++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

เมตาธรรมค้ำจุนโลก


เมตตา ต่อเพื่อนมนุษย์ สุดประเสริฐ
ธรรม จะเกิดก่อให้ได้กุศล
ค้ำ ชีวิตให้สดชื่นรื่นกมล
จุน เจือคนให้สุขปราศทุกข์ภัย
โลก ร่มเย็นด้วยเมตตาที่ว่านี้
โลก สุขีด้วยเมตตาจะหาไหน
โลก สันติด้วยเมตตาที่แผ่ไป
โลก สดใสด้วยเมตตาที่ให้กัน
หากที่ใดไร้ซึ่งเมตตาจิต
ทุกชีวิตจะโศกเศร้าเฝ้าโศกศัลย์
มนุษย์สัตว์ทั่ว โลกเจ็บจาบัลย์
มีทุกวันให้เห็นอยู่ดูไม่เบา
ยิ่งจะเพิ่มเช่นนี้ไปไม่ลดละ
สังคมพระก็ไม่เว้นเช่นโง่เขลา
ถ้าไม่เริ่มหยุดความชั่วที่ตัวเรา
หลงมัวเมาก็มากมาย ความร้ายมี
เป็นแม่บ้านควรสงสารพ่อบ้านด้วย
สิ่งควรช่วยก็อย่าเมินเดินหลบหนี
เป็นพ่อบ้านงานที่ทำจำให้ดี
อย่าหลีกลี้หลบหน้าจะอาดรู
เพื่อนร่วมงานก็สงสารเพื่อนกันบ้าง
อยู่ข้างข้างสิ่งช่วยได้อย่าให้สูญ
ยิ่งงานขายก็จะได้เงินเพิ่มพูน
ทั้งเทิดทูนข้อที่ว่า เมตตาธรรม


สุพจน์ วงษ์พินิจ


เรือตะวัน


เรือตะวัน..
บรรทุกฝันสีทอง ล่องฟ้ากว้าง
ท่านคงอ้าว ว้าง
ในระหว่างทางผ่านการสัญจร

เคลื่อนจากฟากฟ้าตะวันออก
ขับไล่สายหมอกไปพักผ่อน
ปลุกนกจากพรากจากรัง นอน
ไล่ไก่ลงคอน อยู่อย่างนั้น...


ไปสู่ฟากฟ้าตะวันออก
เพรียกฝูงนกกลับรังรัก พักฝัน
หากสายแสง ยังคงแบ่ง ปัน
แก่ดาว จันทร์ แจ่มจรัสรัตติกาล


โอ้, เรือตะวัน..
บรรทุกฝันล่องไกล เหนื่อยไหมท่าน ?
ข้ามนุษย์ทรุดล้ม ซม ซาน
อยู่ในมืดทรมานแสงท่านนั้น


เรามนุษย์ทรุดล้ม ซมซานมานาน
อยู่ในมืดทรมาน ณ บ้านดาวโลกนี้


มีนา มาลินี


ตราบพระอาทิตย์ยังคงส่องแสง


ตราบพระอาทิตย์ยังคงส่องแสง ตัวฉันก็ยังคงมีพลัง
พรุ่ง นี้จะไม่มีน้ำตา เพราะฉันจะไม่ใช่คนเดิม
วันนี้ฟ้ายังคงสดใส แต่พรุ่งนี้จะเป็นอย่างวันนี้หรือ
อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่ตายตัว
สิ่งที่ ฉันรู้ในตอนนี้ก็คือ
ฉันจะต้องเข้มแข็งให้มากกว่าที่ผ่านมา
เพราะฉันรู้ว่า . วันข้างหน้าจะต้องดีกว่านี้แน่นอน

วรีพร จันทรจิตร
ร.ร. เชียงคำวิทยาคม



ภูชี้ฟ้า
ครูชี้ฝัน
พรสวรรค์ พรแสวง
น่าคิดคำนึง
บนเส้นทางชีวิต
มีเพียงเราคือผู้ลิขิต


เงาชีวิต


เงาชีวิตบอกผ่านเช้าวันหนึ่ง
ว่าตื่นเถิดหลับซึ่งคืนสลัว
อรุณรุ่งเช้า เห็นเป็นเงาตัว
หักห้ามมัวหม่นไหม้ในล้านั้น


ตื่นขึ้นตามเงาทิ้งเศร้าโศก
โลกทั้งโลกมีบ้างทางสุขสรรค์
เพียงหนึ่งนี้หนึ่งช่วงในบ่วงวัน
ย่อมมิอาจดับฝันนิรันดร์กาล


เสรี ทัศนศิลป์


วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

ท้องทะเลและเภตรา


ทะมึนมืดม่านฟ้าเวหาหาว
ดังดับดาวเดือนดับทุกแห่งหน
ทะเลเมฆคลุ้มคลั่งเป็นวังวน
ผลิดอกฝนหล่นบานบนพื้นดิน
ทะลวงม่านมายาระย้าย้อย
เรือลำน้อยลอยล่องกระแสสินธุ์
ระลอกคลื่นซัดซ่าเป็นอาจิณ
มุกดารินพร่างพรายกลางสายธาร
ลงเรือลำเดียวกันมุ่งฟันฝ่า
วายุกล้าโรมรุกทุกสถาน
มีคำมั่น สัญญาปรากฏการณ์
คอยประสานความคิดทุกทิศทาง
เพราะล้วนคนหลากค่ายหลายความคิด
จึงนิมิตรรอยแยกความแตกต่าง
เพราะสายใยไมตรีที่บอบบาง
จึงอยู่อย่างอ้างว้างระหว่างวัน
มาลงเรือเพื่อรักษาผลประโยชน์
มาลอยลำเพื่อลิ่วโลดสู่ความฝัน
มา เรื่อยลองเพื่อชื่อเสียงอันเรียงรัน
มาแล่นโล้เพื่อประชันซึ่งฝีมือ
แต่ละวันฟันฝ่าลมพายุ
แต่ละคืนฝนปะทุเสียงอึงอื้อ
แต่ละครั้ง คลื่นหวนครวญครางฮือ
แต่ละคนดึงดื้อเต็มประดา
เมื่อลงเรือลอยล่องสู่ท้องน้ำ
ต่างจ้วงแจวพายจ้ำออกล้ำหน้า
ตามจังหวะทำที ตามลีลา
จนเภตราหมุนคว้างอยู่กลางชน


จตุรงค์ เสรี


อดีตกาล


วัยหนุ่มของข้าหายไป
ณ หนทางไกล
ที่เดินจากเด็กสู่ชรา

ใครหนอ มาแอบลักพา
เอาไปปิดตา
ขังไว้ในโลกมิดมน


เหลือไว้เพียงข้าสับสน
ลำบากลำบน
ร่ายกายขาดไร้เรี่ยวแรง


โรคร้ายกระทำสำแดง
ดั่งคอยจ้องแทง
ด้วยน้ำมือชั่วทุรชน


วัยหนุ่มของข้าอับจน
คงทุรายทุรน
ตายไปอย่างไร้มิ่งมิตร


โอ้ เจ็บร้าวทรวงดวงจิต
ดังข้าเดินผิด
หนทางแห่งกาลเวลา


โอ้เดินถูกแล้วมรคา
หนทางนี้มา
แต่ชั่วปู่ชั้นบรรพชน


ล้วนสุขล้วน เศร้าสับสน
เป็นผลิตผล
ความรักและไร้ในรัก


ตัวข้ารอล่มจมปลัก
เอียงโค่นพับหัก
หายไปอย่างไร้ร่องรอย


คิดมาเอ่อน้ำตา ปรอย
ปรี่ไหลไม่น้อย
โอ้หนอชีวิตเช่นนี้


คิดถึงวัยหนุ่มเหลือดี
ท่ามลมพัดวี
คิดว่างในว่างว้างเวิ้ง


กานติ ณ ศรัทธา


คนแห่งคน


ในรูปคนเกี่ยวข้องกับนามคน
ในฉงนสนเท่ห์แห่งทุกข์สุข
ในคืน วันอันเร่งอันเร้ารุก
ในใจปลุกเสกเมืองมายาการ


มายาแห่งหายนะพอกเน่าเหม็น
มายาแห่งเลือดเย็นเร้นล้างผลาญ
ซึ่งขยะปฏิกูลพูน สันดาน
ซึ่งสามานย์ทั้งมวลล้วนผองคน
คนที่อยู่ข้างบนเบิกบานนัก
คนเสียหลักอยู่ข้างล่างคว้างสับสน
ท่ามเงาร่างวรรณะที่จำนน
ต่างดิ้นรนรูปนามตามเป็นจริง


คนที่อยู่ข้างบนปั่นสายทาง
คนข้างล่างหกล้มขมขื่นยิ่ง
ต่างอยู่ร่วมยื้อแรงมุ่งแย่งชิง
สรรพสิ่ง สรรหามาบำเรอ
ในรูปคนข้องเกี่ยวกับนามคน
ในเหตุผลอำพรางให้พลั้งเผลอ
ในวิถีชีวิตคิดปรนเปรอ
ในฟุ้งเฟ้อฝ่าเมืองมายาการ
ท่ามวัตถุนิยมเน่าจมปลัก
ท่ามใจทักท้วงใจอย่างจัดจ้าน
คนกับคนยังคล้อยยังคืบคลาน
ยังสำราญบานเย็นอย่างลืมตัว!!!


วัฒนา ธรรมกรู


กาพย์สาวกระทายข้าว 14


ข้าวซ้อมมือ มือซ้อมข้าว
พี่สวยน้องสาว เคล้าเหงื่อเจือ งาน
คอดจากครก ยกกระทาย
กระด้งวงหวาย ค่อยส่ายลายสาน
แทดระแทะ แทดระแทะ
กระดอนฟ้อนแดด แสดร้อยสร้อยลาน
เหงื้อทิ้งพราว ข้าวทิ้งเปลือก
กระทายฝัดเลือก ทิ้งแกลบรวงก้าน
กระด้งทิพย์ กระบุงทอง
ข้าวขาวข้าวกล้อง ประคองยิ้มหวาน
ละอองรำ ลออรัก
ไรผมเรือนพักตร์ พริ้มเงาเพรางาน


ศิวกานต์ ปทุมสูติ


ห่า


ห่าเอ๋ยห่ากิน
เที่ยวปลอกปลิ้นกินเมืองเลื่องลือลั่น
กินทั้งป่าน้ำตาลปาก หวานมัน
ถึงทางตันหันลิ้นกินกันเอง


ปากก็กินตีนขยับรับตำแหน่ง
ปากยังแกว่งกินไวคล้ายรีบเร่ง
อีกวางท่าเปรื่องปราดมาดนักเลง
ลิ้นละเลงจนอิ่มปริ่มตูดเอย


ลอง จ้องรวี


ผู้ทอฝัน


"ตนอ้ายมาแอ่วอ้อน อิงใฝ
มาเซาะมาซุ่มใจ จิ่มน้อง
ทอหูกตุ๊กตุ๊กไป วันค่ำ
หูกรักหูกเอิ้นร้อง แว่ข้องเคียงนาย"


กี่กี่หูกในยุคนั้น
กี่ไจกี่ฟั่นกี่ปุยฝ้าย
กี่กระสวยกี่กระตุกกี่ลวดลาย
กี่นิมิตกี่หมายต่อ ต่อมา


แต่ละสายแต่ละเส้นล้วนงานศิลป์
บ่งบอกจินตนาการพิศาลค่า
บ่งบอกคนอันพิเศษตามเจตนา
บ่งบอกความอุตส่าห์พยายาม


"ตนอ้ายมาร่วมซ้อนสู่ขวัญ
ร่วมกี่ร่วมกระตุกนันอุ่นเนื้อ
ร่วมคิดร่วมแปลงฝันเป็นหนึ่ง
ร่วมห่มผ้าห่มเกื้อกอดเขี้ยวกวมสวรรค์"


วิ ลักษณ์ ศรีป่าซาง


น ก ข มิ้ น



---------

นกขมิ้นเหลืองอ่อนเอย...
ค่ำแล้วเจ้าจะนอนรังไหน
หรือจะร่อนเร่พเนจรไป
ถิ่นท่าไหนไหนไม่อาวรณ์


จากเหย้า..นกเจ้าจากรัง
เนิ่นนานแต่ครั้งปีกยังอ่อน
ระเหินระหกโอ้นกเจ้า จากคอน
มุ่งสู่ดงดอนอ่อนอุรา


วันคืนในโลกอันเดียวดาย
ข้างกายไร้สิ้นสเน่หา
สองปีกทะยานม่านเมฆา
ดั้นด้นค้นหาปลาย ฟ้าไกล


คราเจอเมฆฝนฟ้าครืนครืน
ไม่อาจฝืนกายาฝ่าลมได้
ปีกลู่ถลาร่วงโอ้ดวงใจ
ฝ่าภัยกรายกร้ำแต่ลำพัง


เจ้านกขมิ้น เหลืองอ่อน
พเนจรเรื่อยไปไม่เหลียวหลัง
วอนสำเหนียกเสียงห่วงจากรวงรัง
ฝากสั่งลมมาด้วยอาทร


หากวันใดไร้สิ้นเรี่ยวแรง
ปีกแข็งล้านักพักบินก่อน
ขมิ้นเอยอย่าฝืนกลับคืนคอน
ตะวันรอนจะคอยรับเจ้ากลับรัง


นกขมิ้นเหลืองอ่อนเอย
ค่ำแล้วเจ้าจะ นอนรังไหน......



--------
กวีง่วงนอน


ไม่ว่าจะอยู่ไหนจะรักเธอ


วันเวลามันช่างน้อยเต็มที
ที่เราจะได้พบกัน
มันก็คง เหลือไม่กี่วัน
รู้ไหมฉันอยากเจอเธอ
อยากส่งกำลังใจให้ทุกวัน
ฉันคงทำอะไรไม่ได้มาก
เหมือนที่ฉันเจอเธอ
ถ้ามีโอกาสได้ เจอเธอ
ก็คงจะทำอย่างนี้ได้เช่นกัน
ในวันนี้มีคำบางคำที่ต้องการจะพูด
เธอคือคนที่พิเศษในดวงใจ
ทำให้ฉันหวั่นไหวอยู่ทุกวัน
ฉันรักเธอหมดใจ และจะรักอย่างนี้เรื่อยๆไป
ไม่ว่าจะอยู่ไหนจะรักเธอ


ลาวรรณ กองสุข


อย่าอ่อนแอ ท้อแท้ แม้สิ้นหวัง


อย่าอ่อนแอ ท้อแท้ แม้สิ้นหวัง
อย่าหยุดยั้งความฝันอันยิ่ง ใหญ่
อย่าหวาดหวั่นปัญหาค้างคาใจ
เข้มแข็งไว้สู้ไปดังใจมา
แล้วเริ่มต้นสิ่งใหม่วันพรุ่งนี้
เพื่อมีสุขสมหวังดังปรารถนา
อย่านั่งจมขมขื่นกับน้ำตา
ลุกขึ้นมา..จะเป็นกำลังใจ

สว่างจิตร ตรีพร
โรงเรียน เชียงคำวิทยาคม
s.pinthong@hotmail.com


****
คำเขายอรอไว้อย่าได้เชื่อ
อาจยอเพื่อหวังผลตาม ประสงค์
คำเขาติวิจารณ์ว่าตรงๆ
นั่นแหละจงขอบใจเพราะให้ตรอง


ชิงชัย สีสุวรรณ


ดึกหวั่น


ดึกหนาว..น้ำค้างตก
ใจสะทกอกสะท้าน
เยียบเย็นแผ่วหิน กังวาน
ประกาศเสียงน้ำค้างพรม
ยอดหญ้าเซาซบสลบไสล
สายลมพิรี้พิไรไห้ห่ม
โศกแล้วใจจะเปื่อยตม
เถ้าชีวิตทับถมดิน ทราย
น้ำค้างค้างใจเมื่อไรจะหยาด
ดาวยิ่งร่วงวาบวาดแล้ววิบหาย
ผืนดินรำพึงเพลงเดียวดาย
สายน้ำวังเวงไหลเยือก วิญญาณ...

รมณา โรชา


.ขอบอกกล่าวคำสวัสดีคราวันใหม่


.ขอบอกกล่าวคำสวัสดีคราวันใหม่
เรื่องทุกข์โศกใด ใดจงจบสิ้น
ผ่านพ้นผ่านเภทภัยไร้มลทิน
สมถวิลวาดหวังได้ดังใจ

ที่มีคู่อยู่แล้วอย่าแคล้วคลาด
ชื่นชีวากับคู่ชิดพิสมัย
ที่ขึ้น คานแอบปองมองผู้ใด
ก็ขอให้สมหวังดังหมายปอง


นิสัย


คนตีฆ้องร้องเรื่องทุจริต
ประชาธิปัตย์คิดเป็นอื่นได้
ระเบียบบ้างพรรคบ้างอ้าง ไป
เดี๋ยวขับเดี๋ยวไล่ใช่ประเด็น
ชาวบ้านทั้งหลายเป็นควายหรือ
บ่ายเบี่ยงดื้อดื้อเห็นเห็น
ใครถูกใครผิดเขาคิดเป็น
อย่าเล่นเช่น ศรีธนญชัย
เลิกเลี้ยวลดปดล่อพอให้หลง
รีบตรวจสอบตอบตรงที่สงสัย
ฮั้วไม่กลัวกลัวไม่ฮั้วปวดหัวใจ
ฮั้วกันดีไม่ได้ไปเถิด เอย

คมเลนส์


มติชนสุดสัปดาห์ 21 ก.ค.2541


ท่อง-ธฺยาน


1.ในลมเย็นระบัดริ้วซึ่งพริ้วไหว
กระทบแกร่งแห่งผาใจจนพังสิ้น
เพียง เศษซากผาใจอันพังภินท์
อยู่เรี่ยรายแผ่นดินแห่งวิญญาณ
หัตถ์แห้งกาลวัฏฏ์ตระกลองกอบ
ปลุกปลอบบอบช้ำแห่งสังขาร
ขับเคี่ยว ทุกข์เข็ญทรมาน
หวังข้ามลำธารราคิน

2.เนิ่นนานสัญจรมณีทราย
เจียมตนแย้มพรายประกายศิลป์
ทีละเกล็ดทบทับอาจิณ
เยียว ยาแหว่งวิ่นแห่งอินทรีย์


3.แมงมุมชักใยโยงระยาง
กั้นทางสายกลางอยู่กับที่
จับเหยื่อหลากหลายในราตรี
หล่อเลี้ยงชีวีได้ง่าย งาม
สองปีกรวมกันเป็นหนึ่งนก
โผผกอยู่เหนือซึ่งโลกสาม
รับรู้อยู่เหนือซึ่งนิยาม-
คำตอบคำถามแห่งตำรา


4.เร่ร่อนมณีทรายใต้ ท้องสินธุ์
เพราะผาผุพังภิณท์จนสิ้นผา
เหนือคุ้งน้ำดารดาษดารกา
คงเวหาผุพังดังผาผุ
หลอมรวมเป็นเอกภาพในคราบเถ้า
ด้วย เพลิงผลาญเชื้อเผาระอุ
เคี้ยงฟืนโชนไฟ-ไฟปะทุ
เพื่อบรรลุกาละอนันไตย


โสตถิเทพ แสวงประเทือง


จากป่ากรึงไกร


มีนกนั่นนกนี่มีไปหมด
ตามสองฝั่งเคี้ยวคดตลอดสาย
เป็น ชีวิตสัมพันธ์อันไม่ตาย
คือความหมายคือนิมิตรคือทิศทาง
เพียงคืนหนึ่งกับสองวันเท่านั้นหนอ
ที่เราแวะมาดูผู้ไกลห่าง
ได้แง่คิด มากมายในป่าร้าง
แต่มันช่างเจ็บปวดในหัวใจ


หงา คาราวาน
(สุรชัย จันทิมาทร)


เหตุเกิดที่ป้ายจอดรถประจำทาง


เช้าฉันรอรถบัสป้ายบัสเลน
สองแถวเผ่นแซงสกัด จอดตัดหน้า
ตะโกนบอกจุดหมายซ้ำไปมา
ด้วยภาษาวิบัติเพื่อลัดความ


"ประตูเสีย เมียสั่ง"
คือที่นั่งจับจองว่าต้องห้าม
ท่อ ไอเสียเมียไม่สั่งดังตูมตาม
ขู่คำรามควันใส่พร้อมไอพิษ


เร่งเครื่องขยับเขยื้อน
กว่าจะเคลื่อนจากป้ายให้หงุดหงิด
หนึ่ง สอง สาม..สี่ ห้าคัน กระชั้นชิด
รถคันหลังก็หมดสิทธิ์ถูกปิดทาง


"ไปโรงเรียนจะไปสาย
บันไดท้ายยังมีที่ยังว่าง
โหนละลิ่วห้อยละล่องคล่องระวาง
นักเรียนบ้างครูบ้างตายช่างมัน


นิ้วสะกิด "ชิดหน่อยพี่"
กำหนดชี้และสั่งอย่างสั้นสั้น
หน้าเด็กเด็กแต่ร่างวางก้ามนั้น
แปลก เหมือนกันบังคับได้ไปทุกคน


"น้ำขึ้นให้รีบตัก"
สองแถวคลั่กถนนราวจ้าวถนน
ฉันคอยรถประจำทางอย่างอดทน
พร้อมฉงน กฏหมายทั้งหลายนัก


สายพร ปัทมเรขา..


