++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2549

เรียนรู้จากความล้มเหลว

จาก The Book of Goals

มันเป็นกำไรสูงสุดในชีวิต
ที่คุณได้เคยทำสิ่งผิดพลาดบางอย่างมาก่อนในชีวิต           ผมคิดว่า คำนิยามที่ดีของความสำเร็จ คือ การเรียนรู้จากความล้มเหลว คนเราทุกคนล้วนเคยทำผิดพลาดไปบ้าง ความล้มเหลวทำให้คุณได้รับความรู้ที่ประเมินค่ามิได้ เพราะไม่มีที่ใดในโลกที่จะสอนให้คุณรู้ว่า สิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ และสิ่งใดที่คุณไม่อยากจะทำบ้าง

          เมื่อคุณทำสิ่งใดพลาด คุณมักจะโทษตัวเอง และอาจโดนคนอื่นกล่าวโทษด้วย คุณอาจจะขยันทำงาน แต่งานนั้นอาจจะไม่เหมาะกับคุณก็ได้ ไม่มีใครที่เก่งไปหมดทุกอย่าง เมื่อคุณอยู่ในที่ซึ่งไม่เหมาะกับคุณ คุณก็ต้องหาที่ใหม่ที่ดีกว่า

          พรสวรรค์และความฉลาดของคนมีหลายประเภท นักเรียนที่ได้ A หมด เมื่อจบชั้นมัธยมปลาย ก็เพียงแต่แสดงให้เขาเห็นว่า เขาได้ A หมดทุกตัวเมื่อสมัยอยู่โรงเรียนมัธยมเท่านั้น บุคคลที่ประสบความสำเร็จหลายท่าน มาจากนักเรียนที่มีผลการเรียนปานกลาง และประสบความลำบากเมื่อครั้งที่เพิ่งเริ่มทำงาน บางคนถึงกับถูกไล่ออก อะไรทำให้คนเหล่านี้ประสบความสำเร็จ พวกเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จในทันที แต่พวกเขาพบงานที่เหมาะกับเขา

          ผมเคยศึกษาชีววิทยาในโรงเรียนมัธยมกับ ซิสเตอร์โรนัล (Sister Ronald) ผู้ซึ่งไม่ยอมให้ผมกับเพื่อนใช้เครื่องมือในห้องทดลองเลย เพราะกลัวพวกผมทำสกปรกหรือทำแตก เมื่อเธอไม่ให้ผมเข้าไปทำการทดลอง ผมก็ไม่สนใจจะเข้าไปห้องทดลองอีก ต่อมาผมตกวิชาชีววิทยา ซิสเตอร์โรนัล ได้บอกพ่อผมว่า นอกจากการที่ผมสอบตกชีววิทยาแล้ว ผมอาจจะประสบความล้มเหลวในชีวิตด้วย ผู้อ่านลองนึกดูสิครับว่า ซิสเตอร์โรนัล ท่านจะประหลาดใจเพียงใดที่ผมเรียนหนังสือจนได้รับปริญญาเอก แต่ทางด้านฟิสิกส์นะครับ ไม่ใช่ชีวะ นี่ไงครับผมได้หาสิ่งที่ผมชอบพบแล้ว

ในการทำงาน
          พยายามอย่ามองความล้มเหลวว่าเป็นสิ่งเลวร้าย ถ้าคุณไม่โทษตัวเองในความล้มเหลวมากเกินไป คุณอาจพบว่า "ความล้มเหลว" นี้จะเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่ทำให้คุณได้เรียนรู้ นักยิมนาสติกและนักสเก็ต ล้มแล้วล้มอีกในการฝึกฝนขั้นแรก พวกเขาล้มไปกี่ครั้ง แต่ละครั้งที่พวกเขาล้ม พวกเขาก็ได้เรียนรู้มากขึ้น ว่าจะลุกขึ้นยืนอย่างไรในครั้งต่อไป

แบบฝึกหัดในการเรียนรู้จาก "ความล้มเหลว"
          คุณรู้สึกล้มเหลวหรือเปล่า ถามตัวเองดู

          1. คุณอยู่ในอุตสาหกรรมประเภทไหน? คุณรู้สึกราวกับว่า คุณเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่นหรือไม่? คุณรู้สึกว่าตามวิทยาการสมัยใหม่ไม่ทันหรือไม่? เป็นไปได้ไหมว่า คุณควรทำงานเกี่ยวกับการศึกษา การเงินหรือการแข่งรถมากกว่า?

          2. คุณอยู่ในองค์กรชนิดใด? คุณรู้สึกสบายหรือไม่? คุณคาดหวังว่าบริษัทควรจะมีโครงสร้างที่ดีกว่านี้หรือไม่? เป็นกันเองมากกว่านี้หรือไม่? ใหญ่ขึ้น? เล็กลง?

          3 ลักษณะงานของคุณเป็นแบบไหน? เป็นไปได้หรือไม่ที่คุณจะเป็นพนักงานขายแทนที่จะเป็นนักบัญชี? หรือทำงานวิจัยแทนที่จะเป็นพนักงานขาย? หรือทำงานด้านบำรุงรักษา แทนที่จะทำงานธุรการ? หรือทำงานด้านการจัดการแทนที่จะให้บริการลูกค้า?

          4. ลองตอบมาตามตรง คุณรู้สึกว่าคุณประสบความล้มเหลวบ้างหรือไม่? หรือคิดว่าคุณไม่เหมาะกับที่ที่คุณทำอยู่หรือไม่?

Health เคล็ดลับสุขภาพ

ลองทำดูนะ ดีมาก โดยเฉพาะข้อ8
1. การเปลี่ยนแปลงสิ่งที่คุณได้งีบทุกวัน วันละ 15 นาที Dr.Bill Anthony of Boston University กล่าวว่า การงีบจะช่วยทำให้ประสิทธิภาพ และสมาธิในการทำงาน
2. ทานกล้วยวันละ 2 ใบ ลดความเสี่ยงในการเกิด stroke ลงได้ 20% (stroke คือ การเป็นลม เนื่องจากสมองขาดเลือด)
3. ทาน chocolate 3 ชิ้นต่อเดือน อายุยืนขึ้น 1 ปี เพราะ chocolate แสดงออกถึงประสิทธิภาพในการลด LDL Cholesteral
4. กวาดใบไม้ที่บ้านด้วยตัวคุณเอง เผาผลาญพลังงานไป 420 kj ทุกๆ 20 นาที นั่นเท่ากับการออกวิ่ง 1500 m
5. ล้างจานด้วยมือแทนที่จะเป็นเครื่องล้างจาน เผาผลาญพลังงานได้เพิ่มขึ้น เฉลี่ย 395 kilojoules ต่อวัน หรือเท่ากับ 4.5 kg ตลอดระยะเวลา 1 ปี
6. เปลี่ยนไส้แซนวิชของคุณ จาก ham มาเป็น tuna อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได้ 25%
7. จูบลาแฟนคุณทุกเช้า และทักเธอทันทีเมื่อถึงบ้าน ทำชีวิตสมรสคุณให้ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ Dr.Dave M. Davis, Director of the Piedmont Psychiatric Clinic in Atlanta in U.S. กล่าวว่า ผมเห็นคนไข้หลายคนที่มีความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดใน ช่วงเวลาสั้นๆ หลัง จากที่ได้ทำตามคำแนะนำง่ายๆ นี้
8. ลดการทำงานลงวันละ 1 ชั่วโมง ชะลอการตายของคุณออกไป จากการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น พบว่า ผู้ชายที่ทำงานมากกว่า 11 ชั่วโมงต่อวัน มีโอกาสหัวใจวายมากกว่าคนปกติที่ทำงานถึง 9 ถึง 11 ชั่วโมงต่อวัน ถึง 2.5 เท่า
9. เดินไปส่งเอกสารให้เพื่อนร่วมงาน แทนการส่ง e-mail ลดน้ำหนักลงได้ 0.5 kg ต่อปี
10. เริ่มเก็บเงินวันละ 100 บาท เพื่อใช้ตอนที่คุณเลิกทำงาน เมื่อผ่านไป 20 ปี คุณจะมีเงินเก็บทั้ง สิ้น 3,740,000 บาท (สมมติได้ผลตอบแทน 15 % ต่อปี)
11. ดื่ม wine แดงที่มาจาก Chile แทนที่จะเป็นฝรั่งเศส ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง -Chilean Cabernet และ Sauvignon มีสารที่มีประโยชน์ เช่น flavomoids, antioxidants (ลดการเกิดมะเร็งโดยการลดอนุมูลอิสระ) มากกว่าใน wine ของฝรั่งเศสถึง 38% รักษาไข้ให้หายเร็วที่สุด ตัดโอกาสที่คุณจะป่วยไข้ลงมากถึง 90%
12. หลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก ให้ทานวิตามิน C ลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดลง 50%
13. ทานอาหารเช้าทุกวัน ลดน้ำหนักได้ทันที Franca Alphin จาก Duke University Diet and Fitness Centre in the US กล่าวว่า ทั่วไปแล้วผู้ชายที่เว้นทานอาหารเช้าจะทานอาหาร มากกว่านั้นในช่วงต่อมา และมักจะเลือกอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและ kilojules
14. ดื่มน้ำเย็นวันละ 4.5 ลิตร ทุกวัน ลดน้ำหนักลงได้ 0.5 kg. ทุกๆ 4 สัปดาห์ ทั้งนี้ เนื่องจากร่างกายของคุณจะใช้พลังงาน 516 kilojules ในการทำให้น้ำดื่มอุณหภูมิเป็น 22.7c เมื่อคุณดื่มเข้าไป
15. เหยียดขา (hamstring) ของคุณออกไปเต็มที่ค้าไว้ 30 วินาที วันละ 5 ครั้ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงความสามารถในการยืดหยุ่นของคุณอีก 37%
16. บ้วนปากทันทีทุกครั้ง หลังทานอาหาร ลด bacteria ในช่องปากลงได้ 30% และที่สำคัญที่สุด คือช่วยลดความเสี่ยงของฟันผุ
17. ทาน apple วันละ 2 ลูก ลด 4.5 kg ได้ภายใน 1 ปี เส้นใยอาหารใน apple ช่วยในการลดน้ำหนัก ด้วยการช่วยขัดขวางการย่อยไขมันและโปรตีนในร่างกาย
18. ทำความสะอาดอ่างล้างจานของคุณทุกๆ 2 วัน กำจัด E.coli และ samonella bacteriaจากสถานที่ที่มันชอบซ่อนตัวอยู่เป็นประจำ
19. เปลี่ยนแปลงจากเนยมาทาน low fat magerine แทนการลดปริมาณ cholesteral (LDL cholesteral เป็นชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย) ที่ร่างกายคุณจะได้รับ
20. ดื่มเบียร์ประเภท stout แทนการดื่มประเภท soft drink เมื่อคุณทาน berger ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง เบียร์จะเป็นตัวป้องกันคุณจาก carcinogens ที่มีอยู่ในเนื้อย่างสุก

วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2549

7 Thinking method to be genius

การเป็นคนเก่ง ไม่ใช่ความโชคดีของพันธุกรรมหรอกนะ
อยู่ที่การฝีกขัดเกลาสมองและหัวใจของคุณต่างหาก
แล้วคุณจะมีความปราดเปรื่องในแบบฉบับของคุณเป็นคนเก่ง
ที่สามารถจัดการกับชีวิตของตนเองได้อย่างลงตัว

คิดในทางบวก
มองโลกในแง่ดี และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลัง
ด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน
ทำตัวให้สดชื่น มีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ
พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์

จะช่วยให้คุณสามารถที่จะจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาได้อย่างอยู่มือ


มีศรัทธาในตัวเอง
ถ้าแม้แต่ตัวคุณเอง ยังไม่ศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเอง
แล้วจะมีมนุษย์หน้าไหนล่ะ
จะเชื่อในความเก่งของคุณอยากให้ใครๆ
เขาชื่นชอบและทึ่งในตัวคุณ
คุณก็ต้องมั่นใจตัวเองก่อน

ขอท้าคว้าฝัน
ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริง
และทุ่มสุดตัวหรอกนะ
ความกระหายอันแรงกล้า ที่จะพาตัวเองไปสู่จุดหมาย นั่นแหละเป็น
แรงผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้

ค้นหาบุคคลต้นแบบ
ใครก็ได้ที่คุณชื่นชม เพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม
ศึกษาแนวคิด
วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา เผื่อว่าเราจะได้ไอเดียแจ๋ว ๆ
มาปรับใช้ให้ชีวิตก้าวโลดสู่ความสำเร็จกับเขามั่ง

เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส
คนที่มีรอยยิ้ม ระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้าง
ให้ใครๆ อยากเข้ามาคบหาด้วย การเจรจาติดต่องาน
ก็มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จ
มากกว่าคนที่หน้าตาแบกโลกนะคะ
นอกจากนี้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ยังสร้างความเบิกบาน
และคลายทุกข์
แถมยังเป็นยาอายุวัฒนะชั้นอ๋อง
ที่ทำให้เราดูเป็นวัยสะรุ่นตลอดกาล
รู้อย่างนี้แล้ว..หัดติดรอยยิ้มไว้ที่มุมปากกันเป็นประจำนะ

เรียนรู้จากความผิดพลาด
ก็สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
จะเป็นอะไรเชียวถ้าเราจะทำอะไร
แล้วจะยังไม่สำเร็จอย่างที่หวังไว้ เพียงแต่ขอให้ทำเต็มที่
และเปิดใจให้กว้าง
ยอมรับความจริง หันมาทบทวน ดูว่ามีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาดไป...
เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม

ทะนุถนอมมิตรสัมพันธ์เก่าๆ
คงไม่มีใครที่จะอยู่อย่างมีความสุข
โดยปราศจากเพื่อนหรือมิตรที่รู้ใจหรอกนะ
แม้ว่าในชีวิตแต่ละวันของคุณจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม
คุณควรจะมีเวลาให้กับเพื่อนซี้ ที่รู้จักมักจี๋กันมานานซะบ้าง
แวะไปหา
กัน
เมื่อโอกาสอำนวย ชวนกันออกมาทานข้าวในช่วงวันหยุด
ส่งการ์ดปีใหม่
หรือร่อนการ์ดวันเกิดไปให้
เผื่อในยามที่คุณเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงา
เศร้าทุกข์ใจ ก็ยังมีเพื่อนแสนซื้ ไว้พื่งพา
และให้กำลังใจกันได้นะ

5 วิธีกำจัดหวัดอย่างง่าย

1.ออกกำลังกายวันละ 30-45 นาที ให้หัวใจเต้นตึกตัก แต่ไม่ต้องถึงกับ
หักโหม สัปดาห์ละ 4-5 วัน จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคหวัดได้เป็นอย่างดี

2.ล้างมือบ่อยๆ ครั้งละนานๆ ฟอกสบู่ให้ทั่วทั้งสองมือและทุกซอกเล็บ
ใครจะค่อนขอดว่าเป็นคุณสะอาดก็ช่างปะไร ก็ผู้เชี่ยวชาญเขา

ยืนยันว่า ช่วยให้ติดหวัดได้น้อยลงจริงๆ

3.อยู่ให้ห่างคนที่เป็นหวัดมากที่สุด เพราะเชื้อโรคจากการจาม โดยไม่ปิด
ปากหรือจมูก สามารถแพร่กระเด็นจากคนที่เป็น ได้ไกลถึง 6 ช่วงตัว
ทีเดียว

4.รับประทานวิตามินซี หรืออาหารที่มีวิตามินซีสูง ๆ เพราะมีผลการ
วิจัยจากหลายสำนักยืนยันตรงกันว่า วิตามินซีมีประโยชน์ครอบ
จักรวาล ช่วยป้องกันอาการแพ้ได้ทุกชนิด ทั้งคัดจมูก น้ำมูกไหล
หอบหืด หรือลมพิษ ช่วงหน้าหนาวที่หวัดระบาดอย่าลืมตุนผลไม้
ประเภทส้มโอ มะเขือเทศ สับปะรด ใส่กระเพาะเยอะๆ จะช่วยลด
ความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้

5.สำหรับข้อนี้ ขอบอกก่อนว่าคนโสดหมดสิทธิ์นะครับ นักวิจัยจาก
สหรัฐแนะนำวิธีเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคหวัด สำหรับคนมีคู่อยู่ข้างกาย
โดยให้มีกิจกรรมบนเตียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง อย่างสม่ำเสมอ
เพราะการมีเซ็กส์ในระดับที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มปริมาณโปรตีน
ที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันโรคหวัดได้
โดยคุณ : 4uweb

5 วิธีกำจัดความฟุ้งซ่าน

วิธีกำจัดความฟุ้งซ่าน
ความคิดที่ฟุ้งซ่านนั้น มันบั่นทอนตัวคุณเองอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะอาจทำให้คุณสับสน จนสติแตก ย้ำคิดย้ำทำจนอาการปวดหัวกำเริบ หรือเครียดจนสิวระเบิดตูมตาม เกิดอาการอ่อนเพลียหมดเรี่ยวแรง ก็เป็นได้ ถ้าคุณกำลังมีอาการแบบนี้อยู่ ลองนำกลวิธีในการสลัดความคิดที่ไม่เข้าท่า ซึ่งมีผู้รู้เสนอแนะไว้ ไปใช้กันดูนะคะ

ถ้าคุณกำลังคิดว่า "ฉันช่างอ้วน โง่ และน่าเกลียดเสียเหลือเกิน "
คุณมัวแต่คิดให้ร้ายกับตัวคุณเอง คิดซ้ำซากถึงข้อด้อยเรื่องรูปลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งแม้อาจจะมีส่วนจริงอยู่บ้างก็ตาม แต่คุณก็เสียเวลาไปเปล่าๆ กับความคิดที่ไร้สาระแบบนี้ ลองคุณฝังหัวว่าคุณน่ะแสนจะขี้ริ้วขี้เหร่ อ้วนเป็นพะโล้ คุณก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรให้ดีขึ้นมาได้ แม้แต่การคิดกำจัดน้ำหนักส่วนเกินออกไป เจน เกรียร์ ผู้เขียนเรื่อง How Could You Do This To Me ? Learning To Trust After Betrayal กล่าวว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณคิดว่าตัวคุณน่ะอ้วน โง่ หรือน่าเกลียด คุณควรจะหยุดบ่น หรือหยุดโจมตีตัวเองซะที คุณควรหันมาจัดการน้ำหนักส่วนเกินของตัวเองจะดีกว่า แต่ถ้าคุณคิดว่าตัวเองโง่ ก็ควรหาเวลารับฟังข่าวสารจากสื่อต่างๆ หรือจัดเวลาเพื่ออ่านหนังสือ ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณรู้ว่า ปัญหาของคุณคืออะไร ก็ย่อมผลักดันให้คุณคิดหาหนทางในการแก้ปัญหานั้นได้

ถ้าคุณกำลังคิดว่า "ฉันอาจจะถูกไล่ออก เพราะทำงานไม่เข้าตานาย หรือฉันอาจจะถูกคนรักทิ้งไป"
แม้ว่าบางทีหน้าที่การงานและชีวิตรักของคุณก็มั่นคงดีอยู่ เพียงแค่ คุณโทรหาสุดที่รัก แล้วเขาไม่ติดต่อกลับมา คุณก็หวาดระแวงว่าเขากำลังจีจ๋ากับสาวที่ทำงานของเขาอยู่รึเปล่า เขาคงจะขอเลิกกับคุณแน่ๆ หรือคุณทำงานอย่างหนักกับงานชิ้นใหม่ที่ได้รับมอบหมาย แต่กระนั้นก็เถอะ คุณก็อดคิดไม่ได้ว่า ผลงานของคุณจะเข้าตาเจ้านายรึเปล่า แล้วคุณจะโดนเลย์ออฟไหมเนี่ย คุณอาจฟุ้งซ่านจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน ทั้งๆที่ความจริงแล้ว อาจจะไม่มีใครบอกเขาว่าคุณโทฯมา หรือเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้านายอาจชมเปาะว่า คุณก็เจ๋งเหมือนกันนะ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ความคิดไม่เข้าท่าแบบนี้ เกิดจากการขาดความมั่นใจในตัวเอง หวาดระแวง หรืออาจจะเกิดความขลาดกลัว จึงใช้กลไกเหล่านี้ เพื่อปกป้องตัวเอง แต่บางครั้งความคิดแย่ๆเหล่านี้ ก็บั่นทอนตัวคุณเอง วิธีที่จะปรัปเปลี่ยนพฤติกรรมดังกล่าว คุณควรที่จะประเมินดูว่า ถ้าคุณจะถูกเจ้านายไล่ออก คุณสมควรจะถูกไล่ออกรึเปล่า ถ้าความสามารถของคุณไม่ได้มาตรฐานของเจ้านายจริง ก็ต้องหาลู่ทางที่จะเพิ่มศักยภาพ หรือเพิ่มคุณค่าของตัวคุณเอง แต่ถ้าไม่จริง คุณก็ควรจะหยุดความคิดเหล่านี้ได้แล้ว

ถ้าคุณกำลังคิดว่า ทำไมเธอจึงเก่งกว่า สวยกว่า แถมยังมีหนุ่มหล่ออยู่เคียงข้างอีกด้วย
นั่นแสดงว่าคุณกำลังนำตัวคุณเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย และในที่สุดคุณก็อดชิงชังตัวเองเสียไม่ได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ก่อนอื่นคุณต้องหยุดเปรียบเทียบกับคนอื่นเสียที แต่ควรประเมินศักยภาพของตัวคุณเอง มองหาจุดเด่น จุดด้อยและยอมรับตัวคุณเองอย่างที่คุณเป็น แล้วคิดหาหนทางที่จะเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง จะแต่งตัวปรุงโฉมอย่างไร ให้ดูดีในสไตล์ของตัวคุณเอง

ถ้าคุณกำลังคิดถึงความผิดพลาดในอดีต และย้ำคิดอยู่ว่าคุณไม่น่าจะทำอย่างนั้นเลย
แทนที่จะนั่งครุ่นคิดเสียใจกับสิ่งที่คุณคิดว่าไม่น่าจะทำลงไป ซึ่งพลอยทำให้คุณอ่อนเปลี้ยเพลียใจ และยิ่งไปตอกย้ำความผิดพลาดของตัวคุณเอง สลัดความคิดที่ไม่เข้าท่าออกไปจากหัวซะ แล้วคิดหาหนทางที่จะแก้ไข ถ้าสามารถทำได้ แอลลา แพทเทอร์สัน แนะนำไว้ในหนังสือ " 1001 Reasons to Think Positive " ว่า แทนที่คุณจะมัวกล่าวโทษตัวเอง ลองมาคิดหาอะไรทำที่สร้างสรรค์กว่าหยิบกระดาษขึ้นมา แล้วจดรายการสำคัญๆสัก 4-5 รายการที่คุณอยากทำลงไป ถ้าคุณทำสำเร็จ คุณก็จะปลื้มกับความสำเร็จที่เกิดขึ้น ความรู้สึกผิดพลาดครั้งเก่าๆ ก็อาจเจือจางลงไปได้บ้าง

"ฉันไอ จาม เจ็บคอ ใจสั่น ฉันจะเป็นโรคร้ายแรงรึปล่าว "
ถ้าคิดกังวลใจกับอาการเจ็บป่วยเล็กๆน้อย แล้วคิดไปว่าคุณจะเป็นโรคร้ายแรงด้วยหรือไม่ อาจทำให้คุณรู้สึกซึมเศร้า หดหู่ใจ จนแทบทำอะไรไม่ได้ บางทีความกังวลใจกับเรื่องเล็กๆเหล่านี้ อาจทำให้คุณดูแย่กว่าที่คิด อย่างเช่น ถ้าคุณมีอาการเจ็บหน้าอก แล้วคุณก็คิดว่า กำลังถูกคุกคามด้วยโรคหัวใจ แล้วคุณก็จมอยู่กับความคิดแบบนี้ คุณอาจไม่ได้เป็นโรคหัวใจ แต่คุณมีโอกาสเป็นโรควิตกกังวลเกินเหตุ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ให้คุณถามตัวคุณเองว่า คุณกำลังตีโพยตีพายมากเกินไปรึเปล่า ถ้ายังไม่ได้คำตอบ ลองเลียบๆเคียงๆถามคนใกล้ชิดดู แต่ถ้าคุณกังวลมากๆ ก็ควรไปหาหมอซะ ดีกว่ามัวเสียเวลา กับการคิดไปเอง

วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2549

ทำไมผู้ชาย อยากมีอีหนู?

