น

บทความโดย อาจารย์ ประพันธ์

“หลวงพ่อว่าเราไม่ตายวันนี้ ก็ตายพรุ่งนี้ มีอะไรไว้ก็เอามาเผยแพร่ให้หมด นี่ก็เป็นเรื่องกรรม คนไม่รู้จะได้เอาไปใช้ประโยชน์ คนรู้แล้วก็เอาไว้ทบทวน” อาจารย์ท่านว่าไว้...

ขอขอบพระคุณ ...

ที่มา http://weblog.manager.co.th/publichome/forgiven/

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2550

วิธีการนำบล็อกไปใส่ในเว็บไซต์ ( RSS to Javascript to Homepage)

สำหรับท่านที่มี blog และอยากจะนำหัวข้อใน blog ไปใส่ไว้ในเวบไซต์ต่างๆ เรามีวิธีการดึงข้อมูลอย่างง่ายๆ ไปใส่ที่เวบไซต์ได้ทันที

เช่น blog ของ blogspot

เว็บไซต์ของท่านจะได้ดู update อยู่ตลอดเวลา

วิธีการที่กำลังจะอธิบายนี้ เรียกว่า RSS to Javascript ขั้นตอนคร่าวๆ คือ
1. นำ RSS ของบล็อก แปลงให้เป็น Javascript โดยใช้บริการจากเว็บไซต์เฉพาะ

นี่คือแหล่้งรวมเครื่องมือเหล่านี้ครับ

Feed and RSS Tools in 5 Steps


http://3spots.blogspot.com/2006/02/feed-and-rss-tools-in-5-steps.html

จากหน้าเวบไซต์ ในที่นี้ เลือก Feed2JS.org
จะเห็นดังหน้าจอ

คลิกที่ Build เพื่อกรอก rss feed
โดยคุณต้อง copy เอาลิงค์ของ RSS มาใส่ไว้

คลิกเข้าไป แล้ว Copy ในส่วน


URL Enter the web address of the RSS Feed

Note: Please verify the URL of your feed (make sure it presents raw RSS) and check that it is valid before using this form.

ตัวอย่าง feed ของเวบนี้ คือ
http://onknow.blogspot.com/feeds/posts/default

จะอยู่ที่
Subscribe to: Posts (Atom)

ตรงตำแหน่งล่างสุดของหน้านี้





ปรับแต่งรายละเอียดตามต้องการ แล้วคลิกที่ Preview Feed ดูตัวอย่าง
เมื่อพอใจแล้ว คลิกที่ Generate Javascript

Show n' Tell!



จะได้ข้อมูลดังภาพ


Using RSS Feeds in your web pages is just a cut 'n paste away!

Build a Feed!

The tool below will help you format a feed's display with the information you want to use on your web site. All you need to enter is the URL for the RSS source, and select the desired options below. Note that we now have a number of mirror Feed2JS sites that can provide the exact same service as we provide here.

First, be sure to use the preview button to verify the content and format. Once the content is displayed how you like, just use the generate javascript button to get your code. Could it be an easier? The last step is exploring your options for stylizing your displayed feed.

Get Your Code Here

cut and paste javascript:

URL Enter the web address of the RSS Feed

Note: Please verify the URL of your feed (make sure it presents raw RSS) and check that it is valid before using this form.

Show n' Tell!


Show channel? (yes/no/title) Display information about the publisher of the feed (yes=show the title and description; title= display title only, no=do not display anything)
yes title no

Number of items to display. Enter the number of items to be displayed (enter 0 to show all available)

Show/Hide item descriptions? How much? (0=no descriptions; 1=show full description text; n>1 = display first n characters of description; n=-1 do not link item title, just display item contents)

Use HTML in item display? ("yes" = use HTML from feed and the full item descriptions will be used, ignoring any character limit set above; "no" = output is text-only formatted by CSS; "paragraphs" = no HTML but convert all RETURN/linefeeds to
to preserve paragraph breaks)
yes no preserve paragraphs only

Show item posting date? (yes/no) Display the time and date for each item.
yes no

Time Zone Offset (+n/-n/'feed') Date and timer are converted to GMT time; to have display in local time, you must enter an offset from your current local time to Thu, 26 Apr 2007 09:10:11 +0000 (GMT). If your local time is 5 hours before GMT, enter -5. If your local time is 8 hours past GMT, enter +8. Fractional offsets such as +10:30 must be entered as decimal +10.5. If you prefer to just display the date is recorded in the RSS, use a value = feed

Target links in the new window? (n="no, links open the same page", y="yes, open links in a new window", "xxxx" = open links in a frame named 'xxxx', 'popup' = use a JavaScript function popupfeed() to open in new window)

UTF-8 Character Encoding
Required for many non-western language web pages and also may help if you see strange characters replacing quotes in your output (see help pages for more information).
use UTF-8 character encoding

Podcast enclosures
For RSS 2.0 feeds with enclosures, display link to media files (see style notes for modifying display of the links)
yes no

Custom CSS Class (advanced users)
Use to create different styles for multiple feeds per page. Specify class for content as rss-box-XXXX where XXXX is the value entered below. Style sheets must be created in accordance with Feed2JS guidelines.