รักซ้อน


จากไปเถิดดอกไม้หอม
ไปจากใจคนตรอมระโหยอ่อน
นานวันยิ่ง โหยไห้อาลัยอาวรณ์
ยากจะถอนให้สิ้นซากทั้งรากใบ
ดอกไม้หอมมาผลิในหัวใจฉัน
มิรู้วันเวลานาทีไหน
สุขทุกข์แตกต่างกันเป็น ฉันใด
จะบอกเล่ากับใครอย่างไรดี


วันรวี รุ่งแสง


เรื่องคนเก่ง


นกแก้วโอ้อวด
ตนเก่งยิ่งยวด
พูดแบบคนได้
นายรัก นักหนา
เดินมาทีไร
ต้องชมเสียงใส


แก้วจ๋าเก่งจริง
นกตัวอื่นๆ
แสนจะดาษดื่น


โง่เง่าอย่างยิ่ง
ร้องเสียงหนวกหู
ไม่อยู่นิ่งนิ่ง
น่าจับไปทิ้ง
เลี้ยงไว้ทำไม
นกฮุกได้ฟัง
จึงได้สอนสั่ง
เจ้าแก้วตัวใหญ่
ที่เจ้าว่าเจ๋ง
เก่งเกิน กว่าใคร
พูดจ้อเรื่อยไป
ตามเขารำพัน


นั่นหรือคือเก่ง แล้วเจ้าพูดเอง
ได้ไหมล่ะนั่น ไม่ต้องตามเขา
คิดเอาเองนั้น พูดได้ เหมือนกัน
หรือว่าอย่างไร
เจ้าแก้วนิ่งฟัง
แพ้เขาอย่างจัง
ยืดอกไม่ได้
ใครอยากก้าวหน้า
อย่าตามหลังใคร
คิดค้นสิ่งใหม่ ด้วยสมองตน
คิดก่อนทำก่อน ทุกขั้นทุกตอน
น่าทึ่งเหลือล้น
มัวลอกเลียนเขา เอาอย่างแต่ต้น
ชาตินี้ไม่พ้น ล้าหลัง เรื่อยไป
เด็กไทยวันนี้ คิดดูให้ดี
จะไปทางไหน
ภูมิปัญญาเรา ใช่เขลากว่าใคร
คิดพาชาติไป ให้ก้าวหน้าเอย


บุษบง โควินท์


ดอกไม้ดอกนี้ดั่งใจ


หลับเสียเถิดดวงใจ
แม่จะกอดเจ้าไว้ในอ้อมแขน
เจ้า ดอกไม้ดอกเดียวในดินแดน
เฝ้าหวงแหนดมดอมถนอมเชย


แม่จะปกป้องไว้อย่างไรเล่า
มิให้เจ้าต้องมายานิจจาเอ๋ย
หยาดน้ำค้างรุ่ง ร่างจะลาเลย
ลมรำเพยพัดผ่านสะท้านใจ


เจ้าอย่าเป็นเช่นคนที่ล้นโลก
เฝ้าวิโยคกับละครที่อ่อนไหว
ผลาญพร่าฆ่ากันเพราะฝันไป
เคว้งคว้างบนทางไกลอันธกาล


จงมองโลกเช่นนี้ที่เจ้าเห็น
ตากลมใสไม่ซ่อนเร้นเป็นเพียงผ่าน
มือน้อยน้อยไม่ยึดเอาอยู่เนานาน
จงเบิกบานรู้พอต่อตนเอง


แน่ะ หลับตาพริ้มยังยิ้มชื่น
อน่ามีใดอื่นมาข่มเหง
หลับตาเถิดหนา แก้วตาอย่าหวั่นเกรง
เจ้า ดอกไม้จงบานเบ่งให้โลกงาม


สานตะวัน


วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

ดีท็อกซ์หัวใจ : ความเกลียด

ที่มา : นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 163

ความเกลียด


ไม่ต้องละอายใจ และรู้ว่าไม่ได้มีคุณเท่านั้นที่โกรธและเกลียดเป็น คนอื่นๆ ก็เป็นเหมือนกัน

ความเกลียดนี้น่าจะเป็นขั้วตรงข้ามของความรัก เพราะถ้าเมื่อไรเรามีความเกลียดในใจก็ไม่มีที่ว่างให้กับความรักและความ ปรารถนาดี เหมือนกับว่าจิตใจในตอนนั้นสูญเสียความสามารถในการที่จะรักและเมตตาไปชั่ว ขณะหนึ่ง



ธรรมชาติของความเกลียด

  • ธรรมชาติดั้งเดิมของจิตใจคนนั้นมีความสงบ สะอาด และสว่าง เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เพียงแต่มีอารมณ์บางอย่าง เช่น ความเกลียดมาบดบังไม่ให้ลักษณะพื้นฐานที่ดีงามได้ปรากฏออกมา เหมือนเมฆที่บังดวงอาทิตย์ พอลมพัด ให้เมฆจางหาย ดวงอาทิตย์ก็ฉายแสงได้เต็มที่
  • ความเกลียดเป็นสิ่งที่เกิดชั่วคราว เพราะ ต้องอาศัยปัจจัยต่าง ๆ มาหล่อเลี้ยง เช่น ต้องการการปรุงแต่ง การสร้างอารมณ์ให้ได้ที่ ต้องมีเวลาในการคิด (แสดงว่าขณะนั้นต้องว่างพอสมควร) ถ้าปัจจัยเหล่านี้ไม่พร้อม ความเกลียดก็ไม่เกิด
  • ความเกลียดกับคนที่เราเกลียด ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน โดยทั่วไปคนมักจะคิดว่าตัวเองทุกข์เพราะคนที่เราเกลียด แต่ความจริงสิ่งที่ทำให้ทุกข์คือ ความเกลียด ไม่ใช่ตัวคน ดังนั้น การที่จะกำจัดคน หรือโต้ตอบรุนแรงเป็นการทำเพื่อให้สะใจ แต่ไม่สามารถทำให้ความเกลียดหมดไปได้ (อีกสักพักก็เกลียดอีก)
  • คนเราที่มีความรู้สึกเกลียดนั้น จริง ๆ แล้วก็ไม่ต้องการที่จะเกลียด (เพราะรู้อยู่แก่ใจว่ามีความทุกข์มาก) เพียงแต่ในชีวิตที่ผ่านมาอาจจะคุ้นเคย การใช้วิธีการโต้ตอบด้วยความเกลียด โดยไม่เคยจัดการด้วยวิธีอื่น ๆ
  • ยิ่งเกลียดมากเท่าไรยิ่งต้องการความรักมากเท่านั้น เหมือนทะเลทราย ยิ่งแห้งมากแสดงว่าน้ำยิ่งน้อย บางครั้งเราจะเกลียดเฉพาะคนที่เราแคร์ แคร์มากก็คาดหวังมากว่าเขาน่าจะดีกับเรา รักเรา ยอมรับเรา ถ้าผิดหวังก็จะโกรธมาก เกลียดมาก เสียความเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเอง รักและเมตตาตัวเองไม่ลงถ้าคนอื่นไม่ยอมรับก่อน

วิธีจัดการกับความเกลียด

  • ให้ยอมรับกับตัวเองอย่างซื่อสัตย์ว่า ตัวเราก็เกลียดเป็นกับ เขาเหมือนกัน ไม่ต้องละอายใจ ไม่ต้องโทษใคร เพียงแต่แทนที่จะคอยคิดจัดการกับคนอื่น เปลี่ยนคนอื่น โต้ตอบคนอื่น ก็ให้เอาพลังนั้นกลับมาดูแลจิตใจ ดูแลความเกลียดในใจของตัวเอง โดยไม่ต้องรอให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงก่อน
  • ลดความคาดหวังในตัวคนอื่นหรือสิ่งอื่นลงบ้าง เช่น ถ้าต้องการให้คนอื่นพูดดี ๆ ก่อน แสดงความรักก่อน หยุดพฤติกรรมที่แย่ ๆ ก่อน หรือต้องการให้โลกนี้สงบสุขและยุติธรรมก่อน ให้ยอมรับสิ่งต่าง ๆ อย่างที่มันเป็น
  • เริ่มต้นให้ความรักและความเมตตาต่อตัวของคุณเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่มีความรู้สึกเกลียด เหมือนกับโรคติดต่อนะครับ ขึ้นอยู่กับว่าตัวเราจะสร้างภูมิคุ้มกันจิตใจตัวเราได้มากแค่ไหน ถ้ารักและเมตตาตัวเองได้ เมื่อนั้นในใจก็จะไม่มีที่ว่างให้กับความเกลียด
  • การรู้สึกเกลียดกับการแสดงความเกลียดไม่เหมือนกัน เราสามารถที่จะรับรู้ความรู้สึกเกลียดได้ โดยเลือกโต้ตอบหรือไม่โต้ตอบให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อให้เป็นประโยชน์กับตัวเรามากที่สุด เราสามารถที่จะปกป้องตัวเราได้ แต่ควรจะปกป้องตัวเองอย่างมีสติรู้ตัว ไม่ใช่ปกป้องตัวเองด้วยความเกลียด

ถ้าใช้ทุกวิธีแล้วยังไม่สามารถแก้ไขได้ ก็อาจจะต้องใช้มืออาชีพช่วยเหลือนะครับ

รักเธอก็รักนะ


รักเธอก็รักนะ
แต่อิสระย่อมสูงส่ง
นกน้อยในกรอบกรง
ฤารู้ค่า ฟ้าเสรี
คิดถึงนะคิดถึง
ทั้งซาบซึ้งคุณความดี
แต่งานยังมากมี
มิอาจล้มอุดมการณ์
ขอฝึกให้กล้าแกร่ง
ทั้งเรี่ยวแรง และวิญญาณ
แปรรักเป็นแรงงาน
ช่วยสร้างหวังกำลังใจ
จะเพาะเมล็ดพันธุ์
หว่านรักนั้นกระจายไกล
มอบแด่ผู้ยากไร้
และผองชนบนแผ่นดิน

อิสรา


วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

แผ่นดินแปลกหน้า

ฉันหันหลังเดินทางจากแผ่นดินเกิดนานกว่ายี่สิบปี
พเนจรร่อนเร่ เหมือนนกอิสระ
พบแผ่นดินอื่นที่แปลกตาไปกว่าแผ่นดินเกิด
แผ่นดินเกิดที่มีเพียงทะเลเวิ้งว้างและเรือร้างริมหาดทราย

รอยเท้าของฉันได้ ตราประทับไว้บนผืนแผ่นดิน
เคี่ยวกรำประสบการณ์ผ่านตัวอักษร
จากที่โน่น ที่นั่น และที่นี่
บางครั้ง เหงา ดั่งกระทิงเปลี่ยวกลางไพรกว้าง
บางครั้งอ้างว้างอยู่บนสถานีสายดอกไม้
บางครั้งเดียวดาย กลางสายแดดร้อน

เวลาผ่านล่วงเลยจนลบเลือนภาพแผ่นดินเกิด
มา บัดนี้...
นกแปลกหน้าหวนคืนกลับสู่บ้านเกิด
ได้พบสายตาเด็กในหมู่บ้านจ้องมองฉันอย่างหวาดระแวง
ความเปลี่ยนแปลงของหมู่บ้านทำ ให้ฉันเศร้าซึม
ป้ายปากทางเข้าหมู่บ้านเขียนบอกว่า...
"หมู่บ้านใหม่พัฒนา" มิใช่ "บ้านห้วยน้ำริน" ดังแต่ก่อน
ฉันรู้แล้วว่า อ้อมแขนของ ฉันไม่ได้โอบกอดแผ่นดินเกิด
แผ่นดินเกิด จึงปฏิเสธที่จะกางอ้อมแขนเข้าโอบกอดต้อนรับ
วันที่ฉันเดินทางกลับบ้าน...

เดือนแรม ประกาย เรือง

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

หิ่งห้อย


เดี๋ยวเดี๋ยวให้ฉันนั้นหยุดเดี๋ยว
เร่งท่องเที่ยวไปถึงไหนหนอ
เดี๋ยว เดี๋ยวหยุดก่อนผ่อนแรงรอ
ฉันขอพักกายบนใบรับ


ที่พักตามทางว่างเสมอ
ฉันเจอรอยแห่งแมลงจับ
ฉันพบศพซากมากเกินนับ
ยามวับวงเจ้าเหนือหญ้ายาว


เห็นชัดสัตว์ร้ายในทุ่งสวย
ลึกด้วยคมเขี้ยววาบเรียวขาว
แดงแฉกลิ้นแลยผะแผล็บพราว
ฉัน หนาวฉันดื้อฉันยื้อยุด


เดี๋ยวเดี๋ยวให้ฉันนั้นหยุดเดี๋ยว
เปล่าเปลี่ยวในโลกลึกมืดสุด
กระพริบเต็มแรงให้แสงรุด
เถิดหยุดอย่าไปใกล้พง นั้น


โกศล กลมกล่อม


แด่ร่มโพธิ์


ณ ภายใต้ต้นโพธิ์โตตระหง่าน
มีลูกหลานต้นจ้อยหลายร้อยต้น
แม่ต้นโพธิ์ใบดกแผ่ปกบน
คุ้มแดดฝนป้องกันอันตราย


ลูกอาศัยใบบุญพระคุณล้น
เหมือนดั่งแม่ของชนคนทั้งหลาย
หากภาพที่มอง เห็นเป็นนิยาย
มีบางสิ่งชั่วร้ายใต้ร่มเงา


ลูกยังอยู่ใต้ต้นทนผอมโซ
ไร้โอกาสเติบโตลูกโง่เขลา
ได้แดดฝนเลี้ยงร่างเพียงบางเบา
สุดท้ายลูกโศกเศร้าก็เฉาตาย


บทบาทแม่น่าศรัทธาน่าชื่นชู
ไม่มีใครได้รู้แม่โหดหลาย
แสร้งทำทีปกปักรักมากมาย
ไม่ยอม ให้ห่างกายจนวายวาง


กลายเป็นปุ๋ยเปื่อยป่นเลี้ยงต้นแม่
อนาถแท้มีไหมใครคิดบ้าง
ถ้าเพียงแต่รักลูกให้ถูกทาง
ยอมให้ลูกออกห่าง ไหไกลไกล


อาจได้พบดินดีมีแดดฝน
พอเลี้ยงตัวเลี้ยงตนเป็นต้นใหม่
กว่าลูกจะคิดได้ก็สายไป
เพราะกำลังขาดใจอยู่เดี๋ยวนี้


ให้ยืนยงคงทนเถิดต้นโพธิ์
ส่วนลูกหลานโง่โง่ควรเป็นผี
เลี้ยงแม่ให้อยู่ยืนถึงหมื่นปี
ปุ๋ยอินทรีย์นี้จากซากลูกเอง


ปริญญา อินทร์อุดม


ความลับในดวงตา


เจ้าหนูจุดไม้ขีดไฟ
ขีดฟึ่บพรึ่บไฟ
ฟู่ฟู่วู่ไหวตาลาน
โผล่เงาพรวดเผ่นเต็มกระดาน
เจ้าโผนโจนพล่าน
โผเล่นหัวร่ององัน
ปากปู้ดปู้ดเปล่าเปลวควัน
ลมริ้วปลิวสั่น
เปลว พลันพรึบดับวับตา
จุดใหม่เปลวแว้บแปลบจ้า
ผุดเงามืดฝา
แผล็วคว้าเงาตัวนัวเนีย
ลูบอกใจเต้นอ่อนเปลี้ย
จ้องไฟแลบเลีย
เขี่ยเงาร้องเอ๊ะ เอะใจ
จ้องไฟตาแจ้งแสงไฟ
จ้องลมเจาะไป
ตาใสโปร่งว่างร่างมัน
จ้วงมือแตะใจมือสั่น
ต้องเหงา เงียบงัน
มือพลันลอดผ่านร่างเงา
ผูกคิ้วครุ่นคิดแกรกเกา
จ้องลมจับเงา
โล่งเปล่าร่างไร้มัวซัว
เชื่อตาว่าลมไร้ตัว
ฤา ตาโฉดมัว
ให้เชื่อชั่วตาพาเห็น
เจ้าหนูจ้องพลางจ้ำเผ่น
โลกโหวยลับเร้น
ไม่เว้น ทั้งตื่น_ลืมตา


อัญชัน


สงสาร


ตาแวบฉายประกายหวามความรู้สึก
คนไม่นึกเริ่มสงสัยและไหวหวั่น
ท่าซึมซึมเหนื่อยท้อวันต่อวัน
มีจุดฝันทอคว้างแล้วจางไป


ดอกสงสารบานในใจนับไม่ถ้วน
เคยตีรวนกลับไม่กล้าเพราะตาไหว
อยาก เป็นคนซึ่งเธอซึ้งใจ
เผื่อจะให้คำปลอบขวัญสรรประจง


ว้าเหว่นักจักอยู่เย็นคอยเป็นเพื่อน
ถ้าเพริดนักจักคอยเตือนไม่ให้หลง
ถ้า อ่อนแอจะเสริมขวัญให้มั่นคง
ถ้างันงงจะช่วยนึกปรึกษางาน


อาจช่วยได้ไม่มาก- แต่อยากช่วย
และก็ด้วยความเข้าใจในทุกด้าน
แม้ เคยหวังความอ่อนไหวดอกไม้บาน
ก็อาจผ่านไปได้ไม่ยากนัก


ตาแวบฉายประกายหวามความรู้สึก
คนไม่นึกเริ่มสงสัยและไหวหนัก
หวาดหวั่นว่าอาจจะใช่ไฟแห่งรัก
และก็จักอาจไม่ใช่ได้เหมือนกัน


ขอให้เป็นความเข้าใจไม่รู้จบ
ร่วมสมทบเป็นสองแรงแสวงฝัน
บน เส้นทางเหน็บหนาวยาวอนันต์
ขอเธอมั่นด้วยพลังระหว่างเรา...


-- ชมจันทร์( สิงหาคม 2513)


ปัจจุบันขณะ


ถ้าเธอถามฉันว่า
ฉันเคยทุกข์สาหัสไหม
ฉันขอตอบเธอว่า
ทุกข์โทมนัสที่ฉันเคยพบ
มันหาคำบรรยายมิได้เลย
เพราะทุกข์ฉันมันเกินทุกข์
เจ็บยิ่งกว่าคำว่าเจ็บ
มืดมิดมากกว่าความ มืดมน
ใดใดในพื้นพิภพนี้
แต่ที่วันนี้ยังมีฉัน
พร้อมลมหายใจที่ลึกละเอียดอ่อน
และก้าวย่างที่สม่ำเสมอ
เพราะฉันเอาสิ่ง ร้ายที่แผ้วผ่าน
มาเป็นภักษาทิพย์
แห่งจิตวิญญาณ
อย่างยอมรับและกล้าเผชิญประจัญ
ฉันเลิกไขว่คว้าหารัก
ฉันเลิกวิ่งหนี จากเกลียด
ฉันเลิกสนใจคำชื่นชม
ฉันเลิกใยดีคำนินทา
ฉันเลิกตื่นเต้นต่อความสำเร็จ
และฉันก็เลิกเศร้าซึมต่อสิ่งพลั้งพลาด
ฉันเดินไปเรื่อยเรื่อยในมรรคา
สิ่งนั้นคือ
ความเข้าใจโลกและชีวิต


จุลธุลี


เมล็ดพันธุ์ของความปวดร้าว


โบกปูนปาดป้ายเป็นตึก
ลึกลึกปวดร้าวราวบ่า
ภาระ หนักล้นทนมา
อนาคต..อนา(ถา)งอ

ชีวิตคือการต่อสู้
เหน็ดเหนื่อยมิรู้ทดท้อ
ขายแรงแลกข้าวกรอกหม้อ
ต่อลมหายใจอีก วัน


เหงื่องานรินหยดรดทั่ว
เอาตัวเข้าแลกแข็งขัน
ตึกสูง ยิ่งต่ำครามครัน
ทุ่มวัน ทุ่มแรงแปลงเมือง


ให้ใหญ่โตโกหรูอร่าม
งดงามการเงินฟูเฟื่อง
ภูมิใจในส่วนสร้างเมือง
ให้รุ่งโรจน์เรืองด้วยแรง


เมื่อตึกใหญ่โตแล้วเสร็จ
เตร่เตร็ดหางานอีกแห่ง
ตะวันตก ดินเรื่อแดง
มือกำค่าแรงออกเดิน


เมธี วงศ์ครุฑ


ดาวเรือง


เห็นดาวเรืองแสงจ้าคราใกล้ค่ำ
ฝากลำนำรักให้ใจวาบหวาม
คิดถึงน้อง ดาวเรืองอยู่ทุกครู่ยาม
อีกในความฝันก็ซึ้งถึงแต่เธอ
กับความหลังฝังใจจำได้มั่น
ทุกคืนวันผ่านไปจำได้เสมอ
อยากพบกันฝันใฝ่ แล้วไม่เจอ
ที่ต้องเพ้อถึงเธออยู่เพียงผู้เดียว
ทุกค่ำคืนพี่มองดูท้องฟ้า
เห็นดาวจ้าแจ่มจับกับฟ้าเขียว
ประดับเดือนดาวเด่นเป็นรูป เคียว
สุดเฉลียวรำพึงถึงกานดา
โอ้ป่านนี้น้องไปอยู่ไหนนี้
คิดถึงพี่หรือปล่าวดาวเรืองจ๋า
เจ้าจะซึ้งถึงใจพี่ไหมว่า
ก่อน นิทราพี่รำพึงคิดถึงเธอ

บุญเลื่อง โตเติมศักดิ์


คิดถึง


ความคิดถึงมีมากอยากเห็นหน้า
พอไปหากไม่เห็นยิ่งเป็นห่วง
คิดก็ เหมือนดาวดับเดือนลับดวง
นี่เราล่วงไปห่วงหาอาวรณ์ใคร


เขาไม่คิดถึงเราเขาก็ห่าง
จึงอารมณ์อ้างว้างคว้างและไหว
คนอ่อนท้อ เริ่มจางพลังใจ
อีกเมื่อไรหนอรุ้งจะรุ่งฟ้า


ชิงช้าเอย แกว่งไกวใบไม้ร่วง
คนไร้คนเป็นห่วงเปลี่ยนสีหน้า
จากที่ยิ้มเป็นหมองทั้งสองตา
ลิ้นเริ่มปร่าหนักสำนึกลึกอารมณ์


หวังทุกบ่อยเมื่อคอยเธอ..ที่นี่
เธอคงมาวันนี้...ไหวแล้วข่ม
เห็นด้านหลังคนอื่น...หลงชื่นชม
เจียนจะจมห้วงน้ำตาฟ้าน้อยใจ


ตะวันเย็นเริ่มจางทางสีอ่อน
แต่เราร้อนเสียจนทนไม่ได้
จากแสงแดดตอนเย็นเป็นแสงไฟ
เราก็ไม่สมหวังระหว่างคอย


ความคิดถึงมีมากอยากเห็นหน้า
พอไปหาก็ปล่อยเราให้เหงาหงอย
คิดถึงมาก ไหวเพ้อ ก็เลื่อนลอย
เขา คงปล่อยเราคว้างฝันนิรันดร



-- ชมจันทร์(กุมภาพันธ์ 2513)


ผ่านมาแล้วแผ่วรำเพยไกล


ถวิลใจในหล้ามาหล่อเลี้ยง
ทุกสิ่งเพียงมายาใยต้องถวิล
กระหายใดในหมื่นด้าวพันแดนดิน
จวบชีวินสิ้นจึงกระหายชาย


ว่ายเวิ้งฟ้าพายุเมฆแล้วเสกรุ้ง
จักปรนปรุงเพื่ออันใดจึงเวียนว่าย
ดุษฏีอุโฆษแล้วเปล่าดาย
อุโฆษร่ายเถลิงเร้าแล้วดุษฏี


สีจัดแล้วซีดจืดสลายหลุด
บริสุทธิ์แล้วแตะแต้มเป็นหลายสี
อยู่เหนือ ดินจักดิ่งดับลับปัถวี
เคยจ่อมจับลับลี้อยู่เหนือดิน


สิ้นสูญจักจำรูญเจิดจรัส
อนันต์ขนัดเปลี่ยนผลัดเป็นสูญสิ้น
วารีเชี่ยวโถมหลั่งเท สายริน
จักเป้นหุบหินผากซากวารี
ผีพรายอาจเกิดกลายเป็นมนุษย์
ขณะคนชีพหลุดก็เป็นผี
โรยราทุกข์ก็สุขสุดทวี
พอทุกข์ มีสุขก็ลี้โรยรา


****


หะหานรชน
ไฉนมุ่งเปรอปรนปรารถนา
สรรพสิ่งดุจสายลมรำเพยพา
ที่ผ่านมาแล้วแผ่วรำเพยไกล


ไม้หนึ่ง ก. กุนที


ไม้เฉา


รางเลือนเหมือนไม้เฉา


สะท้อนเงาบนแผ่นน้ำ


ปลีดกลีบทีละ กำ


แต่ละก้านก็ปลดปลง


ทุกภาพดูพร่าพราย


น่าใจหายไม่มั่นคง


รอเวลาสิ้นลง


แม้เมื่อไหร่ไม่ รู้


ราหหยั่งยังอ่อนล้า


อีกสาขาเคยค้ำชู


บัดนี้หนักเหลือสู้


ค้อมเอนลู่ไม่ยากเย็น


เดียวดายริมชาย ฝั่ง


สิ้นกำลังสู้ลำเค็ญ


เหลือฝันสิ่งเดียวเป็น


แหล่งหล่อเลี้ยงชีพให้ยัง


คำนึงถึงวันเก่า


วัยอ่อนเยาว์-ยาม เปี่ยมหวัง


แผ่ก้านด้วยพลัง


ผลิกลีบสดและงดงาม


ทอดเหม่อมองบนฟ้า


ปุยเมฆาล่องฟ้าคราม


อยาก ลอยละลิ่วตาม


เตลิดฟ่องจนพอใจ


รางเลือนเหมือนไม้เฉา


ที่เงียบเหงาข้างเงาใส


ฟากฟ้าอยู่แสนไกล


ข้าจะไปให้ถึงฝัน


บุญญศักดิ์ ทองน้อย


ฉันรักเธอมาก.