ผู้ชายโดยมาก รู้ทั้งนั้นแหละว่า การนอกใจ เป็นสิ่งไม่ดี, เป็นสิ่งผิดและไม่ควรทำ แต่ก็ยังกระแดะนอกใจกันอยู่นั่น.... เออเนอะ มนุษย์ต่างได้รับการปลูกฝัง ในเรื่อง ที่ควรมี ผัวเดียว เมียเดียว หรือแม้แต่ แต่งงานเพียงครั้งเดียวด้วยกัน ทั้งนั้นจริงมะ แต่ทำมั้ยถึงเห็น ออกนอกลู่นอกทาง เป็นประจำก็ไม่รุ ว่าแต่ของพรรค์นี้จะไปโทษเพศใด เพศหนึ่ง ก็ไม่ได้ เพราะเรื่องนอกใจเนี่ย มันก็ขึ้นอยู่กับ สันดานของ คนแต่ละคน บางคนเห็นซื่อๆ ไม่น่าจะเที่ยวไป มีเล็กมีน้อยได้ กลับหมกเม็ดมีเมียตรึม ต๊าย!!! ไม่รู้เค้าแบ่งสัน ปันส่วนเอาเวลาไปเบียดกันอย่างไรนะเนี่ย ขณะบางราย โอ๊ย ทำท่าคล้ายหว่านเสน่ห์ไปทั่ว แต่ขอโทษ ดันรักลูก รักเมียสุดชีวิตก็เยอะ

ส่วนนักจิตวิทยาให้เหตุผลฟังแล้วน่าเชื่อถือ (อิบอ๋าย) ว่า ผู้ชายจะหว่านเชื้อให้ผู้หญิงมากที่สุดเท่า ที่จะสามารถ ทำได้ เพื่อสร้างความมั่นใจไงว่า มนุษยชาติจะไม่สูญพันธุ์ เหตุนี้การเป็นคนเจ้าชู้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ว่างั้นเถอะ งั้นมาพิจารณากันดีกว่าว่า มีสาเหตุอะไรบ้างน้า ที่ทำให้ผู้ชายนอกใจกันหึ่งขนาดเนียะ

ใน สุดยอดเหตุผล 10 ประการที่ทำให้ผู้ชายมีชู้ (Top 10 : Reasons Why Men Cheat) บอกสาเหตุที่รบเร้าให้ผู้ชายไปจี๋จ๋ากับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ แฟนหรือเมียของตัวเอง โดยไล่เรียงจากอันดับ ของความสำคัญน้อยสุดไปสู่ความสำคัญเด่นสุดเพื่อความตื่นเต้น ให้ผู้หญิงรู้ไว้ใช่ว่า มีดังนี้ไงล่ะ

อันดับ 10. อ้างว่า แฟนหรือเมียไม่ค่อยอยาก มีอะไรกะเขาด้วย เคยได้ยินผู้ชายแซวกันเองไหมว่า วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ผู้หญิงหยุดมีเซ็กซ์กะเขาคือเข้า พิธีแต่งงาน กะหล่อนดูเดะ เพราะหลังจากเข้าพิธีอย่างเป็นทางการกันไปแล้ว คราวนี้ล่ะ ผู้หญิงจะสะบัดสะบิ้ง ไม่อยากมีความสัมพันธ์ทางกายกะเขาเหมือนแต่ก่อน อีกต่อไป ฟังดูมันก็เป็นข้ออ้างของผู้ชายนั่นแหละ อันที่จริงไม่ใช่แค่หญิงเท่านั้นหรอกที่หมดแรง จะแปลงกาย เป็นนางแมวยั่วสวาทหลังแต่งงาน เพราะผู้ชายก็ใช่ว่าจะอยากเบียดกะเมียคนเดียว ตลอดชีวิตที่ไหนล่ะ จริงอยู่พวกรักเดียวใจเดียวน่ะก็คงมีหรอก แต่น้อย ดังนั้นพอผู้หญิงเริ่มไม่อยากเล่นเกมเอ็กซ์ด้วย ผู้ชายก็เตลิดสิจ๊ะ อีกสาเหตุที่ทำให้ผู้ชาย นอกใจเค้าว่า เพราะภรรยาไม่ยอมลองสิ่งใหม่ๆบนเตียงหรือไม่ ยอมแสดงบทแอ็กชั่นที่ต่างไปจากบทรักเดิมๆ จึงขอไปสนุกกะสาวอื่นละกัน

อันดับ 9. อ้างว่า ถูกอีกฝ่ายนอกใจก่อนจึง อยากแก้แค้น หนุ่มบางคนเชื่อว่า หนามยอกเอาหนามบ่ง เป็นวิธีแก้แค้นที่ทำให้ฝ่ายหญิงเจ็บปวดแบบได้ผล 100% แต่เออเนอะ บางคนงี้ยังไม่ได้ทันสืบให้แน่ชัดเลยว่าเมียมีชู้จริงป่าว ก็หื่นจับแล้วอ่ะ

อันดับ 8. ผู้ชายมองว่าการนอกใจเป็นความตื่นเต้นและท้าทาย ประมาณว่าไม่ทำไม่ได้ เดี๋ยวชีวิตจะราบเรียบเกิน เป็นซะเงี้ยเนี่ยนะ

อันดับ 7. ผู้ชายคิดว่า กะอีแค่นอกใจน่ะรึ เดี๋ยวก็เอาตัวรอดได้ ผู้หญิงเยอะเลย พอเป็นเมียตามประเพณีปั๊บ จะไม่อยากวิ่งไล่ตามผัวแล้ว ด้วยเหตุผลยอดฮิตที่ว่า ถ้า เขาจะไปหาเศษหาเลยที่ไหนก็ช่างเขาเถอะ กะปลอบใจ ตัวเองหรือขี้เกียจรับรู้ก็บ่ฮู้เหมือนกัน พอเมียเซ็งที่จะขัดขวางหรือคอยตามราวีเท่านั้นแหละ ทีนี้สามีตีปีกกันพึ่บพั่บสนั่นแล้ว ก็ถ้าไม่นอกใจจนหน้า เกลียดเกินไป ถึงไงภรรยาก็จะไม่เอาเรื่องเอาราว เขาจึงได้ใจไปเล่นเสียวกะสาวอื่นไง

อันดับ 6. การนอกใจ ทำให้ผู้ชายมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ก็แหม ขนาดขุนแผนแสนสะท้าน หรือคาสโนวา ยังได้รับการชื่นชมจากผู้คนทุกยุคทุกสมัยนี่นา แล้วจะ ไม่ให้ผู้ชายฝังหัวได้ไงว่า การทำตัวเจ้าชู้ก็เป็นสิ่งชอบธรรมที่เขาควรทำได้เช่นกัน แถมผู้ชายบาง คนยังอย่างนี้ ซะด้วยนะ คือคิดว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้อีกแล้วที่จะช่วย เพิ่มความมั่นใจในตัวเอง ได้มากเท่ากับ การได้ค้นพบและได้ลิ้มรสชาติบนเตียงกับ ผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาตัวจริง เสียงแท้ สงสัยคงให้ความสยิวต่างกันมั้ง

อันดับ 5. ผู้ชายเชื่อว่า ถ้ามีโอกาสแล้วทำไมจะไม่คว้าไว้ล่ะ ไม่เป็นที่สงสัยว่า ผู้ชายนั้นหิวเซ็กซ์ ถึงแม้บางครั้ง เขาไม่ได้รับการรบเร้าหรือกระตุ้นมากมายอะไร แต่ต่อให้ซื่อบื่อยังไงก็ถูกยั่วให้ตบะแตกได้ เพราะการมีเซ็กซ์เป็นสิ่งที่ผู้ชายทนอดกลั้นไว้ได้ที่ไหนเล่า ดังนั้นหากลองมีสาวมาแหย่ มาให้ท่า หรือมายักคิ้วหลิ่วตา ทำตาหวานใส่ด้วยล่ะก็ โหย ร้อยทั้งร้อยย่อมอยากสนองตัณหา เอ๊ยศรัทธา ไม่อยากให้น้องจอมให้ท่าผิดหวังเชื่อดิ แล้วถ้ายิ่งได้ฟรี ก็ยิ่งดีไปใหญ่

อันดับ 4. เขาว่า แฟน/เมียเป็นคนจุกจิกจู้จี้ ชอบกวนอกกวนใจ ดังนั้นเมื่อพูดถึงความสงบจึงไปซบอกเมียน้อยก็ละกัน ผู้ชายนะ นอกจากจะขี้เมื่อย เขายังขี้รำคาญ และ ขี้เบื่อง่ายจะตายไป ต่อให้ผู้หญิงช่างเอาใจ แค่ไหนก็เหอะ เขาก็สามารถอ้างความเบื่อ ความเซ็งและรำคาญเป็นสาเหตุให้ตีจากบ่อยไปเชอะ

อันดับ 3. เมียหรือแฟนเขาเองนั่นแหละที่เปิดทางให้ ดูคู่สมรสในชีวิตจริงก็เห็นกันถมไปว่า บางคู่ แหม เมียงี้เจ้ากี้เจ้าการหาเมียน้อยให้ผัวเองด้วยซ้ำ แล้วจะไม่ให้ฝ่ายชายเอาตัวไปเกลือกกลั้วกับผู้หญิงที่เมียหา มาประเคนให้ได้ไงใช่มะ

อันดับ 2. ฝ่ายชายคิดว่าเมียหรือแฟนไม่สามารถจุดไฟ (ตัณหา) ให้เขาได้อีกแล้ว พอฝ่ายชายเห็นภรรยาของตัวเองฝ่อ ก็ไปแสดงลีลาเร่าร้อนกะสาววัยเอ๊าะๆไม่ดีกว่ารึ บางคนอ้างว่า พอจับมือจับไม้ (หรือจะจับอย่างอื่นด้วยก็ไม่รู้ล่ะ) กะแฟนแล้วไม่รู้สึกสปาร์กหรือ ไฟช็อตเหมือนแต่ก่อนแฮะ เขาจึงเบนเข็มไปช็อตกะคนอื่นให้ซู่ซ่า ฟู่ฟ่าบ้างซี้

อันดับ 1. นอกใจเพราะหมดรักแฟน/เมียแล้วน่ะเซ่ ไม่งั้นจะออกนอกลู่นอกทางทำไมล่ะ น่าเสียดายที่การอยู่ด้วยกันมานาน ทำให้ฝ่ายชาย สูญเสียความรู้สึกหลายอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยมี ให้ฝ่ายหญิง เช่นอยากใกล้ชิดก็ไม่อยากใกล้แล้ว หรืออยากไปไหนมาไหนด้วยก็ไม่กระตือรือร้น เหมือนก่อน นี่ล่ะหนา เค้าถึงว่า ถ้ารักทั้งทีก็ควรรักกันสม่ำเสมอ รักน้อยๆ แต่รักนานๆ จะได้ไม่หมดรักกันเร็วเกินไปไงล่ะตัว.

ทำไมผู้ชาย ไม่ค่อยโรแมนติก

ผู้หญิงจะคิดอย่างไรน้า ถ้าผู้ชายจะ ยอมแอ่นอกบอก ถึงความลับส่วนลึก ของเขาว่า คิดอย่างไรบ้าง กับความรัก, ความใคร่, เซ็กซ์ และอารมณ์ รัญจวน ที่มีต่อเพศ ตรงข้ามให้ฟังอย่าง หมดเปลือกอย่าง ที่จะเจื้อยแจ้วเล่า ให้ฟัง ซึ่งแหงล่ะที่น้องหนู ย่อมสนใจ อยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ผู้ชาย ใกล้ตัว ให้มากที่สุด เท่าที่จะมาก ได้ใช่ไหมล้า เหตุนี้วิธีนึงที่จะทำให้ฝ่ายหญิงรู้จักเพศตรงข้าม ให้มากขึ้น ก็ต้องล้วงคองูเห่า เอ้ย วัดใจเขาผ่านคำถาม 8 ประการที่เขาอยากให้สาวๆรู้ (8 Things he wants you to know) ดังต่อไปนี้

1. ถามว่า ผู้ชายมองความโรแมนติกว่ามีความสำคัญหรือเปล่า? โอ๊ย จะให้หนุ่มๆเค้าแสดงอารมณ์โรแมนติกออก มาตรงๆน่ะเหรอ รอไปเหอะ ต่อให้เขาทำได้ และทำได้ดี ซะด้วย ก็ไม่มีใครอยากทำสิ่งเหล่านี้ออกมาโต้งๆหรอก จ้ะ เดี๋ยวจะดูไม่แม้น ไม่แมนอะไรเทือกนั้นละมั้ง ในความคิดของผู้ชายน่ะ เรื่องโรแมนติกจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเขาอยู่กับคนรักเพียงลำพังสองต่อสอง เท่านั้น ชายมักมองความโรแมนติกเป็นช่วงเวลาส่วนตั๊ว ส่วนตัว ตรงข้ามกับผู้หญิงที่สามารถ แสดงความโรแมนติกได้ทั่วทุกหนทุกแห่ง แถมผู้หญิงยังเห็นโอกาสมากมายที่จะโรแมนติก ซะด้วยสิ ก็โถ คุณเธอเป็นจอมเซ้นท์ซิทีฟนี่นะ แล้วเรื่องที่ต้อง เล่นกะอารมณ์อย่างงี้ มีรึที่ฝ่ายหญิงจะไม่รู้สึกรู้สมกะมันมากกว่ากันคิดดู ส่วนผู้ชายจะไม่ค่อยพูดถึงหรือทำอะไรเกี่ยวกับ ความโรแมนติกมากนักหรอก นัยว่าเขาคงอยาก ทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากกว่า ส่วนข้อสงสัยที่ว่า อ้าวแล้ว ทำไมผู้ชายยังสามารถชวนสาว ไปหม่ำข้าวใต้แสงเทียน ได้ล่ะจ๊ะ เอ้าไม่รู้หรือไงว่า เพราะเขารู้อยู่แก่ใจน่ะสิว่า หลังจากจบ ดินเนอร์แล้ว อารมณ์เตลิดเปิดเปิงของผู้หญิง จะช่วยให้เขาหิ้วเธอขึ้นเตียงได้อีซี่ หรือง่ายกว่า นั่นเอง อ๋อมีความในใจแอบแฝงอย่างนี้นี่เอง

2. ผู้ชายคิดว่า พวกเขาเซ็กซี่ และมีเสน่ห์ ดึงดูดทางเพศหรือเปล่า? ผู้ชายส่วนมากน่ะเป็นจอมทระนงล่ะจะบอกให้ หนุ่มๆชอบแกล้งถามว่า เขาใส่เสื้อผ้าชุดนี้แล้ว ดูดีไหม? แทนที่จะถามว่า เขาใส่แล้วเท่ระเบิดรึเปล่า? อย่างที่ใจ อยากถามซะเต็มประดา แต่ก็เงี้ยแหละนะ ขอรักษาฟอร์มให้ดูดีไว้ก่อน...ก็ไม่เสียหายอะไรนี่ ว่ากันว่า ผู้ชายเกือบทั้งหมดมักเชื่อมั่นในตัวเอง ทั้งนั้นแหละว่า เขามีเสน่ห์ทางเพศ ต่อให้ใครคนนั้นหน้าตาเหลาเหย่หรือเห่ยเพียงใด เขาก็ยังอยากได้ยินแฟนชมว่าหล่อ ดูดีมีสง่าราศีทั้งนั้นแหละ เฮ้อ! งั้นอย่าลืมออเซาะฉอเลาะหนุ่มข้างๆของคุณบ้างละกัน ตอแหล...เอ๊ย มีจริตไว้ซะบ้าง บางครั้งก็ใช้ได้ผลนะ

3. ทำไมผู้ชายถึงขยันมีเรื่องชู้สาวจังนะ? ไม่ใช่ฝ่ายชายเท่านั้นหรอกที่เจ้าชู้ เดี๋ยวนี้ผู้หญิง เองก็ใช่ย่อยซะที่ไหนล่ะใช่มะ ว่าแต่ปริมาณการเปลี่ยน คู่ของผู้หญิงอาจทำสถิติได้น้อยกว่าผู้ชายเท่านั้น ถึงได้มีคำพูดให้ได้ยิน กันไงว่า คนหล่อชอบเปลี่ยนคู่ คนสวยชอบเปลี่ยนใจ...เอ๊ะรึว่าโลกนี้หาคนจริงใจไม่ได้ แล้ว ต๊ายตาย อย่ามองโลก ในแง่ร้ายอย่างงั้นสิจ๊ะ แม้โลกนี้จะขมุกขมัว และเต็มไปด้วยความลับกับคำโกหก แต่เราก็ควรมองโลกด้วยความสดใส และเปี่ยมไปด้วยความหวังกันหน่อยเด้ อย่างน้อยช่วย มอบความจริงใจให้กันสักติ๊ดก็ยังดี

4. ถามว่า ผู้ชายให้ความสำคัญกับขนาดของหน้าอกผู้หญิงแค่ไหน? ผู้หญิงที่มีขนาดของหน้าอกหน้าใจใหญ่โต มักปั่นหัวผู้ชายได้เสมอล่ะจ้ะน้อง ทรวงอกขนาดใหญ่เหล่านี้มักกระตุ้นสัญชาตญาณ ของเพศผู้ว่า ผู้หญิงที่อวบอั๋น เต่งตึงน่ะ พร้อมเสมอแหละที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศง่ายจะตาย ก็พวกเธอออกจะยั่วยวนปานนี้นี่นา อู้หู ไม่รู้เป็นคำด่า (ว่าสาวทรงโตใจง่าย) หรือชม (ว่าสาวอวบอั๋นมีหุ่นน่าซุก) กันแน่ แต่ที่ชัวร์ๆ คำตอบของข้อนี้ก็คือ ทรวดทรงองค์เอว โดยเฉพาะหน้าอกของสาวๆน่ะมีผลต่อเพศชายแหงแก๋ เอ๊ะแต่ที่บอกอย่างนี้ไม่ได้หนับหนุนให้ผู้หญิงที่มีทรงเล็ก ต้องรีบกุลีกุจอไปผ่าตัดเสริมเต้าหรอกนะ เพราะถ้า “ขนาด” ของผู้หญิงมันใหญ่โตเทอะทะจนเข้าขั้นเว่อไปแล้วล่ะก็ บางทีอะไรที่ดูปลอมๆ อาจไม่เป็น ที่ต้องใจของคนที่ชอบของจริงก็ได้

5. ผู้ชายอ่อนไหวกับการแสดงออกทางเพศต่อหน้าคนอื่นจริงหรือ? เอ้าไม่รู้หรือว่าการแสดงออกเป็นปัญหาสำหรับผู้ชายเสมอแหละ หนุ่มส่วนใหญ่แทนที่จะวางท่า เพื่อให้ผู้หญิงเกิดความประทับใจ แต่ปรากฏว่าถ้าเผอิญคนในกลุ่มเกิดพูดถึงรสนิยม ทางเพศขึ้นมาเมื่อไหร่ ผู้ชายนั่นแหละจะทำหน้าทำตาจนกลายเป็นกลุ่มที่ไม่น่าไว้วางใจ มากที่สุดขึ้นมาทันที ประมาณสายตาหื่น ออก อะไรเงียะนะ จึงแม่นแล้วน้อง ว่าผู้ชายมีความอ่อนไหวง่ายจะตายพอพูดถึงเรื่องเซ็กซ์ขึ้นมา ซึ่งก็มีข้อดี อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่จะร้ายเสมอไป โดยเฉพาะในกรณีของคู่รัก เอ้าลองคิดดูนะ ถ้าฝ่ายหญิงอยากเร้าอารมณ์สามีก็ง่าย นิดเดียว แค่พูดให้เขาซาบซ่านแค่ว่า ชั้นหลงใหลร่างกาย คุณเหลือเกิน...แค่นี้สุดหล่อก็จะเริ่มควบคุมอารมณ์ ไม่อยู่แล้ว จึงไม่ต้องเสียเวล่ำเวลา ปลุกเร้าอะไรกันให้ เยิ่นเย้อไงล่ะ

6. ผู้ชายกังวลเกี่ยวกับขนาดของ “น้องชาย” ของเขานักหรือ? ผู้ชายมากมายคิดทั้งนั้นแหละว่า ขนาดของน้องชายของเขาพอเหมาะพอดีแล้วหรือยัง? และถ้ามี ช่องทางอื่นใดอีกหรือเปล่าที่ช่วยทำให้ใหญ่เบิ้มได้อีก โอ้โห ถ้าไม่เรียกว่ากังวลแล้ว จะเรียกว่าอะไรละเนี่ย

7. ทำไมผู้ชายจึงชอบออรัลเซ็กซ์? ก็เพราะมันให้ความเพลิดเพลินเจริญใจกะเค้าน่ะซี้ถามด้าย....

สุดท้าย 8. อะไรที่ทำให้ผู้หญิงเป็นคู่รักที่ดีที่สุดของเขาได้ล่ะ? หนุ่มๆเค้าก็มีความคาดหวังเหมือนสาวๆเกี่ยวกับเรื่องแฟนเหมือนกันนั่นแหละ เช่น อยากมีแฟนเป็นสาวหวาน รู้จักปรนนิบัติเอาใจใส่ และ ถ้าเผื่อรักเขาอย่างจริงจังด้วยล่ะก็ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่วิเศษสุดเลยเชียวล่ะ

สีสันดอกไม้สะท้อนอารมณ์

รู้ไหมว่า "สี" มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนเรามากน้อยเพียงใด? ถ้าไม่เชื่อลองสังเกตดูเวลาฟ้าหม่น เหมือนฝนกำลังจะตก อารมณ์ของเราจะ พลอยหม่นเศร้าไปด้วยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว!! แต่ถ้าเป็นวันแดดออก ท้องฟ้าแจ่มใส จิตใจกลับเบิกบานมีชีวิตชีวาอย่างประหลาด!! และจากความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อน ระหว่างสีสันกับอารมณ์นี่เอง ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานเล่มล่าสุด สี่โหลหลากอารมณ์ ของ สกุล อินทกุล นักจัดดอกไม้ชื่อดังของเมืองไทย

ในหนังสือเล่มนี้ สกุล อินทกุล ได้นำเสนอแนวคิดเรื่องการจัดดอกไม้ในแก้วน้ำดื่มง่ายๆ ทั้งหมด 48 วิธี 48 สี เพื่อสื่อแทนอารมณ์ที่ละเอียดอ่อน และสลับซับซ้อนแตกต่างกันไป ตามเงื่อนไขของเวลา สถานที่ และงบประมาณ โดยมีคอนเซปต์ที่มาแตกต่างจากผลงานเล่มแรก "Tropical Colors : The Art of Living with Tropical Flowers" ซึ่งเน้นการจัดดอกไม้ที่มีความสลับซับซ้อน และมีสเกลโครงสร้างค่อนข้างใหญ่ เขาเล่าว่า "สี่โหลหลากอารมณ์" จะนำเสนอวิธีการจัดดอกไม้ แบบง่ายๆ สามารถครีเอทขึ้นได้เอง โดยใช้วัสดุรอบๆตัว ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ใบไม้ในบ้าน, แก้วน้ำดื่มธรรมดาๆ แต่เมื่อจับมามิกซ์แอนด์แมตช์กันแล้ว สามารถสะท้อนถึงอารมณ์ความรู้สึก ที่แตกต่างกันในแต่ละวัน อยากให้หนังสือเล่มนี้เป็นแรงบันดาลใจ ให้คนอ่านลุกขึ้นทดลอง จัดดอกไม้ตามจินตนาการ จากวัสดุที่ประดิษฐ์ขึ้นเองง่ายๆ "สกุล" ยกตัวอย่างให้ฟังอีกว่า ในวันที่จิตใจหดหู่หม่นเศร้า สีเหลืองสดใสของ ดอกชบา หรือสีส้มเปี่ยมชีวิตชีวาของ ดอกพุกาม ในแก้วน้ำดื่มธรรมดาๆ สามารถจุดประกายความหวัง และเติมพลังชีวิตให้กลับคืนมาอีกครั้ง ส่วนสีแดงจากกลีบบอบบางของ ดอกทิวลิป หรือสีม่วงครามของ ดอกไอริส ก็ช่วยกระตุ้นเร้าแรงบันดาลใจ และสร้างสรรค์จินตนาการได้ อย่างประหลาดท่ามกลางความวุ่นวายสับสน แค่ได้เห็น ดอกคัทลียา สีเขียวใสๆ ความพลุ่งพล่าน ภายในจิตใจกลับสงบลงได้โดยพลัน อาจเป็นเพราะสีเขียวเป็นสัญลักษณ์แห่งความสงบและ ความสมดุลของจิตใจ ขณะที่เสน่ห์ของสีชมพู ไม่เพียงแต่จะสื่อแทนความอ่อนหวานนุ่มนวล แต่ยังอาจหมายถึงความตื่นตาตื่นใจทันสมัย เมื่อมาในเฉดสีร้อนแรงแบบชมพูช็อกกิ้งพิงค์ ของ ดอกชวนชม...ลองจินตนาการดูสิว่า เช้าวันใหม่จะสดใสเบิกบานเพียงใด หากเราตื่นขึ้นมาพร้อม กับสีเหลืองอบอุ่นของ ดอกชบาซ้อน

...นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ เท่านั้นของอารมณ์อันหลากหลาย และสลับซับซ้อน ส่วนใครจะเลือกสะท้อนอารมณ์ออกมาด้วยสีใด รูปแบบใด ก็คงขึ้นอยู่กับ ประสบการณ์ และความรู้สึกส่วนตั๊วส่วนตัว!!