Feed2JS :

แปลงไฟล์เป็นอักษรเบรลล์ง่าย ๆ ด้วย RoboBraille

คราวนี้ เราสามารถช่วยเหลือคนตาบอด ให้มีหนังสือดีๆอ่านเพิ่มขึ้นได้ด้วยโปรแกรมตัวนี้ล่ะครับ

ที่มา http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9500000043743
หน้าแรกของเว็บไซต์
"RoboBraille" บริการแปลงไฟล์เอกสารเป็นอักษรเบรลล์สำหรับคนตาบอดฮิต มีคนนิยมใช้เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง พบคุณสมบัติเด่นเรื่องการใช้งานง่าย จึงสามารถดึงดูดผู้ใช้ได้รวดเร็ว

บ ริการแปลงไฟล์ของ RoboBraille เน้นการทำงานแบบอัตโนมัติ ระบบจะเป็นผู้จัดการทั้งหมดเพียงลำพัง ไม่จำเป็นต้องมีพนักงานคอยให้บริการ เว้นแต่ช่วยในการอัปเดตข้อมูลต่าง ๆ รูปแบบการให้บริการคือ ผู้ใช้เพียงส่งข้อมูลที่ต้องการจะแปลงเป็นอักษรเบรลล์ให้กับทางเว็บไซต์ผ่าน ทางอีเมล (สามารถส่งได้ทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อความล้วน (.txt) เอกสารเวิร์ด (.doc) หรือไฟล์ .html) จากนั้นเพียงชั่วอึดใจ ระบบจะส่งไฟล์เสียง (.MP3) ของข้อมูลดังกล่าวกลับมาให้ หรือมิเช่นนั้นจะส่งมาเป็นอักษรเบรลล์แบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้เช่นกัน

สำหรับผู้ที่เปิดไฟล์อักษรเบรลล์แบบอิเล็กทรอนิกส์จะต้องมีอุปกรณ์พิ เศษเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ (tactile display) สำหรับช่วยในการอ่านข้อมูลเหล่านั้นโดยเฉพาะ โดยจะประกอบด้วยแป้นหมุดเล็ก ๆ จำนวนมาก สามารถขยับขึ้นลงได้ตามรูปแบบของอักษรเบรลล์ หรือมิเช่นนั้นจะสั่งพิมพ์ทางพรินเตอร์ก็ได้ (ต้องเป็นพรินเตอร์ที่สามารถพิมพ์อักษรเบรลล์ได้เท่านั้น)

โลโก้
"เราต้องการพัฒนาระบบที่ทำงานได้แบบอัต โนมัติ โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องยุ่งยากใด ๆ ทั้งสิ้น ขอเพียงแค่ใช้งานอีเมลได้เท่านั้น เพราะจากการศึกษาของเราพบข้อสรุปตรงกันว่า เป็นเรื่องยากมากที่จะให้ผู้ใช้ทั่วไปเป็นคนผลิตสื่อที่ใช้อักษรเบรลล์ด้วยต ัวเอง" Lars Balieu Christensen หนึ่งในทีมงานผู้พัฒนากล่าว ซึ่งการพัฒนาระบบดังกล่าว ทีมงานจำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับอักษรเบรลล์เพิ่มเติมค่อนข้างมาก ทั้งในแง่ของตัวอักษร และการวางเลย์เอาท์ของข้อความ

ปัจจุบัน บริการของ RoboBraille รองรับทั้งสิ้น 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาเดนมาร์ก ภาษาอังกฤษ ภาษาอิตาเลียน และภาษาโปรตุเกส อ ย่างไรก็ดี บริการของ RoboBraille ยังอยู่ในช่วงทดสอบเท่านั้น ซึ่งทางทีมงานเปิดเผยว่าในอนาคตมีแผนจะเพิ่มฟีเจอร์การแปลงเอกสาร PDF เป็นอักษรเบรลล์ลงไปด้วย

โครงการพัฒนา RoboBraille นี้ได้รับเงินสนับสนุนจากอียูเป็นจำนวน 500,000 ปอนด์ และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการแบบเต็มรูปแบบได้ในช่วงต้นปีหน้า โดยจะไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ สำหรับผู้ใช้ที่เป็นประชาชนทั่วไป หรือองค์กรที่ไม่แสวงกำไร

พร้อมกันนี้ นายคริสเตนเซนยังคาดว่า บริการของ RoboBraille จะได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากธุรกิจเอกชนอีกหลายทาง ยกตัวอย่างเช่น บริษัทผู้ผลิตยา ซึ่งในอนาคตจะมีการประกาศใช้กฎหมายที่บังคับให้ผู้ผลิตต้องทำฉลากยาสำหรับคน ตาบอดแปะข้างขวดด้วย หรือในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ต้องการผลิตข่าวสารสำหรับแจ้งให้คนตาบอดรับทราบ ก็อาจมีผู้สนใจให้ทุนเพิ่มเติมได้

ป ัจจุบัน มีผู้ใช้บริการของ RoboBraille ประมาณวันละ 400 ครั้ง ซึ่งความสามารถของระบบสามารถรองรับได้สูงสุดถึงวันละ 14,000 ครั้งเลยทีเดียว ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรันระบบช่วงสองปีแรกนี้คาดว่าใช้เงินประมาณ 135,000 ปอนด์

Company Related Links :
RoboBraille

ความตาย …

มรณ = ความตาย เหตุที่ทำให้ความตายปรากฏขึ้นมี 4 อย่าง คือ
ความตายเพราะ สิ้นอายุ
ความตายเพราะ สิ้นกรรม
ตายเพราะสิ้นอายุและสิ้นกรรมทั้งสอง
ตายเพราะประสบอุปัทวเหตุ โดยอายุและกรรมยังไม่สิ้น

เป็นธรรมดาของสัตว์โลก ย่อมมีความตายเป็นที่สุด เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงปลงอายุสังขารแล้วตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอ สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีในไม่ช้า โดยล่วงไปอีก 3 เดือนแต่นี้ ตถาคตจักปรินิพพาน” แล้วตรัสว่า “คนเหล่าใดทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งมีทั้งขัดสน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า ภาชนะดินที่นายช่างหม้อกระทำแล้ว ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบ ทุกชนิดมีความแตกเป็นที่สุดฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น”

ถ้าจะเปรียบเทียบการตายของสัตว์ทั้งหลายกับเหตุให้ความตายปรากฏขึ้น 4 อย่างแล้ว สามารถอธิบายได้ดังนี้
ชีวิตสัตว์ทั้งหลายเหมือนดวงประทีปที่จุดไว้ ต้องดับลงคือสิ้นชีวิตโดยหมดอายุขัย ก็เหมือนดวงประทีปดับลงเพราะ 'ไส้หมด' แต่ 'น้ำมันยังอยู่'
ผู้ที่สิ้นชีวิตลงโดยหมดกรรมก็เหมือนประทีปดับลงเพราะ 'น้ำมันหมด' แต่ 'ไส้ยังอยู่'
ผู้ที่สิ้นชีวิตลงโดยหมดทั้งอายุและกรรมก็เหมือนประทีปดับลง เนื่องจาก 'ทั้งไส้และน้ำมันหมด' ทั้งสองอย่าง
ผู้ที่สิ้นชีวิตลงโดยประสบอุปัทวเหตุต่างๆ นั้น ก็เหมือนดวงประทีปดับลง เนื่องจาก 'ถูกลมพัด หรือถูกเป่าให้ดับ' โดยที่ 'ไส้และน้ำมันยังอยู่'