ฉันรักเธอมาก..
ขนาดยอมทนกินก๋วยเตี๋ยวกับเธอ
ทั้งๆที่ฉัน ชอบกินข้าวผัดพริก
คิดดูสิ
ฉันทนดื่มกาแฟดำที่ขมขื่น
เพราะเธอ
แต่ฉันทนไม่ได้
ที่เธอแทะเม็ดก๊วยจี้
ต่อหน้าฉัน
ทั้งๆที่เธอรู้ว่า
ฟันหน้าฉันไม่มี
ฉันเจ็บใจ...เพราะแทะไม่ได้
แต่ไม่เป็นไร
พรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่
มาพร้อมกับฟันปลอมซี่ หน้า
กับเม็ดก๊วยจี้ตรามือ
เถอะนะ..มาแทะด้วยกัน


พัฒน์พงษ์ วีระศิลป์


เชียงดาว


บนเนินแห่งลาดภู นั่นดูเหมาะ
หากเพียงมั่นหมั่นเพาะจะปั้นฝัน
จะ ประดิดดาวปวงแห่งรวงพรรณ
จะทอดวงดอกฝันแห่งดาวพราย


แต่นี่ยังเป็นฤดูเก็บเกี่ยว
แรงเรี่ยวยังเกลื่อนอยู่หลากสาย
ในหุบดอยข้าว ยังรวมอยู่เรียงราย
กลิ่นฟางข้าวยังเกลื่อนขจายในย้อมลม


ไว้ให้ลมหนาวอ่อนเลือนลงเสียก่อน
แล้วจะหลั่งซ้อนสิ่งหวังอันสะสม
จะ หลั่งจิตหลอมใจเลิงระรม
จะระดมเผ่าพงศ์แห่งรักรวม


จะรวม,จะสร้าง,จะประกาศ
จะยืนมั่นดั่งมาดแห่งใจร่วม
จะรัก-จะช่วยกันหนึ่ง รวม
จะดูเด่นเป็นจุดร่วมแห่งเนินดอย


ฯลฯ


ด้วยรักด้วยใจจึงแต่งรัก
ด้วยหลักด้วยใยดั่งไหมสอย
ด้วยเนื้อดั่งผ้าแห่ง ไหมปอย
ทอถักรักร้อยแห่งเชียงดาว


แต่งดาวอวดดาวแห่งดาวเวียง
แต่งเรื่องจะบอกเรียงพิสุทธิ์ขาว
จะบอกโลกว่าโลกจะคู่กับเชียง ดาว
ฉัตรชั้นจึ่งวาพราวแห่งเจดีย์


ยี่สิบห้ายอด, ยี่สิบห้าเจดีย์แห่งเงินฉัตร
เอี่ยมงามเทียบทัดประกายสี
ยี่สิบห้าทอฉัตรรุ้งวิจิตรมี
อาบใจแห่งความดีทุกหัวใจ


ฯลฯ


ตราบด้วยใจมีใจใยวิจิตร
ดั่งใจดาวนิรมิต-กว่าเนียนไหม
รอบเจดีย์ทุกด้านเจดีย์ ไป
คือรอยแทนความอ่อนไหวละเอียดงาม

ฯลฯ


ลมหนาวแผ่วหนาวยังดูเด่น
โลมใจใจยังเต้นยังซาบ หวาม
ลมหนาวแผ่วหอมยังโลมลาม
โลมใจยังถามถวิลอาวรณ์


ดูใดเชียงดาวจะถามดาว
ก่อนเก่ายินข่าวลึกลึกซ่อน
ดูใดเชียง ดาวมาเซาะรอน
มาบีบรัดกัดกร่อนแห่งหัวใจ


ดูใดเชียงดาวมากลายกลับ
ดูใดมาดูดซับอันมาใหม่
ดูใดมาเก่าร้างคล้ำเศร้าไป
ดู ใดมากลบรักแห่งความดี


ฯลฯ


บนเนินแห่งลาดดอยยังดูเหมาะ
แต่น้ำใดไหลเซาะมาปร่านี่
ไยเลือนแลพร่าเกินไป เจดีย์
ไยฉัตรหักรัศมีมาเกรอะไคล


ไยยี่สิบห้ายอดเจดีย์มาหดเห็น
หักด้วนเพียงเป็นครึ่สมัย
ไยสีน้ำตาลฉาบคราบด่างทุกด่านไป
และฉัตรเงินยังเอียงอยู่ได้ไม่ครบดาว


ฯลฯล


ลมหนาวโลมหนาวยังลามเด่น
ลามใจใจยังเต้นแต่เหน็บหนาว
หนาวหุบห่ม ดอยประดังราว-
หนาวสั่นนารวงข้าวทุกลอมรวง


ลมหนาวเพียงมาแล้วพัดผ่าน
ลืมใดตระการเคยห่วงหวง
ลมหนาวเพียงมาเพื่อชม ปวง
ฤาเพื่อโลมดอกไม้ดวงเพียงแค่นั้น


ฯลฯ


ธัช ธาดา


เอเชี่ยนเกมส์เข้มข้นชนสัมผัส


เอเชี่ยนเกมส์เข้มข้นชนสัมผัส
แจ้งแจ่มชัดมิตรภาพอาบจิต ใส
ไร้พรมแดนแน่นแฟ้นแก่นเกมส์ไทย
แม้ใกล้ไกลรักกัน สัมพันธ์นาน

ไร้การเมืองการค้าหาเพียงมิตร
ชอบชื่นชิด สามารถที่อาจหาญ
แพ้ชนะย่อมมีมิใช่มาร
มิตรภาพยาวนานนั้นหวัง ปอง

& nbsp; สุรภา เดชะ


แด่เพื่อนผู้กล้า


(กลางเมืองที่โหยหาประชาธิปไตย)

1. กว่าเราจะหยัดยืนขึ้นมาได้
ต้องทุ่มเทเพียงไหนจึงได้แกร่ง
กี่หยดเลือดที่ฉาบอาบพื้นแดง
เราจึงได้เข้มแข็งและมั่นคง


เราต้องเสียน้ำตาเราไปเท่าไหร่
กี่ดวงใจ แตกกระเซ็นเป็นผุยผง
กี่ชีวิตล่วงลับและดับลง
กว่าจะได้ทระนงในเมืองไทย


เกิดจากเลือดและน้ำตามาวางราก
หล่อเลี้ยงจากความ ฝันอันยิ่งใหญ่
เฝ้าปกปักษ์รักษากว่าดวงใจ
เป็นประชาธิปไตยได้ชื่นชม


บัดนี้ความเป็นไทยไม่น้อยหน้า
แม้เบื้องหลังผ่านมาจะขื่น ขม
เมื่อผองเราปบดเปลื้องเรื่องโสมม
ชำระล้างโคลนตมสะอาดตา


2. เหลียวมองดูเพื่อนเรายังล้มลุก
ขวัญเอ๋ยขวัญถูกกระตุกจน ผวา
ต้องใช้เลือดแลกเลือดอีกครั้งครา
ความหวีงฉาบฟ้าอยู่รำไร


อยากฉุดมือขึ้นมาให้กล้าก้าว
สู้เรื่องราวเบื้องหน้าอย่าหวั่น ไหว
หากเพื่อนยังไม่ท้อแท้ไม่แพ้ใจ
จงก้าวไปสู้มันอย่างมั่นคง


ชีวิตเจ้าจะเป็นเช่นรากฐาน
และวิญญาณเจ้าจะสร้างให้สูงส่ง
เมื่อประชาธิปไตยเพื่อนยืนยง
ชื่อเจ้าจะจารึกลงในตำนาน


3. โอ้อกเอ๋ยประชาธิปไตย
กว่าจะได้เจ้ามาต้องกล้าหาญ
ต้องใช้ชีวิตเป็น สะพาน
ก่อร่างวางรากฐานด้วยน้ำตา


มีบ้างไหมได้มาอย่างว่าง่าย
สักกี่รายที่เขาวางอย่างสง่า
มีครั้งไหนชีพไม่ดับไม่ลับลา
สู้ เถิดเพื่อนจ๋า อย่าท้อเลย


ชาคริต เกตุคง
ที่มา เนชั่น สุดสัปดาห์ 15-21 ต.ค. 2541


ตะวันลา-มีนาคม


สีทอง สานละอองอันกรองกลั่น
ฝีแปรงแสงตะวันอันเนียนกริบ
แสนปราย-สายตะวันอันเป็นทิพย์
โพล้พลบพร้อยพริบวิบวับฟ้า

คน และโลกลึกไปใต้ผิวเปลือก
ใจ และเมฆริ้วปลิวระทิวผา
ล้วนแต่หลอมละลายตนแด่มนตรา
โอ, กระแสสนธยา-มีนาคม


ประกาย ปรัชญา


ลุกขึ้น.... เพื่อนยาก


เดอนไปเถอะนะเพื่อนยาก
ความลำบากคือบทเรียนเพียรให้ถึง
และวันนี้ใช่ที่สุดความลึกซึ้ง
แต่เป็นเพียงวันหนึ่งซึ่งเผชิญ


เราเคยฝันถึงทุ่งกว้างทางดอกไม้
พลังใจของหนุ่มสาวยิ่งเขาเขิน
อุปสรรคทายท้าน่าเพลิดเพลิน
มองจุดหมายไม่เคยเกินจะก้าวไป


แล้วก้าวแรกของทุ่งกว้างคือทางหนาม
ทิ่มตำจนลุกลามเปนพิษไข้
เปล่าเปลี่ยวเหน็บหนาวร้าวหัวใจ
ไร้ดอกไม้แซมผมหรีดดมดอม


มองจุดหมายมืดมนจนทดท้อ
ไฟที่ก่อมอดมลายไม่หล่อหลอม
อยู่กับความเจ็บช้ำและจำยอม
แวดล้อมมายาฆ่าสัจธรรม


แต่จงเดินไปเถิด
ให้สมค่าที่ได้เกิดแม้กลืนกล้ำ
มิเพียงอยู่รกโลก ไปตามกรรม
ถึงฝันค้างอย่างซ้ำซ้ำจงทำใจ


ลุกขึ้น..เพื่อนยาก
เราจะถากถางทางสร้างฝันใหม่
ถึงเป็นเหยื่ออุดมการณ์คนต่อไป
เราจง"ให้" เพื่อจะ "ได้" ฝันกลับคืน


สานตะวัน


วันหนึ่งฤดูหนาว





































































วันหนึ่งฤดูหนาวเล่าเรื่องราวร้าวดวงใจ
รังนกในต้นไม้มีแม่ลูกสี่ห้า ตัว
พ่อนกถูกยิงทิ้งไร้พึ่งพิงจริงน่ากลัว
แม่นกนำตนตัวหาอาหารงานต่อไป
สั่งเสียเดี๋ยวแม่กลับหาลาลับกลับถิ่น ไกล
อย่าซนสั่งลูกไว้ว่าเด็กดีชี้ชวนฟัง
สั่งเสียด้วยความ ห่วงเหมือนดั่งบ่วงถ่วงใจหวัง
ทิ้งลูกตามลำพังสู่พงหญ้าหาหนอน มา
ลำบากไม่ปริบ่นยอมทุกข์ทนขนเหยื่อหา
คิดถึงพ่อนกนาบินกลับรังไม่รั้งรอ
ทันใดมัจจุราชเสียงเปรี้ยงปราดยิงถูก หนอ
ลูกจ๋าแม่ร้องขอยกโทษให้ไปไม่ทัน
หัวใจแตก สลายมานอนตายหายไปพลัน
ลูกนกรอแม่นั้นถึงค่ำคืนขื่นขม ใจ
ว้าเหว่และหวาดกลัวปลอบน้องทั่วตัวพี่ใหญ่
น้องจ๋าอย่าร้องไห้แม่จวนกลับพี่รับรอง.

สุรภา เดชะ

เวร


แสวงใดไปสุดหล้า
แสวงฟ้ามาสู่ดิน
แสวงดาวก็ดับดิ้น
แสวงสิ้น ลงขาดสูญ
แสวงหนแสวงหา
แสวงมาล้วนอาดูร
แสวงเพิ่มทุกสิ่งพูน
แสวงปูนแต่เปล่าดาย
แสวงทาสทรธรรม
แสวงกรรมวิบากกาย
แสวงเล่ห์เพทุบาย
แสวงหายไปทุกหน
แสวงสืบที่ทอดสาย
แสวงวายทุกมณฑล
แสวงชีพมิเห็นชน
แสวงป่นสลายแล้ว


อชันตะ


น้ำหยดเดียว


น้ำหยดเดียว


คืนนี้ไม่มีบทกวี


กระดาษเปล่ารวดร้าวหาคำพูด
ในหัวใจข่วนขูดรอยบาดแผล
เป็นดอกไม้ไร้ค่าต่อตาแล
ความคิดอันอัดแอแพ้อารมณ์


ดังเรือน้อยหลงทิศพิชิตฝั่ง
ใกล้แตกพังกลางเกลียวคลื่นขื่นขม
เห็นนางนวล เยาะหยันในสายลม
เห็นตัวตนซานซมเคว้งคว้างลอย


ในคึนนี้ไม่มีบทกวี
ไร้คำหวานมาลีร้อยสายสร้อย
ก้อนหินมิอาจเจียระไนเป็น เพชรพลอย
แสงหิ่งห้อยสุดท้ายจวนลับตา


กระดาษเปล่าสะท้อนได้แต่ว่างเปล่า
มองดวงเดือนนิ่งเนาอยู่บนฟ้า
ค่ำคืนนี้สิ้นไร้กลิ่น ผกา
ใจอ่อนล้าราโรยอย่างเงียบงัน


วิชาดา ศ.มอร์ริสัน


เหรียญห้า


เหรียญห้าเจ้าปัญหาเหรียญห้าบาทนี้
ดูให้ดีนะเธออย่าเผลอไผล
นึกว่าเหรียญบาทขนาดเท่ากันไป
เมื่อนึกได้หมดหลายห้าน่าอาย

เหรียญห้ามีปัญหามาแต่เริ่ม
แต่ก่อนเดิมเก้าเหลี่ยมมีเทียมหลาย
ต้องยกเลิกเบิกจ่ายไปมากมาย
ใช้สบายรุ่นนั้นอันกลมโต


บัดนี้มีเหรียญห้าออกมาใหม่
ขนาดใหญ่เท่าเหรียญบาทอนาถโถ
ซื้อถั่วงอกอย่าลืมบอกอาโก
จะเสียโง่เถียงกับแกแน่นอน


รถเมล์ขึ้นล่องต้องบอกกะปี๋
แล้วไม่มีเรื่องโกรธเคืองกับหล่อน
ว่าให้เหรียญบาทมาขอตังค์ทอน
ต้องเปียกปอนศึกน้ำลายอายคน


คนหัวใสใช้หมึกเขียนเลขห้า
ไม่ขายหน้าแน่ถูกแม่ค้าบ่น
ไมรู้เหรียญอะไรใช้ปะปน
เสียหน้าตนพลอยเสียคนจะจนใจ


วอนขอโรงงานกษาณ์ทราบด้วย
คราวหน้าช่วยทำขนาดให้ใหญ่
เพื่อมิต้องระอาขายหน้าใคร
ช่วยแก้ไขด้วยเถิดหนอ หน่อยนะจ้ะพ่อคุณ


"หมอคิวรอ "
สิงหาคม พ.ศ.2532


ฝากถ้อยถึงเธอ


..เด็กสาววัยแรกรุ่น
หอมกรุ่นจรุงลักษณ์สง่า
หวานพักตร์ งามผิวติดตา
จ้องหน้าฉันเก้อเขินอาย


ฉันก็เป็นหนุ่มแรกรุ่น
วัยวุ่นวัยรักสมัครหมาย
ต่างอยู่ในห้วงเดียวดาย
เวียนว่ายความ ทุกข์สุขปน


มองหน้าเพียงพาเพลินบ้าง
โฉมสอางคงไม่สับสน
คุยกันบ้างนะนฤมล
ฐานเป็นคนร่วมโลกกัน


อนาคตอันไกลไม่ แน่นอน
สร้างไมตรีไว้ก่อนเถิดจอมขวัญ
ไว้เวลาแรมร้างห่างไกลกัน
ฝากใจฝันถึงบ้างบางเวลา


แปรปรวนเปลี่ยนไปไม่คงที่
อาจจากกันคืนนี้แล้วเธอจ๋า
จงลืมสุขทุกข์ยากลำบากมา
ลับตากันแล้ว...จะลืมเลือน ฯ


ระตะนา...


ไม่พัฒนา


สัตว์ป่าที่ป่าเถื่อน
ฤาเถื่อนเท่าคนสัตว์ป่า
รุกไล่ไพร พนา
และรุกล่าประชาชน

มีสิทธิ์และมีเสียง
ทั้งสิทธิ์เสียงก็ถูกปล้น
สิ้นเสียงลงบัดดล
เมื่อสัตว์คน ใช้ กำลัง


อนาถรัฐ-พัฒนาชาติ
จึงผลาญราษฏร์มิรู้ยั้ง
ยัดเยียดและเบียดบัง
สตังค์เข้ากระเป๋าใคร


อีก กี่ครั้งต้องสร้างเขื่อน
อีกี่เขื่อนจึงสมใจ
หมายเพียงกระแสไฟ
ไม่แยแสกระแสคน


น้ำตาเหมือนน้ำตก
อยู่ในอก ประชาชน
น้ำเลือดทมี่เดือดข้น
มันหลั่งล้นจนเข้าตา


คัดค้านเพราะเป็นคน
คนเป็นคน ไม่ใช่หมา
รู้คิด รู้คุณ ค่า
รู้ว่าควร หรือไม่ควร


ครวญคิดสักนิดน้อย
ฤาควรถ่อย,ควรถี่ถ้วน
ควรแข็งกร้าว-ควรนุ่มนวล
ควรเป็นคน หรือ สัตว์คน


เป็นคนเพราะรู้คิด
รู้ถูกผิดรู้เหตุผล
เป็นสัตว์เพราะเถื่อนข้น
ภาษาคน ไม่รู้ฟัง


พัฒนาจิต ใจมนุษย์
ให้ผาดผุด จึงเลิศขลัง
ตราบยัง ใช้กำลัง
ใจยังสัตว์ ไม่พัฒนา


แก้ว ลายทอง


ข้อคิด ร.6


จงอย่าเคียดขึ้งแก่ ผู้เป็นมิตร
แม้ว่าเห็นสิ่งผิด เตือนตอบ
อย่ามัว แต่เกรงจิต เสียประโยชน์
แม้เห็นว่าสิ่งชอบ ช่วยซ้องสรรยอ
อย่าขอของรักผู้ เป็นเพื่อน กันนา
เงินและทองอย่าเยือน หยิบยื้ม
ของหายากก็เหมือน กันอย่า ยืมเลย
เยียจะตัดความปลื้ม ปราศสิ้น ไมตรี
ควรที่ผู้รู้ลักษณ์ ศัตรู
คือปากปราศรัยดู สนิทแท้
ภายใน จิตคิดอยู่ มองมุ่ง ร้ายแฮ
ในคิดดุจนอกแล้ มิตรแม้ ควรถนอม


ผู้ชั่วย่อมมุ่งได้ แคะโทษ
อย่านิตย์จงจิตโกรธ กราดเกรี้ยว
สิ่งใดไม่ เป็นประโยชน์ พึงปลิด บ้างเทอญ
หาไม่ทุกข์โทษเลี้ยว ลดต้อยตามดู
ผู้ใดใจโกรธแค้น เคืองหมาง เราฤา
เร่งเพาะไมตรีพลาง ตอบให้
ความชอบจะได้ปาง หลังแน่ เจียวพ่อ
เวรจะระงับได้ แต่ด้วยอเวรา


ความใดมิตรห้ามหยุด อย่าทำ
มิตรรักทักด้วยคำ เสน่ห์แท้
คงบังบทพูดขำ จงอย่า ใช้เลย
เยียจะปดโป้แล้ หลอกเหล้น เป็นวง


พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว


กู


กูเทพเจ้า
กูซาตาน
เมาอ้วกคลานนอนข้างถนน
เช้าแล้วโว้ยนั่นผู้ คน
เหลียวมองสองเราไม่เข้าใจ


ลุกขึ้นเถิดซาตานเพื่อนยาก
ตื่นแล้วโว้ยสหายผู้ครองตำหนักใหญ่
ถึงเวลาต้องแยกกันไป
ทำ งานหนักหักล้างทำลายกัน


กูคือซาตานเจ้านรก
กูคือเทพเจ้าปกครองสวรรค์
พบกันสองเราต้องเมาพลัน
บรรดามนุษย์เย้ยหยันเรา


ลุกขึ้นสหายรัก
กลับตำหนักสุสานเก่า
บูชากูคือเทพเจ้า
สาปแช่งกูซาตานจอมล้างผลาญ


ขึ้นนรกลงสวรรค์
พบกันใหม่เมาอ้วก คลาน
รุ่งเช้าเราแยกไปทำงาน
บริการศรัทธามหามนุษย์ยิ่งใหญ่ผู้เลิศล้ำ
ค่ำเราเข้าร้านเหล้าเมาเป็นประจำ


ศักดิ์ชัย ลัคนาวิเชียร


การุณยภาพสุดท้าย


ร่างร่างหนึ่งคู้ข้างคลองร้องโหวกเหวก
ชักชวนเด็กชี้ตะโกน โน่นคน บ้า
ช่วยกันทุ่มไม้เขวี้ยงทุบเหวี่ยงปา
โซเหมือนหุ่นไล่กาขี้ตากรัง

เพียงซมซานไปนอนซุกศาลาวัด
คงเซซัดซอนหลุดจากคุก ขัง
ทำโถมท้าอาละวาดสาดเสียงดัง
ตะโกนคลั่งหวังแต่ให้ฟ้าได้ยิน


เสียงนั้นกู่ว่าดูเถิดมัจจุราช
ท่านคือเพชญฆาตหัวใจหิน
สิ้น แล้วลมปราณของแผ่นดิน
จ้วงจอบทุบถึงบุบบิ่นถูกหินกระทบ


น้ำซึ่งวักตักดื่มกลับขุ่นขอด
ลมซึ่งสูดซับปอดกลับคงันตลบ
ไฟซึ่งส่อง โชติช่วงใช้เชื้อครบ
ดินมีไว้ใช้ขุดกลบศพเกลื่อนล้น


กระดูกเป็นดิน หินหายเป้นทรายฟุ้ง
เป้นสุสานคว้างคลุ้งคลุมฝุ่นข้น
ทุกลำน้ำร้าง ปลามาว่ายวน
เป็นป่าช้าที่ลอยปนซากกุ้งปู


ร่องดินร้าวแยกระแหงลึก
กร่อนสึกปล้องหญ้ายังกรอบอยู่
ผากเผาร้าวบิ่นหินแหลกรู
จะล้มตายหรือรอดอยู่มิต่างกัน


ขวัญสิ้นลงไปซบดินอนาถา
ตัวพุบฟาดเหนือลาดหนองคูคลองคั่น
ครั้นเงยพบภาพหนึ่งถึงกับงัน
ตื้นตันตีบทั่วทั้งหัวใจ


ลึกสุดก้นคูคลองก้นกองขยะ
เห็นผักบุ้งทอดมาระคลุมดอกให้
ส่วนน้ำเน่าถูกแดดแผดเป็นไอ
กลั่นเป็นฝนหล่อรด ใบเลี้ยงเลือดเนื้อ


คูงวดโคลนข้นแข็งน้ำแห้งหาย
ยังเคี่ยวคั้นหยดสุดท้ายออกแผ่เผื่อ
เถาผักบุ้งรอดความตายได้น้ำเจือ
ก็บานเพรื่อ ประดับคูดูม่วงพร้อย


เสียงแหบพร่าว่าเชิญเถิดมัจจุราช
เชิญพิฆาตทุกสิ่งสรรพให้ยับย่อย
ความเป็นโลกอย่าเร้นเหลือสักเศษรอย
โปรด แต่ปล่อยเถิด ตรงนี้ ขอชีวิต


ร่างร่างหนึ่งคู้ข้างคลองเริ่มร้องไห้
ก้มลงจูบลูบไล้ใบกระจิด
ใครจะถีบถองขู่ไม่สู้ฤทธิ์
ห่วงแต่ปิดป้องใบไว้ มิให้ตาย


อัญชัน


สุขสุดท้าย


เขาลำบากยากเย็นเป็นเนืองนิตย์
ไม่เคยคิดเห่อเหิมเพิ่มพูนศักดิ์
อาศัยเคล้าคลอเคลียเคียงเมียรัก
จึงรู้จักอดออมถนอมใจ


เมียช่างงามล้ำเลิศประเสริฐแสน
ทนยากแร้นกับผัวไม่มั่วไหน
ชีวิตนี้มี หนึ่งไม่พึ่งใคร
ผัว_เมียให้คำมั่นคำสัญญา


แต่เวรกรรมนำไปให้อนาถ
ต้องนิราศขาดกันเลิกฝันหา
ผัวสร้างความลำเค็ญเย็นไม่มา
เมียวุ่นว้าอาวรณ์สังหรณ์มาน


ผัวเคยกลับมารับขวัญเป็นมั่นหมาย
ไม่เคยหายกายไกลไปจากบ้าน
ข้าวมื้อเย็นเห็นว่าจะมาทาน
ไม่คิดอ่านหาอื่นแอบชื่นเชย


ออกตามตัวผัวรักสลักจิต
พอไปพิศภาพผัววางตัวเฉย
ไม่หันหน้าหาเมียเสียบ้างเลย
สุขเขนย เย้ยหยันกันมิวาย


ร่ำโศกาถลาลับกลับไปบ้าน
ปลิดชีวิตอวสานไม่นานสาย
ผัวสร่างเมาเข้าบ้านสำราญกาย
สุขสุดท้าย..ที่ได้พบ.. คือศพเมีย...