บอกลาความเครียดด้วย 2 มือ

ความเครียดกับสังคมเมือง เปรียบเหมือนกระจกเงา ส่องสะท้อนกันไปมา ยิ่งสังคมเมืองวุ่นวายเท่าไหร่ ชาวกรุงอย่างเราๆ ก็แบกรับความเครียดเพิ่มเป็นทวีคูณ การกำจัดความเครียด จึงเป็นสุดยอดปรารถนาของทุกคน และเพื่อตอบสนองความต้องการ ของหนุ่มสาวชาวกรุง The Privilege, Massage Therapy จึงจัดงาน ปาร์ตี้เพื่อคนรักสุขภาพ นำประสบการณ์การดูแลสุขภาพ ด้วยวิธีธรรมชาติมาถ่ายทอดออกไมค์ พร้อมเผยเคล็ดลับการใช้ชีวิตอย่างสมดุล โดยไม่ต้องพึ่งยา

สุรางค์รัตน์ จิราธิวัฒน์ ผู้อำนวยการ The Privilege เปิดใจว่า แรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เปิดร้านนี้ เกิดจากการสังเกตตัวเอง รู้สึกว่าทุกครั้งที่เครียด ร่างกาย จะแย่ไปด้วย แต่เมื่อหลีกเลี่ยงความเครียดไม่ได้ และไม่มีเวลาออกกำลังกาย จึงต้องช่วยรีแล็กซ์ร่างกาย ด้วยการนวด ซึ่งก็ได้ผลดี ทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้น การนวด เป็นทั้งศาสตร์ทั้งศิลป์ ไม่ใช่สักแต่ว่าบีบนวดกันไป ต้องฝึกลมปราณ เพื่อสร้างพลังในการนวด ศาสตร์การนวดชั้นสูงที่มีมาแต่โบราณ ก็จัดอยู่ในกลุ่มแพทย์ทางเลือกด้วย แนวทางการบำบัดตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ แทนการใช้ยา ถือเป็นหัวใจสำคัญ ของแพทย์ทางเลือก ซึ่ง นพ.จักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ ผอ.ศูนย์ประสานงาน การแพทย์ทางเลือก ชี้ว่า แพทย์ทางเลือกไม่ใช่ การรักษาโรคใดโรคหนึ่งโดยตรง แต่จะเน้นการทำให้ร่างกาย เกิดภาวะรักษาตนเอง และทำให้ร่างกายแข็งแรง สามารถต่อสู้กับโรคร้ายที่เป็นอยู่ได้ ทำให้เกิดความสมดุลของร่างกาย หากไม่มีเวลาไปนวดตามร้าน อ.นันท์นภัส สุจริต ที่ปรึกษาและฝึกอบรมของ The Privilege แนะวิธีกดจุดคลายเครียดที่ใบหน้าด้วยตนเอง ซึ่งได้ผลชะงัดชนิดบอกลายาแก้ปวดหัวได้เลย โดยทุกท่าจะอุ่นเครื่อง ด้วยการถูมือสองข้างให้อุ่น เพื่อปรับกระแสไฟฟ้าสถิตในมือ ให้เกิดการเหนี่ยวนำของเหลวในเซลล์ ขั้นตอนการสลัดความ เครียด เริ่มจากส่วน ทีโซน ซึ่งมีน้ำเหลืองน้อย ทำให้ขับน้ำมันออกมามากผิดปกติ วิธีลดความมัน ต้องทำให้น้ำเหลืองไหลกลับไป ที่ต่อมใต้ใบหู โดยใช้สันมือ 2 ข้าง ลูบจากกลางหน้าผาก ไล่ตามแนวไรผมออกไปที่ใต้ติ่งหู ส่วน หน้าผาก วิธีช่วยไม่ให้หน้าผากเหี่ยวย่น จะต้องวางมือแนบหน้าผากในแนวนอน ใช้นิ้วมือทั้ง 4 ยกเว้นนิ้วโป้ง ลูบจากปลายขมับ ด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง แล้วแหวกออกตามแนวไรผม สำหรับ ดวงตา ให้ถูฝ่ามือ 2 ข้างจนร้อน หลับตา แล้วนำมือขึ้นอังปิดไว้ จากนั้นใช้ปลายนิ้วมือลูบเปลือกตา จากหัวตาไปหางตาเบาๆ หายใจผ่อนคลายตามช้าๆ การนวด คิ้ว และ ขอบเบ้าตา ใช้นิ้วโป้ง 2 ข้าง กดเบ้าตาใต้หัวคิ้ว ส่วนนิ้วชี้ค้ำน้ำหนักไว้ที่ขอบคิ้วด้านบน โดยนำศอกวางบนโต๊ะ ทิ้งไว้นิ่งๆ 3-5 วินาที จากนั้นบีบเบาๆ ไปตามแนวขอบเบ้าตา จากหัวคิ้วไปหางคิ้ว แล้วใช้นิ้วชี้แตะ ที่กลางขอบคิ้วด้านบน (ตรงกับลูกตาดำ ศูนย์รับการมองเห็น) กดวนเข้าด้านใน ท่านี้ช่วยให้มองเห็นชัดเจนขึ้น และระบบประสาทผ่อนคลายจากความล้า วิธีป้องกันริ้วรอยตรง ร่องแก้ม ให้ใช้นิ้วโป้ง กดข้างจมูกทั้ง 2 ข้าง ลูบลงมาตามร่องแก้ม จากนั้นใช้นิ้วชี้ลูบจากกลางคางไปตามสันขากรรไกรล่าง เทคนิค กระชับใบหน้าใต้คาง ให้ใช้ หลังมือลูบสลับกันทีละข้าง โดยลูบจากสันคางไปตามสันขากรรไกรล่าง ส่วนใครที่เป็น ไมเกรน ท่านี้อาจช่วยได้ วาง มือแนวตั้งขนานกับใบหู นำนิ้วชี้สอดเข้าหลังใบหู ส่วนนิ้วที่เหลืออยู่ด้านหน้า จากนั้นขยับนิ้วขึ้นลงพร้อมกันเร็วๆ ด้านหน้าจะเน้นที่น้ำเหลือง ส่วนด้านหลังช่วยเรื่องการหมุนเวียน ของเลือด และกล้ามเนื้อหัวไหล่ ปิดท้ายด้วยการหมุนศีรษะ เพื่อผ่อนคลายต้นคอ ทุกท่าจะทำรอบละ 3-5 ครั้ง และจะได้ผลดี ถ้ารู้จักวิธีหายใจให้ถูก เวลาออกแรงกด จะหายใจออก ส่วนเวลาผ่อนแรง จะหายใจเข้า...ลองสลัดความเครียดด้วยตนเองดู ถ้าได้ผลดีก็อย่าลืมบอกต่อ คนอารมณ์บูดจะได้หมดโลกเสียที สาธุ!!

ชอบที่หน้าตาหรือที่รูปร่างกันแน่?

เค้าว่า ผู้ชายรักในสิ่งที่เขาเห็นด้วยตา ส่วนผู้หญิงมักตกหลุมรัก ในสิ่งที่เธอ ได้ยินจากหู จริงเรอะเปล่า ของพรรณนี้ น่าพิสูจน์ให้กระจ่างสักตั้ง เอางี้ งั้นถามแล้วกันว่า ถ้าเผื่อจะเลือกคบ ใครสักคน คุณจะเทใจให้ความสำคัญ กับสิ่งใดมากกว่ากัน ให้เลือกระหว่าง รูปร่าง หรือหน้าตา? เออ...ตอบได้ไหมล่ะ แต่เชื่อดิ หลายคนคงเลือกที่หน้าตาแน่เลย เพราะไม่รู้เป็นไง มนุษย์มักใจง่าย เอ้ย...รักคนหล่อ หรือคนสวยง่าย แค่เห็นใครหน้าตาดีเข้า หน่อยมักใจอ่อนปวกเปียก เป็นงี้ทุกที เผลอๆ จะเป็นงี้ตั้งแต่เกิดโน่นเลยด้วยซ้ำ แม้เราได้ยินบ่อยไป ว่าใบหน้างดงามย่อมสู้ใจงามไม่ได้หรอก แต่เอาเข้าจริง มีเยอะแยะ ที่ตายน้ำตื้น เผลอหลงใหลได้ปลื้มกับหนุ่มหล่อสาวสวย ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายนี่ยิ่งไม่ต้องถามเลย ร้อยทั้งร้อยเทใจให้รูปร่างหน้าตาภายนอกของฝ่ายหญิง มากกว่าสิ่งอื่นใด เอ้า...ถ้าไม่เชื่อ งั้นโชว์ผลสำรวจของเว็บไซต์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป"ดกว้างให้ใครก็ได้โหวตเข้ามา โดยตั้งปริศนาว่า ถ้าจะชอบผู้หญิงทั้งที คุณจะเลือกชอบเธอที่รูปร่างหรือหน้าตากันแน่? ร้อยละ 69 เชื่อไหมว่า ทุ่มคำตอบไปที่ชอบใบหน้างามๆ ซิจ๊ะ จะให้ไปชอบอวัยวะส่วนอื่นได้ไง ในเมื่อคนเราเห็นกันครั้งแรกก็ต้องมองกันที่หน้าตาเป็นสิ่งแรกไม่ใช่เหรอ และต่อไปนี้ก็เป็นเหตุผล 3 ประการที่ผู้ชายยอมรับว่า หน้าตาเป็นต่อ ส่วนรูปร่างเป็นรอง เพราะเค้าเชื่ออย่างงี้ว่า....

1. ทรวดทรงองค์เอวหรือรูปร่าง นานวันเข้าก็สามารถเปลี่ยนแปลง จากไซส์เอสเป็นไซส์แอล หรือไซส์เอสกระโดดเด้งดึ๋งไปเป็นดับเบิลแอลได้ง่ายตายชัก ก็โหย เพิ่งเห็นหลัดๆ ว่าหุ่นน้องอย่างกะนางแบบผอมเพรียว เหมือนกระดูกเดินได้เมื่อวาน แต่โอ๊ะโอ พอ 3 ปี, 5 ปีผ่านไป ไหงแม่คุณ บานเบอะ เทอะทะ อ้วนเผละผละจนส่งเข้าประกวดเทพีช้างน้ำ ได้ล่ะ เฮ้อ...นี่ไง เค้าถึงว่า สังขารไม่เที่ยง เข้าใจตรงกันหรือยังเนี่ย!!

2. มาตรฐานของเรือนร่างเปลี่ยนได้ตามกาลเวลา เมื่อ 5-10 ปีก่อน ผู้ชายอาจอื้อหือกับทรวดทรงองค์เอวของดาวค้างฟ้าอย่างมาริลีน มอนโร เจ้าของสัดส่วน 36-26-36 แหงล่ะ แต่เดี๋ยวนี้สิ เค้าหันไปสนผู้หญิงที่สัดส่วนเล็กลงกว่าป้ามาริลีนแล้วนะ เช่นถ้าสาวใดมีสัดส่วน ราว 34-24-34 แบบอลิซาเบธ เฮอร์ลีย์ นางแบบของเครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่งละก็ รับรองเดินไปทางไหน ย่อมมีหนุ่มๆ ส่งสายตาอยากแทะโลมหรือไม่ก็อยากสมัครเป็น บอดี้การ์ดส่วนตัวของเธอทั้งนั้นเลย เห็นไหมว่า เรือนร่างสำคัญน้อยกว่าใบหน้าก็ตรงผู้ชายมักยึดรูปร่างของดารา และนางแบบ ในรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาเป็นมาตรฐานสากลก่อนตัดสินใจกระหน่ำจีบใครสักคนไง แล้วถ้าเขาไม่อาจจีบสาวที่ทรวดทรงเช้งกระเด๊ะมาเป็นคนรักได้ล่ะก็ เรื่องอะไรเขาจะมัวรอ หรือวิ่งจีบแต่สาวหุ่นนางแบบล่ะ สู้มองหน้ามองตาหากถูกใจก็จีบเลยไม่ดีกว่ารึ

3. หน้าตาเนี่ยนะ สังเกตได้ว่าเปลี่ยนแปลงช้ากว่าเรือนร่างแหงซะ เมื่อเป็นงี้ หากใครหน้าตาดีก็เท่ากับโชคดีกว่าคนอื่น เพราะเมื่อสาวใดลองสวย หรือน่ารักซะอย่าง ก็เชื่อได้เลยล่ะว่า ถ้าไม่ถูกราวีจนโดนน้ำกรดสาดให้เสียโฉมก่อนละก้อ สาวคนนั้นย่อมจะสวยบาดใจ และแก่ช้ากว่าอายุจริง...ไชโย แหมดีนะที่เมอร์ลินเกิดมา ตรงกับข้อนี้เด๊ะ ฝอยมาทั้งหมดแค่อธิบายให้ฟังเท่านั้นว่า ทำไมใครๆ ถึงสนใจคนสวย คนหล่อกันนัก แต่พูดงี้ สาวใดที่เกรงว่าตัวเองไม่สวยก็อย่าเพิ่งโวยวายไป เพราะไม่สวยก็ไม่ได้หมาย ความซะหน่อยว่า คุณไม่มีเสน่ห์ทางเพศ แถมเผลอๆ มีเสน่ห์ทางเพศนี่อาจดีกว่า เป็นคนสวยซะอีกนะ ว่าแล้วหันมาพิจารณาตัวเองดีกว่าว่า คุณมีเสน่ห์เร้าใจเรอะเปล่า? ถ้าไม่รู้ หรือไม่มี สัปดาห์นี้มี กลเม็ดเพิ่มความซู่ซ่า ในการดึงดูดเพศตรงข้ามมาติวเข้มกัน (Tips for Sizzling Sex Appeal) นัยว่า ใครๆ ก็สามารถอวดความมีเสน่ห์เร้ารึงใจได้ หากปฏิบัติตามนี้...

1. แต่งตัวให้เหมาะกับรูปร่างดิ ถ้าคุณเป็นคนค่อนข้างท้วมหรือมีสะโพกใหญ่ หากรู้จักเลือกชุดสวมใส่ที่ช่วยลดจุดด้อยของ รูปร่างได้ แค่นี้ก็สบายบรื๋อสะดือโบ๋แล้ว อ้อ ว่าแต่ชุดที่ใส่ขอให้พอดีตัว ถ้าเลือกสีดำได้อาจดูผอมเพรียวได้นะเอ้า

2. อย่าทำตัวหมดหวัง จำไว้ว่า คนมีปัญหาทางอารมณ์เป็นคนไม่มีเสน่ห์ เพราะงั้นอย่าทำตัวอ่อนแอหรือติดแฟนหนุ่มแจชนิดถ้าไม่มีเขา คุณก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้ตามไปด้วย ตรงข้ามต้องทำให้แฟนตัวดีของคุณรู้ซะบ้างว่า มีหรือไม่มีเขา คุณก็อยู่ได้ ไม่ตายหรอกน่า แบบนี้เก่กว่าอีก

3. รู้วิธีจีบ หรือจะหาว่าให้ท่าก็ช่าง ขอเพียงรู้วิธีจีบแบบแยบยล เช่น เลิกคิ้ว ส่งตาหวานหรือยิ้มเหนียมอายให้เป้าหมายเป็น อาจได้ผลกว่าทำเป็นเมาแล้วรอ ให้เขาหิ้วเยอะเลย

4. คิดเสมอว่าเป็นคนมีเสน่ห์สิ ต้องคิดว่าตัวเองมีเสน่ห์เร้าใจก่อนที่จะให้คนอื่นเห็นคุณเป็นงี้ คล้ายให้รักตัวเองก่อนแล้ว คนอื่นถึงจะรักเราตามนั่นแหละ ฉะนั้นจงมั่นใจในการกระทำใดๆ ของตัวเองเข้าไว้ เช่นอยากตัดผมทรงแหวกแนวก็ทำเลย หรือนึกอยากหวานขึ้นมาทั้งที่ขัดกับบุคลิก แสนห้าวก็ลองดู เชื่อไหมว่า ความมั่นใจในตัวเองดึงดูดเพศตรงข้ามได้ดีกว่าหุ่นทรงสะบึมซะอีก.

"สี" ส่งผล เกี่ยวอะไรกับรัก

          คุณว่า สีมีอิทธิพลต่อชีวิตเรอะเปล่า? เท่าที่สังเกต ผู้หญิงทุกวันนี้หันมาใช้ “สี” เพื่อให้โชคดีทั้งในด้านความรัก การงาน และสุขภาพ ด้วยกันทั้งน้าน แถมสียังช่วย กระพือให้ชีวิตเซ็กซ์ ดีวันดีคืนซะด้วย

ใน สีแห่งรัก (Colors of Love) พูดถึง อานุภาพของสี ที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ ในด้านต่างๆ อย่างเหลือเชื่อ เช่น สีแดงงี้ เค้าว่า เป็นสีที่เดินทางเร็วที่สุด และทำให้คนเราแอ๊คทีฟเสมอต้นเสมอปลาย แต่ขณะเดียวกันสีแดงก็ถือเป็นตัวแทนของ ความโกรธได้ เวลาอยู่ใกล้ๆจะใจร้อนจนลุกเป็นไฟได้ เชียวนะ ซึ่งสีแดงก็ตรงข้ามกับสีฟ้าชนิด อยู่คนละขั้วเลยละท่าน สีฟ้าเป็นสีที่ทำให้คนเราสงบและ เยือกเย็นลง แต่ข้อด้อยก็คือ ถ้าตอนนั้นเราดันอยู่ ในอารมณ์ที่ขุ่นข้องหมองใจ ท้อแท้ และไม่รักชีวิต แล้วละก็ สีฟ้าจะยิ่งทำให้เราหดหู่เศร้าหมองเป็นทวีคูณไปโน่นเลย สีที่สะกิดให้รักตัวเอง กรุณาอยู่กับ สีเขียว เข้าไว้ เพราะสีเขียว เป็นสีแห่งความสุข ส่วน สีชมพู หวานแหววก็ช่วย ให้คุณอ่อนโยนกับตัวเองมากขึ้น ดังนั้น สิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวคุณควรมีสีเขียวหรือสีชมพู เชื่อดิ ไอ้ที่บอกไม่เคยรักตัวเอง เพราะมัวแต่รักแฟน คราวเนี้ยจะกลับลำมารักตัวกลัวตาย เอ้ย...รักตัวเอง สุดหัวใจเชียวล่ะ

กรณีรักแรกพบ การใช้สีที่เหมาะสมกับตัวคุณตอนที่เป็นโสดนั้นสำคัญ แต่การสร้างบรรยากาศให้เคลิบเคลิ้ม ท่านว่าสำคัญกว่า ควรใช้ สีน้ำเงิน ในการปลดปล่อยความหงอยเหงา, สีเขียว กระตุ้นความรักในตัวคุณ และ สีชมพู เพื่อดึงดูดความรักให้เขยิบมาใกล้ๆ เหตุนี้ หากคุณตกอยู่ในสภาพรักแรกพบ หรือ เพิ่งพบรัก ลองทดสอบสีที่จะช่วยให้สมรักสมเลิฟ อย่างสีน้ำเงิน, สีเขียว และสีชมพูก็ละกันนะฮ้า ดาร์ลิ่ง ทั้งหลาย

สีที่กระตุ้นและปลุกเร้า ทาลิปสติก สีแดง และสวมกางเกงชั้นในสีแดงสามารถช่วยกระตุ้นแรงพิศวาส ให้พรึบพรับได้อย่างเผ็ดร้อน และถ้าจะให้แนะนำกันต่อไป ยอมลงทุนซื้อดอกไม้สีแดง เช่น ดอกกุหลาบแดง ดอกทิวลิป หรือดอกคาร์เนชั่นมาประดับประดาในห้องนอนดูสิ หรือถ้าอยากจะตกแต่งพื้นที่ว่างในบ้านให้ตลบอบอวลไปด้วยความเร่าร้อนยิ่งขึ้น ละก็ เอางี้เลย ซื้อผ้าปูที่นอนสีแดงมาใช้ในค่ำคืนวาบหวามดูดิ

ลองคิดดูนะ ขณะเมกเลิฟกันท่ามกลาง สิ่งแวดล้อมรอบตัวที่เต็มไปด้วยสีแดงน่ะจะตื่นเต้นสุดขีดแค่ไหน? สีช่วยให้เกิดความกลมเกลียว เมื่อต้องตัดสินใจบางเรื่องที่ข้องเกี่ยวกับคนรัก อยู่ใกล้ สีม่วงหรือ สีฟ้าคราม สิ พลังของ สีม่วงช่วยให้คุณมองคู่รักและสถานการณ์ ตอนนั้นในแง่บวก เผลอๆจะคลี่คลายไป ในทางที่ดีซะด้วย อย่าคิดแต่ว่าสีม่วง จะเป็นสีสำหรับคนม่ายอย่างเดียว แหมสีม่วงสวยๆ ก็มีถมไป แต่ถ้าเมื่อไหร่เกิดปะทะกันขึ้นมา จงใช้ สีขาว เพื่อทำลายสิ่งที่ขวางกั้นและการมอง ในแง่ร้ายระหว่างคุณทั้งสองให้มลายหายไป ผู้สันทัด กรณียังบอกด้วยนะว่า สีขาวที่ใครๆ มักเอาไปเปรียบกับความบริสุทธิ์เนี่ย สามารถลบล้างอดีตและปัจจุบันอันขมขื่นได้อีกด้วย ส่วน สีชมพู กระตุ้นให้คู่รัก เกิดความรู้สึกถึงยามแรกรัก กันใหม่ๆ และสร้าง บรรยากาศสำหรับการคืนดีกันได้เหมาะเหม็งและน่าประทับใจที่ซู้ดเลยล่ะ

สีที่ช่วยให้ชีวิตเซ็กซ์ดีขึ้น เค้าว่า สีแดงเข้ม นี่แหละเป็นสีที่ถูกคิดถึงเป็นอันดับแรก ส่วนอีกสียอดนิยมก็เช่น สีส้ม ก็ร้อนแรง อย่าบอกใคร 2 สีนี้ ถือเป็นสีแห่งความปรารถนา เชียวนะแม่คุณ เพราะคิดดูนะคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ที่ชุดชั้นในสีแดงจะเป็นสีที่ขายดีตลอดกาล ในบรรดาสีทั้งหมด แต่ จุ๊ จุ๊ หากพูดถึง ชุดชั้นในสีดำ ละก็ ท่านว่า หญิงใดสวมใส่ชั้น ในสีนี้ให้เข้าชุด ก็แสดง ว่า เป็นวัยเอ๊าะที่อยากลองรักนั่นเอง ฮั่นแน่มีงี้ด้วย สีช่วยให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ต้อง สีเหลือง เลยท่าน เพราะสีเหลืองน่ะ คือสีแห่งภูมิปัญญา บ้างก็ว่า สีเหลืองคือสีแห่ง พลังชีวิต กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และส่งเสริมสมาธิได้แจ๋วแหววอย่าบอกใคร ใครที่ชอบ ฟุ้งซ่านก็อย่าลืมอยู่ใกล้สิ่งของที่มีสีเหลืองเข้าไว้ละกัน สมาธิจะได้ไม่แตก ซ่านเกินไปไงล่ะ

ส่วนพลังแห่งสีสันในของขวัญ การช็อปปิ้งหรือเลือกของขวัญว่าจะเป็นสีใด ควรขึ้นอยู่กับผู้รับของสิ่งนั้นด้วยว่าเป็นใคร สำหรับเพื่อนที่กำลังป่วย ควรเลือกซื้อของสีแดงเพื่อความสดใส สีเหลือง เพื่อความสว่างไสว หรือสีขาวเพื่อช่วยให้คนรับ สบายตาและสบายใจ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรค สำหรับเพื่อนที่กำลังอกหัก ควรเลือกของสีชมพู เพื่อรักษาอาการไม่ให้ คนที่ได้รับรู้สึกว่าตัวนั้นไร้ค่า หรือสีเขียวเพื่อกระตุ้น ให้รักตัวเองให้มาก อย่าไปเสียเวลากับคนที่เขาไม่รักเราเลยเชื่อดี้ ของขวัญวันแต่งงาน เลือก สีเงิน สำหรับความหมายถึงการตั้งหลัก ปักฐาน, สีเขียว สำหรับรักที่ไม่มีข้อแม้, สีขาว สำหรับการก้าวไปข้างหน้า หรือไม่ก็เลือกสีแดง แสดงถึงความเสน่หายังได้ โอ๊ยถ้ารักกันซะอย่าง อยู่ท่ามกลางสีอะไรก็โอเคทั้งนั้นแหละ...ว่ามะ.

วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2549

10 สิ่งที่ผู้ชายอยากรู้จากผู้หญิง

เรื่องมากมายที่มนุษย์ อยากรู้เกี่ยวกับ คนที่ตัวไปหลงรัก หรือเอ๊า ให้แค่แอบชอบก็ได้ ใช่เป่า ก็จะไม่ใช่ได้ไงในเมื่อชอบเค้านี่นา ยังมาทำปากแข็งอีก คุณจึงอยากรู้สิว่า อีกฝ่าย คิดอย่างไรกับคุณ อย่างน้อยก็อยากรู้ละว่า เค้าชอบคุณตอบไหม? หรือไอ้ที่คบๆ กันน่ะเป็น (แค่)...เพื่อน ว้า ฟังแล้วผิดหวังจัง งั้นเอางี้ ถ้าอยากรู้ว่าคนที่คุณคบด้วย คู่ควรที่ท่านจะสานสัมพันธ์รักต่อไปดีไหม ขอเล่าถึง 10 สิ่งที่ผู้ชายอยากรู้เกี่ยวกับ ตัวดาร์ลิ่ง (ก็ผู้หญิงที่เขาชอบนั่นแหละ) ว่าเป็นคนอย่างไร ให้ฟัง (Ten things men want to know about women) เชื่อเหอะ ไม่ว่าใครย่อมอยากรู้ทั้งนั้นแหละว่าคนที่เขา แอบหว่านเสน่ห์ไว้น่ะ เป็นคนอย่างไร หรือคิดอะไรกะเขาไหมน้อ ซึ่งเจ้าความอยากรู้เนี่ย ก็มีตั้งแต่

1. อยากรู้ว่า คนที่เขาชอบนั้น อยู่กะร่องกะรอย เอ้ย...เป็นคนที่มีความมั่นคงทางใจ หรือเปล่า? ถ้าเธอเอาแต่พูดถึงแฟนเก่าว่าดีหยั่งงั้น เก๋ หยั่งงี้ แสดงว่า ไม่คำนึงถึงใจคนฟังเลยแฮะ ยิ่งถ้าตกลงปลงใจเป็นแฟนด้วยแล้ว แต่แหมแม่คุณยังชม้ายชายตา เจ้าชู้ทั่วทุกสารทิศ ทำหยั่งกะตัวเป็นจอเรดาร์ก็ไม่ปาน ขืนเป็นงี้ควรโบกมืออำลาไปซะเหอะ ดูวี่แววแล้ว หล่อนจะร่าน เอ้ย...ไม่ได้ ชอบคุณสักหน่อย

2. อยากรู้ว่า คนที่เขาชอบเป็นสาวซ้ำซากจำเจไหม? อาการซ้ำซากก็อย่าง เจอะหน้าทีไรเป็นต้องบ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟังทุกที ทำหยั่งกะคุณเป็นกล่องดูดความไม่พอใจให้กะเธอได้งั้นแหละ จนคุณต้องแกล้งทำเป็นป่วยเพื่อจะได้ ไม่ต้องอยู่ใกล้เธอรึเปล่า? ถ้าใช่ แสดงว่า ใกล้ทนกันไม่ได้แล้วดิ

3. อยากรู้ว่า รสนิยมของเธอเหมือนหรือต่างจากคุณมากไหม? เพราะบางคนเค้าก็ชอบนะ ถ้าอีกฝ่ายชอบในสิ่งที่ตรงข้ามกัน เช่น ถ้าเขาชอบดูหนัง แต่เธอชอบฟังเพลง แล้วเผอิญรสนิยมดูหนังกับฟังเพลงดันไปกันได้ ดังนั้นถ้าจะคบไปเรื่อยๆจึงไม่มีปัญหา จริงมะ

4. อยากรู้ว่า หล่อนคิดว่าคุณเป็นคนตลกหรือเปล่า? ถ้าเธอคิดว่าคุณตลกล่ะก็ แสดงว่า คุณทำให้เธอสบายใจ ก้อหมายความว่าเธอชอบคุณน่ะสิ แต่หากเธอมองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นแววความเป็นคนสนุกสนานของคุณละก็ แน่ใจหรือว่า เธอรู้จักคุณจริงๆ เอ๊ะหรือแค่มองผ่านไปวันๆ หูยร้องไห้แงๆดีฝ่า เรียกร้อง ความสนใจแบบปัญญาอ่อนซะเลย ไม่สนดีนัก

5. อยากรู้ว่า หล่อนชอบทำตัวเป็นไฮโซหรือใช้ชีวิตเรียบง่ายมากกว่ากัน? เออเนอะ เรื่องแบบนี้รู้ล่วงหน้าไว้ก็ดีนะ จะได้ รู้ไงว่า ยาจกอย่างเราคู่ควรกับดอกฟ้าแน่รึ

6. อยากรู้ว่า หล่อนชอบทำอะไรเป็นงานอดิเรก? เจ้างานอดิเรกบางอย่างก็สามารถบอกความ เป็นใครคนนั้นให้อีกฝ่ายรู้เหมือนกันนะ เช่น ถ้าเธอชอบดูมวยละก็มีหวังเห็นคุณเป็นกระสอบทรายแน่ แต่ถ้าเธอชอบสะสมตุ๊กตา เธอก็อาจจะมองคุณเป็นเท็ดดี้ แบร์ เอาไว้นอนเบียดกันก่อนนิทราก็ได้นิ

7. อยากรู้ว่าเพื่อนๆของเธอเป็นมิตรกับคุณหรือเปล่า? ถ้าเพื่อนๆจอมเฮี้ยว เฟี้ยวฟ้าวของเธอไม่ชอบขี้หน้าคุณ ก็มีความเป็นไปได้ที่ฝ่ายหญิง จะถูกเพื่อนๆ เป่าหูจนไขว้เขว ด้วยเหตุนี้จงอาศัยคาถาตีสนิท โปรยเสน่ห์มหาระรวยกับเพื่อนๆของเธอไว้บ้างก็ดี

8. อยากรู้ว่า เอ๊ะคุณชอบผู้หญิงคนนี้จริงรื้อ? ที่ขอให้ถามตัวเองก็ไม่ใช่อะไร เพราะบางคนชอบสับสนระหว่างรักกับชอบ, เพื่อนกะแฟน และพี่กับน้อง เหตุนี้จึงอยากให้มั่นใจ ว่าพบรักกับตัวจริงแน่นะ ไม่ใช่ตัวปลอม เพราะไม่งั้น เดี๋ยวไปเจอคนใหม่ๆก็รักเค้าอีก ใจสะออนอยู่นั่นแหละ หัดหนักแน่นมั่งเดะ

9. อยากรู้ว่า หล่อนทานมังสวิรัติหรือไม่? ถ้ารู้ว่าเธอชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไรล่วงหน้าจะได้เอาใจดาร์ลิ่งได้ถูกไงจ๊ะ น่ารักมะ

10. อยากรู้ว่า แฟนในฝันของเธอเป็นคนอย่างไร? อย่างคุณงี้เข้าข่ายที่เธอจะปันใจมาให้บ้างไหม

บอกเล่าเก้าสิบถึงสิ่งที่ผู้ชายอยากรู้ทั้ง 10 ข้อแล้ว แต่เชื่อไหมว่า ยังมีอีกอย่างที่เขาอยากรู้ แต่น แต้น....สิ่งนั้นคืออะไรน่ะเหรอ? เขาก็อยากรู้น่ะสิว่าเราสองคนจะ ชวนกันมาเริงรักท่ามกลางสายฝน (ฝนในที่นี้คือน้ำจากฝักบัวที่บ้านนะจ๊ะ ไม่ใช่ให้ไปเต้นอะโลฮ่ากลางแจ้ง) ได้ไหม ถ้าอยาก “รักท่ามกลางสายฝน” ล่ะก็ บอกเครื่องปรุง หรือส่วนผสมให้ฟังเพื่อเรียกน้ำย่อยก่อนละกัน เริ่มจากภายในห้องน้ำหรือบริเวณที่ใช้อาบน้ำด้วยกัน ควรมี ต้นไม้, ผ้าขนหนู, ซีดีเพลงที่ฟังแล้วกระพือความซู่ซ่า ซาบซ่าน ถึงไหนถึงกัน, เทียนไข, เครื่องหอม, สบู่กลิ่นที่สุดสวาทชื่นชอบ, เสื้อคลุมอาบน้ำ, ตุ๊กตากันน้ำเผื่อไว้กอดเล่นและตะกร้าใส่ของ หลังจากนั้นก็ทำตามนี้นะ

1. ทำความสะอาดห้องน้ำให้หมดจด แล้วประดับ ประดาต้นไม้ไว้ตามมุม ส่วนตัวที่ชื่นชอบ

2. วางผ้าขนหนูไว้ในบริเวณที่หยิบง่าย หาง่าย

3. วางเทียนไขและเครื่องหอมไว้รอบๆ อ่างล้างหน้า อ้อ อย่าลืมหิ้ววิทยุพร้อมซีดีเปิดเพลงเย็นๆ ก่อนถึงเวลาสนุกสนานร่วมกันไว้ด้วย

4. ถอดเสื้อผ้าแล้วสวมแต่เสื้อคลุมรอ “ที่รัก” แต่เนิ่นๆ

5. พอดาร์ลิ่งก้าวเข้าบ้านเมื่อไหร่ อย่าลืมให้รางวัลด้วยจุมพิต จูงเขาเข้าห้องน้ำ ช่วยเขาถอดเสื้อผ้า แล้วเริงรักกันท่ามกลางสายฝนตามแผน สร้างเสน่ห์รัญจวนใจด้วยวิธีนี้ รับรองดาร์ลิ่งจะประทับใจไม่รู้ลืมเชียวล่ะ.

อั่งเปาของแม่

เมื่อคืนหลังเที่ยงคืนได้ดูรายการ CineXtation ที่ช่อง 5หรือ 9จำไม่ได้
ไม่รู้เพื่อน ๆ คนไหนเคยดูบ้าง ประทับใจมาก ๆ เลย
เพราะเป็นรายการที่สนับสนุนนำเสนอผลงานของผู้กำกับไฟแรงหน้าใหม่
ได้มีผลงานเป็นหนังสั้นราว 10 นาที มีการประกวดด้วย รู้สึกว่าจะคัดเหลือ 50เรื่องมั๊ง
เรื่องสั้นเมื่อคืนสุดยอดมาก ๆ ชื่อว่า "อั่งเปาของแม่" แค่ชื่อก็น้ำตาจะไหลแล้ว
สร้างเมื่อปี 2543 ถ่ายทำได้สวยมาก ๆเลย
ภาพสวยเหมือนดูสารคดีท่องเที่ยวหรือโฆษณาดี ๆสักเรื่องหนึ่ง
เคยอ่านเรื่องสั้นในหนังสือแล้วนึกตามมั๊ยว่า
ถ้าสร้างเป็นหนังต้องเป็นอย่างนี้ ๆ นะตามจินตนาการไป มันออกมา แบบเพี๊ยะ ๆ
เป๊ะ ๆเลยครับ ผู้กำกับเรื่องนี้เพิ่งอายุได้ 20 กว่า ๆเองอีกหน่อยดังแน่
ดันจำชื่อไม่ได้อีก

อั่งเปาของแม่
เป็นเรื่องของหญิงชราคนนึงที่อาศัยอยู่ในบ้านไม้ในต่างจังหวัดตัวคนเดียว
ที่รอการกลับมาของลูกชายที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เพียงปีละครั้งเพื่อให้ลูกได้ไหว้พ่อและไหว้เจ้าในวันตรุษจีน
คำพูดที่พูดกับลูกทางโทรศัพท์ขอร้องให้ลูกกลับมาไหว้พ่อบ้าง เยี่ยมแม่บ้าง
"แม่คิดถึงลูกนะ...ลูก"
นั้นสะทกสะท้องใจผมมาก แต่ลูกกลับตอบอย่างเสียไม่ได้ว่า"ติดงานอยู่แม่คงไม่ได้กลับไปหรอก ไกลด้วย"
ในที่สุดเพื่อตัดรำคาญแม่ "เอาละ เอาละแล้วจะกลับไป" .....
รอยยิ้มของแม่ที่แสนดีใจที่ลูกจะกลับมาในไม่ช้า ทำให้แม่เข้าไปในตลาดเพื่อรับจ้างเย็บผ้า ตัดขากางเกง
เพื่อเอาเงินค่าแรงทั้งหมดที่ได้มาใส่อั่งเปาให้ลูก
ใกล้ถึงวันไหว้แม่ก็ยิ่งตื่นเต้น แม่เตรียมอาหารที่ลูกชอบไว้พร้อมหมด
แล้วก็ถึงวันไหว้ในเทศกาลตรุษจีน แม่ตั้งโต๊ะไหว้ตั้งแต่เช้าจนสายแล้ว
คอยลูกอยู่หน้าบ้านด้วยความกระวนกระวายก็ยังไม่เห็นวี่แววของลูกเลย รอยยิ้มน้อย ๆของแม่ปรากฏขึ้นเมื่อได้ยิน
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น "อยู่ไหนแล้วลูก เดินทางระวังตัวด้วยนะ" "แม่...ผมกลับไปไม่ได้แล้วนะ ติดงาน"
สั้น ๆ ห้วน ๆ แต่เอาความฝันความหวังของแม่ไปด้วย "ไม่เป็นไรจ๊ะ...รักษาสุขภาพให้ดีนะลูก"
แล้วสายก็ถูกวางลงแม่หยิบซองอั่งเปาที่เตรียมไว้ให้ลูกขึ้นมา
แล้ววางลงไปเก็บไว้ในกล่องเหล็กเก่า ๆ ที่มีซองอั่งเปาที่เตรียมไว้ของปีที่แล้วๆมาอีก 3-4ซองนอนกองกันอยู่.......

เรื่องทั้งหมดนี้ ดำเนินเรื่องเพียง 10 นาที
ผู้แสดงเป็นหญิงชราเพียง 1คนเท่านั้น ให้ 5 ดาวเลย
แล้วก็นึกเลยเถิดไปถึงสังคมที่ต้องแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายในกรุงเทพทุก
วันนี้ หลาย ๆคนลืมพ่อแม่ซึ่งเป็นพระอรหันต์ของเราไว้ข้างหลัง
ห่วงแต่ตัวเองคิดถึงแต่วัตถุ ให้ความหวังลม ๆแล้ง ๆ กับคนที่รักเราห่วงเรา
ให้อภัยเราได้ทุกเรื่องเลี้ยงดูเรามาอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
บุคคลที่เหลือเวลาที่จะอยู่กับเราไปอีกสักกี่ปี
หวังเพียงเห็นเราเติบโตเป็นคนดีดูแลท่านยามเจ็บไข้บ้าง กอดท่าน หอมท่าน
คุยกับท่านบ้างในยามที่ไม่มีใครสัก 5 นาที 10 นาที
เหลียวแลมามองท่านสักนิดเถิดนะ คุณลูกทั้งหลาย

วันนี้คุณบอกรักคุณพ่อและคุณแม่ของคุณแล้วหรือยังครับ
ขออุทิศข้อเขียนและความประทับใจกับเรื่อง "อั่งเปาของแม่"นี้
ให้กับคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านและลูกกตัญญูทุกคน ตอนนี้แม่ผมอยู่ใกล้ ๆ
ตรงนี้นอนเล่นอยู่ ชักอยากกอดแม่ หอมแม่ขึ้นมาแล้วสิ

อาบน้ำแบบไหนดีชีวีจึงมีสุข

สำหรับคนไทยนั้นการอาบน้ำถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทีเดียว เพราะส่วนใหญ่พอตื่นเช้าขึ้นมาเราก็อาบน้ำหนหนึ่งก่อนจะออกไปทำการทำงานหรือเรียนหนังสือ พอตอนเย็นกลับบ้านก็อาบอีกรอบเพื่อให้ร่างกายคลายเหนื่อย หรือไม่ก็ยกยอดไปอาบก่อนเข้านอนโน่น
ถึงกระนั้นก็เถอะ หลายคนอาจคิดว่าการอาบน้ำเป็นเรื่องปกติธรรมดาในชีวิต ก็แค่เป็นการชำระเอาสิ่งสกปรกออกจากร่างกายเท่านั้น
แต่สำหรับอายุรเวทหรือศาสตร์แห่งชีวิตนั้นถือว่าการอาบน้ำเป็นกิจวัตรประจำวันอีกอย่างที่มีความหมายและความสำคัญไม่แพ้กิจวัตรอื่นๆ ที่เคยพูดกันมาแล้ว
น้ำที่เราอาบชำระกายนั้นช่วยชะล้างเอาสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามร่างกายและรูขุมขนออกไป ยิ่งอาบได้หมดจดเท่าไร ช่องในร่างกายก็เปิดโล่งขึ้นเท่านั้น การไหลเวียนของเลือดและพลังชีวิตในร่างกายก็เคลื่อนคล่องไม่ติดขัด เมื่อเลือดและพลังชีวิตไหลเวียนไปทั่วร่าง ร่างกายก็เลยกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา อีกทั้งน้ำโดยตัวมันเองก็ช่วยให้เกิดความสดชื่นด้วย
คัมภีร์อายุรเวทกล่าวว่า การอาบน้ำยังมีคุณประโยชน์อื่นๆ อีกไม่น้อย ตั้งแต่ช่วยลดความร้อน ดับกระหาย แก้อาการมึนงงและเหนื่อยล้า ลดผื่นคันและผิวหนังอักเสบ ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย บำรุงสายตา บำรุงไฟธาตุทำให้เจริญอาหาร (พูดง่ายๆ คือทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น) ทำให้จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน
ว่ากันว่าการอาบน้ำยังช่วยให้ชีวิตยืนยาว แถมยังบำรุงน้ำเชื้อสืบพันธุ์ซึ่งน่าจะรวมทั้งอสุจิในบุรุษเพศและไข่ในอิตถีเพศด้วย ไม่นับเรื่องที่ช่วยบำรุงพลังทางเพศ
คำว่าอาบน้ำในภาษาสันสกฤตใช้คำว่า "สนาน" (snana) ซึ่งเขาจะรวมเอาการสระผม (head bath) ด้วย โดยทั่วไปแล้วเขาจะแนะนำให้ใช้น้ำเย็นอาบน้ำเฉพาะคนที่มีธาตุไฟเป็นเจ้าเรือนคือเป็นคนที่ขี้ร้อน เหงื่อออกง่าย หรือใครที่มีปัญหาเรื่องผิวหนังอักเสบเป็นตุ่มเป็นผื่นแดงง่าย
การอาบน้ำเย็นยังช่วยบรรเทาอาการร้อนรุ่มเนื้อตัว มึนงง เป็นลมวิงเวียน ปากแห้ง คอแห้ง อาการเมาค้างหลังจากดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ รวมทั้งคนที่มีปัญหาเรื่องเลือดออกง่าย เช่น คนที่เลือดกำเดาไหลบ่อย เป็นต้น อาการเหล่านี้เป็นเพราะธาตุไฟในกายกำเริบ วิธีแก้ก็คือต้องใช้ความเย็นเข้าช่วย การอาบน้ำเย็นก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยได้
หรือถ้าน้ำเย็นเฉยๆ ยังไม่พอ คุณจะเติมผลกระวาน ผงไม้จันทน์ หรือรากแฝกหอมแช่ลงในน้ำสักพักใหญ่ๆ ก่อนที่จะเอาน้ำที่แช่สมุนไพรเหล่านี้มารดราดตัวด้วยก็ยังได้ เท่ากับเพิ่มสรรพคุณดับร้อนลงไปในน้ำที่จะสรงสนานได้อีก
แต่สำหรับคนที่ขี้หนาวประเภทถึงหน้าหนาวทีไรฝ่ามือฝ่าเท้าเย็นจับจิตทุกที หรือใครที่เข้าห้องแอร์ทีไรมักจะสั่นอยู่เรื่อยในขณะที่คนอื่นๆ เขาอยู่สบาย คนกลุ่มนี้อายุรเวทบอกว่าเป็นคนที่มีธาตุลม (วาตะ) หรือธาตุดินธาตุน้ำ (กผะ) เป็นเจ้าเรือน หรือใครที่ร่างกายกำลังมีปัญหากับความเย็น เจอความเย็นแล้วร่างกายทำท่าจะไม่ค่อยสบาย
ใครที่เข้าข่ายที่ว่ามาขอแนะนำให้อาบน้ำอุ่นจะเหมาะกว่า
การอาบน้ำอุ่นช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี จึงช่วยเพิ่มพละกำลังให้ร่างกายได้ดี โดยเฉพาะถ้าใช้น้ำมัน (งา) อุ่นๆ นวดให้ทั่วตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แล้วทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็อาบน้ำอุ่นตามจะดี เพราะน้ำมันงาที่นวดเนื้อตัวจะซึมลงไปตามอณูของร่างกาย ช่วยบำรุงร่างกายชนิดที่ว่าน้ำมันบำรุงผิวทั้งหลายก็อาจเทียบไม่ติด
แต่การอาบน้ำอุ่นมีข้อแม้ว่าไม่ควรใช้น้ำอุ่นจัดเกินไป โดยเฉพาะการใช้น้ำอุ่นสระผมหรือรดราดศีรษะนั้นมีเงื่อนไขว่าควรจะอุ่นน้อยๆ ก็พอ เพราะถ้าอุ่นเกินไปจะเป็นผลเสียต่อสายตาและเส้นผมของคุณ
นอกจากนี้ยังมีข้อแนะนำเกี่ยวกับการอาบน้ำอีกว่า คนที่มีปัญหาอัมพฤกษ์ที่ใบหน้าเป็นโรคเกี่ยวกับตา หู ปาก มีอาการท้องเสีย ท้องอืด เป็นหวัดเรื้อรัง อาหารไม่ย่อย และหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ ไม่ควรอาบน้ำ
เรื่องข้อควรระวังเกี่ยวกับการอาบน้ำนี้ หนุ่มไทยที่ไปฝากเนื้อฝากตัวเรียนวิชากับครูอายุรเวทที่อินเดียเคยเจอะเจอประสบการณ์มาแล้ว เมื่อครั้งที่มีคนไข้ชายสูงอายุคนหนึ่งมาหาครูด้วยอาการมือเท้าชา พูดไม่ค่อยชัด และอาการอื่นๆ ที่ครูบอกว่าคนไข้มีความเสี่ยงต่ออัมพฤกษ์อัมพาต ครูหมอบอกลูกชายของคนไข้ว่าอย่าให้คนไข้อาบน้ำเย็นเด็ดขาด (ในความหมายของคนอินเดียก็คือสระผมด้วยนั่นเอง)
หลังจากนั้นเพียงสัปดาห์คนไข้ผู้นี้ก็มาหาหมออีกครั้งด้วยอาการอัมพฤกษ์ข้างขวา ส่วนหนึ่งเห็นจะเป็นเพราะไม่งดอาบน้ำ (สระผม) ด้วยน้ำเย็น ดังที่กล่าวเตือนไว้
ถามครูว่าอาการที่ว่ามาตอนต้นนั้น ถ้าอาบน้ำโดยไม่สระผมจะได้ไหม นึกไม่ออกว่าคนเราจะอยู่อย่างไรนะโดยไม่อาบน้ำเลย ครูตอบว่าน่าจะได้เพราะคำว่าอาบน้ำในทางอายุรเวทหมายรวมถึงสระผมด้วย แต่ถึงจะอาบน้ำโดยไม่สระผมก็ควรระวังอย่าให้น้ำเย็นหรืออุ่นเกินไป
แต่ข้อห้ามที่ไม่ควรฝืนก็คือเรื่องอาบน้ำทันทีหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ เพราะจะทำให้อาหารไม่ย่อย อาจอธิบายได้ว่าน้ำโดยเฉพาะน้ำเย็นทำให้ผนังและท่อส่งอาหารและน้ำหดตัว กระเพาะลำไส้ย่อยอาหารไม่ได้เต็มที่นั่นเอง
เพราะฉะนั้นการอาบน้ำจึงเป็นศาสตร์และศิลปะที่ต้องสังเกตว่า ในกรณีไหนเราควรอาบน้ำแบบไหนดีเพื่อชีวีที่เป็นสุข

เพื่อนคือคนที่...(ก-ฮ)

เพื่อนคือคนที่...(ก-ฮ)