ตายเพราะสิ้นอายุ
คำว่า 'อายุ' หมายถึง อายุขัย ซึ่งเป็นการกำหนดขอบเขตแห่งการตั้งอยู่แห่งชีวิตรูป เป็นกัมมชรูปผู้รักษาชีวิตของสัตว์ให้เป็นอยู่ได้ในชาติหนึ่งๆ... เมื่อว่าโดยบุคคล คือ การตายเพราะ 'สิ้นอายุ' หมายถึง ตายเมื่อแก่ คือ ถึงความชราแล้วจึงตาย

ในสมัยพุทธกาล มนุษย์มีอายุขัย 100 ปี โดยประมาณ นับแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว อายุขัยก็ลดลงในอัตราส่วน 100 ปีลดลง 1 ปี ขณะนี้ล่วงเลยไป 2500 ปี มนุษย์ปัจจุบันจึงมีอายุขัยประมาณ 75 ปี… เพราะอายุขัยของมนุษย์ไม่แน่นอน มีขัยขึ้นและขัยลง ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงขัยลง ส่วนอายุของเหล่าเทวดาหรือพรหม ต่างก็มีขอบเขตอายุตามภูมิของตนที่เกิดอยู่ปัจจุบันกำหนด 75 ปี เป็นอายุขัย

ดังนั้นมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้แม้ว่าอำนาจกรรมยังมีอยู่ แต่เมื่อครบอายุขัยก็ตายไปเป็นส่วนมาก ผู้ที่มีอายุยืนเกินกว่าอายุขัยที่กำหนดไว้นั้น ก็มีบ้าง แต่หาได้ยาก ท่านเหล่านั้นต้องมีอดีตกรรมที่เกี่ยวกับการไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์จะช่วยอุปถัมภ์ชีวิตและร่างกายให้อยู่ได้นานเป็นพิเศษ หรือมิฉะนั้นด้วยอำนาจชนกกรรมยังมีกำลัง และปัจจุบันมีกรรมฝ่ายดี คือการรักษาศีล 5 ไว้ได้บริสุทธิ์ หรือมีการรักษาสุขภาพอนามัยไว้อย่างดีต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้ผู้นั้นมีอายุเกินขัยได้ มีผู้อายุยืนถึง 90 กว่าปีก็ยังมี ปรากฏอยู่ ในสมัยพุทธกาลนั้น กำหนดอายุขัยไว้ 100 ปี แต่ผู้อายุยืนกว่า 100 ปี ก็มีหลายท่าน เช่น พระอานนท์ พระมหากัสสป นางวิสาขา มีอายุ 120 ปี พระพากุลเถระ มีอายุ 160 ปี เป็นต้น

ตายเพราะสิ้นกรรม
คำว่า 'กรรม' ในที่นี้ หมายถึง ชนกกรรมที่ส่งผลให้เกิดในภพนั้นๆ และอุปถัมภกกรรม มีหน้าที่อุดหนุนให้รูปนามที่เกิดจากชนกกรรมตั้งอยู่ได้นานๆในภพนั้น การสิ้นสุดแห่งกรรมทั้งสองที่ชื่อว่า ตายเพราะสิ้นกรรม ฉะนั้นผู้ที่เกิดมาและอยู่ด้วยกรรมทั้งสองนี้ บางคนตั้งเพียง 1 เดือนบ้าง 1 ปีบ้าง หรือ 5 ปี 10 ปี เหล่านี้ย่อมกล่าวได้ว่า เป็นการตายเพราะกรรมสิ้นสุดลง

ตายเพราะสิ้นสุดแห่งอายุและกรรมทั้งสอง
ความตายชนิดนี้ก็หมายถึง ผู้ตายนั้นมีอายุยืนอยู่ได้จนครบอายุขัย และอำนาจของชนกกรรมก็พอดีหมดลงพร้อมกับความสิ้นสุดแห่งอายุ เช่นผู้ที่เกิดมาในสมัยกำหนดอายุ 75 ปี เป็นอายุขัยและอำนาจของกุศลชนกกรรมของผู้นั้นก็มีอำนาจอยู่ได้ 75 ปีเช่นเดียวกัน เมื่อผู้นั้นมีอายุ 75 ปีแล้วตายลงก็กล่าวได้ว่า ความตายของผู้นั้นเป็นการตายแบบสิ้นทั้งอายุและกรรมทั้งสองได้.. แม้อบายสัตว์ก็เช่นเดียวกัน เช่นสุนัข มีอายุขัยกำหนด 10-12 ปี และสุนัขนั้นเกิดด้วยอำนาจอกุศลชนกกรรมก็อยู่ได้ครบ 10-12 ปี แล้วตายลง ก็กล่าวได้ว่า สุนัขนั้นตายแบบสิ้นทั้งอายุและกรรมทั้งสองได้

การตายเพราะประสบอุปัทวเหตุ โดยอายุและกรรมยังไม่สิ้น
เป็นการตายเพราะมีกรรมอื่นเข้าไปตัดวิบากและกัมมชรูป ที่เกิดจากชนกกรรมให้สิ้นสุดลง กรรมนั้นได้แก่ อกุศลกรรม, มหากุศลกรรม, อรหัตตมัคกรรม ผู้ที่มีอายุยังไม่เข้าถึงขีดอายุขัย และอำนาจของชนกกรรมก็ยังไม่หมด แต่ด้วยอำนาจแห่งอกุศลกรรม หรือกุศลกรรมที่ได้ทำมาแล้วในภพก่อนหรือภพนี้ เข้ามาตัดรอนให้ผู้นั้นตายลงเสียก่อน ซึ่งเปรียบได้กับดวงไฟที่ไส้ยังอยู่ น้ำมันก็ยังอยู่แต่ไฟต้องดับลงด้วยเหตุอื่น เช่นถูกลมพัด ถูกน้ำ เป็นต้น...