บัญชา วงษ์พราหมณ์


หน้ากาก


หนูมิ้นมีหน้ากากมดเอ๊กซ์
ใบหน้าหนูเล็ก
หนู่ใส่หน้ากากมด เอ๊กซ์ไม่ได้

หนูมิ้นส่งให้โจ้ใส่
ใบหน้าโจ้ใหญ่
แต่ก็ยังใส่ไม่ได้


โจ้ส่งให้พ่อใส่
ใบหน้านี้ไง
ใบหน้าพ่อใหญ่ใส่ได้พอดี


ทั้งสองอิ่มเอมเปรมปรีดิ์
ทิ้งหน้ากากทันที
ไปเล่นจ้ำจี้กันดีกว่า


พ่อมอง หน้ากากแล้วส่ายหน้า
ยิ้มในดวงตา
..ไปเล่นด้วยคน


แสงเดือน


แสงเอยแสงสุรีย์



แสงเอยแสงสุรีย์
สุริยศรีอันอำไพ
ช่วยหล้าสว่างไสว
สะท้อนให้มนุษย์เชย
แรงเอยแรงรัก
ตระหนกหนักคำเฉลย
รักใดไม่รู้เลย
ช่างเฉยเมยไม่ทั่วกัน
น้อยเอยน้อยใจ
เหตุไฉนเป็นเช่นนั้น
เจ็บนักสุดโศกศัลย์
ใครคนนั้นไม่นำพา
คราใดไขว่คว้าเดือน
ก็ดูเหมือนจะยิ่งไกล
เจ็บนักปวด ร้าวไฉน
ดวงเดือนใกล้ไม่มีทาง

ข้ออ้อย


หัวใจลายจุด : ชีวิตหมาๆ


เดิมทีดัลเมเชี่ยนสีขาวสะอาด
แต่พระเจ้ากลัวคนจะรักมันมาก ไป
เป็นที่อิจฉาของตัวอื่นๆ
เลยแกล้งเอาสีดำมาแต้มจุดๆให้
แต่มันกลับดูน่ารักไปอีกแบบ

หัวใจหนูก็เช่นกัน
ท่านคงกลัวคนจะรัก มากเกินไปหรือ
ถึงได้ชอบให้ใครต่อใครมาแต้มจุดให้
แต่โชคดี ที่มันเป็นจุดสีชมพู
หัวใจลายจุดของหนู เลยไม่น่าเกลียดจนเกินไป
ขอเพียงน่ารักแค่ครึ่งเดียวของดัลเมเชี่ยนก็พอใจแล้ว...


กอหญ้า


เสียง


ดึกดื่นค่อนคืน
โมกหอมรื่นลมร่ำมารวยรวย
รู้ว่าไม้แมกไม้อยู่ตรงนั้น
อยู่ เป็นแถวตรงคันเดินข้างลำห้วย
กระสาแต่กลิ่นชื่นลมชวย
ยินแค่น้ำรินระลอกห้วยก็เย็นใจ

ละไมมาด คำฉวี


เราโง่หรือเพื่อนร้าย


เมื่อเรามีเงินทองพวกพ้องเพียบ
สุดจะเปรียบเปรยใดไม่ห่างเหิน
ทุกเช้าเย็นคอยเอาใจใครจะเกิน
ยามว่างเชิญชวนไปได้ดื่มกิน


พาเข้าผับเข้าบาร์เข้าคาเฟ่
ดูช่างเก๋สง่าแท้แม่โฉมฉิน
สาวออดอ้อนป้อนเบียร์ที่เธอริน
ดื่มแล้วดิ้นแสนเริงร่าชีวาเรา


เพื่อนสั่งเบียร์เหล้าเพิ่มเติมกลับแกล้ม
ยังบอกแถมนักร้องด้วยช่วยแก้เหงา
สุขสำราญเคลิบเคลิ้มเมื่อเริ่มเมา
ได้คลอเคล้าสาวงามยามราตรี


พวงมาลัยให้นักร้องไม่ต้องคิด
ล้วนแต่ติดเป็นพวงใบม่วงสี
ขอมอบให้ด้วยใจอันเปรมปรีดิ์
เพื่อนแสนดีปรบมือให้ไม่มีปราม


เสาร์อาทิตย์มิตรทั้งมวลชวนเล่นม้า
เป็นการหาเสริมรายได้ไม่ต้อง ถาม
การพนันทุกชนิดติดพองาม
ใครคิดตามพบโดยตรงวงไฮโล


พอเงินหมดสุดชอกช้ำกำสรดเศร้า
แม้แต่เงาเพื่อนคนไหนไม่มีโผล่
โรคตับแข็งเริ่มกระหน่ำทั้งม้ามโต
นี่เราโง่หรือเพื่อนร้ายหนอชายชาญ


สุพจน์ วงษ์พินิจ


หรือยัง


ในฤดู
ไม้ชราเคียงข้างไม้หนุ่ม
ผลิกดอกออกผล
ผล ใหญ่ใบงาม
กาลนั้น กาลนี้
ฤดูนี้ ฤดูไหน

กระโชกไปสายลม
..เก็บเกี่ยวได้หรือยัง


รุ่งโรจน์ เปี่ยมยศศักดิ์


ผู้คน


เอ๋ย, บางท่านช่ำชองท่องกาลสถาน
ใน เบิกบาน,หม่นเศร้า ใน เงา,แสง
ยินยอมรับทุกปะทะการเสียดแทง
เลือกใช้อ่อนหรือแข็งกับเสียดทาน
หยดตัวเองกลางอารมณ์ระดมรุก
เปียกทุกข์สุขถึงสุดท้าย ที่สุด ผ่าน
ในสัมพันธ์วัตถุกับพลังงาน
ความขมหวานอยู่ตรงไหนในอะตอม
กระไรเลย... หากไม่ถามถึงความรัก
เข้มข้นคลั่กถึงกระจาย เป็นหย่อมๆ
ใครเลือก แบบขัดแย้ง,แบบสมยอม
ใครเลือกแบบประนีประนอม ทำไมฤา
ซ้ำซากไหม.. หากย้อนถามถึงคนเรา
จากใด เล่า ? และจะไปที่ไหนหรือ ?
บรรพชนล้วนก็เคย เป็น, อยู่, คือ
สายลมฮือพาเหล่าท่าน ไปใดแล้ว

ไม้หนึ่ง ก.กุนที


ดื้อรั้นรัก ?


จะรักเธอเสมอไป ใช่หรือเปล่า
หรือชั่วครั้ง ชั่วคราว ครู่กระหาย
เพียงเพื่อ เคลื่อนบางกำหนัดให้ขับคลาย
ก่อนแยกกันเดียวดาย เสมือนเดิม
จะรักฉันอยู่เสมอ ใช่หรือไม่
เอ่ยถามไป ทวงเวลา และ แรงเสริม
มากันไกล ถึงสุดพอ หรือต่อเติม
ตอบโดยลึกอาจสั่นเทิ้ม ทั้งสองใจ

ฉันรักเธอไปเสมอ ได้ไหมนั่น
นิ่งเฉยเมย แม้สัมพันธ์เราสั่นไหว
มันจะกร่อย มันจะเปราะสักปานใด
ทำไม่รู้ไม่สนใจ รู้เพียงรัก
เธอรักฉันเสมอไป ได้ไหมนั่น
โดยข้ามผ่านการบีบคั้นแบบหนักๆ
กัน และกันบาดแผล หยุดคุ้ยซัก
ยืนยันรักแม้บกพร่องหลายประการ


ไม้หนึ่ง ก.กุนที


บาหลี


บาหลีเป็นเมืองติสท์
ทัวริสท์เดินกันว่อน
ทั้งอเมริกันและอิงริช
แจแปนิชก็เดินร่อน
ทัวร์ไทยเหลือเพียงนิด
เงินบาทเป็นพิษมันลอยว่อน

มองหาโรงแรมบาลีนิส
ช่างหลบมิดชิดใน ซอยซ่อน
มีแต่หน้าม้าท่าทางฟิต
ยกทัพประชิดมารุมต้อน
แต่พอรู้ว่าข้าไซแอมมิส
ที่ตอมที่ติดก็หายไปทั้งก้อน


เซย์โน..โอ ไม่ ไหว ไซแอมมิส
ประเทศยูแค่นิดดันมีหนี้ฟ่อน


วุฒาภรณ์


วาดฝัน


ตราบดาวตายังเห็นดวงดาว
มีความหวังพรั่งพราวแม้หนาว สั่น
เรายังตื่นมิหลับกัปกัลป์
เรายังมีความฝันมีวันพบ

รุ่งอรุณเวียนวนสนธยา
ไขตำนานอ่านตำรากี่คราจบ
ใจ พ่ายหมายรุกอีกี่รบ
กี่ความจริงไม่อาจจบความเข้าใจ


หยิบไม้ค้อนจับก้อนดินเป็นอาวุธ
จอบขุดพร้าถางหาทางใหม่
จุด ใจไฟจ่อก่อกองไฟ
อุ่นให้คลายหนาวทุกคราวครั้ง


ตราบดวงตายังเห็นดวงดาว
แสงหวังพรั่งพราวราวฟ้าหลั่ง
หากดวง ตาราตรีมีเมฆบัง
มีความหวังเหมือนชื่นได้ตื่นเช้า


ฝันสิ่งใดใจเจ้าฝันถึงวันพรุ่ง
เพียงพอเพื่อทอรุ้งเหนือทุ่งข้าว
เพียง พอเพื่อต่อเพิ่มเติมเรื่องราว
ทางยิ่งไกลใจเจ้าย่อเข้าใจ


ณัฐกานต์ ลิ่มสถาพร


สวนเสน่ห์


หยาดฝนฟื้นพืชพฤกษ์สวยสวนเสน่ห์
ชื่นชอุ่มเห่พืชพันธุ์สรรสด เขียว
มวลไม้งดกล้วยงามเครือคล้ายเคียว
นิ่งยางเดี่ยวดัดตนหลอกบอกปลากราย

วิดวี่วิดอีดอีดหลบกรีดเสียง
เพียง โผลงซ่าแหนแตกแหวกน้ำหาย
แมลงปอหยอกล้อลมที่พรมพราย
พลันงุบโผลงซ่อนกายกลางลานใบ


เงียบสงบยินลมพัด ใบไม้ไหว
ฟังชัดปีกแมลงไต่ตอมดอกไม้
สรรพเสียงวิหคเสนาะเฉพาะไป
คลอประทิ่นกลิ่นวิสัยสวนอุดม


เย็นยายพาย เรือลัดตัดใบตอง
หยุดยกยอในคลอง-คล่องแดดร่ม
ลุงขยันตัดเตยตามร่องตม
เด็กหนุ่มก้มตวัดเบ็ดเสร็จข้องปลา


ถนนปูนตลอดทอดสู่สวน
คล้อยเย็นแสงสวยนวลเริ่มหุงหา
เด้กน้อยสะพายเป้เหเรือนมา
กลับจากเมืองเรืองวิชาสมัย ใหม่


เสร็จเด็กน้อยฉวยโชงโลงวิดน้ำ
ท่องเพลงอยู่งึมงำยินสดใส
ยายเด็ดผักรวบกำแล้วปลิดใบ
พร้อมบ่นเจ้าอย่าซน ไปพลางถากดิน


ร ปริศนา


ให้


นกน้อยมิได้ให้ชีวิต
แต่เหยี่ยวใหญ่ใช้กำลังเข้าปลิด
ลูกไทรเองก็ติดขั้ว
หรือตกดินวางตัวอยู่อย่างนั้น
นกหกต่างหากมาจิกกิน
ส่วนขอนผุที่เปื่อยผงลงโคนไทร
กลายเป็นอาหารของไม้ใหญ่
เหมือนหรือต่าง กันลักษณะไหน

ละไมมาด คำฉวี


วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

ประวัติศาสตร์


เรามองห็นความจริงไม่ถนัด
เพราะประวัติศาสตร์มันบังอยู่

ประวัติ ศาสตร์ซ้ำรอยเพราะมนุษย์
พยายามแหวกความซ้ำซากจำเจแล้ว
แต่มันไม่เป็นประวัติศาสตร์


หลังจากนั่งหลังขดหลังแข็ง
เขียนประวัติ ศาสตร์อันยิ่งใหญ่จบบริบูรณ์แล้ว
ก็ถึงเวลาที่จะมานั่งกุมขมับว่า
จะแก้ไขประวัติศาสตร์อย่างไรดี


แฟชั่นก็เหมือนประวัติศาสตร์นั่น แหละ
เรามองเห็นมันหมุนไปข้างหน้า
อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดนิ่ง
แต่พอเราเผลอทีไร
มันย้อนกลับมาซ้ำรอยเดิมทุกที


หากซ้ำ รอยไม่ได้
ก็ไม่ใช่ประวัติศาสตร์


ณรงค์ พัว ประพนธ์พันธุ์


โลกภายใน


ใจประจักษ์สักคราไหม
ชีวิตด้านใน
ไหม ? นักแสวงหาเดินทาง

โลกนอกเดินเดียวเปลี่ยวว้าง
มุ่งเช้ารางชาง
หวังค้นด้นไปทางพบ


ใฝ่หวังโลกซึ่งสุข-สงบ
ย่ำเดินเนิ่นพลบ
โลกอุดมคติมิสบพบมี


ผิดหวัง, เลิกล้าท่าที
สับสนวิถี
ก่นถุย,เมามาย-มืดแล


แววตาอกหัก-บาดแผล
ไม่พบสบแท้
ไม่พบทางไปหม่นมัว


ด้านนอกหยุดเดินสักชั่ว
เดินทางในตัว
ท่องโลกชีวิตด้านใน


เถอะ ! สงบสักประจักษ์ใจ
ดิ่งลึกลึกไป
พบไหมรหัสนัยชีวิต


ภายนอก-โลกมิดแสงมิด
ดื่นดึกมืดสนิท
ยังแจ้งโลกใจจิตวิญญาณ ฯ


นก ปักษนาวิน


ปิติแห่งปีกนกเปลี่ยวเปล่า


ยินดีอย่างยิ่งในรอคอย
ดอกไม้ดอกน้อยจะลอยไหว
ในบึงน้ำน้อยจะลอยไป
เรื่อยเรื่อยและเอื่อยให้สายลมล้อ

ภาคภูมิอย่างยิ่งในความแพ้
ปีกนกปรวนแปรจะปัดต่อ
กระพือข้ามแนวทุ่งที่รุ้งทอ
มิถึงรุ้งก็เพียงพอ และพอใจ


ไกลไปจากที่หมายมั่นก็ฝันว่า
แม้นได้ฝันอีกครา ถ้าฝันใหม่
ใกล้ก้ได้หากว่า ถ้าฝันไกล
หรือฝันดับจะลับไปก็ให้ลับ


จะภาคภูมิจะยินดีจะปีติ
ท่วงทำนองไม่รู้สิ ! กี่เพลงขับ
เพียงพอในความหมายทั้งพ่ายพับ
นับใหม่ ให้หนึ่งนับ ให้กัปกัลป์


อย่างเราอย่างมากก้ไร้
มากกว่านี้ก็หาไม่ ให้ผกผัน
ปีกนกเปลี่ยวเปล่า เราฝ่าฟัน
แนวทุ่งเหล่านั้น เราฝ่าไป


ยินดีแทบแย่ในแผลพร้อย
อิ่มเอมรอคอย ยังรอไหว
ดอกไม้ในบึงน้อยจะลอยไกล
เรื่อยเอื่อย เออ ! เรื่อยให้ไม่กลับมา


ปีติยิ่งนักในรักแพ้
เพียบพร้อมบาดแผลให้แลหา
ไกลจากที่หมายมั่นเพราะฝันมา
ว่าจะพบก็พบว่า ดังคาดไว้


มิมีสิ่งใดเหนือคาดการณ์
โลกคือลักษณาการอันพล่านไหว
คือบิดผันแผดเผาจนเร้าใจ
ที่สุดแล้วเนื้อในไม่ผิดคิด


ภาคภูมิอย่างยิ่ง ในความแพ้
...............................


ลายเคง ควนหัวครก


ดอกไม้และสายฝน


ดอกไม้และสายฝน
ร่วงหล่นไปตามฤดู กาล
เมื่อวันเวลาผ่าน
เปลี่ยนไปกี่ฤดูกาลก็เหมือนเดิม
แต่ความรัก...
ไม่เป็นเช่นดอกไม้และสายฝน
ใครบางคนผ่านมาแล้วจาก ไป
ฤดูกาลเปลี่ยนเท่าไร
..ก็ไม่มีวันเหมือนเดิม

...LOve.


เพื่อนทุกข์แห่งโลก


ปรารถนาใดหรือจึงดื้อนัก
ให้รักกลับลาญผลาญหาย
ให้ชอบตอบชังกระทั่งวาย
สุดท้ายให้เกลียดกลับเลียดรัก

ปรารถนาใดหรือจึงดื้อคิด
เก็บนิดเก็บน้อย จนค่อยหนัก
แบกปัญญาสารพันยากฝันพัก
โง่นักหลงรู้ไม่ดูตน


ปรารถนาใดหนอในโลกหนึ่ง
โลกที่ลึกลึกซึ้งจนสับสน
โลกที่ตื้นตื้นเขินเสียเกินทน
โลกที่พ้นผ่านเพียงเสียงถอนใจ


เกิดกี่หนตายกี่หนบนทางนี้
เศร้ากี่ทีกี่สุขบนยุคสมัย
กี่สันติวิธีกี่ฟ้าชัย
กี่คุกขังหมองไหม้มืดทรมาน


สัตว์สังคมกี่ตัวที่หัวหมุน
ปี่สัตว์ป่าทารุณ เข่นสังหาร
กี่มนุษย์ช่วยเหลือจิตเจือจาน
กี่วิญญาณ ปลอบโลกกี่ย่ำยี


ปรารถนาใดหนอพ่อเพื่อนยาก
ประสงค์ใดแม่ขวัญพราก น้ำตาปรี่
เมื่อโลกฝันวันโน้นกับวันนี้
ไม่เห็นมีโลกฝันวันนั้นเลย


เราเหมือนล่วงคืนวันแห่งฝันร้าย
สู่ยุคมืดที่คล้ายจะเปิดเผย
สู่ยุคไทในชาติเช่นทาสเชลย
เราเหมือนเคยรับรู้และไม่รู้


ปรารถนาสิ่งใดในชีพเปล่า
ชีพที่บางพร่างเบาเหมือนฟองสบู่
ชีพที่มองเห็นได้เพราะตาดู
สัมผัสการดำรงอยู่ด้วยกายยัง


ฤามิปรารถนาแล้วสำหรับโลก
เข้าวิมุตติโลกุตรโยคลึกเกินหยั่ง
ยินกระซิบอยู่เพียงเสียงระฆัง
เคาะเรียกสู่ฝั่งนฤพาน


ฤายังปรารถนาทุกปรารถนา
เป็นนักสู้ผู้กล้าจนหน้ากร้าน
ตายสิบเกิดแสนเพื่อซมซาน
แพ้พับนับล้านโลกผลาญชัย


โอ้เพื่อนทุกข์แห่งโลกโลกแห่งทุกข์
โลกแห่งยุคละเมอเมื่อยามหลับ
ปรารถนาใดหนอคออ่อนพับ
สุดจะจับแม้ลมลอดหายใจ


เมื่อฟ้ารุ่งพรุ่งนี้ย่อมมีฝัน
แต่ฤากล้ายืนยันขวัญยุคสมัย
นอนผวาสะทกตระหนกใจ
นี่โลกไหนมนุษย์ไหนในโลกนี้


กานติ ณ ศรัทธา


เพื่อน


เจ้าจ้อยเด็กวัด
หลวงตาคอยหัด
ให้เป็นคนดี
แต่ไม่เชื่อ ฟัง
มีเพื่อนทั้งที
คบแต่เด็กที่
เกเรเหลือทน

วันหนึ่งเพื่อนชวน
ไปเข้ากับก๊วน
พวกข้างถนน
ดมกาวทั้งกลุ่ม
น่ากลุ้มทุกคน
หลวงตาโกรธจน
คว้าไม้ไล่ตี

แล้วมาดุจ้อย
ว่าตัวน้อยน้อย
ยังขนาด นี้
ถ้าเจ้าเติบใหญ่
คบเพือนไม่ดี
เห็นจะปล้นจี้
ติดคุกตะราง


เลิกเสียวันนี้
คบเพื่อนดีดี
ได้ประโยชน์ หลายอย่าง
คบใครเป็นเพื่อน
เตือนตนไว้บ้าง
เขาเดินถูกทาง
ค่อบคบหาเอย


บุษบง โควินท์


อัดอั้น


จะเอ่ยปาก ปากก็ปิด
แค่เพียงคิด ก็หนาวสั่น
อยากบอกใบ้ จนมือคัน
กลัวมือมัน มาตัดมือ

มันจุดไฟ มาต่อไฟ
ไฟในใจ ไม่กล้าหือ
ไฟจากมาก ยิ่งลากลือ
ไฟกระพือ โหม แรงไฟ


กระสุนร้อน ประสานร้าย
ทะลุกาย ทำลายใจ
กระสุนชั่ว มันจัญไร
กระสุนใคร ทำร้ายคน


มือระเบิด ขว้างระบาด
ขาแขนขาด เลือดแดงข้น
มือที่สาม มือที่ซน
ผ้าเหลืองป่น อนิจจา


มองหาใคร มาช่วย คลาย
ต่างหันหาย ไม่เห็นหน้า
รอบรอบตัว ก็ล้วนตา
กระหายฆ่า หื่นโหดทราม


จะเอ่ยปาก ถูกปิดปาก
อาจถูก พราก หากพูดพล่าม
ทั้งข่มขู่ ทั้งคุกคาม
ถิ่นใต้ยาม สิ้นร่มเย็น


"เป็นห่วงถิ่นเกิด"
ศานติศุกร์ ตุลา


ฉันยังคงอยู่


เคยดำดิ่งลึกลงไป
ลึกลงไปในแผ่นน้ำ
ทะเลกว้างไกลสีคราม
งด งามด้วยหมู่ฝูงปลา

เวลาผ่านพ้นไม่นาน
ฝูงปลาซมซานอ่อนล้า
ทะเลหม่นมัวสายตา
ด้วยมืออันหยาบของคน


ผู้คนทะมึนเต็ม ฝั่ง
รุกรานพื้นทราย
คลื่นโคลนก็โยนกระหน่ำ
ซ้ำเติมใจหาย


ฉันยังคงอยู่
เฝ้าดูความเปลี่ยนผัน
ฉันยังคงอยู่
ท่ามกลางความเปลี่ยนไป
ฉันยังคงอยู่
ด้วยใจที่สั่นไหว
ฉันยังคงอยู่
ด้วยใจที่หม่นหมอง