ก - เก็บคุณไว้ในใจ
ข - เข้าใจคุณ
ค - คอยสนับสนุน
ง - ง้อคุณเมื่อรู้ว่าเขาผิด
จ - จับมือคุณเมื่อคุณต้องการกำลังใจ
ฉ - เฉยกับความใจร้อนของคุณ
ช - ช่วยเหลือคุณ
ซ - ซื่อสัตย์ต่อคุณ
ญ - ญาติดีกับคุณเสมอ
ด - เดินเคียงข้างคุณ
ต - ติดตามข่าวคราวความเป็นไปของคุณ
ถ - ไถ่ถามทุกข์สุข
ท - ทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไป
ธ - ธรรมมะธัมโมกับคุณ
น - นับถือคุณและน่ารักในสายตาของคุณ
บ - บอกความจริงแก่คุณ
ป - ปลอบใจเมื่อคุณท้อ
ผ - ผายมือต้อนรับคุณเสมอ
ฝ - ฝากผีฝากไข้กับคุณ
พ - เพิ่มพลังให้แก่คุณ
ฟ - ฟังคุณ(แม้คุณจะพูดจนน้ำไหลไฟดับก้อตาม)
ภ - ภูมิใจในตัวคุณ
ม - มอบสิ่งที่ดีแก่คุณ
ย - ยกโทษให้กับข้อผิดพลาดของคุณ
ร - รักคุณที่เป็นคุณ
ล - ละเอียดอ่อนกับความรู้สึกของคุณ
ว - ไว้ใจคุณ
ศ - ศึกษานิสัยที่แท้จริงของคุณ
ส - สังเกตความเปลี่ยนแปลงในตัวคุณ
ห - เห็นคุณค่าของคุณ
อ - อธิบายในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ
ฮ - เฮฮากับคุณได้ทุกเวลา

ลูกภูมิใจที่ได้เป็นลูกพ่อ

คือห่วงใย.. คืออบอุ่น คือบุญคุณเหนือสิ่งไหน คือดวงตะวัน ดวงใหญ่
อยากบอกว่า...
ลูกภูมิใจที่ได้เป็นลูกพ่อ

ถึงเค้าจะไม่ใช่ซุปเปอร์แมน แต่อ้อมแขนเค้าก็อบอุ่นเสมอ
ถึงไม่ใช่ชายในฝันที่เคยพร่ำเพ้อ แต่เค้าก็เป็นยอดมนุษย์เสมอ ในดวงใจ
ยามใดที่ทุกข์ท้อ กำลังใจมากมายเกินพอ เค้ามีให้
อาจไม่เคยได้รางวัล \'พ่อดีเด่น\' จากใคร แต่เค้าคือ "ฮีโร่ในดวงใจตลอดกาล"

ถึงไม่มีบ่าใหญ่ให้ขี่คอ ไม่มีเวลามาพะเน้าพะนอเหมือนพ่อคนอื่นเค้า
พ่อทำแต่งาน ไม่มีเวลามาสอนการบ้านเรา ออกจากบ้านแต่เช้า
กลับถึงบ้านก็ดึกดื่นทุกที แต่ผมเข้าใจพ่อ
เข้าใจว่าทุกอย่างที่พ่อสร้างพ่อก่อ
ก็เพื่อลูกคนนี้ ศรัทธา ภูมิใจ และอบอุ่นในสิ่งที่พ่อมี
สำหรับชีวิตนักเรียนแบบนี้ คำเดียวที่พอจะทดแทนได้ดี "ผมรักพ่อครับ"

ครั้งนั้นมือใหญ่ จูงมือน้อย เดินตามกันต้อยๆไปไหนต่อไหน มีกันสองคน
สองหัวใจ
ให้หนทางไกลเท่าไกล ก็ไม่เหนื่อยล้า คนตัวใหญ่ อุ้มคนตัวน้อย
ดาวไกลเกินสอย
อยู่ข้างหน้า เขย่งเข้า เขย่าเข้า จะเอามา คนตัวน้อยร้องไห้จ้า
ไม่ได้ดังใจ
ไม่เอาดาวเดือน ได้ไหมลูก แล้วพ่อจะหาทุกสิ่งทุกอย่าง มาทดแทนให้
คนตัวน้อย
พยักหน้าเข้าใจ แล้วจากนั้น คนตัวน้อยก็ไม่เคยอยากได้อะไรแล้วไม่ได้
อีกเลย

มาซื้อของให้พ่อ มองดอกไม้หลายช่อ "ไม่รู้ว่าจะเลือกดอกไหน
ตอนวันแม่ก็ซื้อมะลิแล้วส่งไป แต่วันพ่อไม่รู้จะซื้อดอกอะไร" กลุ้มใจจริง
คิดว่าจะซื้อตุ๊กตา กลัวพ่อว่า นิสัยเด็กไม่ยอมทิ้ง เลยซื้อการ์ดมาเขียน
"รักพ่อจริง-จริง" หวังว่าคงแทนได้ทุกสิ่งที่อยู่ในใจ อยากให้พ่อรู้
ไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ตรงไหน พ่อจะเป็นความศรัทธาตลอดไป
ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่
ไม่เปลี่ยนแปลง


บุญคุณพ่อเปรียบฟ้า มหาสมุทร เป็นที่สุดแห่งรักอันยิ่งใหญ่ ยกคุณพ่อ บูชา
ไว้ในใจ สัญญาไว้ลูกจะกตเวที


ถูกใครๆล้อว่าเป็นลูกไม่มีพ่อ บางครั้งก็ท้อจนร้องไห้ ไม่โทษพ่อหรอกจ้ะ
ที่ด่วนจากไป เพราะไม่ว่าจะยังไง ก็รักพ่ออยู่ดี พ่อเป็นคนเก่ง
เป็นที่หนึ่ง
เป็นผู้ชายคนเดียวที่ลูกคิดถึงตราบทุกวันนี้ ใครจะว่ายังไงก็ช่าง
ลูกรู้ว่าพ่ออยู่ใกล้ ทุกนาที พ่อยังรักและอยู่ใกล้ ลูกรู้ดี ลูกมั่นใจ

นิทาน ดวงดาว เคยมีคนเล่ากล่อมฉัน ความอบอุ่น ในวานวัน ผูกพันสองหัวใจ
"หลับเสียนะ คนดี" สองแขนพ่อนี้จะกอดไว้ แทนผืนผ้าห่ม อุ่นไอ
แทนความห่วงใย
แทนความรัก


พ่อ" ผู้สอนให้เรารู้สึกสำนึกบุญคุณของผู้มีพระคุณ
และตอบแทนทุกครั้งที่มีโอกาส แต่พ่อ ไม่เคยบอกเลยว่า
คนแรกที่ควรจะทดแทนในพระคุณนั้น คือ พ่อเอง



อยากบอกพ่อว่าขอบคุณมากจริงๆ สำหรับทุกๆสิ่งที่พ่อมีให้ ตั้งแต่เล็ก
จนเติบใหญ่ พ่อให้ทุกสิ่ง ด้วยรักแท้ ขอให้รู้ว่าลูกรักพ่อจริงๆ
และไม่ทอดทิ้งพ่อแม่ เมื่อลูกยังเล็ก พ่อเอาใจใส่ดูแล
และเมื่อถึงวันที่พ่อแก่
ลูกจะดูแลพ่อเอง

นอนซมอยู่กับบ้าน ไม่มีนางพยาบาลมาอยู่ใกล้ ก็ได้ผู้ชายคนนี้แหละ
ไม่ใช่ใคร
มาคอยดูแลเอาใจใส่ จนหายดี ขอบคุณงามๆค่ะ \'คุณพ่อที่รัก\'
ที่คอยฟูมฟักลูกอย่างนี้ ปกป้องคุ้มครองลูกมาตังหลายปี
จะไม่ลืมพระคุณที่มีอย่างแน่นอน ไว้ตอนคุณพ่อไม่สบายบ้าง
จะคอยปรนนิบัติเคียงข้าง ไม่ถ่ายถอน สัญญาค่ะ จะเป็นนางพยาบาลที่ดีแน่นอน
ให้สมกับที่คุณพ่อสั่งสอน มากับมือ

มือที่คอยจูงฉัน ไปโรงเรียนทุกวันยังจำได้ โยเย ร้องไห้ จะเป็นจะตาย
ไม่เอา
ยังไงก็ต้องกลับบ้านพร้อมกัน พ่อต้องคอยโอ๋ อย่าร้องไห้
ลูกคนเก่งต้องอยู่ได้
พ่อเชื่ออย่างนั้น เอาไว้ตอนเย็นพ่อมารับ แล้วเรากลับบ้านด้วยกัน
นิ่งเสียนะ
เด็กไม่ดีเท่านั้นเค้าถึงได้งอแง คิดถึงวันเก่าๆที่เยาว์วัย
วันที่ไปโรงเรียนวันแรกกลัวแทบแย่ น้ำตาเป็นเผาเต่า กลายเป็นเด็กขี้แย
ก็จะมีพ่อคนดีดูแล ห่วงใย จนมาถึงทุกวันนี้ ยังจำได้ดี ไม่เคยเลือนหาย
มือของพ่อที่คอยปกป้อง คุ้มครองภัย มือที่มีแต่ให้ โดยไม่หวังอะไรตอบเลย

ด้วยสองมือที่พ่อสร้าง ก่อเส้นทางที่หวังวาด สรรหา ทุกสิ่งขาด
ด้วยหมายมาดให้ลูกมี หยาดใสจากเหงื่ออุ่น ก็เกื้อหนุนในวันนี้
ค้ำจุนหนึ่งชีวี
ให้ได้ดี ไม่รองใคร ของใดไม่มีค่า พอจะมา เทียบทันได้ หนึ่งนี้ ลมหายใจ
ขอมอบให้ ทนแทนคุณ

อย่างน้อยในโลกที่เงียบเหงา ก็ไม่ว่างเปล่า ยังมีใครคนหนึ่ง คิดถึง
และรักกัน
ใครคนนั้น คือ พ่อ ผู้ที่ฉันมั่นใจได้ว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด
"พ่อยังคงรักฉันเสมอ"

เกเรไปหน่อย หาเรื่องปวดหัวอยู่บ่อยๆอย่างนี้
เรียนหนังสือก็เกือบบ๊วยทุกที
ท่าทางไม่น่าเอาดี ได้เหมือนใครๆ ไปทางไหน เขาก็เมินหน้า บอกกันว่า
เด็กคนนี้เลี้ยงไม่ไหว ดื้อรั้นแถมยังเอาแต่ใจ ทำตัวไร้สาระอยู่ได้
ทั้งวี่ทั้งวัน แต่ก็จะมีอยู่คนหนึ่งที่ยอมเข้าใจ รักและให้อภัยเสมอ
ในตัวฉัน
ห่วงใยอาทร เป็นทุกข์เป็นร้อนแทนกัน ใครอื่นอีกหมื่นพัน
ไม่เทียบทันความจริงใจ
พระคุณพ่อ สิ่งใดก็ไม่อาจพอทดแทนได้ อยากจะเป็นลูกของพ่ออย่างนี้ตลอดไป
โอมเพี้ยง! ชาติไหนๆ ก็ขอให้ได้เกิดมาเป็น พ่อลูกกัน

เป็นเพียงชายที่ไร้เงินทองท่วมฟ้า เป็นเพียงคนทำมาหากินทุกเช้าค่ำ
วันทั้งวันต้องเหนื่อยยากและตรากตรำ เพียงเพื่อนำครอบครัวไปในทางดี
มีเพียงสองมือหนึ่งใจใช้ต่อสู้ ไม่เคยหดหู่ ทดท้อ หรือถอยหนี
เพื่อทุกคนได้อยู่สุขสบายทุกนาที ตัวพ่อนี้ เหนื่อยยากเข็ญ มิเป็นไร
เป็นเพียงคนที่หัวใจไม่เคยแพ้ ยามลูกเมียอ่อนแอก็เป็นหลักให้ยึดได้
หากไม่ใช่พ่อเราก็คงไม่มีใคร ที่จะให้อย่างพ่อให้ได้ทุกวัน

เราอยู่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่อันอบอุ่น แผ่กิ่งก้านปกคลุมคุ้มเราให้สุขสันต์
คอยปกป้องผองภัยไม่ให้มาทำร้ายกัน คอยดูแลอยู่ทุกวัน ไม่ห่างไกล
แทบทุกอย่างที่ครอบครัวปรารถนา พ่อก็จะพยายามหามาให้ได้
พ่อรู้จักแต่คำว่า
เสียสละอยู่เรื่อยไป จึงเป็นที่รักในใจของทุกคน สำหรับลูกขอตั้งใจอธิษฐาน
อยากจะเกิดมาพบพาน เป็นพ่อลูกในทุกหน แม้จะต้องลำบากและยากจน ก็สุขล้น
ถ้าได้เป็นลูกพ่ออยู่เหมือนกัน

ชีวิตของฉันเปลี่ยนแปลงไป วันต่อวัน ปีต่อปี ฤดูต่อฤดู แต่ความรักของพ่อ
ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คงเดิม มากเหมือนเมื่อวาน มั่นคง เสมอนาน และมั่นคง
เสมอไป

พอพ่อเตือน ชอบทำหน้าเบ้ ทำเป็นเสไปมองนี่มองนั่น พ่อพูดทีไร
ไม่เคยตั้งใจฟังซักวัน เข้าหูนี้ ทะลุหูนั้น แย่จังเรา
พอเกิดเรื่องเหมือนที่พ่อเคยเตือนไว้ เป็นไงล่ะ เป็นไง ตีหน้าเศร้า
เห็นสายตาพ่อผิดหวัง ต้องแอบร้องไห้เบาๆ พ่อจ๋า ขอโทษที่หนูโง่เง่า
พ่อจะด่าจะว่าก็เอา แต่อย่าโกรธเลยนะพ่อนะ

เพียงสัมผัสอันอบอุ่น จากมือที่ไม่นุ่มละมุน แต่หยาบกร้าน
ที่บ่งบอกถึงความรู้สึกมาช้านาน ก็ทำใจให้ได้ผ่าน ความทุกข์ตรม
ด้วยสองมือที่คอยสร้าง ปูหนทาง ที่ห่างไกลความขื่นขม รอวันหน้าจะได้มา
ซึ่งความชื่นชม ความสำเร็จสุขสมของลูกยา ยามใดที่โลกนั้นโหดร้าย
ทุกๆอย่างจะคลี่คลายไปต่อหน้า เพียงได้รับคำปลอบใจจากผู้เป็นบิดา
ซึ่งน้ำใจกว้างกว่า มหาสมุทรใด พ่อเป็นพ่อผู้ประเสริฐและเพริศแพร้ว
มากกว่าแหวนแก้ว เพชรนิลจินดาที่หาค่าไม่ได้ มีแต่ให้
ไม่เคยหวังสิ่งตอบแทนใด
และเป็นเสมือนพ่อพระในหัวใจ ตลอดกาล

พ่อจ๋า รู้ไหมว่า ความในใจลูกมีอะไรซ่อนอยู่ ที่วันนี้จะเปิดเผยให้พ่อรู้
พ่อเอียงหูมาสักนิดสิค๊ะ จะว่าให้ฟัง "ดีใจที่เป็นลูกพ่อ"
เป็นสิ่งที่พอใจมากกว่าทุกอย่าง ความรักของพ่อ คุ้มภัยลูกไปทุกทาง
และความดีที่พ่อสร้าง ก็เป็นแนวทางให้ลูกก้าวไป พ่อจ๋า
ขอบคุณที่ให้ชีวิตลูกเกิดมาในโลกใบใหญ่ ขอบคุณที่สอนลูกให้รู้จักรักใครๆ
กับชีวิตนี้ที่ลูกพอใจ ขอหอมแก้มพ่อทีได้ไหม เพราะลูกไม่มีอะไรยิ่งใหญ่
จะมาขอบคุณ

เธออาจมีความฝันมากมาย เธออาจทำความฝันของเธอให้เป็นจริงได้
และในเมื่อเธอมีความสุขกับทุกๆสิ่ง ขอให้เธอเหลียวกลับไปมอง
ผู้ให้กำเนิดแก่เธอบ้าง เพราะแท้จริงแล้ว พ่อคือผู้ให้ทุกสิ่ง..
แม้ชีวิตของเธอ

เขียนถึงทุกความประทับใจ ที่พ่อให้ตั้งแต่ยังไร้เดียงสา จนเราเติบโตมา
พ่อก็ยังไม่วางตา เพราะห่วงใย พระคุณนี้ทดแทนไม่หมด
เกินกว่าทั้งชาติจะชดใช้
หวังเพียงว่า ยามเมื่อพ่อแก่ชราลงไป ลูกจะอยู่คอยดูแลเอาใจใส่
เหมือนกับที่พ่อเคยให้มา

แด่.. พระผู้ให้ ก่อกำเนิดเรือนกายเป็นรากฐาน กล่อมเกลาจิต ชีวิต
และวิญญาณ
เพื่อให้ลูกได้พบพาน สิ่งที่ดี ขอฝ่าเท้าของพ่อ โปรดรับคำวอนขอจากลูกนี้
ลูกขอวานสิ่งศักดิ์สิทธิ์และกรรมดี ตอบสนองให้พ่อมีแต่สุขเทอญ

จะไปเรียนก็พ่อจ๋าของตังค์ เพื่อนชวนไปดูหนังก็พ่อจ๋าหนูบ่จี๊
อยากได้อะไรก็พ่อหามาให้ทุกที ตั้งแต่เด็กจนโตป่านนี้ ไม่ต่างอะไร
รอให้เรียนจบก่อนนะ พ่อจ๋า รับรองว่าจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่
จะเลี้ยงพ่อแม่ให้มีแต่สุขใจ แต่พ่อจ๋า.. วันนี้ตังค์จะไปมหา\'ลัย
ยังไม่มี
(ขอหน่อย!)

ระหว่างพ่อกับฉัน จากวัยวันที่ประคับประคองกันมา
เราเป็นให้กันทั้งความอ่อนโยน
และเป็นให้กันในสิ่งตรงกันข้าม ก่อเกิดวีรกรรมมากมาย ทั้งร้าย เลว
และสวยงาม
ฉันไปถึงที่ไหน พ่อก็ไปถึงที่นั่น แต่เราให้อิสระแก่กันและกัน
ฉันยังโตขึ้นเท่าไหร่ พ่อก็ยิ่งแก่ลงเท่านั้น ระหว่างพ่อกับฉัน
เราจึงผูกพันกัน ด้วยเรื่องราวเหล่านั้น พูดคุยกัน บางครั้ง
ถึงเรื่องราวความฝัน และความหวาดหวั่นแห่งชีวิต เราต่างเป็นแรงใจให้กัน
ฉันชื่นชมและศรัทธาในตัวพ่ออยู่ลึกๆ แต่ไม่บ่อยครั้งที่จะบอกให้พ่อรู้
ลูกผู้ชาย รักก็เก็บไว้ ไม่ชอบก็เก็บไว้ ระหว่างพ่อกับฉัน
รับรู้กันด้วยหัวใจ
อยู่แล้ว

เขียนถึงทุกความประทับใจ ที่พ่อให้ตั้งแต่ยังไร้เดียงสา จนเราเติบโตมา
พ่อก็ยังไม่วางตา เพราะห่วงใย พระคุณนี้ทดแทนไม่หมด
เกินกว่าทั้งชาติจะชดใช้
หวังเพียงว่า ยามเมื่อพ่อแก่ชราลงไป ลูกจะคอยดูแลเอาใจใส่
เหมือนกับที่พ่อเคยให้มา

อยากกลับไปฟังพ่อเล่านิทาน แล้วฟังเสียงเพลงกล่อมเพลงหวาน ก่อนหลับไหล
เหมือนเมื่อครั้งหนึ่งที่อ่อนวัย ที่พ่อคอยห่มผ้าให้ ทุกคืน
มาอยู่ไกลบ้านอย่างนี้ คิดถึงพ่อแต่ละที น้ำตารื้น
อยากกลับไปอยู่ในอ้อมกอดของวันคืน ที่มีความอาทรของพ่อหยิบยื่น
อยู่เต็มใจ
เอาเถอะนะ แล้วสอบเสร็จคราวนี้ จะรีบกลับไปฟังนิทานที่พ่อมี ไม่เถลไถล
กลับไปหาบ้าน ที่มีแต่ความอบอุ่นข้างใน
กลับไปหาที่มีแต่ความรักความห่วงใย
ไม่จืดจาง

พ่อจ๋า... เราไม่เคยบอกกันว่า \'รัก\' แต่ลูกสามารถประจักษ์ได้
เพราะทุกสิ่งที่พ่อทำลงไป มันชัดเจนกว่าคำพูดใดๆทั้งๆมวล

จากวันนั้น.. วันที่ฉันจะเอื้อมดาว อยากให้มาสุกสกาว อยู่ที่หลังคาบ้าน
เพราะยังอ่อนเยาว์ ไร้ปฏิภาณ อยากได้ตามต้องการ ทุกครั้งไป
เสียงหนึ่งที่คอยสอนและบอก ให้ฉันคิดออก ว่ามันเป็นไปไม่ได้
ดาวเดือนที่อยู่ห่างกล ไม่เคยมีใครได้มันมา จนวันนี้..
ฉันเริ่มเข้าใจทุกอย่าง
คนนั้นก็ยังเคียงข้าง ในยามเหว่ว้า คอยอบรมสั่นสอนด้วยความเมตตา
แม้ว่าฉันจะเป็นผู้ใหญ่กว่า วันวาน แต่ฉันยังคงเป็นเด็ก สำหรับเขา
เป็นห่วงเราทุกฝีก้าว เมื่ออกจากบ้าน จะกี่เดือน กี่ปี ที่เนิ่นนาน
ความรักเขา
ยังคงขับขานอยู่ในหัวใจ ฉันพบเขาทั้งยามตื่นและยามฝัน ฉันผูกพันกับเขา
มากกว่าใครคนไหน ฉันเรียกเขาว่า \'พ่อ\' อย่างมั่นใจ
ว่าในโลกนี้ไม่มีใครแทนได้เลย

ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน ลูกยังจำได้ถึงคำที่พ่อสั่ง
แม้จะได้กลับบ้านนานๆครั้ง
ลูกก็ยังคิดถึงพ่อ ตลอดเวลา \'อย่าเกเรนะลูก อย่าเหลวไหล\'
ขอให้เอาใจใส่ในการศึกษา วันที่ลูกกลับบ้านมา พ่อหวังว่า ลูกพ่อคงได้ดี
ถึงลูกจะจากบ้านมาไกล ก็เหมือนพ่อมาอยู่ใกล้ๆที่นี่
ขอสัญญาว่าจะทำแต่สิ่งที่ดี ให้สมกับที่พ่อหวัง และตั้งใจ

พ่อกับลูก ไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกันเสมอ บางครั้ง
เพื่อความสมบูรณ์แห่งชีวิต
เราต้องห่างกันไป บนเส้นทาง ฉันไปเพื่อความฝัน และเรียนรู้ที่จะเติบโต
พ่อ..
ก็ไปเพื่อชีวิต อาจห่างเหินกันบ้าง แต่จริงๆแล้ว ฉันกับพ่อ เราผูกพันกัน
และยังเคียงข้างกัน ในความคำนึงเสมอ

พ่อจะอยู่ตรงไหนนะ ในฟากฟ้า แล้วพ่อจะรู้บ้างมั๊ยว่า ลูกคิดถึง
แต่ก่อนเคยมีพ่อเป็น hero เก่งที่หนึ่ง แต่วันนึงจู่ๆ พ่อจากไป พ่อจ๋า..
อยู่บนโน้นมองเห็นลูกหรือเปล่า ลูกเข้มแข็งไม่เหมือนเก่า พ่อเห็นไหม
ถ้าพ่อเห็น ขอให้ช่วยเป็นแรงใจ มองอยู่บนฟ้าดูลูกก้าวไป
จนถึงจุดหมายปลายทาง

ความรัก มีทั้งความสุข ความทุกข์ มีสมหวัง ผิดหวัง มีชนะ มีพ่ายแพ้
เราอาจต้องแก่งแย่งแข่งขัน เพื่อให้ได้มาซึ่งความรักที่ปรารถนา
แต่ความรักของพ่อ คือความรักที่อบอุ่น ดื่มด่ำ และมั่นคงที่สุด
ตราบจนนิรันดร์

หอมไอดิน ถิ่นเกิด ที่ๆเคยถือกำเนิด อาศัย พกพาความช้ำ มาเต็มใจ
หวังให้ลมชโลมไล้ เบาบาง มานอนหนุนตักพ่อ เติมเต็มใจที่กำลังอ่อนท้อ
อ้างว้าง
เหนื่อยล้าเหลือเกิน บนหนทาง พ่อบอก ลูกจงก้าวย่าง อย่าอ่อนแอ
ทางข้างหน้ายังมีอีกไกล ลูกจงก้าวไป อย่าพ่ายแพ้ โชคดีที่ยังมีพ่อ
คอยดูแล
ต่อไปลูกจะไม่อ่อนแอ ไม่แพ้ใคร