ตัวอย่าง อกุศลกรรมตัดรูปนามที่เกิดจากกุศล เช่นถูกศัตรูฆ่าตาย ถูกสัตว์ทำร้ายถึงแก่ความตาย แม้ด้วยความพยายามของตนเอง เช่น ฆ่าตัวตาย กระโดดน้ำตาย เป็นต้น.. หรือสัตว์เดรัจฉาน เช่น สุนัข รูปนามเกิดจากอกุศลชนกกรรม มีอายุเพียง 1 ปี หรือ 2 ปี ถูกรถทับตาย เป็นต้น.. ตัวอย่าง กุศลกรรมตัดอกุศลชนกกรรม เช่นสัตว์นรก เมื่อพญายมราชเตือนสติให้ระลึกถึงกุศลที่ทำไว้ ได้กุศลนั้นก็ตัดรูปนามสัตว์นรกนั้นถึงแก่ความตาย ไปเกิดใหม่ในมนุษย์ หรือเทวดาทันที เป็นต้น.. หรืออรหัตมัคกรรมตัดรูปนามของฆราวาสผู้เป็นพระอรหันต์ ถ้ามิได้อุปสมบทภายใน 7 วัน จะต้องสิ้นชีวิต หรือปรินิพพานใน 7 วันนั้นเอง

ความตายทั้ง 4 อย่างนี้ ตายโดยสิ้นกรรม ตายโดยสิ้นอายุ ตายโดยสิ้นทั้งกรรมและอายุ ทั้ง 3 นี้ เป็นการตายที่ถึงเวลา เรียกว่า “กาลมรณะส่วนการตายแบบอุปัทวเหตุอย่างใด อย่างหนึ่งก็ตามเป็นการตายที่ยังไม่ถึงเวลา เรียกว่า “อกาลมรณะ

“อกาลมรณะ” นี้ในสังยุตตบาลี แสดงไว้ว่า “ดูก่อนมหาราชา ในโลกนี้ผู้ใดทำให้คนอื่นตายลงด้วยการอดข้าว ผู้นั้นแม้ยังอยู่ในวัยเด็กก็ตาม วัยหนุ่มสาวก็ตาม วัยชราก็ตาม ย่อมได้รับการเบียดเบียนด้วยการอดข้าว และตายลงด้วยความหิวข้าวนั้นเอง เป็นดังนี้ตลอดแสนชาติ ” หมายความว่า ผู้ที่เคยทำให้ผู้อื่นตายลงด้วยการอดน้ำ ให้งูกัด วางยา เอาไฟเผา ถ่วงน้ำ หรือฆ่าใช้อาวุธเหล่านี้ เป็นต้น ผู้นั้นก็ย่อมตายด้วยการอดน้ำ ถูกงูกัด ถูกวางยา ถูกไฟคลอก จมน้ำ ถูกอาวุธ เช่นเดียวกัน แสดงว่า อกาลมรณะเหล่านี้ จะเว้นเสียจากอดีตกรรมไม่ได้ จึงเรียกอกาลมรณะนี้ว่า อุปัจเฉทกกรรม คือ กรรมที่มาตัดรอนนั่นเอง

ความตายที่เป็น อกาลมรณะนี้ รวมถึงการปฎิบัติตนเป็นไปไม่สม่ำเสมอ ไม่มีปัญญาที่จะบำรุงรักษาร่างกายให้มีชีวิตยืนยาวอยู่ได้ตลอดอายุขัย ไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถใหญ่ให้เป็นไปโดยสม่ำเสมอ มัวปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมด้วยอำนาจกิเลส คือ ความโลภบ้าง ความโกรธบ้าง ความเห็นผิดบ้าง หรือคิดไม่ถึงบ้าง ทำให้คนทั้งหลายต้องตายลงโดยกาลอันไม่สมควรนี้เป็นส่วนมาก

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของมรณะ คือความตายของสัตว์โลกที่เป็นไปในสังสารวัฏนี้

บทความโดย อาจารย์สุคนธ์ สุ่นศิริ

ขอขอบพระคุณ ...

ที่มา คัดลอกมาจาก http://weblog.manager.co.th/publichome/forgiven/Default.aspx

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2550

ธรรมมะดีๆ ของ ท่าน ว.วชิรเมธี มาฝากเพื่อนๆ ชาวบล็อก อิ อิ จะมีใครอ่านไหมเนี่ย

รู้รอบตัวมากมาย แต่ไม่รู้ดีชั่ว ก็เสื่อม

รู้เว้นงูเว้นเสือเว้นมีด/ปืน แต่ไม่รู้เว้นอบายมุข ก็เสื่อม

รู้ตอบคำถาม แต่ไม่รู้ตอบแทนคุณแผ่นดิน ก็เสื่อม

รู้ที่กินที่เที่ยว แต่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ก็เสื่อม

รู้วันเดือนปีเกิด แต่ไม่รู้กาลเทศะ ก็เสื่อม

รู้พยากรณ์อากาศ แต่ไม่รู้ว่าชีวิตมีขึ้นมีลง ก็เสื่อม

รู้จักจักรวาลวิทยาภากาศ แต่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ก็เสื่อม