ยังดำดิ่งลึกลงไป
หัวใจครวญ ครางขื่นขม
ทะเลหม่นมัวทรุดโทรม
ไม่มีใครเหลือบเหลียวแล


ยังคงร่ำร้องกันไป
เห็นใจทะเลเถิดคน
ทะเลและปลาทุกข์ ทน
เพราะคนไม่เคยเห็นใจ


นวฉัตร


เราคนไทยรักกัน


ใจเย็นๆไม่จำเป็นต้องทำใจใหญ่
คำว่าลูกผู้ชาย คือผู้กล้าให้อภัย
ไทยกันเอง ทำนักเลงจะได้อะไร
พูดก็ภาษาไทย เขียนก็ภาษาไทย
เราคือทายาทสุดท้าย
บนแผ่นดินไทยของบรรพชน

พ่อขุนราม คำแหง
องค์พระนเรศวร
ทั้งพระเจ้าตากสิน
สู้เพื่อแผ่นดินด้วยความอดทน
เราต่างเป็นลุกหลาน
ได้ลิ้มรสหวานแห่งดอก ผล
จงรู้ระลึกตัวตน
เราคนไทยรักกัน


จากเทือกเขาอันไต
จรดปลายอินโดจีน
กว่าจะมีแผ่นดิน
เหนื่อยยากกันขนาด ไหน
จงให้อภัยแก่กัน
อันความสัมพันธ์มันยาวไกล
อุปสรรคพ่ายแพ้ไป
เราคนไทยรักกัน


หันหน้าเข้าหากัน
เพื่อสร้างสรรค์ สังคมไทย
ใจร่วมประสานใจ
มือร่วมประสานมือ
เราก็คือพี่น้อง
เราก็คือผองเพื่อน
จำมั่นไม่เคยลืมเลือน
เราคนไทยรัก กัน


carabao


เก็บไว้จำ


อยากจะทิ้งไป ไม่คิดจะจำ
ว่าเคยเจ็บช้ำอย่างไร
แต่ลองมาคิดดู ก็ยัง เสียดาย
ที่ทนเรียนรู้อยู่นาน
เมื่อเจ็บจนใจต้องอ่อนล้า
แต่ผ่านเลยมามันเหมือนประสบการณ์
เก็บเอาไว้จำ
เก็บไว้ให้จำ ไว้เป็น บทเรียนในใจ
ไม่อยากให้ลบเลือน
เก็บไว้ให้เตือน
ว่าเคยผลิดพลั้งยังไง
หากวันนี้ยังไม่เจ็บช้ำ
คงไม่ทำให้จดจำ
เจออีก ที
จะหลีกจะหนีได้อย่างไร
รักเอยใจต้องเรียนรู้
รักเอยทำให้หวั่นไหว
ถึงวัน วันที่เข้าใจ
รักใครคงไม่เจ็บช้ำ
อยากจะรู้ จริง
ต้องพร้อมเปิดใจรับความพ่ายแพ้สักหน
บทเรียนที่แสนแพง
จะทำให้คนต้องจำเอาไว้อีกนาน
เมื่อเจ็บจนใจต้องอ่อนล้า
แต่ผ่านเลยมา
มันเหมือนประสบการณ์

สุรักษ์


รู้ไหม


รู้ไหม อยากเจอทุกวันเลย
รู้ไหม ไม่เคยที่จะเบื่อ
และรักนี้ก็มี ให้เธออย่างเหลือเฟือ ไม่ให้ใคร

รู้ไหม เจอะเธอทุกคืนเลย
ฝันถึงสุขใจไม่เคยหน่าย
และวันใดไม่เจอ ต้องรีบกลับบ้าน รีบเข้านอน


ประจำ ก็เป็นอย่างนี้
อย่างน้อยต้องคิดถึงเธอก่อน
มีเธออยู่ในใจแล้วมันสบาย
วันไหนไม่เจอ วันนั้นก็จะซึม
วันไหนเธอเซ็งวันนั้นวุ่นวาย ใจ
วันไหนเธอไปวันนั้นคงจะตาย
ไม่อยากมีวันนั้น


วันไหนเจอเธอวันนั้นก็จะดี
วันไหนคอยฟรีวันนั้นไม่เป็นไร
วันนี้มีเธอ จะรัก เธอต่อไป
เป็นกิจวัตร ของหัวใจ


sank


กันและกัน


บนทางเดินแห่งความมืดหม่นและอ้างว้าง
เธอคงต้องการซักคน ที่จะเข้า ใจ
คนที่มีจุดหมายเหมือนกัน ในวันที่เลวร้าย
ก็คงมี..แต่ฉัน

แม้ว่าเราจะมาจากคนละเส้นทาง
จะต่างจิตใจ แต่ก็ไม่สำคัญ
ขอ เพียงเธอให้ความไว้วางใจกันก็พอ
จะไปด้วยกัน ถึงที่สุด


แค่เพียงเรารวมหัวใจ
ให้เป็นเหมือนดวงเดียวกัน
รักจะเกิดเป็นแรงพลัง
ให้ฉันและเธอก้าวไป


แต่เรามีกันและกัน
จวบจนถึงวันที่แสนไกล
รักจะนำทางให้หัวใจ
ได้เดินไปสู่จุดหมายปลายทาง


เราจะเจอ แต่สิ่งที่สวยงามและสดใส
คือความห่วงใย ของเราที่ได้ให้กัน
บางเวลา หากเธอไหวหวั่น
ให้เธอจับมือฉัน
จะเจอความ อบอุ่น


RS.


เพลงยาวกระบวรไล่หมากรุก


0 อันการไล่หมากรุกสนุกนึก
ล้วนลับลึกเลศ ไนยใช่พาเหียร
ควรใฝ่ฝึกตรึกตรองจองจำเนียร
แม้นแผกเพี้ยนผันผิดพึงคิดระแวง

จงแยบยลแบบแผนให้แม่นมั่น
ตาม ที่กลั่นไว้เป็นกลอนสุนทรแถลง
บัญญัติอย่างอ้างกลยุบลแสดง
เพื่อให้แจ้งเจนตระหนักประจักษ์ใจ


โดยวิธีที่จะเดินประเมิน มาก
มีหลายหลากล้วนเล่ห์สุขุมไข
พึงเพียรคิดคเนคนึงใน
นิยมไว้หวังวางเป็นอย่างยล


กำหนดทีหนีไล่ไว้ ประจักษ์
อย่าชะงักงงง่วงเหงาฉงน
รุกรบรับอัปราแลตาจน
ควรคิดค้นให้กระจ่างอย่าคลางแคลง


0 เรือสองลำกำหนด กฎเกณฑ์นับ
บทบังคับตามพิกัดบัญญัติแถลง
เพียงคำรบครบแปดแต้มแสดง
อย่าพึงแหนงพ้นนี้ไม่มีจน


แม้ว่าเรือลำ เดียวเกี่ยวกวดขัน
จะไล่นั้นได้เพียงสิบหกหน
อีกโคนคู่ดูระบอบให้ชอบกล
ยี่สิบสองไม่จนอย่าบุกบัน


แม้โคนเดียว เดี่ยวโดดโสดพิเศษ
นับสังเกตสี่สิบสี่เป็นที่ขั้น
อีกสองม้าไล่โลดโดดประชัน
พึงแม่นมั่นนับสามสิบสองผจง


แม้ม้า เดียวเปลี่ยวปละไม่ละลด
นับกำหนดหกสิบสี่ที่ประสงค์
อีกเบี้ยหงายหลายหลากมากน้อยคง
แจ้งจำนงนับเท่าตากระ ดาน


แม้หมากไล่ไล่ไม่จนพ้นพิกัด
ตามบัญญัติเกณฑ์นับตำหรับขาน
เสมือนเสมออย่าไล่ให้ป่วยการ
ยังหลายสถานที่ กำหนดในบทบรรพ์


0 อนึ่งหมากหนีมีเบี้ยเขี่ยเขี้ยวขับ
ติดกำกับอยู่กับขุนไม่ห่างหัน
ข้างหมากไล่ไล่รุกเข้ารุมรัน
สาม เบี้ยกันกั้นสังกัดสังเกตจำ


หมากไล่สามหนีหนึ่งคำนึงนับ
ตามบังคับหกสิบสี่เป็นที่ขำ
โดยกำหนดบทระเบียบเทียบ ประจำ
ถ้าเกินกำหนดกล่าวเสมอกัน


0 อีกหมากไล่หมากหนีดีทั้งคู่
มีเรืออยู่คนละลำปล้ำขับขัน
ข้างหมากไล่ได้เบี้ย ช่วยบังกัน
ไขว้ผูกพันเบื้องหลังพอบังสกนธ์


หมากรูปนี้มักจะมีอยู่บ่อยบ่อย
จงคิดคอยดูอย่าเฟือนเลือนฉงน
ทั้งเบี้ย เทียมเทียบลูกถูกจำนน
นิยมยลหกสิบสี่ที่สัญญา


แม้ไม่จนพ้นคำณวนคำนึงเสมอ
ก็เสมอเหมือนตำหรับตำราว่า
อย่า เลินเล่อเผลอพล้ำให้พลั้งตา
จงไตรตราตรึกดำริห์ตรอง


0 อีกชื่อมีชี้ชัดถนัดแน่
เรียกกลหอกข้างแคร่สำเนาสนอง
มี เบี้ยเดียวเลี้ยงลดบทละบอง
ยกย้ายย่องแอบขุนจุนประจำ


พวกหมากไล่ได้ท่าก็ฝ่าแฝง
โคนทะแยงเยื้องย่างสามขุม ขำ
ผูกกำชับกับเบี้ยคลอเคลียคลำ
รวมรุกร่ำรุกรบตลบไป


ไล่ไม่จนพ้นพิกัดบัญญัติยก
เกินเกณฑ์หกสิบสี่สิ้นสง ไสย
ทั้งสองข้างต่างแต้มไม่ต่ำไกล
ก็ยอมให้สมเสมอเสมือนกัน


0 อีกจับม้าอุปะการประกอบชอบ
แบบระบอบหมาก หนีท่วงทีขัน
มีม้ามิ่งวิ่งหลบไม่รบรัน
ข้างหนึ่งนั้นสองเบี้ยแซกเซียซุน


กับโคนหนึ่งขึงท่าโลมสมทบ
ม้าเลี้ยวหลบหลีก แฉลบเข้าแอบขุน
ต่างคุมท่าหาทางจะรุกรุน
เมียงมุ่งมุ่นมองคมักคเม่นตา


มีเกณฑ์ย่างอย่างกำหนดหกสิบสี่
แม้หมาก หนีหนีไม่พ้นก็จนท่า
ตามพิกัดจัดไว้ในตำรา
พึงวิจาระณะจงให้เจนใจ


0 อีกกลลูกติดแม่แน่กำหนด
โดยแบบบทเบื้อง บรรพ์ธิบายไข
ข้างหมากหนีมีเรือเผือแฝงไป
กับเบี้ยหงายวางไว้จังหวะกัน


ข้างหมากไล่ได้โคนกับเบี้ยหงาย
แลเรือ รายรุกเรียงเคียงกระสัน
ไล่ไม่จนพ้นหกสิบสี่พลัน
เพราะโคนกันขุนกุมคุมเชิงชน


0 หณุมานอาสาท่านว่าไว้
ข้างหมาก ไล่เรือกับม้าอย่าฉงน
อีกเบี้ยหงายรายคุมโคนระคน
ม้าผจญโจมบุกเข้ารุกรัน


ข้างหมากหนีมีเรือคอยรารับ
โคนกำกับ เคียงข้างไม่ห่างหัน
ต่างประชิดติดต่อไม่รอกัน
กำหนดนั้นหกสิบสี่มีอัตรา


0 ควายสู้เสือเหลือลำบากพวกหมากหนี
คือ โคนมีอยู่กับเบี้ยไม่เสียท่า
คอยป้องปิดติดแว้งทะแยงตา
เข้ารับหน้ากันรุกทุกกระบวน


ข้างหมากไล่ได้เรือไว้กับเม็ด
คอบลอดเล็ดล้อมเลี้ยวตลบหวน
มีเกณฑ์กฎบทบังคับนับจำนวน
ไม่จนถ้วนหกสิบสี่เสมอกัน


0 อีกอู่ทองหนีห่าน่า สลด
กำหนดบมหมากไล่ไม่ผิดผัน
มีโคนหนึ่งเบี้ยสามพองามกัน
เข้าโรมรันโอบอ้อมเที่ยวล้อมราย


ข้างหมากหนีมี เรือลำเดียวเดี่ยว
เข้าเกี้ยวเกี่ยวรุกกระชั้นเหมาะมั่นหมาย
ไม่จนแต้มจนตาตามธิบาย
กำหนดหมายหกสิบสี่เสมอตัว


0 พรานไล่เนื้อหมากไล่ไม่เข็ดขาม
มีเบี้ยสามม้าเดี่ยวขับเขี้ยวขั้ว
ข้างหมากหนีเรือหนึ่งจำเพาะตัว
พวกไล่พัวพันสกดสกัด ทาง


ไม่จนจบครบหกสิบสี่ท่า
ก็ต่างรากันเองทั้งสองข้าง
จงจำจดบทระยะจังหวะวาง
อย่าหลงทางลืมทิ้งทำเล กล


0 นกกระจาบทำรังข้างหมากหนี
นนมีเบี้ยอยู่กับม้าท่าสับสน
ข้างหมากไล่ได้เรือเจือระคน
เข้าปะปนเบี้ยหงายราย ระดม


เรือกับม้าท่าทีก็พอสู้
ตำราครูกล่าวไว้ให้เห็นสม
หกสิบสี่หนีได้โดยนิยม
เข้าเกลือกกลมแอบเบี้ยไม่เสีย ที


ถ้าเบี้ยผูกถูกกันท่านให้ต่อ
เอาเบี้ยล่อรอรับขับให้หนี
ข้างหมากไล่ก็จะเหลิงในเชิงที
ถึงแต้มมีก็คงหมดกำลัง ลง


0 อีกกลหนึ่งนามคลื่นกระทบฝั่ง
นิยมหวังอย่าแหนงระแวงหลง
ข้างหมากหนีโคนหนึ่งพึงจำนง
ทะแยงยงเยื้องท่า คอยรารับ


หมากไล่มีม้าหนึ่งกับเบี้ยสอง
เข้าล้อมป้องหลังโคนโผนขยับ
ม้าก็รุกคลุกเคล้าเข้าสำทับ
โคนหลบลับแอบ ขุนคอยคุมที


ทั้งสองข้างต่างแต้มไม่ตกต่ำ
จบเกณฑ์กำหนดนับหกสิบสี่
เป็นเขตขั้นสัญญาอย่างพอดี
ก็ต่างมีส่วนสม เสมอกัน


0 หมูหลบหอกกลอกกลิ้งสิ่งสังเกต
ฝ่ายประเภทหมากหนีวิธีสรร
โคนกับเรือเฝือแฝงช่วยแรงกัน
หมากไล่นั้น เรือคู่จู่ประจำ


ขนานเรียงเคียงคู่ขนาบล้อม
เข้าโอบอ้อมแอบรุกบุกกระหน่ำ
ข้างหมากหนีลี้ซุ่มเข้ามุมทำ
นทีขำโคน เคียงเรียงประนัง


ถึงจะรุกคลุกขลุมตลุมไล่
เรือกันไว้มิได้หวั่นถวิลหวัง
เรือกับโคนสู้กันขันประดัง
ตามบทบังคับไว้ใน ตำรา


แม้นครบยกหกสิบสี่มิจนแต้ม
ในกลแกมเกณฑ์นับตำหรับว่า
ทั้งสองข้างต่างเสมอเหมือนสัญญา
ก็เลิกลาละลด งดกันไป


0 ยังอีกหนึ่งพึงพิศพินิจนึก
ตริตรองตรึกดูให้สิ้นที่สงสัย
มีรูปหมากตั้งให้เห็นเช่นกลไนย
ได้วางไว้หลาย อย่างต่างต่างกัน


กำหนดมีทีไล่ให้จนแต้ม
ประกอบแกมกลกระบวรอย่าหวนหัน
โดยวิธีมีเกณฑ์เป็นสำคัญ
เช่นแบบ บัญญัตินามตามจำนง


สำหรับลองปัญญามาประดิษฐ์
ให้ผู้คิดคิดเดินโดยประสงค์
ยิงอีกมากพ้นรำพันจะสรรค์ลง
เชิญ ท่านจงดูตามแผนนั้นเถิดเอย ฯ


หลวงธรรมาภิมนฑ์ (ถึก จิตรกถึก)


หนังสือ คือคำข้าว


ฉันก็ว่า ประสาฉัน
มีนักเขียนที่ไหนกันไม่กิน ข้าว
กวีหรือจะเอมอิ่มเพราะชิมดาว
ดื่มแสงพราวต่างน้ำ พร่ำพรรณนา

ตัวหนังสือทุกคำ คือคำข้าว
มันปวดร้าวยาก เข็ญแทบเป็นบ้า
เขียนถ้อยคำเลือกเฟ้นเป็นปรัชญา
เขียนอัตตา,อนัตตา เขียนหาเงิน


เขียนอย่างนั้น เขียนอย่างนี้ เขียน ชีวิต
เขียนความคิด ขมขื่นอาจตื้นเขิน
บางเวลายามกลัดกลุ้มก็ดุ่มเดิน
ใครจะมอง ใครจะเมินก็เหมือนกัน


นักเขียน และกวี มีชีวิต
แต่เขาอาจวิปริต ที่คิดฝัน
ฝันลมๆฝันแล้งๆ ฝันแบ่งปัน
แบ่งทุกข์สุขกันและกันให้เท่าเทียม


ฉันก็ว่า ประสาฉัน
มีนักเขียนกี่คนกัน ที่คิดเขียม
เห็นกวีแก้มตอบหน้ากรอบเกรียม
โปรดไปเยี่ยมและฝากเขา ข้าวสักคำ


ฟอน ฝ้าฟาง


ตำแหน่ง


ตำแหน่งท่านสำหรับรับใช้
มิใช่อวดอำนาจวาสนา
มิใช่ เป็นดวงสุริยา
แผดแสงแรงกล้าท้าทาย

ขีดแง่งบนบ่าบอกหน้าที่
ใช่ไว้มีห้ำหั่นฟันฉิบหาย
มิใช่อาวุธ ประทุษร้าย
สำหรับทิ่มทำลายฝ่ายอ่อนแอ


ตำแหน่งเพื่อปกป้องประคองราษฏร์
ใช่พิฆาตเข่นฆ่าประชาแย่
ตำแหน่ง เพื่อแบ่งสรรกันดูแล
ไทยถ้วนทั่วถ่องแท้และเป็นธรรม

เครื่องแบบใช่สวมใส่ให้มีสี
บารมีของกูขู่ฮึ่ม ฮั่ม
ประชาชาใช่สำหรับไว้รับกรรม
โปรดใช้ตำแหน่งอย่างสร้างสรรค์เมือง


"สุรเดช แสงแก้ว"


ระบายรัก


เหมือนตัวจะลอยไปไกลๆในแผ่านฟ้ากว้าง
เหมือนกาลเวลาและคืนวันจะหยุด เคลื่อนไหว
เมื่อฉันและเธอเพิ่งเคยได้จับมือ
และค่อยๆกระซิบความในใจ
รักก็มาเติมมาระบายให้จิตใจฉัน..ในวันนนี้

ได้เจอกับรสชาติ ใหม่ในชีวิตที่แปลกออกไป
เหมือนได้อยู่ในความฝัน
รสชาติใหม่ที่ความรักเติมแต่งให้กัน
ให้คืนวันมันสดใส


ฉันเคยเดียวดายตาม ลำพัง
เหมือนคนหลงทาง
แต่ฝันอันเลือนลางก็เป็นจริงเมื่อเจอะเธอนี้


เมื่อรักได้มาระบายให้จิตใจ
โลกก็ดูสดใสขึ้นทันที
ทุกกาล เวลาและนาที
เหมือนดั่งความฝันที่สดสวย


ผุสชา


หอมรักที่ห่มโลก


เราอาจเกิดมาในยุคสมัย
ที่โลกป่วยไข้และทุกข์หนัก
ยุค สมัยที่ความเศร้าเฝ้าชวนชัก
ให้ใจเราเข้าพำนักเข้าพักพิง


เราอาจเกิดมาในยุคหมอง
ที่คนต้องไขว่คว้าหาทุกสิ่ง
มาปรนเปรอบำเรอ ตนถึงปล้นชิง
คล้ายทอดทิ้งศานติธรรม ลำพองตน


เราอาจเกิดมาในยุคสมัย
ที่โลกป่วยไข้และหมองหม่น
แต่ก็ยังไม่สิ้นค่าคำว่าคน
เรายังไม่อับจนความจริงใจ


เมื่อฉันยิ้ม เธอก็ยิ้มอิ่มใบหน้า
เมื่อสบตา ตาก็สบพบแววใส
เธอยังเอื้ออาทรยังห่วงใย
ฉันก็ยัง ถามไถ่ในตัวเธอ


วันเวลาผ่านไปโลกไข้หนัก
แต่ความรักยังเคียงคู่อยู่เสมอ
รักยังห่ม โลกยังหอม ใจยังเจอ
ยังเสนอสนองในคำ ทายทัก


แม้มนุษย์จะไขว่คว้าหาทุกสิ่ง
เมื่อได้พบความจริงต้องประจักษ์
ว่าที่สุดของมนุษย์คือความรัก
เป็นที่พักพำนักใจให้เบิกบาน


รักยังหอม ยังห่มโลกอันโศกนี้
คนยังมีรักให้ใจยังหวาน
เพลงรักที่กล่อมโลกยังกังวาน
ยังสืบสานความรักมั่นนิรันดร์ไป ฯ


วรรณลักษณ์ ปิยกมล


ขอเพียงรอยยิ้มของเธอจะได้ไหม


หากไฟฝันยังคงสว่าง
ความอ้างว้างจะแพ้ไฟฝัน
มุ่งมั่นและศรัทธา นิจนิรันดร์
คงสักวัน ไฟฝันจะเป็นจริง


สำหรับเธอ
เหลือเชื่อเลยใช่ไหม
ที่เราพบกันได้ที่ตรงนี้
อย่า ทำหน้าตกใจซิ คนดี
เธอก็รู้ว่าฉันอยู่ทุกที่ ที่อยากไป
ก็รู้ว่าฉันเป็นสายลม
ที่ทำทุกอย่างเพื่อพร่างพรมเธอใกล้ๆ
ขอเพียงรอยยิ้ม ของเธอจะได้ไหม
ให้แค่ชื่นใจ เท่านี้ที่ฉันต้องการ


"สายลมอิสระ/กลุ่มด้ายสีม่วง"


ลูกเสือชาวบ้าน


ลูกเสือชาวบ้านไทย ใจรักชาติ
เขาองอาจ ยิ่งใหญ่ ใน ศักดิ์ศรี
อยู่ในค่าย ร่วมมือ สามัคคี
ทำความดี เพื่อในหลวงของปวงชน

เขาละชั่วกลัวบาปไม่หยาบช้า
พัฒนาแผ่นดิน ไทยทุกแห่งหน
ถึงลำบากอย่างไร ใจอดทน
ประชาชนรู้คุณค่า ลูกเสือไทย


บุญเลิศ พวงลดา


ปฐมบทของกวี และภารกิจแห่งชะตากรรมของทำนองคำ


ราตรีนี้ ลมหายใจกำลังเอ่ยเอื้อนกับความว่างเปล่า
หยาดน้ำค้างรอการสะสมอยู่ ณ เรียวใบจากชายคา
อีกนานเท่าใดหนอ..
ความว่างเปล่าจึงเลยผ่าน
เพื่อแก่กาลกรองกลั่นคำกวี

ราตรีนี้ มิอาจจะเยาว์วัยอีกต่อไป
แว่วเสียงไก่ขันกำลังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
คนเลี้ยงวัวชนส่งเสียงอยู่ในความสลัว
ราตรีกำลังจะสิ้น


วันวานกำลังจะล่วงผ่าน
ขณะ,
ลมหายใจเป็นความเปล่าค่า
หยาดน้ำค้างกำลังระเหย-หาย
ราตรีนี้ กวีช่างหน่วงหนัก
ลมหายใจ กำลังแฝงอยู่ในชะตากรรม
รุ่งเช้ากำลังย่ำ
วันคืนถูกลบเลือน
โอ่, ลมหายใจอันไร้ค่าเอย


พิทักษ์ ใจบุญ จสฯ


วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

เมื่อเจ้าดอกบานเย็นไม่บาน


เจ้าดอกบานเย็น
เร้นกายหายไปหนไหน หนอ
เย็นแล้วนะเจ้าข้าเฝ้ารอ
เจ้าเบ่งบานชูช่อชุบโลกงาม

หวิวลมไหวไถ่ถามด้วยความรัก
ริ้วแดดทักทายถึงซึ่งคำ ถาม
แมลงปอห่อปีกฉีกฟ้าคราม
สะอื้นร่ำพร่ำถามความเป็นไป


ผีเสื้อน้อยว่อยวนจนเหนื่อยอ่อน
ไร้เรี่ยวแรงเริงร่อนวะ ว่อนไหว
น้ำตาตกหมกทั่วเต็มหัวใจ
ถลาร่างแรงไร้ลงรอ..รอ


กอหญ้าซบหน้าแน่นกับแผ่นพื้น
ไห้สะอื้นอักอั้นรันทด ท้อ
ก้อนดินตาแดงก่ำน้ำตาคลอ
กรวดเม็ดน้อยคอยล้อก็เงียบงำ


วิปริตผิดกระบวนที่ควรเกิด
โลกเคยงามหรูเลิศทะลึ่ง คว่ำ
ดอกไม้ชูช่อไหวร่ายระยำ
หยุดลีลาท่ารำแล้วร่ำลา


สายแดดส่องผ่องผุดก็หยุดสาด
ไม้เคยวาดไหวว่ายกลับส่าย หน้า
ผีเสื้อน้อยม่อยหลับลงอัปรา
แมลงปอตกธาราน้ำตาตาย...