อยากเป็นคนดีทีละน้อย ค่อยๆสร้างเสริมเติมคุณค่า
อยากให้ทุกเช้าตื่นขึ้นมา
ชีวิตก็ก้าวไปข้างหน้า อีกก้าวนึง และเป็นก้าวที่เพื่อ \'ให้\' ใครๆด้วย
ก้าวที่ช่วยสังคมบ้าง อีกทางหนึ่ง มิใช่คิด เห็นแก่ตัว มัวคำนึง
ไม่นึกถึง
ทุกข์ใครอุ่นอีกหมื่นพัน อยากเป็นคนดี ทีละนิด มีชีวิต ที่มีค่า
มาสร้างสรรค์
อยากเป็นคนที่มีคุณค่า ที่เกิดมาเพื่อแบ่งปัน เพราะรู้ว่าทั้งหมดนั้น
\'พ่อ\'
คิดฝัน ให้ฉันเป็น

เคยทำให้พ่อทุกข์ใจบ้างไหม เคยเห็นพ่อร้องไห้ บ้างหรือเปล่า เคยไหม
ต้นเหตุที่พ่อหลั่งน้ำตา มาจากเรา ลองทบทวนเรื่องราวดูดีๆ
ถ้าเราเคยทำให้พ่อเสียใจขนาดนั้น กลับตัวกลับใจยังทัน.. วันนี้
แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำ แต่สิ่งดี ให้พ่อที่เรายังมี ได้ชื่นชม

ยิ่งกว่าบูชา ยิ่งกว่าศรัทธา หมื่นล้าน มีให้มาเนิ่นนาน
มีให้พ่อของลูกคนเดียวเท่านั้น ในใจ ความรัก ความผูกพัน
ที่เราสองคนมีให้กัน
เกินอธิบายได้ รู้แต่ว่า ลูกไม่เคยให้ความรู้สึกนี้แก่ใคร และรู้แต่ว่า
พ่อก็ไม่เคยมีให้คนไหน เช่นกัน


ทุกครั้งที่ฉันเหนื่อยและท้อ ฉันจะนึกซะว่าพ่อมาอยู่ข้างฉัน
มีสองมือหยาบใหญ่
มาเช็ดน้ำตาให้กัน ฉันจะหลับและฝันเพื่อตื่นขึ้นสู้อักวันอย่างมั่นใจ


เพราะมีพ่อ กำลังใจจึงไม่หมด อิ่มหรืออด ยังอุ่นใจไม่สับสน คำว่า พ่อ
ทรหด
และอดทน เป็นบทเรียนฝึกฝน ให้ลูกได้ดี

เมื่อใกล้พ่อ ก็แน่ใจ ได้ความรัก ได้รู้จัก ความแน่นหนักและศักดิ์ศรี
แม้ไกลพ่อ จึงเหมือนใกล้ไปทุกที เพราะต่างมี พลังแห่ง ความห่วงใย

ไม่มีเสียงเพลงกล่อมหวาน หวาน ไม่มีนิทานมาเล่า เอาใจ แต่มีสองตา
จ้องมองอย่างรักใคร่ และมีหนึ่งหัวใจ ที่จะกล่อมให้หลับฝันดี
ฉันจับมือพ่อเอาไว้ เพื่อให้อุ่นใจ ว่าพ่อยู่ที่นี่ คงเป็นอีกคืน
ที่จะหลับฝันดี เพราะมีพ่อของลูกคนนี้ อยู่ข้างกาย

พ่อไม่เคยบอกสักคำว่าพ่อรัก แต่เราก็ตระหนัก ในคำคำนี้
ไม่เคยบอกว่าห่วงใยเราสักนาที แต่เราก็รู้ดี อยู่เต็มใจ
เพราะทุกๆสิ่งที่พ่อสร้าง และทุกๆอย่างที่พ่อให้ แทนความรู้สึกได้หมดใจ
แทนคำรักได้ หลายล้านคำ

หลิน

เรื่องน่าอ่าน : ขอบขนมปัง (Good story)

สองสามีภรรยาตกลงจัดงานฉลองครบรอบการแต่งงาน 50 ปีของพวกเขาขึ้น  
งานดำเนินไปอย่างเรียบร้อยบนความปิติยินดีของเหล่าลูกหลาน  
ซึ่งในตอนนี้พวกเขาต่างก็มีครอบครัวเล็กๆเป็นของตัวเองแล้ว  
งานเลี้ยงผ่านไปบนความเหน็ดเหนื่อยของสองสามีภรรยา  

ทั้งสองเป็นเจ้าภาพของงานจึงช่วยไม่ได้เลยที่ทั้งสองจะไม่ได้ทานอะไรทั้งสิ้นตั้งแต่งานเลี้ยงเริ่มขึ้น   เมื่องานเลี้ยงจบลง  
บรรดาแขกเหรือก็ทยอยกลับบ้านโดยไม่ลืมกล่าวแสดงความยินดีกับคู่สามีภรรยา

ทั้งสองแม้ว่าจะเหนื่อยแต่ก็มีความสุข
คนทั้งคู่พากันมานั่งที่โต๊ะรับทานอาหาร สามีเดินไปหยิบขนมปังขาวและแฮม
ส่วนภรรยาเดินไปหยิบน้ำส้ม
ทั้งคู่เริ่มต้นทำอาหารมื้อเล็กๆของตนอย่างเงียบๆ
เมื่อภรรยาเห็นสามีหยิบมีดมาตัดขอบขนมปัง
แล้วส่งของขนมปังขาวมาให้เธอเหมือนดังที่เขาทำมาตลอดเวลา 50ปี
เธอก็ร้องไห้แล้วพูดว่า
“พอกันเสียที ตลอดเวลา 50 ปีที่ผ่านมา
คุณเอาแต่ส่งขอบขนมปังมาให้
โดยที่คุณไม่สนใจเลยว่าฉันจะเกลียดมันมากแค่ไหน
ฉันเกลียดขอบขนมปัง โดยเฉพาะเวลาคุณส่งให้ฉัน”
ผู้เป็นสามีไม่ได้พูดอะไร

นอกจากมองหน้าภรรยาของเขาแล้วเอ่ยว่า
“แต่ที่รักนั่นเป็นส่วนที่ผมชอบกินมากที่สุดนะ”

P.s. ความจริงฉันลืมเรื่องนี้ไปนานแล้ว
แต่เช้าวันนี้ฉันนึกถึงมันขึ้นมาอีกครั้งพร้อมความรู้สึกใหม่ที่ว่า
คงมีหลายครั้งที่ฉันได้ทำร้ายใครให้เขาเจ็บปวด
น้อยใจบนความไม่รู้ไม่เจตนาของฉัน
และคงมีหลายหนที่ฉันต้องเสียใจจากความไม่เจตนาของคนอื่น
เป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจผิด
เป็นเรื่องยากในชีวิตที่จะยอมรับความเข้าใจผิดนั้น
เป็นเรื่องยากกว่าที่จะเอ่ยคำใดเพื่อลบล้างความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น
แต่เรื่องเศร้าจะจบลงหากเราระลึกอยู่เสมอว่า
เรา…ยังคงมีความรักให้กันเสมอ

กลเม็ดเพิ่มรักให้คุกรุ่นตลอดไป

คนเรามีความรัก ย่อมไม่อยากให้ถึงจุดจบ จุดเปลี่ยน และจุดหักเหทั้งนั้นแหละ

แต่น่าเห็นใจคู่รักที่ยังปากกัดตีนถีบ ช่วยกันทำงาน หัวเป็นนอต ตัวเป็นเกลียว มากกว่าใครเพื่อน เพราะนักรักคู่นี้ มักไม่ค่อยมีเวลาให้กันเท่าไหร่

ก็โห ต่างฝ่ายต่างมีภาระหน้าที่มากมาย ก่ายกองในชีวิตประจำวันให้ต้องสะสางนี่นา จึงอาจทำให้ชีวิตรักค่อยๆอับเฉา และแห้งแล้งลงไปเรื่อยๆ ก็เป็นได้

ขืนปล่อยให้ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่นาน ความซ้ำซากจำเจก็จะตามมา

เห็นทีต้องหาทางแก้ไข ซ่อมแซม และปะชุนให้ทั้งคู่ชื่นมื่นหวานรักกันใหม่ซะแล้วสิ

ใน กลเม็ดเด็ดพรายส่งเสริมพลังรักให้ฮึดฮัด คุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา (love boosters for super-busy couples จากนิตยสารเรดบุกส์) ชูประเด็นเต็งจ๋าให้ดาร์ลิ่งทั้งหลายกรุณาสละเวลาที่มีอยู่น้อยนิด หันมาให้ความสำคัญกับคนใกล้ตัวหน่อยเหอะ

และอย่าเอาแต่คิดเองเออเองอยู่ในใจว่า เขาคงรู้แล้วมั้งว่ารัก งั้นไม่จำเป็นที่จะไปกระเซ้าเย้าแหย่ ประจบประแจง และประคองดวงใจของอีกฝ่ายให้มันยุ่งยากลำบากลำบนจนเสียเวลาดีกว่า... แหมว้ายตายแล้ว... คุณน้องทั้งหลายคิดอย่างนี้ไม่ได้เชียวนะ

ถ้าอยากประคับ ประคองรักจริง หนูๆ ควรขยันทำตามนี้บ้างน้า อย่าร่ำไรหรืออ้อยสร้อย ถ้าเขาไม่แสดงออก ก็อย่าทำเป็นเขินทำอะไรไม่ถูกตามไปด้วย

งั้น ประเดิมจุดประกายรักให้ชุ่มฉ่ำ สดใส และชื่นใจ ด้วยการ...

1. บอกคนรักว่า ทำไมเขาถึงเซ็กซี่สำหรับคุณเสมอตั้งแต่แรกเมื่อเริ่มรัก

2. ใช้ฝ่ามือตบก้นเขาสักแปะยามเขาเดินผ่าน แสดงความคุ้นเคยและบอกถึงความสนิทเสน่หา (แต่ใจจริงอยากแต๊ะอั๋ง) สักนิดสักหน่อยก็ยังดี

3. ชงกาแฟหอมฉุย รสชาติที่เขาชื่นชอบ แล้วยกไปให้เป็นการเอาใจ เวลาเห็นเขาง่วนอยู่กับงานที่หอบจากที่ทำงานกลับมาคลุกอยู่ที่บ้าน

4. นั่งดูทีวีรายการโปรดกับเขา โดยไม่ถามสักแอะว่า ทำไมถึงชอบรายการซังกะบ๊วยช่องนี้นัก แล้วจะแถมด้วยจูบนิ้วมือเขาเล่นเพลินๆด้วยก็ได้

5. ใช้สมองระดับไอน์สไตน์ของคุณคิดรหัสลับขึ้นมาใช้กับเขา สองต่อสอง

โดยเฉพาะตอนที่ต้องไปออกงานสังคมด้วยกัน แต่ถูกเพื่อนฝูงฉุดกระชากลากถูให้ไปยืนอยู่คนละมุมห้อง

คุณก็อาจส่งสัญญาณมือติดตลกเป็นทำนองว่า งานปาร์ตี้นี้ทำให้ฉันเบื่อเจียนร้องไห้เลยล่ะ

หรือ ฉันอยากให้คุณพากลับบ้าน แล้วไปพลอดรักกันยังสนุกกว่าเสียเวลาอยู่ในงานนี้ซะอีก...น่าน เป็นงั้นไป

6. ปลุกให้เขาตื่นเร็วกว่าเดิมครึ่งชั่วโมง แล้วใช้เวลาคุยกัน, เมคเลิฟกัน หรือแค่นั่งอ่านหนังสือด้วยกันบนเตียง

แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

7. กระโจนลงบนโซฟาพร้อมๆ กันเหมือนสมัยเป็นเด็ก แล้วผลัดกันนวดฝ่าเท้าให้กันและกัน ก็สนุกไปอีกแบบ...ว่าไหม

8. เปิดเพลงโปรดที่เขาชอบ เมื่อเขากลับจากที่ทำงานถึงบ้านจะได้ยิ้มออก และเบิกบาน แถมหน้าตาจะได้ไม่หงิก บูดบึ้ง หลังถูกโขกสับและเหน็ดเหนื่อยจากงานมาทั้งวัน

9. มอบจูบอย่างเร่าร้อนให้เขา ก่อนชวนกันทานอาหารค่ำ จะได้ออกรสชาติ ไม่ซ้ำซากจำเจ

10. จูงไม้จูงมือกันออกไปเดินช็อปปิ้ง

ไม่เห็นต้องแคร์สายตาใคร ถ้าไม่มีใครทำ แต่คู่เราจะอย่างงี้ อย่าอิจฉาแล้วกัน

11. ยิ้ม พร้อมส่งตาหวานให้เขาทุกเช้า จะได้อารมณ์ดีตลอดวัน

12. กระซิบเรื่องตลกขบขันให้กันฟัง แล้วอย่าลืมอายม้วนต้วนถ้าเขาเล่าโจ๊กใต้สะดือด้วยล่ะ

13. ใส่ชุดชั้นในตัวจิ๋วให้ดูสวยเหมือนนางแบบโฆษณา

เป็นอาหารตาและวิตามินทางใจชนิดรักนะเนี่ย ถึงใจกล้าโชว์อึ๋มถึงปานนี้

ถ้าทำให้เขาขาอ่อน ตาค้างได้ ก็ประสบความสำเร็จ ไชโยโห่ฮิ้ว ฉลองกันบนเตียงนั่นแหละดี

14. ยามค่ำคืน เวลาอยู่ด้วยกันบนเตียง มั่นใจนะว่ามีเรือนร่างส่วนหนึ่งสัมผัสซึ่งกันและกัน เช่น เท้าของแต่ละฝ่ายแตะกันอยู่ อะไรเงี้ย

15. ไปจ่ายตลาดซื้อข้าวซื้อของด้วยกัน แล้วอย่าลืมซื้อขนมหวานอร่อยเหาะกลับมาป้อนกันที่บ้านต่อ ยิ่งเป็นของหวานปานน้ำเชื่อมด้วยยิ่งดี

16. หลังทานอาหารค่ำด้วยกันที่บ้าน ทำเป็นลืมล้างจานสักครั้ง แล้วชวนเต้นสโลว์ซบในห้องนั่งเล่นกันเหอะ และสุดท้าย

อย่าลังเลที่จะเล่าตลกสัปดนซึ่งคุณชอบมากที่สุดให้เขาฟัง จะได้ขำกลิ้ง หัวเราะเริงร่าด้วยกันซะเลย.

พูดให้เข้าหู ประตูสู่ความรัก

ทายเล่นๆ กันมั้ยว่า กุญแจสำคัญของ การครองรักให้ยั่งยืน มั่นคง แข็งแกร่ง ตลอดกาลนั้นคือ อะไรหรือเจ้าคะ? เอ้า มีช้อยส์ เป็นตัวช่วยให้เลือกจะได้ ไม่หลงทางตกคูไปซะก่อน ต่อไปนี้

ก. ความอดทน
ข. การเสียสละ
ค. คำพูดคำจา
ง. เซ็กซ์
แอ่น แอ้น แอน....คำตอบสุดท้ายก็คือ ทุกข้อที่กล่าวมาทั้งหมดนั่นแหละ โถ ก็รักกันทั้งทีนี่นะ แล้วงี้ถ้าไม่เทใจให้ดาร์ลิ่งทุกอย่าง เดี๋ยวหาว่ารักไม่จริงก็แย่นะซี้!

เมื่อเป็นงี้ เขียนเรื่อง เคล็ดลับในการพูดคุยกับสวีตฮาร์ต ให้อ่านดีกว่า (Secrets to Sweet Talkin\') เพราะคำพูดคำจานี่ หากใครคิดว่า ไม่สำคัญ เห็นควรให้กลับไปเอาเท้าก่ายหน้าผากตรึกตรองซะหลายๆรอบก่อน แล้วค่อยเห็นความสำคัญก็ยังไม่สาย คงมีหลายท่านสิท่าที่คิดว่า การครองรักไม่ต้องอาศัยเคล็ดล่ง เคล็ดลับอะไร แค่รู้จักอดทน มีความประนีประนอมแค่นี้ก็เหลือแหล่ เหลือเฟือแล้ว แต่เฉพาะอดทนและประนีประนอมยังไม่พอหรอก เพราะถ้าให้แจ่มแจ๋วมากขึ้น คุณควรรู้จัก ทะนุถนอมและเอาใจใส่คนรักให้ได้ในระดับสม่ำเสมอด้วยสิ ถึงจะถือว่าแน่จริง แล้วเจ้าการเอาใจใส่คนรักอย่างง่ายที่สุด จะเป็นอะไรไปได้ ถ้าไม่ใช่คำพูดคำจา นั่นไงล่ะ ลองมานับสิ่งที่ควรพูดกับดาร์ลิ่ง ดีกว่าว่า มีอะไรมั่ง......เริ่มตั้งแต่

1. ความจริง ไงตัว พึงสังวรไว้เหอะว่า การโกหกไม่ช่วยให้เอาตัวรอดได้เสมอไป แม้จะช่วยไม่ให้คอขาดได้ ในบางคราก็ตาม แต่ก็อีก ไม่มีใครบอกนี่ว่า ต้องขยันพูดแต่ความจริง 100% เต็ม อยากพูด จริงบ้าง เท็จบ้างก็ได้ไม่เป็นไร ดูทิศทางลมและสถานการณ์ไว้ก่อนเป็นดี แต่เอ๊ะ...เอ๊ะ เชื่อไหมว่าการโกหก หรือบิดเบือนความจริงอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู (จากขาวเป็นดำ และจากดำเป็นขาวจั๊วะ) เป็นลางร้ายต่อความรักสถานเดียว ก็อย่างที่เคยได้ยินมาตลอด นั่นแหละว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ยิ่งในแง่ของความรักแล้ว การพูดความจริงอย่างน้อย ก็ทำให้คุณได้แสดงความจริงใจออกมา สักนิดสักหน่อยก็ดี

2. วิจารณ์ความคิดของสุดที่รักบ้าง แหม้ อย่าเอะอะอะไรก็เอาแต่เยินยอ ประจบสอพลอ หรือโอเคกับทุกความคิดเห็นของดาร์ลิ่ง ไปซะหมดขอร้อง ทำอย่างกะว่า ดาร์ลิ่งของคุณเป็นพหูสูตรงั้นแน่ะ แม้คนรักของคุณจะวิเศษ เลอเลิศเพียงใด รับรองได้ว่า ถึงไงเขาก็ยังอยากได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ (ไม่ใช่ชวนทะเลาะ นะเฟ้ย) จากคนที่เขารักที่สุดวันยังค่ำอยู่ดี

3. คุยเรื่องสร้างสรรค์ โดยปกติคนเรามักคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปในทางร้ายๆเรื่อยแหละหากคนข้างกายแสดงความ ห่างเหิน, ดื้อรั้นหรือก้าวร้าวออกมา แต่ในทางกลับกัน ถ้าเผื่อคุณโอ๋เธอจนแทบอุ้มจากบ้านขึ้นรถ และอุ้มจากรถเข้าบ้าน ปรนนิบัติกันสุดฤทธิ์สุดเดชขนาดนี้ก็อาจทำให้ "สุดที่รัก" เป็นง่อย....เอ้ย คลื่นเหียน ชวนอาเจียนได้เหมือนกัน เพราะงี้จึงควรประจบประแจงแต่พอประมาณ แต่เน้นอะไร ที่สร้างสรรค์ได้ยิ่งดี เช่นย้ำความมั่นใจให้ "ยัวร์ เลิฟ" ว่า เขาทำให้คุณหัวใจเต้นเร็วและแรง เพียงใดยามอยู่ใกล้....เออ หยั่งงี้สิ ถึงเรียกว่าพูดเข้าหู

หลังแนะให้พูดในสิ่งที่ควรพูดแล้ว อยากเสนอ 3 วิธีกุ๊กกิ๊กๆให้คู่รักปะทะสังสรรค์ กันในช่วงวันหยุด น่าสนุกแน่เลย (3 Naughty Ways to Be Nice to Your Holiday Honey) ดังนี้

1. พูดตลกสัปดนวันละนิดจิตแจ่มใส ตอนเป็นเด็ก เราอาจถูกสอนให้เป็นเด็กเรียบร้อยและอย่าซน แต่พอโตขึ้น ถ้าคุณขืนไม่ซน แล้วจะมีเสน่ห์ได้ไง แต่เตือนไว้หน่อยคงได้นะว่าการพูดสัปดนปนลามกนิดๆ เป็นสิ่งที่ต้อง ฝึกฝน และไม่ควรพูดกับทุกคน แต่ใช้กับหวานใจหนึ่งเดียวคนนี้ของคุณก็พอ

2. ชวนไปดูระบำเปลื้องผ้ากันดีกว่า เลิกกลัวสักทีว่า แฟนจะเปรียบเทียบคุณกับเรือนร่างที่โชว์อยู่บนเวที แต่จงปล่อยใจให้สบายๆ ดีกว่ามั้ง บรรยากาศในคลับส่วนใหญ่ก็น่าทึ่งแถมมีสาวๆท่าทางเป็นมิตรด้วยนะ แล้วบรรยากาศ แบบนี้น่ะช่วยกระตุ้นความรู้สึกหวานซึ้งของคุณทั้งคู่ให้มีพลังคึกคักอย่างเหลือเชื่อ แถมคุณเอง จะเก็บลีลาใหม่ๆ จากที่เห็นมาลองใช้บ้างตอนคุณแสดงระบำเปลื้องผ้าต่อหน้าคน ดูคนพิเศษ ของคุณก็ได้นี่

3. ลองใช้ตัวช่วย อย่าติดกับวิธีเก่าๆที่คุ้นเคย และอย่าคิดว่า คุณดีไม่พอที่จะให้ความสุขกับแฟน แต่ถ้ายังไม่มั่นใจ งั้นลองใช้เครื่องกระตุ้นอารมณ์บำเรอความรู้สึกทางเพศให้ดาร์ลิ่งซู่ซ่าขึ้นมาดีไหม ส่วนจะสรรหาตุ๊กตายางหรืออะไรก็ได้มาใช้ แล้วอย่าลืมบอกเล่าเก้าสิบให้แฟนรู้บ้างล่ะ มีเซอร์ไพรส์ให้กันน่ะดี แต่อย่าพิสดารเกินไปละกัน.

ปรนนิบัติคนรัก ให้เสน่หานานๆ

เรื่องทำอย่างไรถึงจะให้คนรัก เกิดความรู้สึกดีๆ เนี่ยะ ชอบเขียนอยู่แร้น

งั้น คุยถึง วิธีปรนเปรอ ปรนนิบัติ ให้คนรักรักเรามากขึ้น ดีมะ (6 Compliments women love จาก Match.com) เคยสังเกตไหมล่ะว่า ตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือหนังหา มนุษย์มักมีวิธีผูกมิตรด้วยการพูดคุย, ซื้อขนมแจก, ให้เพื่อนลอกการบ้าน, ทำการบ้านให้เพื่อน และชวนกันทำกิจกรรมบ้องๆ ประสาทๆ อยู่บ่อยๆ

ลักษณะผูกมิตรจนมีเงื่อนมีปมมีความอาวรณ์ห่วงใยกันนี่เอง สามารถนำมาเป็นหลักใช้สร้างความรักสมัครสมานให้เกิดกับคู่รักได้เหมียนกัน

อ้าว...ถ้าไม่เชื่อก็ลองทำตามวิธีที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ดู รับรองแฟนของคนไหนคนนั้น จะยิ่งสนิทสนมกลมเกลียวกันมากกว่าเดิมแน่เลย ได้แก่

1. ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี อุตส่าห์รักกันทั้งทีก็ควรรับฟังคำพูดของคนใกล้ชิดบ้างนะ อย่ามัวพล่ามถึงความ ต้องการของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง จนลืมที่จะรับฟังเขา ดูดู๋ถ้าไม่หัดฟังกันซะบ้างแล้วจะดีได้ไงล่ะจริงมะ

2. ให้กำลังใจบ่อยๆ สัจธรรมมีว่ามนุษย์เพลี่ยงพล้ำ และสะดุดหกล้มหรือตกเหวได้ในทุกช่วงเวลาของชีวิตทั้งน้าน เหตุนี้หน้าที่ของความเป็นคนรักที่ดีเลิศประเสริฐศรี จึงควรสนับสนุนค้ำจุนจิตใจกันไว้ ชนิดมีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน อะไรแบบนี้

3. ชื่นชมคนรักด้วยความจริงใจ ถ้าเขาทำอะไรให้แล้วถูกใจเราก็ควรให้รางวี่ รางวัลบ้าง ไม่ใช่ทำปากแข็ง ชมไม่เป็น มีแต่ด่าไฟแลบ โอ้โห ไฟช้ง ไฟแช็กไม่ต้องใช้หรือไงไม่รู้บ้านนี้

4. สนใจไยดี และอย่าทิ้ง อย่าขว้าง อย่าปล่อยให้เขาโลนลี่

5. หัดเรียนรู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของคนที่คุณรักให้มากที่สุด จะได้อยู่กันอย่างปรองดองและสร้างสรรค์สิ่งดีๆไงตัว

ส่วนแล้วรู้ได้ไงว่า เขาเป็นคนแบบไหน ก็ต้องอยู่กันไปนานๆนั่นแหละ ถ้ายังมัวคบเพียงผิวเผิน ย่อมไม่มีวันรู้หรอกว่า ต่างฝ่ายต่างดี เลว หรือเหลวไหลประมาณไหน เพราะเจอกันน้อยเกินไป

6. ทำให้คนรักรู้บ้างว่า เขามีความสำคัญกับคุณมั้ย

ไม่ใช่รักแต่แสดงออกไม่ เป็นก็แย่น่ะซี

ส่วนการแสดงความรักก็มีหลายหลากให้เลือกแสดงบทบาทตามแต่ใครถนัด

ถ้าสนใจแสดงความรักผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ก็ไม่ แปลกอะไร แถมอยากเล่าประเด็นเด็ดนี้ให้ฟังซะด้วยซ้ำไปว่า การมีกิจกรรมทางเพศด้วยการมีเซ็กซ์นั้น กลับเป็นสิ่งดีสำหรับคู่รัก จริงๆนะ

ในบทความ เซ็กซ์เป็นสิ่งดีแหงแก๋สำหรับคุณ (5 Reasons Sex is Good For You จาก ฟัน ออนไลน์ /Fun ที่แปลว่า สนุกสนานนะจ๊ะ ไม่ใช่ฟันแล้วทิ้ง, ได้แล้วถีบ หรือทำกันแล้วไม่รับผิดชอบ นี่ย่อมไม่ถือเป็นสิ่งดีแน่นอน)

ส่วน มีเซ็กซ์แล้วดี ก็เพราะ....