รู้จักคนมากมายหลายวงการ แต่ไม่รู้จักตนเอง ก็เสื่อม

รู้จักบริหารคนบริหารงาน แต่ไม่รู้วิธีบริหารใจ ก็เสื่อม

รู้วิธีหาเงินมากมาย แต่ไม่รู้วิธีบริหารเงิน ก็เสื่อม

รู้จักสร้างตึกสูงนับร้อยชั้น แต่ไม่รู้วิธีฝึกใจให้สูง ก็เสื่อม

รู้คุณของเงินทอง แต่ไม่รู้คุณ พ่อแม่ ก็เสื่อม

รู้จักโกรธ แต่ไม่รู้จักให้อภัย ก็เสื่อม

รู้จักกฎกติกามารยาท แต่ไม่รู้กฎแห่งกรรม ก็เสื่อม

รู้จักสวมนาฬิกาแพงๆ แต่ไม่รู้จักคุณค่าของเวลา ก็เสื่อม

รู้จักการเข้าสังคม แต่ไม่รู้จักเข้าหาสังฆะ ก็เสื่อม

รู้เรียนเอาปริญญาสูงๆ แต่ไม่รู้จักยกพฤติกรรมให้สูง ก็เสื่อม

รู้ที่จะมีลูก แต่ไม่รู้จักเลี้ยงลูก ก็เสื่อม

รู้ที่จะรัก แต่ไม่รู้จักรับผิดชอบ ก็เสื่อม

รู้ที่จะดู แต่ไม่รู้จักเห็น ก็เสื่อม

รู้ที่จะพูด แต่ไม่รู้จักศิลปะการพูด ก็เสื่อม

รู้ว่าวันหนึ่งจะต้องตาย แต่ไม่รู้วิธีเตรียมตัวตาย ก็เสื่อม


ที่มา http://blog.trekkingthai.com/yongjoon/2007/03/02/diving-13/

ปัญญาแก้ความโกรธ









ปัญญาเป็นธรรมที่ต้องเจริญ เพราะปกติไม่มี หรือมีน้อย... การสั่งสมปัญญาจึงจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง…

ก ารฟังธรรมที่ประกอบเหตุผลก็จะยังทำให้เกิดความเห็นถูกเข้าใจเหตุผลความเป็นจ ริงได้... แต่ก็พบว่า คนส่วนใหญ่ก็ยังแพ้กิเลสอยู่ดี เพราะกิเลสเขามีกำลังมาก... มีมากจริงๆ...

บางครั้งเคยอดกลั้นได้ แม้เรื่องใหญ่ๆ ก็สามารถอดทน อดกลั้นได้... แต่ก็อีกนั่นแหละ อาจจะพบว่า บางที แม้เรื่องเล็กๆ กลับกลายเป็นเรื่องเป็นราว เป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาเสียได้ก็มี...

ดังนั้นกุศลจึงเป็นสิ่งที่ต้องกร ะทำให้มาก ทำให้ยิ่งๆเข้าไว้..การฟังธรรม การได้สนทนาธรรมกับกัลยาณมิตร กับบัณฑิต... ก็ก่อให้เกิดโยนิโสมนสิการขึ้นมาเรื่อยๆ... จะให้ปัญญาแข็งแรงยิ่งๆขึ้นไปก็ควรจะสนใจเรื่องการปฏิบัติด้วย

เคยม ีเพื่อนคนหนึ่ง เธอมีทั้งโทสะก้าวหน้ากับโทสะถอยหลัง... คือเวลาไม่ได้ดั่งใจขึ้นมา ก็มักจะโกรธและล่วงวจีทุจริตได้เป็นประจำ นี่เป็นโทสะก้าวหน้า ผลก็คือ การทะเลาะเบาะแว้งเกิดขึ้นเป็นประจำ เมื่อสร้างศัตรูมากๆ ตัวเองก็ต้องรับศึกหนักเรื่อยๆ เมื่อหมดความอดทนอดกลั้นครั้นพอได้มาพบมาเจอกันก็ระบายออกมา แล้วทีนี้ความเศร้าโศก ร่ำไห้ก็ติดตามมา...

“ทำไมหนอ ชีวิตฉันถึงเป็นอย่างนี้?” นี่คือสิ่งที่เขาถาม.. เป็นคนน่าสงสารมาก เพราะทุกข์ทั้งกายและใจ หาความสุขได้ยากเย็นเหลือเกิน.. นี่เป็นด้วยอำนาจโทสะ พออะไรกระทบใจนิดหน่อย ความเสียใจก็เกิดง่ายดายจริงๆ ความหดหู่ใจ จิตใจที่เศร้าหมองด้วยโทสะถอยหลังก็ติดตามมาด้วย... เริ่มมีอาการซึมเศร้าเกิดขึ้น

ต่อมาได้แนะนำให้มาเรียนพระอภิธรรม มาคุยกันเรื่องเหตุผลบ่อยๆ ชักนำให้มีวิธีคิด ให้ทำกุศลอย่างต่อเนื่อง.. เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นคนละคน มีความสุขมากขึ้น อะไรที่ทนไม่ได้ก็เริ่มที่จะทนได้ วางใจได้มากขึ้น... โรคที่เคยรุมเร้าก็พลอยค่อยอันตรธานหายไปด้วย... สามารถมีความสุขทั้งกายและใจขึ้นมาได้.. มีโยนิโสมนสิการมากขึ้น ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างมาก

วิธีบริหารจิตใจ ก็ต้องใช้ปัญญา อะไรจะประเสริฐเท่าปัญญาหามีไม่... แม้การทำทาน รักษาศีล ก็ยังต้องใช้ปัญญา จึงจะชื่อว่าทำกุศลเป็น

วิธีแก้กิเลสตัวโกรธของเรานั้น อย่างง่ายๆ ก็ให้ลองให้ใช้วิธีที่เริ่มจากการทำทานให้มากขึ้นเท่าที่จะสามารถโดยไม่เดือดร้อน

"ให้"อย่างมากแก่คนที่ไม่ค่อยชอบนั่นแหละ..ให้อะไร?
ให้รอยยิ้มพิมพ์ใจ ที่ยิ้มได้ทั้งดวงตาและปาก ให้หูรับฟังเขาให้เป็น แต่ทำได้ยากเย็นนักแม้เป็นเรื่องที่แสนง่ายอย่างนี้ เพราะตัวโกรธกั้นเอาไว้