พิเชฐ แสงทอง


ลำนำของชาวนาผู้หนึ่ง

กี่ปีมาแล้วที่ข้าพเนจรไปในโลกอันผันแปรนี้เพื่อแสวงหาสิ่งที่เที่ยง แม้
สุดปลายถนนสายยาวมืดมิด มีวัดแห่งหนึ่งอยู่บนยอดเขา
ข้าย่ำขึ้นไปตามทางคดเคี้ยวผ่านป่ามืดครึ้มไปด้วยต้นสน
นางชีผู้หนึ่งออก มาต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันเปี่ยมไมตรี ถือโคมอยู่ในมือ
บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าหัวใจร่อนเร่ของข้าจะไปสิ้นสุดลง ณ ที่ใด
บ้านเกิดแห่งดวงวิญญาณของ ข้าอยู่ที่นี่เอง

อาทิตย์ยามเช้าลอยเด่นอยู่เหนือป่าสน
เมื่อหมอกยามอรุณละลายจางไป
ที่ราบคิวชิวอันอุดมสมบูรณ์ก็ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า
ขณะที่รำพึงถึงเวลาที่ล่วงเลยไปอย่างเงียบๆ แม่น้ำอิมาริไหลลงทะเล
ทางตะวันตกไม่หยุดหย่อน
ท้องฟ้าใสกระจ่างไร้เมฆเคลื่อนบอก เวลานิรันดร์
บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าดวงหทัยแห่งพระเจ้าไพศาลเพียงใด
อนิจจา ความรักของพระองค์ หัตถ์ที่สรรค์สร้างสรรพสิ่งช่างทรงคุณค่าเสียนี่ กระไร
สรวงสวรรค์คือที่ประทับขององค์พระเจ้า
เหล่าผู้ขุดดินอยู่เบื้องล่างจงน้อมรับพรอันประเสริฐ
(ขอให้เรามารับใช้พระองค์ด้วยใจ อันปิติ)
เสียงนกร้องเำลงในทุ่งนาเสริมศักดิ์ศรีแห่งพระองค์
ผักกาดยางเบ่งบานเป็นการกล่าวถึงพระองค์
น้ำพุที่เอ่อล้นจากผืนดินรำพึง รำพันสัจจะอันเป็นนิรันดร์
วันนี้..ช่างเป็นชีวิตที่ไร้จุดสิ้นสุด

ขณะที่ลำแสงสุดท้ายของอาทิตย์อัสดงสัมผัสยอดกางเขนโบสถ์
ระฆังยามค่ำ ประกาศเวลาสิ้นสุดของงานในวันนี้
ข้าขอบคุณพระเจ้าสำหรับพรอันประเสริฐของพระองค์
(บัดนี้ ข้าจะได้พักอย่างสงบ)

"มาซาโนบุ ฟูกู โอกะ"

งานประถมศึกษา

วันประถมศึกษาเหมือนวันเด็ก
เจอเพื่อนเด็ดเผ็ดมันน่า หรรษา
มีอาหาร ทั้งคาวหวาน ต่างนานา
ที่คุณพี่ ป้าน้าอา ได้จัดไป

มีประกวดแข่งขันกันหลายอย่าง
ทั้งการอ่าน การ ร้อง ทำนองใส
ได้รางวัลหลายอย่างน่าชื่นใจ
ได้กันไป ทุกโรงเรียน ยอดเยี่ยมเอย

กรวิท น่วมวัตร

หงุดหงิด

แล้วธาตุแท้ก็แผ่เผยให้เห็นภาพ-
ของนักบุญคนบาปในคราบ หุ้ม
เมื่อสถานการณ์เลวร้ายได้เร้ารุม
เสียงทุ้มนุ่มเนิบนาบเริ่มหยาบคาย

"ใครจ้างให้มาถาม" คำรามขู่
สร้างความหดหู่ และโหยหาย
ปรากฏการณ์แห่งความจริงสิ่งน่าอาย
เกินกว่า "ลูกผู้ชาย" จะชินชา

ด้วยเขาเป็นคนดีของแผ่นดิน
หรือจะ ถูกตัดสิน-พิพากษา
ว่าผิดพลาด,โง่เง่า-ไม่เข้ายา
มีแต่ว่าคนอื่นลื่นลิ้นลม

"ผมไม่ใช่ประธานาธิบดี"
โวยวายราวีแล วคุยข่ม
รัฐบาลก่อนมันก่อกรรม-ทำล่มจม
รัฐบาลผมเข้ามาแก้มีแต่ดี

"มีแผนล้มรัฐบาล"-เพื่อนท่านบอก
เด็กเลี้ยงแกะ กลับกลอกตามวิถี
ถมหินถามทางอีกวิธี
ด้วยสันดานคนดีของแผ่นดิน

อัทธายุ

บ้านเก่า

0 หนึ่ง 0
ถูกทีเดียว, ดาวเรืองชราได้ราร้าง
มะลิแห้งลอย คว้างกลางลมโหย
เข็มโปรยช่อดอกเฉาช่างเปล่าโปรย
บานไม่รู้โรยก็โรยแล้ว

ชานพักหักพัว ยังฝุ่นผง
แทะชายคา ค้อมลง-ลูกกรงแก้ว
ทิ้งริ้วรอยกะเทาะผนังไว้ทั้งแนว
โดยวันอันลบแวว แล้วลับวัน

ถูกต้อง, ตะเกียงร้าวกับราวรั้ว
คราบ เขม่าหม่นมันทั่วปูนปั้น
เถาไม้เลื้อยเลื้อยคร่ำรางน้ำนั้น
หนามเลื้อยพัน-ระนิ่งชิงช้านี้

ผุพื้นรื้นรา ยังหญ้ารก
คลุม กรอบกระจกตก - กระจกสี
แห่งหน้าต่างปิดตาย ทลายธุลี
ลงแทบเท้า - แทบที่ธรณีประตู

ถึงอย่างนั้น
คงคำยืนยัน ของฉันอยู่
ณ เบื้องการคาดเดา - การเฝ้าดู
เข้ามาสิ มาสู่ฤดูดอกไม้

0 สอง 0
ถูกแล้ว, เธอลัดตัด ลานกว้าง
ขวากคุคมค้าง-ตัดทางให้
ตลอดทางเท้าทอด ตลอดใจ
ละเมียดละมุนในแผลไหม้นั้น

กลับจากความเปรื่อง ปราด - ประกาศสงคราม
ผ่านหมื่นแสนนามของความฝัน
กลับจากความเปลี่ยวเปล่า - ฉวยเงาจันทร์
ผ่านหมื่นแสนพันธะ สัญญา

แก่งแห่งการแยกแปลก เธอแลกเปลี่ยน
ด้วยเดียวดายว่ายเวียนเวียนวนหา
กล่องกลวง-ย่านซื้อขายจ่ายราคา
ด้วยแดงเดือดเลือดทาเต็มตาเธอ

โลกเสนอสดุดีที่แดดับ
กวาดคนเข้ามุมอับกับข้อเสนอ
เขียนเหรียญตรา ชั่วเวลาก็พร่า เบลอ
โลกเรียกคืนเสมอ ที่เธอรับ

ไม่ร้าวรุ่ม
สักซองซึ่งยุงชุม สักมุมอับ
ฉันคือหับห้อง-แดดส่องระยับ
ฉันคือ ห้องหับ-ประดับสายลม

0 สาม 0
ถูกแล้ว,เลาะรั้วเก่า-ก้าวเข้ามา
น้ำตา หยาดหญ้าคาอยู่ปร่าขม
น้ำตา เหือด แห้งคืนดั่งพื้นพรม
อุดมความอ่อนหวาน ผ่านเท้าทอ

กลับสู่เสียงนาฬิกาไม้
แว่วแต่ยามเยาว์ไว้ ไม่เคลื่อนต่อ
ออดแอด เก้าอี้โยก ลมโยกรอ
เหนื่อยยากมากพอก็มาพัก

กลับสู่สายใยนี้ ทีละน้อย
วัยหนุ่มค่อยสอดร้อยค่อยสลัก
สักน้อย-รอย ยิ้ม อิ่มเอมนัก
สักน้อย-ถ้อยทัก จักเฝ้าฟัง

เรียนรู้ความงามของความเดียวดาย
พ้นวนเวียนว่ายเพื่อวายหวัง
เรียนรู้ความงาม ของความลำพัง
ลบเลือนเลือดเกรอะกรัง ทั้งกล่องกลวง

ฉันคือบ้าน
เติมเต็มเพลงผลิบานหรือรานร่วง
ในเศษ ซากกรากใบ ในด่างดวง
ยินเถิดท่วงดนตรีที่เธอคุ้น

0 สี่ 0
ถูกแล้ว, สะพรั่งทั้งมวลล้วนสดใหม่
เชื้อ เชิญเธอสูดไอไว้สดอุ่น
จากแจกันแตกพร้อยด้วยรอยพรุน
จากกลีบเกลื่อน-กรอบกรุ่นด้วยฝุ่นควัน

เฉกเช่นสีสันตรงชั้น หนังสือ
ระไล่-ไล้มือ คือทุ่งสีสัน
สีของโคม,เตียงต้องแสงของวัน,
ตู้คละลายม่านอันกระชั้นลาย

ให้การพานพบ-สงบ เงียบ
ละวางภาพเปรียบเทียบลงเรียบง่าย
ความชื่นสุข-ชุ่มใส ไม่อธิบาย
ความหมายภายใน ไม่เอ่ยนาม

นิ่งเถิด วิญญาณทุรนแต่คนร่ำ
ครุ่นคำตอบ ตรากตรำครุ่นคำถาม
นิ่งที่สุด-หยุดอยู่สักครู่ยาม
ดื่มด่ำความงามของความอ่อน ล้า

เธอพักพิง
ฉันคือความจริงที่จริงกว่า
ทุกฝั่งฟากหยากไย่ได้เยียวยา
ในรูปแขวน-ฝั่งฟ้าก็ทา ทอง

0 ห้า 0
ถูกแล้ว, รอยร้าวปริ-มิเคยเผย
ถ้วยที่เธอละเลย-มีเคยพร่อง
เมฆโปร่งมาปริ่ม เธอลิ้ม ลอง
ละเลียดนวลนุ่มของละอองน้ำค้าง

สัมผัสสภาวะ ขณะชีวิต
ชมชิดขุนเขาใกล้-แม้ไกลห่าง
ชมชัดสีผีเสื้อ-แม้เจือ จาง
เดินเล่น ไม่เว้นว่างระหว่างเวลา

วันพรุ่งหากเธอพรากจากทุกสิ่ง
ฉันยังคงเป็นจริงเสียยิ่งกว่า
ยังคงเป็นใจ-เป็น นัยน์ตา
เป็นเธอ-กลางเกลียวกล้า มหาทะเล

หลับสู่เสียงนาฬิกาไม้
กล่อมยามเยาว์ไว้ ไม่ว้าเหว่
ตื่นจากเก้าอี้โยก ยัง โยกเก
โพล้เพล้หรือย่ำรุ่ง หยาดรุ้งรวง

ฉันคือบ้าน
ผ่านเลยฤดูกาลหรือผ่านล่วง
ในเศษซากรากใบ ในด่างดวง
ยินเถิดท่วงดนตรีที่เธอคุ้น

ประกาย ปรัชญา

สำนวน เพจเจอร์ ของกนกอร

บางครั้งที่ไม่เพจหา
รู้ไว้นะว่าคิดถึง เสมอ
ไม่ได้เพจไปหาใช่ว่าลืมเธอ
ยังห่วงใยเสมอแต่ไม่มีเวลา

เพราะคิดถึงจึงเพจมาหา
จะเร็วหรือช้าก็เพจไป เสมอ
จะลบหรือล็อคก็แล้วแต่เธอ
แต่เพจมาเสมออยากให้เก็บไว้นานๆ

กนกอร บม
19 ก.พ. 2542

สำนวนเพจเจอร์ ของ ดลนภา

จะเอาความคิดถึงนั้นปั้นเป็นลูกกลมๆ
แล้วอัดลม ให้แน่นๆ
ฝากให้ไมเคิลจอร์แดน
ชูดแม่นลงตรงหน้าเธอ

อยากมีเครื่องบินคอนคอร์ด
อยากมีรถสปอร์เฟอรารี่
อยากมีรถแข่ง 200 ซีซี
ขับไปบอกคนดีว่าคิดถึงจัง

คิดถึงกันบ้างหรือเปล่า
ถึงปล่อยให้ฉันเหงาอยู่อย่างนี้
คิดถึงเธอ แม้จะไม่ทุกนาที
แต่ก็คิดถึงเธอแล้วกัน..

ดลนภา แสน
มี.ค.2542

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

อิทธิบาท 4

ธรรมอันเป็นเครื่องยังความสำเร็จสมประสงค์

อิทธิบาทเป็นเครื่องนำความ

สำเร็จ
เป็นข้อเท็จจริงแจ้งแถลงไข
เมื่อจะทำกิจการงานใดใด
จะฉับไวได้ผลสมจินตนา

มีฉันทะพอใจในการงาน
ให้เบิกบาน

สมใจแม้หนักหนา
เป็นทางสู่ความสำเร็จไม่ระอา
มีศรัทธาเต็มหัวใจด้วยใฝ่ดี

อุปสรรคงานการนั้นมีทั่ว
อย่าหวั่นกลัวพากเพียรไม่

หน่ายหนี
คือวิริยะหมั่นขยันในสิ่งดี
มิได้มีท้อแท้แก้ไขไป

อีกจิตตะเอาใจใส่สม่ำเสมอ
ไม่พลั้งเผลอว่างเว้นให้เหลวไหล
มุ่ง

ประกอบความดีด้วยตั้งใจ
เรื่องเล็ก-ใหญ่สำเร็จได้ไม่ยากนาน

หมั่นตริตรองพิจารณาหาเหตุผล
เรื่องสับสนแก้ได้มิร้าวฉาน
วิมังสา

หลักธรรมคำโบราณ
จะเกื้อกูลกิจการสำเร็จพลัน

มีชีวิตเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ
ยึดหลักธรรมล้ำเลิศไม่แปรผัน
อิทธิบาทนำชีวิต

สำเร็จครัน
มิไกลฝันสุขสงบพบสิ่งดี

นงลักษณ์

สองเวลาของหนึ่งลมหายใจ

กลางวันพบเธอบนถนน
กลางคืนเธอปลอมปนกับแสงสี


กลางวันเธอเป็นสุภาพสตรี
กลางคืนเธอเป็นคนดีของผู้ชาย

กลางวันเธอหิวข้าวกินข้าว
กลางคืนเธอปวดร้าวเริงร่าย
กลางวัน

เธอชำระร่างกาย
กลางคืนเธอเปื้อนป้ายโคลนคาว

แสงสลัวเธอกอดเสากระเส่าส่าย
เธอกรีดกรายทายท้าเผยค่าสาว
ดนตรีดังเธอ

โดดเด่นเธอเป็นดาว
..เธอเจ็บร้าวหรือพอใจเราไม่รู้...

เมธี วงศ์ครุฑ

สวัสดีปีใหม่ 3

 สวัสดีปีใหม่
หนูขอให้ชาวไทยสุขี
มีความสุขตลอด

ปี
อย่าได้มีภัยแผ้วพาล

 เปี่ยมด้วยน้ำใจไมตรี
มีแต่ความรักสมัครสมาน
รู้จักการให้ แบ่งปัน
หน้าตาชื่นบาน ทุก

คน

 สมคิด ห้วยใหญ่ จ.ชลบุรี
  12 ม.ค.2541

สิ่งที่เลวร้าย

 สภาพแวดล้อมเท่าที่เห็น
หลายสิ่งเป็นมหาภัย ใหญ่

มหันต์
ตามชุมชนรถติดมากพิษควัน
แม้น้ำนั้น ล้วนขยะ เกะกะไป

หากทุกท่านช่วยกัน แต่บัดนี้
เพียงช่วยชี้ แนะนำ เพื่อแก้ไข
สิ่ง

แวดล้อม ที่เลวร้ายหมดเร็วไว
เพื่อชีวิต จะได้ ไร้โรคา

   ไซตน สะมะแอ จ.นราธิวาส
   28

ม.ค.2541

ประโยชน์ของการเรียน

 ตอนที่ฉันเป็นเด็กยังเล็กอยู่
ยังไม่รู้โน่นนี่ประสี

ประสา
แต่ตอนนี้ ฉันนั้น โตขึ้นมา
จึงรู้ว่า การเรียนเป็นสิ่งดี

  หนึ่งนั้น ทำให้เราเข้ากับเพื่อน
สองช่วยเตือนจิตใจไม่

หมองศรี
สามความรู้ ปัญญา พาชีวี
ให้รู้ดีรู้ชั่ว ประกอบกัน

   อุกฤษ จิตพิลา
สมุทรปราการ 26 ม.ค.2541

บ้านเรา

แม้เป็นเพียงกระท่อมเก่าซอมซ่อ
ฉันก็ขออยู่ที่นี่ มีสุขสันต์
มีความรัก

หวานชื่น ทุกคืนวัน
ความผูกพันของเรา ต่างเข้าใจ

มีภูเขาลำเนาห้วย สวยยิ่งนัก
เห็นประจักษ์แก่สายตาพาหลงไหล
สวนมาลีรายล้อม

กระท่อมไพร
บ้านของใครจะสุขเท่า..บ้านเราเอย

  สกุณี แซ่เล้า กทม.
    30 มี.ค.2541

รัดเข็มขัด

เศรษฐกิจยุคนี้ควรประหยัด
จงช่วยรัดเข็มขัดมัธยัสถ์ไว้
นั่นออมนิดนี่

เก็บหน่อยค่อยใส่ใจ
เพื่อให้ติดเป็นนิสัยตามครรลอง

ประเทศชาติต้องกู้ยืมไอเอ็มเอฟ
เราต้องเซฟรณรงค์คือหารสอง
อนุรักษ์

ทรัพยากรและคุ้มครอง
ชาติไม่หมองเพราะร่วมใจช่วยไทยเอย

  กู้เกียรติ สุขรักษ์
 จ.ปทุมธานี 30 มี.ค.2541

คน

 อันคนเราเกิดมาจนหรือมี
ทั้งชั่วดีแตกต่างทุกอย่างหนา
คนหลาย

คนซื่อสัตย์น่าศรัทธา
ล้วนกล้าหาญกล้าทำแต่สิ่งดี

คนยากจนข้นแค้นแสนสาหัส
แต่ยืนหยัดอยู่ได้ไม่ถอยหนี
เพราะน้ำใจเอื้อเฟื้อและ

อารี
มีน้ำใจทุกที่..ให้แก่กัน

  นิตยา ทองแป้น

 23 มี.ค.2541

รักเมืองไทย

 เศรษฐกิจตกต่ำย้ำดวงจิต
ควรต้องคอดสร้างสรรค์ร่วมกัน

หนา
ร่วมประหยัดมัธยัสถ์ทุกเวลา
ทั้งการค้า ซื้อขาย จ่ายประจำ

  เที่ยวเมืองไทย ใช้ของไทย ให้เหมือนเดิม
ควรส่ง

เสริมจิตใจให้เลิศล้ำ
สอนลูกหลานรักถิ่นอยู่เป็นผู้นำ
มีคุณธรรม สร้างความดี ที่เมืองไทย

   ไพโรจน์ พิมาย

นอก
   11 ม.ค.2542 ขอนแก่น

ครู

ครูฝึกฝน ให้คนมีน้ำใจ
ครูสอนให้รู้จัก การหยิบยื่น
ครูสอนใน ไมตรี ไม่เป็น

อื่น
ครูหยิบยื่น สิ่งดีที่น่ามอง

 พระคุณของครูนั้นช่างยิ่งใหญ่
ครูเปรียบได้กับแม่คนที่สอง
หนึ่งรักแม่สองรักครูเป็นคนรอง


รักทั้งสอง ตราบชั่ว นิรันดร์เอย

 นิตยา ทองแป้น
*  2 ก.พ.2541

ฉันอยากเป็น

 ฉันอยากเป็นคนดีมีวินัย
ฉันตั้งใจเรียนวิชาการทหาร


อยากฝึกฝนตนให้รู้ระเบียบการ
ทำให้งานเสร็จไปโดยไม่ช้า

ความอดทนเสียสละต่อหน้าที่
ทำความดีช่วยเหลือเกื้ออาสา
เป็นทหาร

ต้องรู้จักพัฒนา
แก้ปัญหาประเทศไทยให้ก้าวไกล

  วิชยุตม์ ขติยะสุนทร
  จ.พัทลุง 23 มี.ค.2541

ครูคือใคร

เขารู้ก่อนทำก่อนแล้วสอนฉัน
ยากก็หมั่นเตือนย้ำจนจำได้
อ่าน หนังสือเป็นเอกคิดเลขไว
รู้อภัย รู้จักคิดผิดชั่วดี

เขาสอนให้ก้าวไกลสอนให้สู้
สอนให้อยู่อย่างรักในศักดิ์ศรี
ให้ยึดธรรมประจำใจปลูก ไมตรี
รู้หน้าที่รับผิดชอบกอปรกิจการ

เขาคือคนธรรมดา..แต่หน้าที่
สร้างฐานชีวิตให้แผ่ไพศาล
ดี เลว คล้ายเขาเป็นคนดล บันดาล
เขาสร้างงานความหวังให้สังคม

เขาคือครูที่คนเห็นเป็นเรือจ้าง
ถึงปลายทางคิดบ้างไหม..เรือไม่ล่ม
เหมือนนั่งร้านสร้างหอ ให้คนชม
เสร็จก็ล้มนั่งร้าน..โอ้! งานครู

ประทวน เกาะแก้ว

พรุ่งนี้.. ต้องดีกว่าเมื่อวาน

ความผิดหวัง
ปรากฏขึ้นในคืนวันเศร้าหม่น
ฉันเฝ้า เสาะค้นต้นตอ
ของเหตุการณ์ทั้งหลาย
พยายามเพ่งพินิจ
ในความคิดที่แตกกระจาย
พยายามรวบรวมกำลังใจ
ที่หลอมละลาย ลงทุกที

****

ในความพลาดพลั้ง
แฝงเร้นเศษเสี้ยวพลังที่มี
ต่อเติมเริ่มใหม่อีกที
พรุ่งนี้.. ต้องดีกว่าเมื่อวาน

ฝัน

นอนหลับจับปากกา
ฝันไปว่าหนึ่งนาที...
เขียนได้บทกวี
งามเจ็บ ปวดถึงหัวใจ

บรรณาธิการเห็น
พลันกระเด็นกระดอนไกล
เป็นลมล้มพับไป
ตื่นขึ้นเสียสติพลัน

เพื่อนกวีเมื่อได้ข่าว
ก็ ปวดร้าวอยู่แดยัน
ไยหนอไอ้นี่มัน
เก่งเป็นเทพอยู่เหนือกู

คนอ่านแทบทั้งหมด
ตะลึงรสจนเกินดู
เข้าห้องหับประตู
ขาด ใจตายไปตามกัน

ทวยเทพและเทวา
ยังถามหาจากสวรรค์
ไหบทกวีอัน
เนรมิตด้วยมิ่งมนต์

เมื่อพบก็สบเคราะห์
ด้วยคำ เพราะนั้นเกินทน
ตกจากฟากฟ้าบน
มาต้ำผางลงกลางดิน

สุดที่พระนารายณ์
ทรงเยื้องย้ายลงธรณิน
ฝากอาสน์กับองค์อินทร์
มาน้อมเรียนเขียนกวี

นอนหลับจับปากกา
ไฉนหนาจึงฝันดี
เมื่อตื่นอยู่ทุกที
มันแสนเหนื่อยอนาถใจ

บทกวีที่ร้อยถัก
อัปลักษณ์แทบบรรลัย
บรรณาธิการน้ำตาไหล
แล้วขอร้องให้เลิกเขียน

เพื่อนกวีก็เก็บกด
เหลือจะอดจนอาเจียน
สถาบันผู้แก่เรียน
มาหมองหมดเพราะตัวมึง

ผู้คนพอได้อ่าน
วิ่งกลับบ้านกันตึงตึง
อายปิดประตูดึง
อายไปถึงเทพเทวา

โอ้อกกวีหนุ่ม
มันร้อนรุ่มเสียแทบบ้า
อยากกัดกินปากกา
แล้วขี้รดหัวใจตน

ฝากรักให้โลกแล้ว
แต่ไร้แก้วเป็นสินบน
ห่อนได้ไปเยี่ยมยล
อกคนยากจึงยับเยิน

ฝากรักกาพย์กลอนแล้ว
ไร้คำแก้วก็ยากเกิน
จะก้าวกวีเดิน
ไปดับทุกข์ที่ปลายทาง

กานติ ณ ศรัทธา

คนรอ

คนรอก็ต้องรอเฝ้าคอยหา
คนไม่มาก็ไม่รู้เรื่องอะไร
คนรอก็ยังรอไม่มี ใคร
คนไม่มาจะใส่ใจอะไรเรา

คนไม่มาหวานชื่นอยู่กับคู่
คนรอก็หดหู่ดูเงียบเหงา
คนไม่มาไม่รับรู้เรื่องราว
คนรอยิ้มเศร้าๆกับตัว เอง

กนกอร บุญจอม
22 ต.ค. 2541

กลอนเพจเจอ

ถ้าจะบอกว่าคิดถึงแปลกใจไหม
คงตกใจใครเอ่ยเพจมาหา
ลองคิดดู ว่าอยากให้ใครเพจมา
ฉันคนนี้เพจมาหาแล้วนี่ไง

****

ฝากข้อความนิดๆ
ฝากเครื่องเพจน้อยๆ
ข้อความเป็นร้อยๆ
ถึงแม้ไม่ได้เห็นหน้า
แต่ก็เพจหาเสมอ
คงเป็นเพราะฉันคิดถึงเธอ
และจะเพจหาเธอตลอดไป

2 พ.ย. 2541

เก็บน้ำค้างมาเรียงร้อย
จับหิ่งห้อยมาทาสี
และกระซิบบอกเธอคนดี
ว่าวันนี้คิดถึงจังเลย

21 ต.ค. 2541

คิดถึงเธอจังเลยหัวใจบอก
หยุดการบอกความคิดไม่คิดถึง
กับความห่วงหาความใส่ใจยิ่งคำนึง
ยิ่งคิดถึงเธอคน ดีที่สุดเลย

3 พ.ย. 2541

คิดถึงเธอทุกวันละพันหน
คิดถึงเธอเสียจนล้นหนักหนา
คิดถึงอยู่ทุกเวลา
อยากบอกว่า คิดถึง คิดถึงจัง

5 พ.ย. 2541

หากตั้งเวลาเพจได้ก็คงดี
จะเพจหาทุกนาทีที่คิดถึง
จะเพจเช้าเพจเย็นให้ตะลึง
ให้ รู้ว่าคิดถึงทุกนาที

7 พ.ย. 2541

ดลนภา แสนมีมน

ชัดเจน

เคยไหม มานั่งเพ่งพินิจ
ลึกในจิตลองจับความสับสน
เคยไหม ยิ่งคลำ ยิ่งจำนน
ยิ่งกลับจะอับจนกับตนเอง

นับตั้งแต่รู้ความตามประสา
เขียนหนังสือหนังหาเขาว่าเก่ง
ที่เขียนไปทั้งทั้งยังโคลงเคลง
จนพบว่าวังเวงหนอชีวิต

ไม่รู้สึกลึกซึ้งถึงความหมาย
เพียงยักย้ายภาษามาประดิษฐ์
ไม่รู้แจ้งประจักษ์เลยสักนิด
ฉวยความคิดคนอื่นมา ชื่นชม

ทั้งขี้ขลาดไม่อาจเผชิญทุกข์
กระโจนเข้าเคล้าคลุกแต่สุขสม
ยามเจ็บปวดไม่ยินยอมจะจ่อมจม
มัวโง่งมหงอยเหงาก็เฉา ตาย

จึงเหมือนสายลมฉิวเพียงผิวเผิน
ช่างอ่อนไหวใสสะเทิ้นเสียเหลือหลาย
แต่เหลือเชื่อเนื้อใจไม่ระคาย
ต้องยอมรับอับอายในความ จริง

นี่แหละที่ใครใครมองไม่เห็น
ที่แฝงเร้นซ่อนซุกในทุกสิ่ง
ที่ผู้อื่นไม่อาจมาพาดพิง
ที่ลึกยิ่งล้างยากกระชากใจ

แม้ยากเย็นก็เห็น ชัดถนัดแล้ว
จะล้างใจให้ผ่องแผ้วดั่งแก้วใส
จะเปิดรับซับโลกแม้โศกใด
จะสงสัยเสาะค้นจนเห็นจริง

วัน ณ จันทร์ธาร

เวฬุวนาลัย

แฝลดงหญ้าคาริมป่าเปลี่ยว
ค่อนดึกเดือนเสี้ยวเมฆสลัว
หรีดหริ่ง เรไรแอบเร้นตัว
มิกล้ากรีดร้องระรัวระงมไพร

ฟ้าต่ำดาวตกผีพุ่งไต้
มีฝูงนายนักฆ่าเยือนป่าไผ่
เปิดฉากกดนิ้วลั่นไก
ปะทุไฟพุ่ง พราวราวสงคราม

คะนองมือถือว่าข้ายิ่งใหญ่
กระหน่ำตามอัชญาไสยเกินใครห้าม
คือหนึ่งหน่วยนักรบนิรนาม
มาเยือนยามวิกาล สะท้านสะเทือน

กระหน่ำไส่ไล่เลี่ยแต่ละหลัง
แต่ละฝาแทบพัง กระสุนเกลื่อน
แต่ละร่างหลบนิ่ง แนบพื้นเรือน
แต่ละใจประหนึ่งเหมือน จะหลุดลอย

หลางดงหญ้าคาริมป่าเปลี่ยว
สงัดเงียบดายเดี่ยวด้วยเหงาหงอย
สะทกสั่นขวัญฝ่อเพียงรอคอย
รอด้วยความเลื่อนลอย อย่างลังเล

มิอาจขบคิดคาดความวาดหวัง
มิอาจชั่งเหตุการณ์จะพาลเขว
คิดหวังพึ่งผู้ใดใครทุ่มเท
ยังต้องผ่านร้อยเล่ห์มายากล

ขณะขวัญฝ่อหนีราตรีนั้น
นั่งจับเจ่าโจษจันอย่างสับสน
อนาคตชีวิตครูผู้สอนคน
จะถูกปล้นชีวีอีกกี่ครา

ดาวเคลื่อนเดือนคล้อยฟ้า ลอยต่ำ
ทุกถ้อยคำหวาดหวั่นสั่นผวา
รอราตรีคลี่คลายปลายเวลา
จะค้นหาอย่างไรยังไม่รู้

สายธารสิโป

ลึกซึ้ง

อย่ามองแค่คนยิ้มว่าอิ่มสุข
อย่ามองข้ามคนทุกข์ว่าสุขสูญ
อย่ามองเห็น คนจนหม่นอาดูร
อย่าเทิดทูน คนมีว่าดีจริง

เพราะอาจเป็นรอยยิ้มหลังอิ่มทุกข์
ทั้งอาจเป็นความสุขก่อนทุกข์สิง
จนทรัพย์อย่าจนใจ ใคร่ท้วงติง
มองทุกข์สิ่งลึกซึ้ง จึงเข้าใจ

สุรกิจ กรณียกิจ

ชมรมนักกลอนสาคร-สงคราม
อ.เมือง จ. ชลบุรี
ม.ค. 2542

โสนน้อยกลางซ่อง

ลมหนาวไล้ใบข้าวเขียวเรียวเป็นคลื่น
ประดุจผืนพรมระยับขยับ ไหว
กบเขียดขานเสียงสำเนียงไกล
เสนาะในคีตกานท์แห่งบ้านนา

กระยางขาวโผลงตรงทุ่งเขียว
ขายาวเรียวหย่อนพักเหนื่อย หนักหนา
งามโค้งรุ้งโค้งรอบเส้นขอบฟ้า
แสงทองทาทาบทุ่งและคุ้งคลอง

นาปีนี้ไม่มีดอกโสนน้อย
ที่พร่างพร้อยร้อยดอกเหลือง เรืองพราวผ่อง
โสนนาชอกช้ำน้ำตานอง
อยู่ในซ่องแสงสีที่กลางกรุง

เพราะความจนท้นทวีด้วยหนี้สิน
ต้องจำพรากจากถิ่นแผ่น ดินทุ่ง
ทิ้งน้ำอบร่ำประทิ่นกลิ่นน้ำปรุง
โดยมั่นมุ่งก้าวหลงถิ่นแผ่นดินกาม

สีเหลืองทองผ่องพราวปวดร้าวราน
จึงแดงฉานจากสัตว์ โฉดที่โหดห่าม
ถูกโบยบีบกลีบช้ำคนต่ำทราม
โสนงามกลีบโรยร่วงน้ำตาริน

ลมหนาวไล้ใบข้าวเขียวเป็นเกลียวคลื่น
รอวันคืน โสนนาย้อนมาถิ่น
มาแต้มสีเหลืองอร่ามงามแผ่นดิน
แต่ไร้สิ้นโสนน้อยกลับคืนมา

ลำภา มัคศรีพงษ์

ให้เหมือนหญ้าระยับรับฝนหมาด

ให้เหมือนหญ้าระยับรับฝนหมาด
เหมือนปุยเฆมสีสะอาด ดาดฟ้าใส
เหมือนแก่งหินกลางละหานธารน้ำไล้
เหมืทอนหนึ่งนกคะนองไพรระเริงลม

เหมือนเม็ดทรายผุดผาดบนหาดเกลี้ยง
ทำซาบ เสียงคลื่นซ่ามาห้องห่ม
เหมือนกาพย์กลอนซ้อนสวยด้วยคำคม
ร้อยคารมซึ้งโศลกกล่อมโลกเอย

สกล ผดุงวงษ์

ถนนสายนี้ช่างสั้นนัก

ถนนสายนี้ช่างสั้นนัก
หมดเวลาของการเดินทางสายนี้
ลมหายใจยังแผ่วอยู่

ตะวันจวนลับขอบฟ้า
ความมืดคงมาถึงในไม่ช้า
หลับเสียเถิดเพื่อลืมมทุกสิ่ง
คงเป็นฝันร้ายสุดท้ายแล้ว

ยาม เช้า
เมื่อดอกไม้เบ่งบาน
เจ้าผีเสื้อจะบินมาปลุกเธอ
สู่ถนนอีกสายหนึ่ง

ระริน มุข

ใต้หลังคาป่า

มันต้องเป็นไป
มันจะต้องเป็นไป
ชายสิ้นไร้จารึกไว้บนสายน้ำ

แปลกหน้า
ภาพคำนึง
แสดงตน

คำพิพากษา
การยืนเหยียบตีนผู้อื่น

ทางออก
ภายใน ภายนอก

ชนบท พาศิริ

อนุสาวรีย์ทราย

ตรงเส้นโค้งขอบทะเลคลื่นเร่คว้าง
กว้างกว่ากว้าง...ไกลกว่าไกลเกินใฝ่ ฝัน
หาดสีเงินทอประกายใต้เงาจันทร์
ดั่งแพรพรรณแห่งราตรีคลี่ม่านมนต์

คนเดินทางวางหัวใจไว้ริมหาด
ฟังคลื่นสาดโหมทะเล เห่ทิวสน
กอบกองทรายก่อปราชญ์วิญญาณชน
อนุสาวรีย์เสียดพ้นบนผืนทราย

เป็นภาพแห่งศรัทธาประชาผอง
ตะโกนก้องทวง ถามค่าความหมาย
รัฐธรรมนูญ...สิทธิ์...อิสระ..ท้าทาย
หยดเลือดรายเต็มตำนานจารึก

พลันภาพแห่งประวัติศาสตร์ถูกกวาดลบ
คลื่นคลั่งกลบการต่อสู้...ความรู้สึก
คลื่นไม่มีหัวใจ..ไร้สำนึก
ลบบันทึกแห่งธรรมลบตำนาน

อนุสาวรีย์กองทรายไร้ผู้สร้าง
ทะเล ร้าง..หาดเหงาคนเล่าขาน
ว่าคลื่นแรง...คลั่งบ้า กว่าวันวาน
เกินจะต้านก่ออนุสาวรีย์นี้ลำพัง

วันรวี รุ่งแสง (2534)

ตึกแถวถึงคอนโดมิเนียม

รูดผ้าม่านเนื้อหนาที่หน้าต่าง
เพื่อเปิดรับแสงสว่างอย่าง เต็มที่
ผลักกระจกปรับองศากะพอดี
เพื่อให้มีช่องว่างทิศทางลม

ปิดตาข่ายโลหะให้กระชับ
กันยุงนับร้อยลอดดอดประสม
ตรวจเหล็กดัดลายแอร่มมุมแหลมคม
ก่อนชื่นชมกับสมบัติอันอัดแอ

ผนังอิฐทรงกล่องแบ่งช่องชุด
กำหนดจุดบังคับใช้ให้แน่วแน่
ทุกชีวิตเหมือนพร้อมจะยอมแพ้
อยู่ในความดูแลทุกแง่มุม

วันผ้าม่านมอดไหม้เมื่อไฟโชติ
ควันดำโลดแล่นเลื่อนลอยเคลื่อนกลุ่ม
กระจกร้าวคมกร่อนแต่ร้อนรุม
ลมก็คลุ้มคลั่งหนุนหมุนระบาย

ไม่มียุงสักตัวยั่วประสาท
เมื่อไฟวาดเปลววาบมาฉาบฉวย
เหลือเหล็ก ดัดรามวิจิตรแต่ปิดตาย
สำหรับร่างทุรนทุรายคล้ายคล้ายยุง

ซากผนังทึบทะมื่นยังยืนหยัด
เฝ้าสมบัติของมันรอวันพรุ่ง
นี่คือข่าวอัค คึภัยคนในกรุง
เราสะดุ้งครู่เดียวเดี๋ยวก็ลืม..

สายพร ปัทมเรขา..

เปื้อนรอยฝัน

เพราะความสับสนจึงหม่นหมอง
ครรลองชีวิตแปรปิดผัน
สังคม แล้งไร้การให้ปัน
ความฝันถูกนิยามว่าความจริง

"รักชาติ" ถูกอ้างอย่างสับสน
จนผู้คนปรับใจได้ยากยิ่ง
ความหวัง ขันแข่ง การแย่งชิง
กลายเป็นสิ่งจำยินดีแก่ชีวิต

กลางวันสว่างแต่ทางมืด
ชีวิตเย็นชืดเหมือนไร้จิต
วาดหวังกลับไขว่คว้าได้ยาพิษ
เคลือบความ คิดเสพได้ไม่รู้ตัว

ฝืนใจดับอารมณ์...ข่มไม่ได้
เมื่อปากตาบอดใบ้มืดมิดทั่ว
เท็จจริงยากแยกแปลกมัวซัว
ดีหรือชั่วยากชี้ที่ผู้ใด

หวั่นหวั่นว่า วันนี้...พรุ่งนี้
อาจไม่มีบทบาทในมาดใหม่
ความฝันลับหายไปแสนไกล
คงเหลือใจรอยเปื้อนหม่นเหมือนเดิม

ชำนาญ อำไพ

ขัง

"เรียน ให้เป้นเจ้าคนนายคน
นะลูก, พ่อจน..จะพึ่งเจ้า
ดูอย่างไอ้พร ลูกนาย เภา
มันเข้าตำรวจแล้วก็รวย"

..คำของพ่อยังแว่วติดแก้วหู
ให้สู้ศึกษาให้สดสวย
คำว่า "นาย" มีอำนาจและอำนวย
ช่วยคนให้อยู่ เหนือผู้คน..

"เป็นตำรวจไม่ได้ดังใจพ่อ
ขอให้เป็นข้าราชการไม่ขัดสน
เป็นท่านทนายอัยการก็ไม่จน
วัวจะวนควายจะเวียนลากเกวียน ทอง"

..ทุกคำของพ่อคือบาดแผล
รอยแส้สังคมบ่มพิษหนอง
พ่อไม่รู้หรอกความหมายที่ใจปอง
มันคือห้องหับขังฝังวิญญาณ

เขา ขังพ่อพ่อขังลูกไม่รู้เลย
โธ่เอ๋ย..เชลยลูกก็ขังหลาน
เราจะจองจำฉะนี้ไปกี่กาล
พ่อจ๋าบ้านเมืองนี้ใครใส่กุญแจ?

ศิวกานต์ ปทุมสูติ

ที่นี่..ชนบท

นักร้อยถ้อยคำแห่งชนบท
ปรากฏอยู่ในใบไม้เขียว
อ่อน หวานในท่าดอกหญ้าเรียว
ปราดเปรียวไกวก้านเหนือธารนั้น

ที่นี่ยอดกวีอันเลื่องชื่อ
นั่งปล่อยมือหยุดเขียนจักเจียรฝัน
เพราะแลเห็นอักษรกาพย์กลอนประชัน
อยู่ในวันสวยงามแห่งความจริง

ได้ยิน ก.ไก่ยันตะวันรุ่ง
ได้เห็น ค.ควายทุ่งท่องเท้า วิ่ง
ได้ยล ฟ.ฟ้าคราม งามเพริศพริ้ง
ได้ น.นั่งพักพิงใต้ร่มไม้

ได้เห็น ล.ลิงโหนกระโจนเล่น
บนกิ่ง ย.ยางเห็นอยู่ใกล้ ใกล้
ฆ.ระฆังหง่างเหง่งร้องเพลงไป
บอกว่าอีกไม่ไกลมีโรงเรียน

มี ล.ลำ ค.คลองล่องสายใส
มี ร.เรือพายไปไม่เคย เปลี่ยน
มีทั้ง ป.ปลากดปลาตะเพียน
ต.ตะพาบเต่าเวียนเห็นทุกวัน

บ.ใบไม้ที่นี้ใบสีเขียว
กลาง ท.ทุ่งน่าเที่ยวถนอมขวัญ
ดอกโสนผลิบานเต็มย่านนั้น
สวยสีสันซาบซึ้งหวานถึงใจ

ม.เมืองหลวงเหลือพรั่นควันพิษพลุ่ง
นี่หรือคือเมืองกรุงอันยิ่ง ใหญ่
สมควรหรือชื่อเรียกศิวิไลซ์
เหมือนอกรุมขุมใต้ประตูนรก

สงสาร ด.เด็กแท้พ่อแม่นั้น
ยุ่งแต่เรื่องแข่งขันกัน ฉ. ฉก
ลูกหัวใจเปราะบางเพราะ ง.งก
อะไรปดป้องให้ จ.ใจนั้น

ที่นี่คือ ช.ชนบทกว้าง
มีเส้นทางทอดใกล้เพื่อใฝ่ ฝัน
มีน้ำใจเผื่อแผ่ให้แก่กัน
มี ค.คนสามัญค่อนแผ่นดิน

ปราศ ราหุล

ปีใหม่

วันเดือนปีล้วนสมมุติหยุดคิดหน่อย
ใจเคลื่อนคล้อยตามกระแสแย่ทุก หน
มีดีใจเสียใจไปทุกคน
มาเวียนวนอย่างนี้ไม่มีแปร

พระพุทธองค์ตรัสรู้สู่โลก ใหม่
ใจผ่องใสโอบเอื้อมาเผื่อแผ่
ทุกขณะเปลี่ยนแปลงแจ้งดวงแด
หาใดแท้ยึด มั่นอันตรธาน

เพียงตามรู้ทุกขณะจะแช่มชื่น
ไร้แตกตื่นขื่นขมสมสืบสาน
เพียงภาวะประจักษ์ตระหนักการ
เดี๋ยวก็ผ่านเปลี่ยน แปรนั้นแน่นอน

ทำหน้าที่มีอยู่สู่กุศล
จักผ่านพ้นภัยพานท่านทรงสอน
ด้วยสติปัญญามาอวยพร
จักไถ่ถอนกิเลสเหตุ รุกราน.

สุรภา เดชะ
4 มกราคม 2542

หน้าต่างแสงจันทร์

หน้าต่างกระจ่างแสงจันทร์
ลมดึกรำพัน
รำเพยพริ้วผ่าน ชวนเรือน

ดอกไม้ดอกใดแย้มเยือน
กลิ่นหอมย้อมเตือน
อบอวลหอมหวล กล่อมนอน

บทเพลงของคนแรมรอน
ดั่งคำเข้า วอน
ในห้องราตรีสีเงิน

ไกลโพ้นเส้นทางสู่เนิน
ข้าเคยได้เดิน
ไปดู..แสงดาวพราวตา

บางคืนพลัดตกธารา
ล่องธาร น้ำตา
ร้ำไห้อยูเพียงเดียวดาย

เสพดื่มความเหงาเมามาย
ข้าแด่...ความตาย
ข้ารออยู่นี่...มานาน

เสพชื่นตื่นใจเบิกบาน
อิ่ม หนำสำราญ
ข้าวอุ่น ปั้นบทกวี

ใครใคร่อยากเอ่ยวจี
ขอเชิญวลี
ท่านร้อยเรียงรสเถิดเทอญ

เราอาจเจอกันบังเอิญ
ในเส้นทาง เดิน
สวนไปไม่หวนคืนมา

เพียงหนึ่งที่เห็นน้ำตา
คือเธอสั่งลา
มันไหล มันบ่ารดใจ

เมื่อฝันมลายลงไป
หลงเหลือ อะไร
นอกจากโลกเหงา เปล่าดาย

ชวาลา ชัยมีแรง
บุญญศักดิ์ ทอง น้อย
พินิจ ทองน้อย

ลืมสัญญา

ก่อนเลือกตั้งเคยสัญญา
เคยหาเสียงไว้ว่าจะปรับปรุงบ้านไกล
พอเข้า สภาสัญญาก็หายไป
เพราะความโลภติดตรึงใจ
หัวใจเริ่มไม่มั่นคง

ตำแหน่งดีนั้นฝังตรึง
ได้ไปแล้วขั้นหนึ่งจึงตีตัวออกห่างไป
ทำ เป็นลืมเลือนสัญญากันไวอย่างไร
ขอพวกเราช่วยจำกันไว้
อย่าไปเลือกมันอีกที

ผู้แทนเอย เคยช่วยหาเสียงกันมา
แค่เงินตรา ต้องพา เราให้ห่างกัน
ไม่นานหรอกหนาเราคงได้มาพบกัน
ถ้าใครคิดแจกเงินไม่อั้น ไม่มีทางเข้าสภา

หากเขากิน ไม่แยบคาย
จะมากจะน้อย เพียงใด
ข้าขอแช่งให้ตายห่า
ข้ามันเจ็บใจที่เอ็งลืมสัญญา
หากถึงเลือกตั้งครั้งหน้า
นั่นแหละ เป็นทีของเรา

โกมิ นทร์ 98

เฝื่อน

ทอดตกลงตรงนี้เพื่อนที่รัก
แล้วรู้จักมักคุ้นกับขุนเขา
เสียงเสนาะลำลำ แห่งลำเนา
ดูสีเทาทาบกรอบตัดขอบฟ้า

ที่ลาดลงเบื้องต่ำคือลำห้วย
น่ำใสสวยระริกรินเซาะหินผา
ระเรื่อยเลาะละเมาะแมกงามแปลก ตา
ดอกไม้ป่าประดับใบยังไม่ช้ำ

แล้วผินมองทางโน้นเขาโล้นเกลี้ยง
พร้อมฟังเสียงสนั่นเกิดระเบิดหน่ำ
เศษหินร่วงละอองปลิวเป็นริ้ว ลำ
นั่นไงโศกนาฏกรรมอันซ้ำซ้อน

ด้านหนึ่งหรูดูดีเรียกรีสอร์ต
ซุกอ้อมกอดป่าเขาคล้ายเงาหลอน
สัมปทานท่านเธอทัศนาจร
มา เล่นซ่อนหากันวันว่างงาน

นั่นที่ยังเหลืออยู่ให้ดูต่อ
ทิวแถวตอไม้ผุเหมือนสุสาน
ไม่จารึกชื่อชัดผู้ตัดราน
มันเกินการณ์กู่ให้ต้นไม้ คืน

ภาพคมชัดตัดต่อบนจอภาพ
ละเอียดหยาบในสำนึกทั้งลึกตื้น
เก็บภาพความทรงจำไว้กล้ำกลืน
ยิ้มเผื่อนฝืนยืนไว้อาลัย มัน

ทวีสุข ทองถาวร

หัวใจเธอทมิฬเกิน

หัวใจเธอทมิฬเกิน
จะประเมินประมวลมา
เชี่ยววนเช่น ธารา
ทั้งกระด้างดั่งกรวดดิน
เหยียบย่ำน้ำใจยับ
ยังซ้ำสับด้วยวาทิน
ทุกคำล้วนหยามหมิ่น
ประมาณนี้จนเกินทน
ใจฉันก็ ใจคน
จะทานทนสักเพียงใด
แม้นรักสุดหัวใจ
ก็มิอาจจะทนทาน

chanida ruangong"

สำหรับน้อง

อุปสรรคใดใดจะขวางหน้า
ขอให้เธอฟันผ่าไปให้ได้
และเมื่อเธอทำทุก สิ่งอย่างตั้งใจ
จุดหมายคงไม่ไกลความเป็นจริง

อยากให้เธอบอกกับตัวเธอ
ว่าจงเข้มแข็งเสมอแม้เหนื่อยล้า
อยากให้เธอมีความหวัง และศรัทธา
ให้เธอมีค่า และความหมายในตัวเอง

รุ่นพี่ ภาควิชาสถิติ คณะวิทยาศาสตร์ มข.
พ.ย. 2541

ตัวนี้จอง

เก้าอี้นี้มันมีเดิมพัน
ถ้าได้นั่งกันก็เป็นเศรษฐีในชาตินี้
ผู้แทนหลายคน แก่งแย่งชิงดี
เพราะเกรดมันดีต่างบี้ไปมา

เขายอมตายถวายชีวี
เก้าอี้รัฐมนตรีต้องรีบไขว่คว้า
บอกเพื่อนหลายคนอย่าพึ่งเลยนา
ตัวนี้นั่นหนาข้าขอตีตราจอง

มีเก้าอี้ให้เลือกตั้งหลายตัว
เพื่อนไม่น่ามามั่วตัวอื่นมีสำรอง
บางคืนเขาฝันฝันถึงตีสอง
เผลอร้อง...โห่ เรเร ฮีโฮ ๆๆๆ สมดังฝัน

เขาเลวทรามกินงบแผ่นดิน
จะขอเช็คบิลล์และบอกเพื่อนฝูงอย่าเพิ่งค้าน
เก้าอี้ตัวนี้ถ้าได้นั่งนาน
บวกลบคูณหาร ได้พพันล้านพอดี

โกมินทร์ 98

วูบเงา

เราโหยหาเกินไปหรือเปล่า
ทั้งรูปเงา สรรพนาม และความหมาย
ที่ ลำบากยากฝ่าก็ท้าทาย
ที่ฟ้าพรายดาวพริบหวังหยิบพราว

เราตั้งหมายใจมั่นมากหรือไม่
ทั้งที่โลกโศกไหม้ และไข้หนาว
ทั้งที่ฟ้าแจ่ม ทั่วเพียงชั่วคราว
เราเกิดมา เพื่อก้าวเพียงชั่วคืน

มิมีความสมดุลให้ชีวิต
ฝันอาจให้ใกล้ชิดเพื่อจิตชื่น
หมายสว่างคนจรเพียงท่อน ฟืน
ขณะยังหมายอื่นอีกหมื่นไฟ

เมฆยังหมายฟ้างามประทับเมฆ
มิคิดให้ฟ้าเสกเป็นฝนใส
แต่เพียงหมายเมฆหนาขึ้นคราใด
สัจจะก็สลายให้สลวยงาม

จึงมีเพียงเท่านี้ในชีวิต
แค่หนึ่งปมกระจิดริดของคำถาม
เพียงหนึ่งด้านใบไม้แดดพรายทาม
ก่อนลับหายไป ท่ามความต้องการ

พิเชษ แสงทอง

ถึงเธอ

ไม่ว่าเธอจะอยู่ไกลกี่ไมล์ฟ้า
ให้รู้นะว่าฉันยังส่งใจไปถึง
ให้เธอนั้นได้รู้ไว้ อย่างนึง
ฉันก็เป็นเพียงคนหนึ่งที่คิดถึงเธอ

9 พ.ย. 2541

อักษร M เดินนำหน้า
อีกษร I ตามมาไม่ห่างหาย
ส่วน SS ขอ ตามอยู่ข้างกาย
รวมกันได้หมายความถึงคิดถึงเธอ

8 พ.ย. 2541
ดลนภา แสนมีมน

....หนาว....

หนาวกายอุ่นด้วยกลบ
ผืน ผ้าพบหรืออบไฟ
หนาวลึกรู้สึกใจ
นั้นคือกลัวไม่กล้า การ

ฝึกใจใฝ่รู้ชัด
จักบำบัดจัดอาจหาญ
คราพบประสบการณ์
ใจจะเห็นเป็น ธรรมดา

ธรรมดาคือแปรเปลี่ยน
ไหลวนเวียนมิรอท่า
ยิ้มอยู่สู่โศกา
วันยัง เป็นเย็นตายไป

ส.เดชะ

วาทกรรมแห่งความเงียบ

ฟ้ามืดมนคำรนลั่นสนั่นหู
ฝนชิงชังพรั่งพรู จนเดือด พล่าน
ลมอาเพศกระหน่ำพัด วิบัติพาล
มนุษย์น้อยลนลานทรุดร่างลง

วาทกรรมแห่งความเงียบเริ่มระงม
แพร่กระจายตามสายลมที่พัด หลง
ประชาชนมิทนท้อ,ทระนง
สะบัดธงสัจธรรมไม่จำนน

แม้โองการแช่งน้ำเคยตราหน้า
เป็นไพร่ต่ำธรรมดามาทุกหน
แต่ความ คืดคือนิยาม ความเป็นคน
ทันเลศ, รู้เหตุผลให้พึ่งพา

ประวัติศาสตร์ มีบาดแผล,ความด่างพร้อย
"รัฐบุรุษ" เคยหลุดลอยไปลิบหล้า
" สันติ ประชาธรรม" ถูกบาทา
กระทืบตบลบค่าความเป็นคน

เสียงแห่งความเงียบจึงกระหึ่ม
ใต้ฟ้าอึมครึมด้วยเมฆฝน
บทเพลงเพื่อ ศักดิ์ศรีเสรีชน
กึกก้องมณฑล,พิทักษ์ธรรม

สดับฟังบ้างสิ เหล่าหิงสา
ฟังเสียงแห่งปวงข้า, ร้องร่ำ
มนาโศลกที่เรียงร้อยด้วยถ้อย คำ
อย่าเหยียบย่ำวิญญาณการเป็นคน

อย่าปิดปากปิดตาให้มืดตื้อ
อย่ามัดมือแล้วไล่ล่าโกลาหล
เอาความจริงมาตีแผ่แก่ผู้คน
เอาเหตุผลมาหักล้างอย่างสากล

อย่าเอา"ตัวแปร" ที่ได้เปรียบ
บรรทัดเทียบเพื่อกระทำความสับสน
อย่าอาศัยอภิสิทธ์อิทธิพล
ตัดสิน คนโดยโคตรกอเพื่อก่อกรรม

รูญ ระโนด

บ้านผู้เฒ่า

กลับมาบ้านหลังเก่าเงียบเหงาหงอย
ไม่มีคนเคยคอยให้คบหา
ดวง ไม้แย้มในคราวก่อนก็โรยรา
กล้าไม้ใหม่พึ่งแตกตายังไม่โต

ณ รอยล้อวกวนเวิ้งที่หวามไหว
หมุนแปรไปเป้นเปลี่ยนและผกโผ
เมล็ด พันธุ์หว่านเพาะในมโน
แต่คนโซกลับเก็บกินก่อนผลิใบ

*****

แก้วสระบัวขุ่นมัวเป็นฝ้าฉาบ
ไม่น่าอาบ ทั้งแต่ก่อนชุ่มเย็นใส
ไร้ บัวแย้มปลาแหวกว่ายคล้ายซึมไป
ไยหนอไยมิเป็นอยู่เมื่อวันวาน

รวงน้ำผึ้งรวงเก่าก็แห้งเหือด
อัปเรณูก็ดับเดือดความหอมหวาน
ไผ่ ชราสีเสียดกอเมื่อลมพาน
ก็ถึงกาลสะพรั่งดอกเหมือนบอกลา

เกราะกระดิ่งกรุ่งกริ่งฉิ่งสนิท
กระดาษติดเป็นแผ่นเคยล้อลมผวา
ก็ปลิด ปลิวพลิ้วหายไปไกลตา
ทิ้งเส้นเชือกให้เหว่ว้าเกาะกระดึง

บ้านหลังนี้ บ้านหลังนั้น ชราแล้ว
แผ่นกระดาษล้วนแฝงแววความคิดถึง
ทุก ต้นเสาเก็บความหลังหลั่งคำนึง
บานหน้าต่างโบกลมปึงไร้คนแล

ไม้หนึ่ง ก.กุนที

ระหว่างทาง

เฮ้ย เพื่อนยากเราบากหน้ามาถึงไหน
ฝ่ารกร้างทางไกล กระเสือกกระสน
เหลียวหลังลิบลับตาพร่ามัวมน
ทางข้างหน้าจะวกวนอีกเท่าไร

ผ่านผ่าวผ่าวหนาวร้อนค่อนชีวิต
ยัง เสี่ยงถูกเสี่ยงผิดจิตหวั่นไหว
สิ่งสับสนปนแปรไม่แน่ใจ
ดีชั่วใช้ไล่ระบายตามรายทาง

พอคุ้มรอดปลอดคนปมคมเล็บ เหยี่ยว
รู้ฉากฉีกหลีกเลี้ยวเขี้ยวเสือสาง
น้ำลายเหือดเลือดกระเซ็นพอเป็นยาง
จากขวากหนามคมบางยังยงยืน

มีราก ไม้ใบบังประทังท้อง
ไร้รสชาติชวนลองต้องฝืดฝืน
เรียกพลังโรยล้ากล้าแข็งคืน
เลือดฉีดชื่นชั่วคราวได้ก้าวเดิน

อีก ห้วยหุบยุบยับนับกี่เท่า
กี่ทำนบทึบเทากี่เขาเขิน
เลี้ยงตัวรอดรุ่งรับหรือยับเยิน
จะเผชิญกับอะไร มีใครรู้

สกล ผดุงวงศ์

ขี้แพ้ชวนตี

คนขี้แพ้ชวนตี ไม่ดีแน่
เอาโกงแก้ ก่อกวน ชวนโมโห
ท้าชกต่อย ปล่อย หาง ทำวางโต
ไม่พุธโธ่ ผู้ใด ใจเป็นพาล

เมื่อยามแพ้ ยอมแพ้ให้เด็ดขาด
อย่าอาฆาต คิดร้าย หมายประหาร
แพ้เป็นพระ ชนะทุกข์ ไม่ รุกราน
ชนะมาร เหมือนพระ ชนะกรรม

.....

ยิ้ม

ยิ้มไว้เถิดเมื่อเกิดทุกข์ซุกในใจ
ยิ้มเข้าไว้ เมื่อภัยมีรี่สู้หา
ยิ้มกันเข้า เศร้าละ โลกโศกอำลา
ยิ้มเฮฮา สุขสันต์พลันลืมแก่

ยิ้มพอดีปรีดิ์เปรมเกษมชื่น
ยิ้มระรื่น ครื้นเครงดังเซ็งแซ่
ยิ้มอย่างไทยในจิตคิดเผื่อ แผ่
ขอเว้นแต่ อย่ายิ้มเยาะหัวเราะคน

"พันธุ์ เพชรบูรณ์"
9 มี.ค.2541

ฉันและเพื่อน

ฉันและเพื่อนมาโรงเรียน เรียนหนังสือ
โรงเรียนคือ ขุมทรัพย์ แห่งความรู้
ฉันและเพื่อนมาอ่านเขียนเรียนกับครู
มุ่งมั่นอยู่ ฟังครูสอนอย่างตั้งใจ

ฉันและเพื่อนฟังครูสอนอย่างมี หวัง
จำครูสั่ง เพื่อวัน อันสดใส
ฉันและเพื่อนไม่ย่อท้อเดินต่อไป
ต้องฝักใฝ่ ตั้งใจเรียน เขียนอ่านเอย

ชวนพิศ แซ่ คัง
จ.ชัยภูมิ 2 มี.ค. 2541

เด็กเร่ร่อน

สักวาเด็กเร่ร่อนสอนให้รู้
ผู้ใหญ่ดูหรือเปล่าเราฉงน
รับผิดชอบกัน หรือไม่หรือไม่ทน
ปล่อยให้คนเกิดมาว่าอย่างไร

บุญมีครูท้องถนนช่วยดลให้
ช่วยใส่ใจให้ความรู้ครูสร้างสรรค์
ใช้เชิงรบใช่เชิงรับปรับ ทุกข์กัน
ชีวิตใหม่เกิดพลันสุขสันต์เอย

สงบ แสงรัตนกุล

28 พ.ย. 2539

คนไทยขอร้อง

แก้วตาหันมาฟังพี่จะบอก
เจ้าจงตั้งใจฟังไว้ให้ดี
เงินนั้นที่เจ้ารับเขา มานี้
พี่จะบอกว่าเป็นคนชั่วให้นาง

ตกใจเมื่อหัวคะแนนให้ต่อ
เขามาขอให้เลือกยกทีมกับนาง
บอกน้องงถ้าเลือกคนชั่วผิดหวัง
เขาทำเหินห่างได้รับเลือกแล้วไม่มา

เขตนี้อย่าให้ใครมาหลอก
แจกเงินนี้ตำรวจเขาจับ
ทำแบบนี้ก็เหมือนดูถูก
น้องเอยเจ้าอย่าเชื่อน้ำ คำ

แก้วตา เจ้าอย่าลืมที่พี่สั่ง
ความหลังครั้งก่อนขอให้จดจำ
จงถนอมคนดีอย่าให้ชอกช้ำ
คนน้ำใจงามช่วยกาเบอร์ให้ด้วย นาง

โกมินทร์ 98

* คนน้ำใจงามในที่นี้ คือคนที่ไม่ซื้อเสียง

ปรัชญาหอยโข่ง

1.อยู่เขื่อนอยู่โขงโค้งงมโข่ง
ตีนเกี่ยวหลังโกง เกือกคู่เก่า
ค่อยคืบทีละนิด สะกิดสะเกา
ถึงเงียบแต่ไม่เหงา เฝ้างมงาย

2. ผืนน้ำแทนผ้าที่ข้าห่ม
คลุกเลนเล่นหล่ม เดี๋ยวงมเดี๋ยวหงาย
ชักชวน สาวหอยกาบเล่นเกมทาย
ชักชวนสาวหอยลายไปกินลม

ไม่รู้เดือนรู้ดาวกับเขาดอก
นอนคุยสัพยอกกับหอยขม
พี่น้องอพยพจากน้ำ ยม
เพราะบ้านถูกทับถม จมโรงงาน

อย่าไปเลยบางกอก-คนหลอกลวง
เขาจะหลอกพุ่มพวงไปเป็นอาหาร
หอยกระป๋องราดพริก- ภัตตาคาร
ถึงบ้านเราดันดารก็บ้านเรา-ฯ

3. ค่อยค่อยงมค่อยค่อยง้างอย่างโง่โง่
ค่อยค่อยเงยค่อยค่อยโงอย่างโคตรเหง้า
ชะโงกน้ำดู ชะเง่อสะท้อนเงา
ถึงอดโซแต่ไม่เศร้า ไม่ซมซาน

อยู่อย่างหอยทะนงซื่อตรงหอย
ถึงน้ำกร่อยสิใจยังไหวหวาน
ร่วมบรรเลงเพลงหอย กังสดาล
ทั้งหอยเหี่ยวหอยยานทั้งหอยเยาว์

คือตัวข้างมโข่งทั้โขงเขื่อน
ไม่เคยคิดขับเคลื่อนเหมือนใครเขา
ง่วงก็นอนขำก็ขันคันก็ เกา
วันเบาเบาจิบน้ำคลองแทนฟองเบียร์

4. อยู่เขื่อนอยู่โขงโค้งงมโข่ง
อยู่ในที่อากาศโปร่งน้ำไม่เสีย
รักหอยสักหอย-มักน้อยไม่ เพลีย
สร้างสรรค์งานงัวเงียเฝ้งมงาย ฯ

เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์

ปรารถนาในปรารถนาของมนุษย์คืออะไร

ความรู้สึกนึกคิดลื่นไหลไปตามแรงเร้าแห่ง ปรากฏการณ์
ทว่า ทิศทางที่มันนำไปก็เพื่อตอบสนองความพึงพอใจเท่านั้น
ความซับซ้อนของหัวใจมนุษย์ลึกล้ำและน่าหวั่นผวา
เป็น ความลี้ลับที่น่าสะพึงกลัวยิ่งกว่ากลางคืน
ความจริงใจมีอยู่เฉพาะในอุดมคติ

โลกคือการแลกเปลี่ยน
หัวใจมนุษย์รู้ดีว่า ควรทำอย่างไรให้ชีวิต อยู่รอด
ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปด้วยพละกำลังของสัญชาติญาณ
แน่นอนที่ว่า มนุษย์ต่างมีลมหายใจอยู่เพื่อรอคอย
สิ่งสำคัญสำหรับการ พิจารณาไม่ใช่วิธีการแต่คือเป้าหมาย
เพื่อจะบรรลุจุดมุ่งในกระบวนการชีวิต
ฆ่าจึงจำเป็นต้องฆ่า
ลอบใส่ร้ายข้างหลังจึงจำเป็นต้อง ทำ
วีรบุรุษเป็นฝุ่นผง
ความดีงามกินแทนอาหารไม่ได้
รถยิ่งติด
ตึกยิ่งสูง
มนุษย์ยิ่งมืดบอดและจมหาย
มนุษย์ยิ่งมั่งมียิ่ง อยากมากขึ้น
ความสุขทางกามมีค่ามากกว่าความสุขทางใจ
ราคาของหัวใจกลายเป็นโมฆะ
คุณค่าของตัวตนคือทองที่ใส่คอ
แหวน เพชรที่สวมติดนิ้ว
โทรศัพท์มือถือและเงินในธนาคาร
ทำให้ฉันได้สำนึกว่า
วิญญาณมนุษย์นั้น เชื่อถือได้หรือไม่?
ทำให้ฉันฉงนสงสัย เสมอมาว่า
ปรารถนาในปรารถนาของมนุษย์นั้น คืออะไร ?

สมพงษ์ ทวี

รุ้งสายอันรายสรวง

อยากเติมฝันอันใฝ่เต็มไฟฝัน
ขอโลกนั้นหยุดสนิทสักนิด หนอ
หยุดแย่งผลคนผู้รู้จักพอ
ขอคิดขอเลิกฆ่าเลิกล่าคน

คงเห็นดอกหมอกได้เคลียไม้ดอก
หลายสิ่งงอกงามแง้มแต่งแต้มฉงน
แดดเช้าแบ่งสายบ่ายเบี่ยงฉายบน
จุมพิตม่านมัวมนหายหม่นมัว

หมู่ผึ้งซ้อนซ่อนซอนเกสรซาบ
ผีเสื้อทาบหนวดถูเรณูทั่ว
ภูมรีรี่รี้เสียงถี่ รัว
เฝ้าเกลือกบัวกลั้วใบแฝงใกล้บึง

ปักษาฉีกปีกโฉบลมโอบช่วย
พัดรรรทวยรวบถิ่นรรรรินถึง
ไหลล่องสู่, รู้สึกสุขลึกซึ้ง
กับสิ่ง ซึ่งสรรสร้างไม่สร่างซา

ถ้าหากใครใคร่ครวญรู้สวนใคร่
หันห่างไห้หาหรรษ์หื่นตัณหา
รู้ศัตรูรู้ตัดถอนอัตตา
ย่อมรู้ค่าของค่าปัญญา คิด

รู้รสฉ่ำธรรมชาติสะอาดโฉม
รู้เหนี่ยวโน้มสำนึกผนึกผนิด
รู้เก็บวันสรรทวีใส่ชีวิต
รู้เสริมจิตผสานใจรู้ใส่จำ

รู้เห็นด้านการดูรู้ สันโดษ
รู้แล่นโลดหลบเลี่ยงผลำเพลี่ยงถลำ
รู้ร้อนหนาว ก้าวหน้า รู้ฝ่านำ
รู้ถือธรรม ถือทาง แผ้วถางไท

รู้ร่วมฝันอันใฝ่ร่วมไฟ ฝัน
ต้องฝ่าฟันใฝ่ฝักสรรรักใฝ่
รู้ประจักษ์รักแจ้งโถแรงใจ
เพราะไร้รักจักไร้หัวใจสู้

คมทวน คันธนู