1. ได้ออกกำลังกายไปในตัว นั่นเอง

เปรียบเทียบให้ฟังง่ายๆก็ ได้ว่า การมีเซ็กซ์สัปดาห์ละ 3 ครั้งต่อปี ก็เท่ากับได้วิ่งถึง 75 ไมล์โน่นแน่ะ และประมาณว่า ได้เผาผลาญไขมันไปถึง 7,500 แคลอรี่เชียวนะ

นี่วัดจากการมีเซ็กซ์เฉลี่ยปกติ 30 นาที ต่อครั้งละกัน ส่วนใครจะละเลียดเซ้าซี้นานกว่านี้ ก็อีกเรื่อง

2. โอกาสที่คุณจะป่วยก็มีน้อยลง

จากการวิจัยของด็อกเตอร์ คาร์ล คาร์-เนทสกี ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาซึ่งร่วม

เขียนหนังสือชื่อการมีความรู้สึกที่ดีคือสิ่งดีสำหรับคุณ (Feeling Good is Good for You) เชื่อว่า การมีเซ็กซ์แบบเบาะๆแค่ 2 ครั้งต่อสัปดาห์สามารถสร้างภูมิคุ้มกัน ให้คุณได้แล้ว

ขออย่ากระหน่ำกันพร่ำเพรื่อเป็นใช้ได้

3. ช่วยให้มีความสุขมากขึ้น

แหงสิ ขืนได้สัมผัสรสรักเข้าให้ มีหรือจะไม่ติดใจ แถมได้มีเพศสัมพันธ์กับคนรักอย่างงี้ ทำให้ต่างฝ่ายต่างอุ่นใจด้วยล่ะว่า คู่เรายังรักกันดี ขืนอยู่ด้วยกันแล้วไม่ได้ทำอะไรเลยสิน่าคิด พูดคุยสักนิดก็ยังดี

4. เซ็กซ์ช่วยลดความเครียดได้น๊า

ไม่งั้นคนเราจะชอบนาบกันไปทำไมเล่า หนำซ้ำ ยังช่วยให้นอนหลับสบายซะด้วยสิ

5. ผลวิจัยของอังกฤษ สำรวจคร่าวๆพบว่าเซ็กซ์ช่วยให้อายุยืน และดูอ่อนกว่าวัย

อื้อหื้อ งั้นชวนกันประลองฝีมือสักตั้งให้หน้าเด้ง รอยตีนกา มลายสลายหายขาดเป็นปลิดทิ้งไปซะตั้งนานแล้ว ทำมั้ย เพิ่งบอกนะ.

วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2549

เปิดประตูใจ - ให้ความคิดสร้างสรรค์

จาก HOW TO BE TWICE AS SMART
โดย สก๊อตต์ วิทท์

ความคิดสร้างสรรค์นั้น มิได้เกิดขึ้นเพื่อศิลปินเท่านั้น แต่มันสามารถจะยังความสำเร็จอันใหญ่หลวง ให้เกิดขึ้นได้แก่ บุคคลทุกวงการ

photoบุคคล ที่มีแนวความคิด และมองเห็นหนทางแก้ปัญหา ให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ คือบุคคลที่มีความก้าวหน้าในสาขาวิชาชีพของตน เขาสามารถจะสร้างธุรกิจ ที่ก่อให้เกิดผลกำไรได้อย่างมากมาย เป็นที่ดึงดูดใจแก่ทุกผู้ที่ได้พบเห็น ทั้งในแวดวงของญาติสนิทมิตรสหาย และสังคม และใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรี

ความคิดสร้างสรรค์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและมีอยู่ในถ้วนทั่วทุกตัวคน ออกจะเป็นที่น่าเสียดายว่า ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมาก ที่มิได้เรียนรู้การนำมันออกมาใช้อย่างถูกต้อง ด้วย เหตุผลนานัปการ ทำให้เขากักเก็บ อัจฉริยะในทางสร้างสรรค์ของตน ไว้ในสมองอย่างไร้ประโยชน์ เพราะมิได้นำมันออกมาใช้ในชีวิตประจำวันเลย

ซึ่งในเอกสารชิ้นนี้ จะได้เปิดเผยถึงวิธีการ ที่คุณจะเปิดประตูสมอง และปลดปล่อยศักยภาพนั้นออกมา เพื่อให้คุณได้ก้าวไปสู่ ความเป็นนักแก้ปัญหาในทางสร้างสรรค์ และเป็นอีกคนหนึ่ง ที่ประสพความสำเร็จ

ความคิดสร้างสรรค์ วิธีนำมันออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์


คุณไม่เคยรู้สึกแปลกใจบ้างเลยหรือ เมื่อมีใครสักคนหนึ่งสามารถแก้ปัญหาซึ่งมองเห็นอยู่ว่า ไม่น่าจะแก้ได้ให้สำเร็จลงอย่างน่าพิศวง? เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่อาจจะแก้ไขได้ในหนทางปรกติ บุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ จะไม่ลังเลใจเลย สำหรับการใช้ความคิด เพื่อหาหนทางใหม่ในการแก้ปัญหานั้นๆ

ขอให้เราดูตัวอย่าง จากการกระทำของยูไลซิส แกรนท์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ อับราฮัม ลินคอล์น ชอบที่จะเล่าเรื่องของเขา เมื่อครั้งวัยเด็ก ให้ใครๆฟังอยู่เสมอ และเรื่องที่เล่าก็คือ

เมื่อแกรนท์ได้ทำให้เจ้าล่อดื้อตัวหนึ่ง ซึ่งไม่ยอมให้ใครขึ้นนั่งบนหลังมัน สยบให้กับเขาได้ เจ้าล่อตัวนี้ เป็นสมบัติของเจ้าของคณะละครสัตว์ ซึ่งเสนอให้เงินรางวัลแก่ผู้ใดก็ตาม ที่สามารถขี่หลังมันได้ในเวลาที่กำหนด

แกรนท์ยืนดูผู้ชายตัวโตๆหลายคน ที่ถูกเหวี่ยงลงมาจากหลัง และเมื่อเขาเองลองใช้ความพยายามดู ก็ถูกมันเหวี่ยงลงมาจากหลังเช่นกัน

ในที่สุดแกรนท์ เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา เขาขอทดลองขึ้นหลังมันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เขามิได้ขึ้นในลักษณะปรกติธรรมดา แทนที่เขาจะปีนขึ้นไปนั่งบนหลังมันด้วยวิธีปรกติ เขากลับขึ้นโดยหันหน้ามาทางกันของมัน เอาเท้าทั้งสองข้างรัดท้องของมันไว้ พร้อมกับเอามือจับหางมัน

ไม่ว่าเจ้าล่อตัวนี้จะทำพยศสักเท่าใด ก็ไม่สามารถจะเหวี่ยงเขาลงจากหลังได้ ในที่สุด เจ้าล่อดื้อตัวนั้น ก็๋ต้องยอมแพ้ และแกรนท์ก็ได้รับเงินรางวัลไป
เมื่อยูไลซิส แกรนท์ เจริญวัยขึ้น เขาก็ได้ชัยชนะในสงครามกลางเมือง

พลังสมอง เป็นสิ่งที่สามารถจะทำให้ใครทุกคนประสพความสำเร็จได้ ในวิถีทางต่างๆกัน แต่ก่อนที่ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่า เราจะนำมันมาใช้ได้ด้วยวิธีใดบ้างนั้น มันมีหลักอยู่ 2 ประการ ที่เราจะต้องพูดกันให้เข้าใจเสียก่อน

สร้างความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นกับตน


ซาชาเรียส กล่าวไว้ว่า "มนุษย์ มีความพึงใจในธรรมชาติ ทั้งนี้ มิได้หมายความว่า เป็นเพราะธรรมชาติได้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เขา แต่เป็นเพราะธรรมชาติ ได้ให้อำนาจ เพื่อที่เขาจะได้กระทำในทุกสิ่งทุกอย่างให้กับตนเอง"

ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า มนุษย์ส่วนใหญ่ มิได้ตระหนักในพลังนี้ ทั้งนี้ เนื่องจากมนุษย์ขาดความมั่นใจ ในการที่จะทำอะไรก็ตาม ในวิถีทางที่ผิดปรกติธรรมดาไปบ้าง

ความมั่นใจ คือ องค์ประกอบอันสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ เมื่อคุณรู้ว่า มันมีหนทางในการแก้ปัญหา (แม้ว่าในขณะนั้น คุณจะยังไม่รู้ว่าหนทางนั้นคืออะไร) คุณจะเกิดความเร้าใจ ที่จะขุดลึกลงไปให้ถึงจุดที่บรรลุเป้าหมาย คือ สามารถแก้ปัญหานั้นได้

บุคคลที่มีความคิดอันชาญฉลาดอย่างต่อเนื่องกันตลอดเวลา มิได้หมายความว่า เขามีความคิดสร้างสรรค์มากมายไปกว่าเราเลย เพียงแต่เขามีความมั่นใจในตนเองสูงกว่าเราเท่านั้น คุณจะสร้างความมั่นใจ ในลักษณะเดียวกันนี้ ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร คำตอบก็คือ

คุณจะต้องมีความรู้ในสิ่งที่คนเหล่านั้นรู้ คือ "มันมีหนทางในการแก้ปัญหาทุกประการอยู่เสมอ และมีแนวความคิดอันจะเกิดขึ้น เพื่อสนองความต้องการของเราอยู่ตลอดเวลา" และในเอกสารชิ้นนี้ คุณจะได้เรียนรู้วิธีการที่จะเริ่มต้นใช้ความฉลาด และปฏิภาณของตนเอง ต่อสถานการณ์ที่คุณอาจจะไม่เคยคิดว่ามันจะมีหนทางแก้ไขได้มาก่อน

เมื่อคุณได้รู้ว่า มันมีหนทางในการแก้ปัญหาทุกประการ และมีแนวความคิดที่เกิดขึ้น เพื่อสนองความต้องการของเราอยู่ตลอดเวลาแล้ว คุณก็จะได้พบวิธีการง่ายๆ ที่จะหามันให้พบได้

ความมั่นใจ เป็นคุณสมบัติประการแรก ที่จำเป็นต้องมี คุณอาจจะต้องพบกับความแปลกใจที่ได้เรียนรู้ว่า คุณสมบัติประการที่สองที่ตามมา ก็คือ การใช้ความคิดอย่างอิสระ ซึ่ง อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ กล่าวไว้ว่า "จง อย่าใช้เส้นทางที่บุคคลอื่นใช้อยู่ตลอดไป เพราะมันจะนำคุณไปสู่จุดหมายที่ใครๆเขาไปกัน จงหลีกเลี่ยงออกจากเส้นทางนั้น และเข้าสู่ราวป่าเสียบ้าง แล้วคุณจะได้พบกับสิ่งที่ไม่เคยพบมาก่อน พร้อมทั้งสิ่งอื่นๆที่จะตามมาอีกด้วย และก่อนที่คุณจะทันรู้ตัว คุณก็จะได้พบกับสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด สำหรับการใช้ความคิด"

photo การค้นพบพลังอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายทั้งปวงนี้ คือผลจากการใช้ความคิดทั้งสิ้น

นักคิดผู้มีความเป็นอิสระ จะไม่ยึดมั่นอยู่กับการกระทำ ซึ่งได้รับการอธิบายวิธีการไว้แล้ว เขาจะไม่ยึดมั่นในสิ่งนั้น เพียงเพราะมีกฏกำกับไว้ว่า ถ้าใช้วิธีที่กำหนดไว้แล้ว จะทำไม่ได้ และไม่หวั่นเกรงต่อการที่จะคิดหาทางแก้ปัญหา ในหนทางที่ไม่ปรกติธรรมดาเลย

คงไม่เคยมีใครคิดที่จะขึ้นหลังสัตว์ โดยหันหน้าไปทางหางของมันเป็นแน่ แต่วิธีนั้นเอง ที่ทำให้ยูไลซิส แกรนท์ ได้รับรางวัลมา

ดังนั้น ถ้าคุณตระหนักถึงความจริงที่ว่า มันมีหนทางในการแก้ปัญหาทุกประการอยู่เสมอ และมีแนวความคิดอันจะเกิดขึ้น เพื่อสนองความต้องการของเราอยู่ตลอดเวลาแล้ว และถ้าคุณมีความเต็มใจที่จะให้ตนเองเป็นนักคิดอิสระ ผู้ซึ่งไม่หวั่นเกรงต่อการที่จะออกนอกเส้นทางที่ผู้อื่นเคยใช้ คุณก็จะสามารถหาวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการแก้เมื่อใดก็ตาม

<การแก้ปัญหาด้วยความคิดสร้างสรรค์


ต่อไปนี้ คือวิธีการแก้ปัญหาอันยากยิ่ง ด้วยการนำความคิดสร้างสรค์เข้ามาช่วย แต่ก่อนอื่น คุณจะต้องเรียนรู้ ในความจริงประการหนึ่งว่า "เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น และไม่สามารถจะแก้ไขให้บรรลุไปด้วยวิธีการปรกติ นั่นแสดงให้เห็นว่า มันมีโซ่บางห่วงที่ขาดหายไป"

ปัญหาของแกรนท์ ที่ทำให้เขาไม่สามารถจะนั่งอยู่บนหลังล่อตัวนั้นในครั้งแรกได้ ก็เนื่องจากขาดที่ยึดจับไว้....นั่นคือห่วงโซ่ที่ขาดหายไป

ดังนั้น ขั้นตอนแรกในการแสวงหาวิธีการแก้ปัญหาอันยากยิ่งอย่างฉลาดก็คือ คุณจะต้องพิจารณาถึงธรรมชาติของห่วงที่ขาดหายไปนั่นเสียก่อน เพราะวัตถุประสงค์ของคุณ คือ การค้นหาองค์ประกอบอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง ซึ่งมันจะช่วยให้การแก้ปัญหาง่ายขึ้น

เพราะฉะนั้น ในตอนแรก คุณจงอย่าได้กังวลเกี่ยวกับสิ่งนั้น เพียงแต่จะต้องหามันให้พบเสียก่อน ห่วงโว่ที่ขาดหายไปนั้น บางครั้งเราก็อาจจะมองเห็นได้ชัด ยกตัวอย่าง เช่น ในกรณีของแกรนท์ ที่มองเห็นว่า ความไม่สำเร็จ เกิดขึ้นจากการที่เขาไม่มีอะไรยึดตัวไว้

แต่บางอย่าง คุณจะต้องใช้เวลาในการขุดค้นเพื่อหามา ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้น ที่ความคิดสร้างสรรค์ของคุณจะปรากฏ และหลั่งไหลออกมา ในทิศทางที่คุณอาจจะไม่เคนคิดถึ งมาก่อน

วิธีนำเทคนิคของห่วงโซ่ที่ขาดหายไปมาใช้


ต่อไปนี้คือบันได 2 ขั้น ในการนำเทคนิคของห่วงโซ่ที่ขาดหายไป มาใช้ในการหาหนทางแก้ไขปัญหาที่ยากยิ่งด้วยความฉลาด

จงหาห่วงโซ่ที่ขาดหายไป ระหว่างตัวปัญหา กับหนทางในการแก้ว่าอะไรคือองค์ประกอบอันมีค่าในการขจัดปัญหานั้น ?

ตรงประเด็นนี้ คุณจะต้องไม่กำหนดมันลงไปอย่างจำเพาะเจาะจง แต่จงคิดในแง่ทั่วๆไป ยกตัวอย่างเช่น ก่อนหน้าที่แกรนท์ จะเกิดความคิดในการจับหางล่อไว้ เขาจะต้องตระหนักว่า ห่วงโซ่ที่ขาดหายไป คืออะไรบางอย่าง ที่จะใช้ในการจับเพื่อยึดตัวไว้

2. ตรงจุดนี้เอง ที่ความคิดอิสระจะเกิดขึ้น โดยในตอนแรก คุณจะต้องไม่กังวลว่า มันเป็นความคิดที่ผิดธรรมชาติสักแค่ไหนก็ตาม แต่คุณจะต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ที่จะเอามันมาเติมลงในช่องว่างที่ขาดหายไปให้เต็มเท่านั้น ในบางครั้ง เมื่อมีแนวความคิดเกิดขึ้น คุณอาจจะต้องถึงกับจดมันลงไว้ และอย่ารีบร้อนขจัดความเป็นไปได้ซึ่งมีอยู่หลายวิธีออกไป แต่จงพิจารณาแต่ละวิธีที่อาจจะนำมาใช้ได้ แล้วคุณจะมองเห็นหนทางในการแก้ปัญหาที่คุณอานคิดไม่ถึงมาก่อน จากนั้น จึงเลือกวิธีที่จะให้ประโยชน์กับคุณมากที่สุดนำมาใช้

ย้อนหลังในปี ค.ศ. 1930 อะรัมโก้ ซึ่งมีชื่อเต็มว่า อะราเบียน - อเมริกัน ออย์ คอมเปนี ต้องการพาหนะสักอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถจะวิ่งในท้องทะเลทรายแห่ง ซาอุดิอาระเบีย ได้ ปัญหาที่บริษัทน้ำมันแห่งนี้เผชิญอยู่ ก็คือ ทราย ซึ่งล้อรถมักจะจมลง เวลา นั้น เป็นเงินเป็นทองเสมอ แม้แต่กับบริษัทน้ำมันก็ตามที และทุกครั้งที่ล้อรถจมลง ย่อมหมายถึงการต้องสูญเสียเงินจำนวนหนึ่งไป

ไม่เคยมีผู้ใดวิเคราะห์ถึงปัญหานี้มาก่อน ริชาร์ด เคอร์ซึ่ง เป็นวิศวกรของบริษัท อะรัมโก้ มิได้มีข้อมูลทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ ที่จะนำมาใช้ในการออกแบบยางล้อรถยนต์ ซึ่งจะนำไปวิ่งบนพื้นทรายได้ ดังนั้น ขั้นตอนแรก ที่จะนำเทคนิคห่วงโซ่ที่ขาดหายไปมาใช้ ก็คือ ความรู้ที่ว่า ห่วงโซ่ที่หายไปนั้น คือ การขาดข้อมูลทางด้านวิศวกรรม

ขั้นตอนที่สอง คือการพิจารณาถึงหนทางอันเป็นไปได้ในการหาข้อมูลที่เหมาะสม การทดลองเพื่อหาความผิดพลาดนั้น คือวิธีหนึ่งของความเป็นไปได้ แต่นั่นหมายถึง การที่จะต้องใช้เวลานานมาก และเมื่อเขาทำสมองให้ปลอดโปร่งแจ่มใส และปล่อยให้ความคิดอิสระ อันเกี่ยวกับหนทางที่เป็นไปได้ผ่านเข้ามา ความคิดหนึ่งที่แวบขึ้นมาในสมอง คือ

พิจารณาถึงการเดินของอูฐ ซึ่งมันมิได้ประสบปัญหาความยากลำบากในการที่จะเดินข้ามทะเลทรายเลย ไม่ว่ามันจะบรรทุกสัมภาระไว้บนหลัง บวกกับน้ำหนักตัวให้หนักเท่าไรก็ตาม อุ้งเท้าของอูฐจะไม่จมลงในทราย ถ้าเราจะมองดูหนทางที่เป็นไปได้ โดยพิจารณาจากอูฐอย่างผิวเผิน คุณจะเห็นว่า มันเป็นความคิดเพ้อฝัน ซึ่งแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย

แต่กระนั้น มันก็ยังมีเหตุผลประการหนึ่ง ซ่อนอยู่ คือ ถ้ากำลังลากของอูฐที่มีอยู่ สามารถทำให้มันเดินไปได้แล้ว กำลังลากนั้นก็น่าจะนำมาใช้กับรถบรรทุกที่วิ่งในทะเลทรายได้เช่นกัน ริชาร์ด เคอร์ ได้ประเมินจากช่วงขา และน้ำหนักที่อูฐรับอยู่ ซึ่งทำให้เขาได้ข้อมูลทางด้านวิศวกรรมขึ้นมา เพื่อที่จะนำไปดัดแปลง ให่เหมาะสมกับยางของล้อรถบรรทุก ที่จะใช้วิ่งในทะเลทราย ซึ่งวิธีการของเขา ก็ยังเป็นที่นิยมใช้กันอยู่แม้ในปัจจุบันนี้ และมิใช่แต่ในตะวันออกไกลเท่านั้น

เทคนิคของห่วงโซ่ที่ขาดหายไป คือ องค์ประกอบอันสำคัญ ของเครื่องมือที่จะนำมาใช้ในพลังสมอง ดังนั้น จงอย่าปล่อยให้ปัญหาผ่านเลยไป มัน เป็นสิ่งมีประสิทธิภาพอันมหัศจรรย์ ที่คุณได้นำออกมาจากความคิดสร้างสรรค์ ที่ธรรมชาติได้มอบไว้ให้ มันเป็นรูปแบบของความคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถจะทำให้คุณมองเห็นหนทางในการแก้ปัญหาทุกประการได้

ดังนั้น ในคราวต่อไป เมื่อคุณต้องพบกับอุปสรรคในการแก้ปัญหา จงทดลองปฏิบัติตามกฏที่ได้ให้ไว้ดู

ประการแรก พิจารณาถึงห่วงโซ่ที่ขาดหายไป ระหว่างตัวปัญหา กับหนทางในการแก้
ประการที่สอง จงพิจารณาถึงหนทางที่เป็นไปได้ ในการที่จะนำห่วงโซ่นั้น กลับมาเติมลงในช่องว่างที่ขาดอยู่ เช่นเดียวกับที่อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ ที่ได้กล่าวไว้ว่า "คุณจะได้พบกับอะไรบางอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน"

การนำความคิดสร้างสรรค์มาใช้ ในการสร้างเสริมแนวความคิดใหม่


ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้พูดถึงการนำความคิดสร้างสรรค์ เข้ามาใช้ในการแก้ปัญหา... และถ้าเราจะนำมันมาใช้ในการสร้างแนวความคิดใหม่ๆ ซึ่งให้โอกาสอันน่าตื่นเต้นกับเราเล่า ควรจะทำอย่างไร?