แ ต่หากว่า เป็นผู้มีปัญญามองเห็นคุณเห็นโทษแล้ว เขาจักทำได้เพราะรู้ว่า ขณะทำนั้น "ตัวกำลังทำกุศลอยู" ความรู้เช่นนี้ก็เป็นปัญญา เมื่อเกิดแล้วย่อมห้ามปรามอกุศลไม่ให้เกิดได้ระยะหนึ่งเท่าที่ปัญญานั้นเกิด ขึ้น

มีสิ่งของก็สามารถหยิบยื่นให้ได้ด้วยความเมตตา... อยากเห็นเขามีความสุขขึ้นมาบ้าง ซึ่งตรงนั้นปัญญาย่อมขจัดความริษยาลงไปแล้ว จึงเกิดจิตใจที่อ่อนโยนขึ้นพร้อมยอมรับในความสุขของคนอื่นได้

หลายคน พบว่า วิธีแก้ลำกิเลสตนเองที่ไม่ชอบคนอื่น (โทสะ) ก็คือทานนี่เอง..

โดยปกติทำได้ยาก เพราะเรามักไม่อยากให้อะไรๆแก่คนที่เราไม่ชอบ... แม้แต่ยิ้มให้ก็ให้ไม่ได้ ดูเอาเถอะ แต่เชื่อเถอะว่า... เราจะสามารถข่ม และบีบบังคับให้กิเลสเราอ่อนกำลังลงด้วย "ทาน"

จึงพบว่า หลังจากที่นำของที่ "น่าชอบใจ" ไ ปให้กับคนที่เรา"ไม่ชอบใจ"แล้ว หน้าตาของคนเหล่านั้นกลับแย้มยิ้มให้เรา เราเองก็พลอยหน้าแป้นไปด้วยไมตรีขึ้นมาได้... ผู้ให้นั้นเป็นใหญ่เสมอ... นี่เป็นเรื่องสมควรต้องฝึกที่จะ "ให้" ให้เป็น

พอเริ่ม"ให้ของ" อะไรๆได้ "ให้ยิ้ม"ก็ให้ได้ "ให้หู" ที่พร้อมจะรับฟังเขาได้

คราวนี้กิเลสที่เป็นโทสะก็พลอยลดลงไป... ดังนั้น เราจึงลดความถือดี (จ ริงๆน่าจะเรียกว่า ถือชั่วนะ เพราะไม่ดีเลย ทำให้เป็นทุกข์มาก) ลดอัตตาลงไป... การให้อภัยก็เกิดง่ายขึ้น... การยอมรับจึงค่อยๆเกิดขึ้นมาในจิตใจเรา

จ ึงเกิดความรู้ขึ้นมาว่า ใจเรานั้นที่แสนจะโฉดโหดร้าย ที่น่าชิงชังนั้นก็มี ก็สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยๆ.. แล้วเรายังจะให้ใจเราเป็นใหญ่ได้อย่างไร?

เราจะเอาใจของเราที่หาความแน่นอนไม่ได้ แถมยังออกอาการมารร้ายให้เราเห็นบ่อยๆ... ใจอย่างนี้เราเอามาเป็นใหญ่ได้อย่างไรกันเล่า?

ถ ้าเราต้อง “ถูกเสมอ” เราก็ “ผิด” ตั้งแต่แรกเสียแล้ว... เพราะเราผิดก็ได้ ถูกก็ได้... คนอื่นก็ไม่ใช่จะต้องผิดตลอด เขาก็ถูกได้เหมือนกัน.. เพราะ เรา"ไม่ให้โอกาสคนอื่นเลย"... ใจอย่างนี้เป็นใจที่คับแคบ แล้วเรายังจะให้ใจอย่างนี้เป็นใหญ่กระไรได้..

ขอให้เริ่มเห็น "ความผิด" "ความไม่ดี"ของตัวเองให้มาก ก็เท่ากับว่าเปิดโอกาสให้ใจยอมรับความดี ความไม่ดีของคนอื่นขึ้นมาได้บ้าง... นี่เป็นลักษณะของคนที่มีปัญญา เขาย่อมเห็นความเน่าเสีย ความไม่ดีของตนเอง.. เขาจะไม่เพ่งความไม่ดีของคนอื่น.. เพราะเขารู้ว่า กิเลสเรามีอย่างไร คนอื่นก็มีอย่างนั้น จะเอาเป็นเอาตาย จะเอาผิดเอาถูกอะไรกันหนักหนาหนอ?

ค วามโกรธนั้น ไม่เพียงแต่จะทำร้ายคนอื่น หรือคนที่อยู่ใกล้อย่างเดียวเท่านั้น... เขาทำลายทุกอย่าง... ทำลายจิตใจที่ควรจะดีงามไม่ให้เกิดขึ้นได้เลย... ทำลายหัวใจอันเป็นเหตุใกล้ของเขา... ดังนั้น คนที่โกรธมากๆบ่อยๆ จะได้โรคเพิ่มมาอย่างมากมายเป็นของแถม... เช่นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ที่น่ากลัวคือโรคมะเร็งก็มีเรื่องจิตที่เป็นสมุฏฐานของโรคที่แม้แต่วงการแพท ย์เองก็ยอมรับ..

ฝึกมองโลกให้กว้างๆดูบ้าง เพราะที่ผ่านมาเป็นแต่ตัวเองเป็นใหญ่... ล องนึกถึงความตายไว้บ้างก็เป็นอุบายที่ดี... เพราะเราเป็นเพียงจุดเล็กๆของกาลเวลา... เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้เลย.. ต่อให้เราสิ้นใจไปในเวลานี้ เราก็ไม่มีอำนาจไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้สักน้อย... พระอาทิตย์ก็ยังขึ้นและตกเหมือนทุกวัน... ลมก็ยังพัด... สายน้ำก็ยังไหลริน.. แล้วเราคิดว่าเรา "ใหญ่" ได้อย่างไร

ทำร้ายคนอื ่นไม่พอ ใจหนอใจ ยังเฝ้าทำร้ายตัวเองอีก... หากไม่ยอมรับคนอื่นเพราะคิดว่าเขาโง่... ต้องกลับมาถามใจเราดูว่า แล้วที่ใจเราที่มักเฝ้าโกรธ.. เฝ้าเกลียด.. เฝ้าเคร่งเครียดคนอื่นอยู่นั้นฉลาดหรือ?.. ก็ไม่ต่างกันเลย เผลอๆโง่เสียกว่าอีก เพราะหลงเอาใจที่โง่นั้นแหละมาเป็นใหญ่อยู่ร่ำไป

ยิ่งสงบ... ยิ่งนิ่ง... ยิ่งงดงาม....คำนี้แสนจะไพเราะนักหนาและเป็นความจริงยิ่งนัก

เ ราโกรธคนอื่นเพราะคิดว่าเขาไม่ดี หรือดีไม่พอ... ไม่ได้ดั่งใจของเรา... เอ้า...เอาละ....คราวนี้ ลองบังคับใจตัวเองดูบ้างเป็นไร?...จะได้รู้ว่า บังคับให้ใจตัวเองดีได้หรือไม่?

เมื่อโกรธ ก็ลองบังคับให้ไม่โกรธดูทีจะได้ไหม?... ถ้าบังคับไม่ได้ จะได้รู้ว่าเรายังมีสิทธิ์ไปบังคับคนอื่นอยู่หรือ? เราจะบังคับให้คนอื่นดีให้ได้ดั่งใจเราได้อย่างไร ในเมื่อตัวของตัวเองยังบังคับไม่ได้เลย...

หยุดสร้างทุกข์ให้ตัวเอง และผู้อื่นเถิด เวลาในชีวิตมีน้อยเต็มที ไม่รู้ว่าจะตายเวลาไหน... แบกเอาตัวเอง ถือดี ถือชั่วอยู่ก็เท่านั้นแหละ มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น

ก ่อนตายเราอาจจะนึกเสียใจว่า โอหนอ... หากเรามีโอกาสเราจะให้อภัยคนเหล่านี้ให้หมดเลย... ถ้ามีโอกาสเราจะขอกลับไปทำความดีจริงๆซักครั้งนึง

แต่ถ้าถึงเวลานั ้นแล้ว...ไม่มีใครต่อรองพญามัจจุราชได้เลย... ทำดีเสียตั้งแต่บัดนี้ ปล่อยความโกรธที่แสนจะหนักอึ้งนั้นเสียก่อนที่จะสายเกินไป...

ลองพิจ ารณาเรื่องอย่างนี้บ่อยๆ น่าจะเป็นปัจจัยทำให้จิตใจเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมาบ้าง... ทั้งหมดนี้ก็เป็นหลักโยนิโสมนสิการเช่นกัน ลองพิจารณาดูว่าเป็นความจริงไหม... พิจารณาบ่อยๆ ปัญญาจะได้เกิดบ่อยๆ แล้วปัญญาก็จะมีกำลังขึ้นมาได้

บทความโดย คนเดินทาง

ขอขอบพระคุณ ...











1







ที่มา http://weblog.manager.co.th/publichome/forgiven/Default.aspx

"บินหลาดง" เพลงเนื้อหาดีที่น่าฟังของ หลวงไก่ & เจี๊ยบ เบญจพร

ช -- บ้านพี่เขาเผาเสียแล้ว ไม่แคล้วย้ายมาอยู่บ้านน้อง สินสอดแก้วแหวนเงินทองขันหมากกลายเป็นกองขี้เถ้า
ญ -- ญาติน้องไม่ว่าอะไร ทุกคนเห็นใจพี่บ่าว แค่เหลือใจไว้ให้น้องสาว ก็ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน





นี่คือส่วนหนึ่งของเพลง บินหลาลง จากอัลบั้ม อาร์สยาม 5 ปีทอง พี่น้องร้องเพลงรัก
ที่ฟังแล้ว เพลงนี้ มีเนื้อหาที่น่าฟังมากกว่าหลายๆเพลงในอัลบั้มชุดนี้ ที่เป็นเพลงรักที่แต่งขึ้นตามกระแสเท่านั้น

แต่เพลงบินหลาดง เป็นเพลงที่สะท้อนถึงเหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

แม้แต่ music video ที่ทำออกมา ยังให้ความหมายที่ลึกซึ้ง สะท้อนภาพหลายอย่าง

บางคนได้ยินเพลงนี้แล้วนึกถึงครูจูหลิง ปงกันมูล ขอเพลงนี้ เพื่อรำลึกถึงครูจูหลิง

นี่คือ เนื้อหาของเพลง บินหลาดง

หลวงไก่ & เจี๊ยบ เบญจพร -=- บินหลาดง

ช -- บ้านพี่เขาเผาเสียแล้ว ไม่แคล้วย้ายมาอยู่บ้านน้อง สินสอดแก้วแหวนเงินทองขันหมากกลายเป็นกองขี้เถ้า
ญ -- ญาติน้องไม่ว่าอะไร ทุกคนเห็นใจพี่บ่าว แค่เหลือใจไว้ให้น้องสาว ก็ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน
ช -- พี่จะเริ่มต้นใหม่ จะก่อเปลวไฟความฝัน แล้วทักทอสายใยสัมพันธ์ ผูกใจร่วมกันเข้าไว้
ญ -- คนไทยต้องไม่รบกันน้องจะช่วยสานฝันพี่ชาย

ช/ญ -- เอาน้ำใจไปดับไฟใต้ ก่อนจะไร้นกบินหลาหากิน

* ช/ญ-- บินหลาดง บินยังคงโบยบิน
บินหลาดิน บินตรงมาลงใต้
บินหลาแจ้ด บินไปหยบบนขบไม้
เหลือกองขี้ควายที่ไร้บินหลา


ช -- โรงเรียนบ้านพี่ไม่มีครู น้อง น้อง หนู หนู ก็ไม่มา แล้วใครจะให้วิชา ถ้าครูถูกฆ่า ถูกตี
ญ -- เพื่อนน้องมาจากเชียงราย เธอย้ายมาสอนที่นี่ ถูกรุมทำร้ายทุบตี บัดนี้เป็นเจ้าหญิงนิทรา
ช -- พี่ก็รู้ข่าวคราวเรื่องครูสาวแห่งบ้านนรา เป็นอิสตรี คนดีคนกล้า จากแดนล้านนาเมืองไกล
ญ -- แกะแจะนายูรึสิแย ช่วยเผื่อแผ่ส่งกำลังใจ ด้ามขวานจะสั้นลงไป ถ้ายอมให้ใครแบ่งไทยไปได้

(*,*,*)







////

ข้อมูลเพิ่มเติม



เจี๊ยบ-หลวงไก่ แหลงชัด ใช้ บินหลาดง ดับไฟใต้
ที่ี่มา http://www.t-ch.com/view.php?id=1009

เจี๊ยบ-หลวงไก่ เครียด 3 จังหวัดใต้ยังวิกฤติ ขอเพลง "บินหลาดง" เป็นสื่อกลางเตือนสติเรียกร้องหันหน้าสร้างสามัคคีในชาติ

กำลังเป็นที่นิยมของคอเพลงขณะนี้สำหรับ "บินหลาดง" บทเพลงที่มีเนื้อหาความรักระหว่างหนุ่มสาวกับการสอดแทรกกำลังใจไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ระอุอยู่ในช่วงนี้ ซึ่งอยู่ในชุด "อาร์สยาม 5 ปีทอง พี่น้องร้องเพลงรัก"

หลวงไก่ ให้สัมภาษณ์ในงานฉลอง 5 ปีทองอาร์สยาม ที่เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว กล่าวถึงเพลงดังกล่าวว่า เป็นการนำเรื่องราวความรักมาเป็นสื่อกลางให้ทุกคนรักชาติโดยเป้าหมายเน้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้

"เราพูดถึงความรัก มันมีอยู่ในตัวของคนอยู่แล้ว ไม่ต้องไปหาที่ไหน อยากให้ทุกคนรักสามัคคีกัน โดยเอาเพลงเป็นสื่อ เพลงแนวนี้เราทำมาตลอด ทุกคนคือคนไทย บอกตามตรงว่าผมเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วมันเครียด เครียดในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง ผมเป็นแค่นักร้องช่วยได้เล็กๆ น้อยๆ ด้วยการสื่อออกมาเป็นเพลง อยากขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่เคารพของทั้งศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลามให้ช่วยดลใจให้ทุกคนมีสติ ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากคนไทยด้วยกัน แม้จะต่างศาสนาก็ตาม"

นักร้องใต้มาดกวน กล่าวอีกว่า เชื่อว่าผู้ใหญ่รู้ปัญหา เพียงแต่ไม่ทำให้ทุกอย่างชัดเจน เขาเชื่อว่าปัญหาทุกอย่างไม่ได้เกิดจากคนในพื้นที่ แต่เป็นคนนอกพื้นที่มากกว่า

"ในมุมมองของศิลปิน เขาคิดเหมือนกันว่าผู้ใหญ่รู้ ว่าเหตุมันมาจากอะไร ถ้าเขาตั้งใจจริง ลงไปแก้ปัญหา ให้ความใกล้ชิด ทำให้ชัดเจน ให้ทุกคนมั่นใจ คนที่สร้างปัญหาส่วนมากมาจากที่อื่น คนที่อยู่ในพื้นที่เขาไม่ได้มาตั้งแง่อะไรเลย ลองทำจิตให้สงบแล้วฟังเพลงของเรา มองทุกคนอย่างมิตร อย่าให้คนอื่นหาประโยชน์จากความเข้าใจผิดของคนแผ่นดินเดียวกันเลย"

ขณะที่ เจี๊ยบ เบญจพร กล่าวเสริมว่า ทุกฝ่ายควรปรับเข้าหากันเพื่อความสงบสุข จะได้พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญ หมดสมัยแล้วกับวิธีการทะเลาะกันฆ่ากัน

"เจี๊ยบจะติดตามข่าวตลอด เห็นใจพี่น้องทุกคน ไม่ใช่เพราะเราเป็นคนใต้ แต่เพราะเราเป็นประชาชนคนหนึ่ง เพลงเราเรียกร้องให้รักบ้านเกิด พร้อมทั้งให้กำลังใจพี่น้องของเรา เจี๊ยบอยากเห็นความสงบสุขในแผ่นดินบ้านเกิด รัฐควรแก้ไขให้ตรงจุดและชัดเจนกว่านี้ เจี๊ยบเป็นศิลปินทำได้แค่ร้องเพลงให้กำลังใจกับสวดมนต์ให้ทุกอย่างเดินไป สู่สันติเพราะความรุนแรงไม่ก่อเกิดประโยชน์อะไรต่อทุกฝ่าย สงสารพี่น้องทุกคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ก็ต้องมาพบกับเรื่องรุนแรง การฆ่าฟันกันมันเป็นวิธีของคนที่ใจแคบและเห็นประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วน รวม"

ส่วนเพลง "บินหลาดง" จะสามารถทำให้เหตุการณ์ทุเลาได้มากหรือน้อยนั้น เจี๊ยบ บอกว่า อยากให้เป็นแบบนั้นแต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลแค่ไหน หรือเป็นแค่ความฝันของเธอคนเดียว

"ศิลปินทุกคนอยากให้เพลงที่เราร้องออกไปมีส่วนช่วยสังคม ในเพลงยังมีความจริงใจคิดถึงชาติบ้านเมือง คิดถึงความเป็นอยู่ของคนในสังคม ช่วงหลังๆ เพลงทุกเพลงของเรา 2 คน หลบมาบ้านเรา แรงใจพี่หลวง จนมาถึงบินหลาดง มีแต่ความรักที่สวยงาม เท่าเทียมกัน อยู่แผ่นดินร่วมกัน ครอบครัวใหญ่ก็ต้องมีปัญหา เพียงแต่ว่าพอมีปัญหาก็อย่ามัวเอาแต่ใจตัวเอง ต้องคุยกัน หาวิธีเพื่อหยุดปัญหา"

ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์คมชัดลึก