การค้นพบทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ซึ่งเราๆท่านๆ ก็คงจะทราบกันดีว่า ส่วนใหญ่แล้ว เกิดขึ้นจากเหตุบังเอิญ เมื่อมีผลแอปเปิ้ลหล่นใส่ศีรษะ ของ ไอแซค นิวตัน นั่นแหละ เขาจึงได้ค้นพบกฏแห่งแรงดึงดูดของโลก

photo มีนักประดิษฐ์คิดค้นมากมายในโลกนี้ ที่มิได้เริ่มต้นค้นคว้าในสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาอย่างจริงจัง ตั้งแต่ในตอนแรก แทบทุกคน ต่างก็คิดค้นในโครงการอื่นๆอยู่ และแล้วก็ให้มีเหตุบังเอิญเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เขาต้องเปลี่ยนเข็ม ไปทำในสิ่งที่แตกต่างกว่าที่ตั้งใจไว้ และมีความสำคัญอันใหญ่หลวงเกินกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มากนัก

ยกตัวอย่างจากเรื่องของ วิลเลียม เอช. เมสัน ซึ่งพยายามหาวิธีการสกัดน้ำมันสนออกมาจากท่อนไม้สดๆ ซึ่งต้องมีการตัด และเลื่อยไม้กันอย่างหนัก และแล้วเขาก็ได้สังเกตเห็นว่า ต้นไม้ได้ถูกทำลายลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เขาจึงเลิกล้มโครงการน้ำมันสน และหันไปคิดค้นวิธีที่จะเอาเศษไม้มาทำให้เป็นวัสดุอันมีค่าควรแก่การใช้ต่อ ไป และนั่นคือ การเริ่มต้นของแนวความคิด ที่ทีจะทำไม้ ให้เป็นเส้นใยละเอียดที่เรียกว่า ไฟเบอร์ แล้วนำไปอัด ซึ่งทำให้ได้แผ่นมาโซไนท์ ออกมา

มันออกจะมีความเป็นธรรมดาอยู่ สำหรับการประดิษฐ์คิดค้นที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ แนวความคิดหนึ่ง นำไปสู่แนวความคิดต่อๆไป และแนวความคิดแรกก็ถูกล้มเลิกไป ในขณะที่แนวความคิดใหม่ ได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้มีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ

และนี่คือจุดที่นำเรามาสู่ประเด็นสำคัญ คือ ความคิดใหม่นั้น มิใช่ความคิดดั้งเดิมเสียทั้งอัน มันเป็นลักษณะของส่วนผสม และการปรับปรุงเข้าด้วยกัน เช่นที่ริชาร์ด เคอร์ ได้พัฒนายางล้อรถ เพื่อใช้ในทะเลทรายมาจากอูฐ ซึ่งเป็นสัตว์ธรรมชาติที่เกิดมาเหมาะสมที่จะต้องมีชีวิตอยู่ในทะเลทรายนั้น

แม้แต่ความคิดของยูไลซิส แกรนท์ ในการขี่ล่อ ก็มิใช่ความคิดดั้งเดิมเสียทั้งหมด มันมิได้คล้ายคลึงกับการที่เราต้องจับสายบังเหียนไว้ในขณะที่ขี่ม้าหรอก หรือ?

โอลิเวอร์ เวนเดลล์ กล่าวไว้ว่า "มีแนวความคิดมากหลาย ที่ดีกว่าความคิดแรกเริ่มมาก เมื่อนำไปผนวกหรือประยุกต์เข้ากับความคิดอื่น" ดังนั้น ทำไมเราจึงจะต้องดิ้นรนคิดค้นแนวความคิดใหม่ๆขึ้นมาอีก ในเมื่อแนวความคิดแท้จริงที่คุณต้องการ มีอยู่แล้วในรูปแบบอื่น ที่อาจจะแตกต่างออกไป?

ขอให้คิดเพียงแค่หนทางที่เป็นไปได้ก็พอ ไม่นาน ความคิดริเริ่มก็จะต้องเกิดขึ้น พร้อมๆ กับความคิดสร้างสรรค์ และคุณสามารถจะนำมาประยุกต์ให้เข้ากับความต้องการของคุณได้

ทำไมจึงควรเป็นนักลอกเลียนผู้มีความคิดสร้างสรรค์


บุคคลทั้งหลาย ที่อยู่ในวงการธุรกิจ วิทยาศาสตร์ และสาขาวิชาที่เกี่ยวกับศิลปกรรมต่างๆ ซึ่งมักจะมีความคิดใหม่ๆ มาเสนอให้เห็นอยู่เสมอนั้น ผมเรียกพวกเขาว่า "นักลอกเลียนผู้มีความคิดสร้างสรรค์"

เพราะคนเหล่านี้ ทำผลิตภัณฑ์ สูตร และระบบต่างๆที่ได้รับการรับรองแล้ว มาปรับปรุงให้เหมาะสมกับการใช้งานของตน ตัวอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ คือ นักเขียนผู้หนึ่ง ซึ่งตระหนักถึงหนังสือจำนวนมหาศาลที่ออกสู่ตลาด ซึ่งมากกว่าปีละ 40,000 เล่มทุกปี และมีหนังสือเพียงแค่หยิบมือเดียวที่ได้ขึ้นหึ้ง เป็นหนังสือขายดีที่สุด นักเขียนผู้นี้ ใช้เวลาถึง 6 เดือน อ่านหนังสือประเภทขายดีนั้นกว่า 100 เล่ม เพื่อที่จะศึกษาว่า ในหนังสือเหล่านั้น มีสิ่งใดที่ตรงกับความต้องการของตนบ้าง และแล้ว เขาก็ได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง เมื่อเขาคือ โรบิน คุ๊ก ซึ่งเขียนนิยายเรื่อง โคม่า ซึ่งเป็นหนังสือขึ้นหิ้งขายดีทันที และเป็นหนังสือเล่มที่ทำให้เขาประสพความสำเร็จอย่างยิ่ง

ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่ผมจะบอกคุณก็คือ "แนวความคิดอันยิ่งใหญ่นั้น มีอยู่ตรงหน้าคุณในทุกเวลา แม้ในขณะที่"
  • คุณเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
  • อ่านโฆษณา
  • ใช้ผลิตภัณฑ์
  • เซ็นชื่อลงในเช็ค
  • อ่านแผ่นป้ายปิดประกาศ
  • อ่านหนังสือพิมพ์
  • ดูการทำงานของเครื่องจักร
คุณรู้หรือไม่ว่า คิง ยิลเลตต์ ได้แนวความคิดในกาผลิตใบมีดโกน ประเภทใช้แล้วทิ้งเลยมาจากไหน? เขามิได้เกิดความคิดนั้นขึ้นมา เพราะคนในโลกต้องการมีดโกนที่ดีกว่าอย่างแน่นอน... แต่ได้แนวความคิดมาจากจุกก๊อก ที่อยู่ในฝาของขวดเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมนั่นเอง

เขานำจุกก๊อกนี้ มีพิจารณา และเห็นว่า เป็นการโฆษณาสินค้าที่สมบูรณ์ที่สุด มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ง่าย เพราะคนต้องใช้อยู่ตลอดเวลา ยิลเลตต์ พยายามมองหาวิธีที่จะนำแนวความคิดนี้ มาปรับปรุงใช้กับประโยชน์อย่างอื่น และแล้ว เขาก็ยุติลงตรงใบมีดโกน

photo ก่อนหน้านั้น ใบมีดที่ใช้โกนหนวด จะต้องมีการลับให้คมอยู่เสมอ ดังนัน เขาจึงเกิดความคิดว่า ถ้าจะผลิตใบมีดโกนราคาถูก ชนิดใช้แล้วทิ้งเลยออกมา ก็จะเป็นประโยชน์แก่ลูกค้าอย่างมาก ซึ่งยังถูกกว่าค่าใช้จ่ายในการลับมีดอีกด้วย และใบมีดโกนนี้ ทำให้เขารวยไม่รู้จบทีเดียว

หรืออย่างแนวความคิด ในเรื่องของการพิมพ์ ก็มิใช่เรื่องที่หยิบมาจากการอากาศ แต่เริ่มแรกของมันนั้น มาจากการแกะสลักบนต้นไม้
หรือความใคร่รู้ของเด็กชายคนหนึ่ง เกี่ยวกับประสิทธิภาพการใช้แว่นตา นำไปสู่การประดิษฐ์คิดค้นกล้องจุลทรรศน์ขึ้น และยังความสำเร็จอื่นๆอีกมากมายเล่า?

ความสงสัยใคร่รู้ - องค์ประกอบแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง


สมองซีกขวาของคนเรานั้น คือส่วนที่เราคิดค้นหาความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น เด็กๆสามารถจะเข้าถึงสมองทางด้านขวา ได้ง่ายกว่าคนที่เจริญวัยแล้ว ด้วยเหตุนี้ เด็กๆจึงมักจะมีความคิดใหม่ๆแปลกๆ เกิดขึ้นเสมอ

การสร้างมโนภาพของพวกเขา มิได้ถูกยับยั้งไว้ด้วยสมองซีกซ้าย ซึ่งเป็นศูนย์รวมของความสมเหตุสมผลอยู่ ยิ่งคนเราเจริญวัยขึ้นเท่าใด สมองซีกซ้าย ก็จะมีอำนาจเหนือเขามากขึ้นเท่านั้น

เมื่อใดก็ตามที่มีความคิดบางประการเกิดขึ้นในสมองซีกขวา สมองซีกซ้ายจะเริ่มเตือนกลับมาทันทีว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ประโยชน์ มันไม่สามารถทำให้สำเร็จไปได้ และเป็นการฝืนกฏ หรือไม่ก็อาจจะทำให้คนอื่นๆ หัวเราะเยาะเอาได้

ออก จะโชคดีอยู่ที่มิได้หมายความว่า บุคคลที่เจริญวัยแล้วทั้งหลาย จะขาดความสามารถในการนำประโยชน์จากสมองซีกขวาออกมาใช้ บุคคลเหล่านี้ ยังสามารถเก็บกักคุณสมบัติของความสงสัยใคร่รู้แบบเด็กๆ ไว้ได้

เคยมีคำกล่าวว่า "ความอยากรู้อยากเห็นนั้น ฆ่าแมวมาเสียนักแล้ว" แต่ความใคร่รู้นั้น ก็อยู่ในสายเลือดของนักลอกเลียน ที่สร้างสรรค์ อยู่ไม่น้อย และแน่นอน บุคคลผู้เจริญวัย ซึ่งได้สูญเสียคุณสมบัติในเรื่องนี้ไปแล้ว ก็สามารถจะเรียกคืนให้กลับมาได้ ทั้งนี้เพราะสมองซีกขวาของคนเรา มิได้ลีบเล็กลงกว่าที่มันเคยเป็น

และพลังสมอง ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันมิได้อ่อนแอลง สิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือ ตั้งโปรแกรมใหม่ให้ตนเองเท่านั้น

วิธีตั้งโปรแกรมให้ตัวเองบังเกิดความใคร่รู้


ต่อไปนี้ เป็นบันได 5 ขั้น ที่จะเปิดช่องการสื่อสาร เข้าไปสู่สมองฝ่ายสร้างสรรค์ของคุณ
เมื่อคุณประยุต์บันไดทั้ง 5 ขั้น เข้าไปใช้ในชีวิตประจำวัน ในไม่ช้า คุณจะได้พบว่า ตัวเองเกิดความคิดริเริ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมันจะนำประโยชน์อันมหาศาลมาให้ ทั้งทางด้านการงาน ธุรกิจ และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ต่อไปนี้ คือบางตัวอย่าง ของบันไดแต่ละขั้น เพื่อให้คุณได้เริ่มต้น

1. จงทดลองวิธีต่างๆ กับสิ่งที่คุณเคยทำอยู่เป็นประจำ ประเด็นสำคัญมิได้อยู่ที่ความจำเป็นจะต้องหาวิธีที่ดีกว่า แต่เป็นการสร้างเสริมสมองให้ทำงานอย่างยีดหยุ่นได้ ซึ่งหมายถึง คุณใช้ทั้งความเต็มใจ และความสามารถ ที่จะจับตาดูการปฏิบัติของตนเองในแง่มุมต่างๆที่แตกต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่น ลองนำวิธีการแปลกๆเข้ามาประยุกต์ใช้ในการทำงานของคุณ เช่น เปลี่ยนรูปแบของหัวกระดาษ ที่ใช้เขียนจดหมายหรือบันทึกต่างๆ , ปรับปรุงวิธีการเล่นกอล์ฟ เทนนิส หรือเกมอื่นๆ , เมื่อเข้าไปในร้านอาหาร ก็ลองสั่งอาหารที่คุณไม่เคยรับประทานมาลองชิมดู เช่นนี้ เป็นต้น

2. เปิดโอกาสให้ความคิดใหม่ๆ สามารถดำรงอยู่ กล่าวกันว่า คนเรานั้น ชอบที่จะคิดว่าตนเอง เป็นผู้คิดค้นอะไรใหม่ๆขึ้นมา ได้ด้วยตนเอง โดยมิได้ตระหนักว่า แท้ที่จริง มันก็คือความคิดที่มีจุดเริ่มต้นมาแล้วนั่นเอง ถ้ามาขัดถูเสียใหม่ แม้แต่ของที่ไร้ค่าก็อาจกลายเป็นอัญมณีได้ และจงอย่ารีบร้อนปฏิเสธแนวความคิดของผู้อื่น โดยเชื่อว่า ของตนจะต้องดีกว่า ซึ่งจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความสามารถในการสร้างจินตนาการนั้น จำเป็นจะต้องมีการศึกษา และพัฒนาแนวความคิดให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และถึงแม้ว่า แนวความคิดหรือแผนการนั้น จะต้องล้มเลิกไป แต่ความฝังใจในแนวความคิดจะยังคงอยู่

3. จงพยายามพัฒนาความสามารถของตนเอง ให้เป็นนักเลียนแบบที่มีความคิดสร้างสรรค์ให้ได้ ดังที่ได้กล่าวมแล้วว่า แนวความคิดใหม่นั้น คือการประสม และปรับปรุงให้เข้ากับแนวความคิดเดิมที่มีอยู่ มีวิธีการที่คุณจะสร้างเงื่อนไข ให้จิตใจเกิดความคิดในการประสม และปรับปรุงแนวความคิดอยู่เสมอ ซึ่งจะต้องใช้การฝึกฝนอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเรื่องที่ยังความเพลิดเพลิน และนำผลประโยชน์อันใหญ่หลวงมาสู่

ขอให้คุณใช้เวลาเพียงแค่วันละ 10 นาที คิดถึงผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด ซึ่งมิได้มีรูปแบบคล้ายกันเลย แต่มีระบบ หรือการใช้ที่คล้ายกัน และเขียนหัวข้อความคล้ายคลึงกันนี้ลงไว้ ในวันต่อมา ก็คิดขึ้นมาใหม่อีก 2 ชนิด แล้วเขียนลงไว้ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งถ้าจะมองด้วยตัวมันเองแล้ว คุณอาจจะมองไม่เห็นว่า มันจะช่วยอะไรได้ แต่ สิ่งที่คุณได้รับมาโดยไม่รู้ตัว ก็คือ มันจะทำให้สมองของคุณเริ่มคิดถึงความสัมพันธ์ และความคล้ายคลึงกับของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว แม้ในขณะที่คุณมิได้เล่มเกมนี้อยู่ และจุดนี้เอง ที่แนวความคิดได้ถูกสั่งสมขึ้น ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ กับโทรทัศน์ แทบจะมิได้มีอะไรคล้ายกันเลย แต่คุณจะมองเห็นความคล้ายกัน ระหว่างผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดนี้บางประการ เช่น เป็นผลิตภัณฑ์ที่จะต้องใช้ส่วนประกอบต่างๆ , การต้องสั่งสินค้าชนิดนี้มาจากญี่ปุ่น ทำให้ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศต้องถูกตัดทอนลง, เครื่องประกอบภายใน ก็คล้ายกัน เช่น จะต้องมีสายไฟ มีเสาอากาศ มีสวิทซ์ และอื่นๆ นอกจากนั้น ก็ยังเป็นที่นิยมใช้ของคนในประเทศ มีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อประกอบ และให้บริการขนาดใหญ่ขึ้น

4. พยายามพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในสิ่งที่พอใจ มันจะช่วยให้จินตนาการของคุณคงตัวอยู่เสมอ และพร้อมสำหรับปฏิบัติการ ความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ควรจะเป็นไปในลักษณะที่มีแต่การทำงาน แต่ขาดความเพลิดเพลิน เพราะถ้าคุณหาในประการหลังได้ด้วยแล้ว จะทำให้ความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาตัวของมันเองไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะเล่นปริศนาอักษรไขว้ เล่นเกมกระดานที่จะต้องมีคู่แข่งขัน ทาสีบ้าน เขียนหนังสือ เรียนถ่ายรูป หรืองานแกะสลักต่างๆ ไม่เช่นนั้น ก็อาจจะเป็นการร่วมกิจกรรมชุมชนในท้องถิ่น.... เพื่อนของผมคนหนึ่ง มีความคิดสร้างสรรค์ในการซ่อมสิ่งของที่ชำรุดมาก เมื่อมีสิ่งของชำรุด เขาก็จะรับอาสาจากเพื่อนๆ ช่วยซ่อมให้ และในที่สุด ก็มีความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นมากมาย

5. ต้องมีความอยากรู้อยากเห็นให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงว่า คุณจะต้องไม่พอใจอยู่แต่เฉพาะข้อมูลที่ได้รับมา แต่พยายามหนหนทางเรียนรู้ถึงเหตุผลไปด้วย วิธีนี้ คุณจะฝึกได้โดยพัฒนาการตั้งคำถาม แก่ทั้งตนเองและผู้อื่น แม้ในเรื่องที่ยังไม่เกิดความสำคัญสำหรับคุณในตอนนั้น ทั้งนี้มิได้หมายความว่า ุคณต้องการมีความรู้เป็นสำคัญ แต่หมายถึงเป็นการทำให้พลังบันดาลใจแข็งแกร่งยิ่งขึ้น นกตัวอย่างเช่น ในคราวต่อไป เมื่อคุณอ่านหนังสือพิมพ์จบลงแล้ว ก็จงลองถามตัวเองว่า ทำไมคุณจึงอ่านแต่เฉพาะเรื่องนั้น และไม่สนใจในเรื่องอื่นเลย, ลองถามเพื่อน ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายของชำดูว่า ทำไมเขาตั้งร้านอยู่ตรงนั้น หรือในคราวต่อไป ถ้ามีผู้มาบอกกับคุณว่า มีอะไรบางอย่าง ที่ไม่อาจทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ก็จงย้อนถามเขาว่า เพราะอะไร? ถึงคำตอบที่เขาให้มา จะไม่เป็นที่สุดของคำถาม แต่ก็จงถามเขาออกไป ... และเมื่อใดก็ตาม ที่คุณมีสิ่งที่จะต้องซ่อม ก็จงถามดูว่ามันเสียหายตรงไหน? และเพราะเหตุใด?

จิตใต้สำนึก - สายธารแห่งแนวความคิดและหนทางในการแก้ปัญหา


photo ในบทนี้ บ่อยครั้งที่ผมได้กล่าวย้ำว่า มันมีหนทางในการแก้ปัญหา และแนวความคิดที่จะสนองความต้องการของเรารออยู่ ซึ่งผมขอขยายความให้คุณได้เข้าใจเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า ในความเป็นจริงนั้น ทั้งหนทางในการแก้ปัญหา และแนวความคิดที่คุณประสงค์ มีอยู่แล้วในสมองของคุณ ผมมีตัวเลขที่จะใช้ยืนยันในการนี้ได้.....

นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณออกมาแล้วว่า ในขณะที่คนเราใช้ชีวอตไปตามรูปแบบธรรมดานั้น จะมีข้อมูลส่งเข้าไปในสมองมนุษย์ 15 ล้านล้านข้อมูล ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณได้ผ่านพบมาแล้ว จะถูกบันทึกลงไว้ในนั้น

ถ้า ในสมองของคุณ มีข้อมูลปกติธรรมดาอยู่ถึง 15 ล้านล้านข้อมูล ขอให้คุณลองคิดดูก็แล้วกัน จะมีวิธีการประสมข้อมูลเหล่านั้น เข้าด้วยกันเป็นจำนวนมากมายมหาศาลเพียงไร อย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายที่คุณจะได้รับฟัง หรือคุณจะเรียกว่า เป็นข่าวดีก็ได้คือ 90 เปอร์เซ็นต์ ของข้อมูลเหล่านั้น ถูกฝังลงไว้ในจิตใต้สำนึกของคุณ และไม่มีวิธีการที่ง่ายๆ ที่จะนำมันออกมาใช้ เพราะมันจะออกมา ก็ต่อเมื่อมันต้องการจะออกเท่านั้น มิใช่ตามที่คุณปรารถนาจะให้มันออกมา คุณไม่สามารถจะบังคับให้ตนเองดึงความคิดสร้างสรรค์ ออกมาจากจิตใต้สำนึกได้ , คุณไม่สามารถจะสั่งจิตใต้สำนึก ปลดปล่อยข้อมูลอันถูกต้องออกมาให้ตามที่คุณต้องการ มันมิได้ทำงานในลักษณะนั้น

แต่มันต้องการเวลา สำหรับการจัดระบบอยู่ในตัวของมันเอง และต่อไปนี้ คือวิธีการ และเหตุผลในการทำงานของมัน
  • ในขณะที่คุณพยายามใช้สามัญสำนึก สรรค์สร้างแนวความคิดใหม่ๆ หรือหนทางในการแก้ปัญหาให้เกิดขึ้นอยู่นั้น จิตใต้สำนึกของคุณ จะรู้อยู่ว่า คุณกำลังแสวงหาอะไร
  • จิตใต้สำนึกของคุณ ไม่เคยหยุดพัก แม้ในยามที่คุณหลับ มันจะเลือกสรรเข้าไปในข้อมูลนับล้านๆ ที่มันกักเก็บไว้นั้น
  • หลังจากที่คุณได้ปล่อยเวลาให้ผ่านไป จะเป็นนาที ชั่วโมง หรือวันก็ตามทั้งที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ จิตใต้สำนึกจะส่งหนทางในการแก้ปัญหาออกมาให้ ความคิดจะแวบขึ้นมาในสมองของคุณ หรือคุณจะได้รับคำตอบสำหรับปัญหาอันยากยิ่งที่เผชิญอยู่ ทั้งๆที่ในขณะนั้น คุณอาจกำลังคิดถึงสิ่งอื่นๆอยู่ก็ได้
สิ่งหนึ่งที่คุณจะต้องรู้ ก็คือ แนวควมคิด สำคัญๆ และการค้นพบอันยิ่งใหญ่ มักจะเกิดขึ้นในระหว่าง หรือภายหลัง จากที่คุณได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งนั่นคือ เวลาการทำงานอย่างจริงจังของจิตใต้สำนึก

เซอร์ วอลเตอร์ สก๊อทท์ เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเรื่องนี้ เขาไม่เคยปล่อยให้ปัญหาเข้ามารบกวนจิตใจเลย ทั้งนี้ เพราะเขารู้ว่า เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง เขาจะต้องได้รับคำตอบนั้นอยู่แล้ว

ไอน์สไตน์ ก็เช่นเดียวกัน มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่า เขามักจะเกิดแนวความคิดที่ดีที่สุด ในระหว่างการโกนหนวด

โทมัส เอดิสัน ก็เช่นกัน หลังจากที่เขาพยายามขบคิดปัญหายากยิ่งไม่สำเร็จ เขาจะปล่อยมันไว้อีก 24 ชั่วโมง หลังจากที่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว เมื่อตื่นขึ้น เขาก็จะได้รับคำตอบ

โมซาร์ท ได้เล่าให้เพื่อนของเขาฟังว่า ท่วงทำนองเพลงที่ดีที่สุด จะเกิดขึ้นในขณะที่เขางีบหลับไป และเมื่อตื่นขึ้น เขาก็จะรีบเขียนมันลงไว้ตามที่ได้ยินในขณะที่ง่วงงุนอยู่

photo เพื่อมิให้คุณเข้าใจผิดในเรื่องนี้ สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องย้ำก็คือ บุคคล เหล่านี้ โดยแท้จริง เขามีความเป็นอัจฉริยะในสาขาวิชาชีพของตนอยู่ก่อนแล้ว เขามิได้พัฒนาความเป็นอัจฉริยะนั้น ขึ้นมาจากแนวความคิดทั่เกิดขึ้น ในระหว่างที่เขานอนหลับอยู่ ในช่วงเวลานั้น จะทำหน้าที่แต่เพียงเลือกสรรข้อมูลที่คุณต้องการ และรายงานเข้ามาให้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ บุคคลผู้มีความคิดในทางสร้างสรรค์ จึงพึ่งพาอาศัยจิตใต้สำนึก ในฐานะที่มันเป็นเครื่องมือที่จะช่วยพัฒนาความรู้ และสร้างสรรค์ซึ่งเขาได้มีอยู่แล้วในสมองเท่านั้น

ดังนั้น ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการทำงานของจิตใต้สำนึก คือบุคคลที่ศึกษา และหมั่นหาประสบการณ์ให้มากขึ้นเท่านั้น และประการสำคัญ ก็คือ การที่คุณจะได้พบว่า คุณ สามารถใส่ข้อมูลของปัญหาเข้าไปในจิตใต้สำนึกได้ตลอดเวลา และได้รับความคิดสร้างสรรค์กลับมานั้นถ้าปราศจากเทคนิคต่างๆ ที่คุณได้เรียนรู้จากเอกสารนี้แล้ว ข้อมูลทั้งหลาย แม้จะนับเป็นล้านล้านชิ้น ก็จะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของคุณตลอดไป