++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2548

การเอาชนะความกลัวความสำเร็จ

จาก The Book of Goals

มีโศกนาฎกรรมอยู่ 2 อย่างในชีวิต คือ การไม่ให้หัวใจคุณได้สิ่งที่ต้องการ กับอีกอย่างหนึ่ง คือ ให้หัวใจคุณได้รับมันเสีย

มาร์ธา ฟรายด์แมน (Martha Friedman) ได้เขียนในหนังสือ การเอาชนะความกลัวความสำเร็จ (Overcoming the fear of Success) เธอได้ศึกษาว่า เหตุใด คนมักกลัวความสำเร็จ และมักกระทำการบางอย่างโดยไม่ได้สติเพื่อหลีกเลี่ยงความสำเร็จที่พวกเขาปรารถนามาตลอดชีวิต เธอได้พบว่า เป็นผลมาจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาในวัยเด็ก ตามที่จะได้อ่านต่อไปนี้

"ถ้ามีปัจจัยบางอย่างมากระทบจิตใจของคุณ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวคุณเองในวัยเด็ก จะทำให้คุณดำเนินชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อความสำเร็จ ความกลัวต่อความสำเร็จนี้ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน ในขณะที่คนมีสติไม่มีใครที่จะกลัวความสำเร็จ ทุกคนต้องการมัน แต่ว่า ในจิตใต้สำนึกภายใสตัวเรา ซึ่งเราไม่เคยสำรวจดูเลย ซึ่งจิตใต้สำนึกนี้จะทำให้เราพยายามทำทุกอย่างไม่ให้ตัวเราเองไปถึงความสำเร็จ หรือทำให้เราคิดว่า มันคือความสำเร็จจริงหรือ หรือทำให้เราคิดว่า ความสำเร็จเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน "

บางคนอาจจะกลัวความสำเร็จทางธุรกิจหรือความสำเร็จส่วนตัว บางคนกลัวทั้งสองอย่าง มีคนไข้ของผม ชื่อ ลาร์รี่ รอมเบิร์ก (Larry Romberg) ซึ่งเป็นรองประธานบริษัทฝ่ายขาย เขาพยายามละเลยบทบาทของสามี หรือบทบาทพ่อของลูก เขาเล่าให้ผมฟังว่า คุณพ่อของเขาสอนว่า เขาจำเป็นต้องเลือกเอาเพียงอย่างเดียวระหว่าง ความสำเร็จในการงาน หรือความสำเร็จในชีวิตครอบครัว ในส่วนลึกแล้วคุณพ่อของลาร์รี่ ไม่ต้องการให้ลาร์รี่ ทำในสิ่งที่เกินกำลังโดยการทำความสำเร็จในทั้งการงานและครอบครัวให้สมดุลกัน เมื่อโตขึ้น ลาร์รี่ ได้พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้คุณพ่อพอใจ และในส่วนลึกแล้วเขาก็กลัวว่าเขาจะประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัว เพราะมันพิสูจน์ให้เห็นว่า คุณพ่อของเขาคิดผิด

ลาร์รี่ต้องใช้ความพยายามและเวลานาน กว่าที่เขาจะตระหนักถึงสิ่งที่มีผลต่อพฤติกรรมของเขา ซึ่งทำให้เขาหวาดกลัวความสำเร็จจากการงานและชีวิตครอบครัว เขาจึงสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตทำความสำเร็จให้สมดุลแก่ชีวิตของเขาทั้งสองส่วนได้

แบบฝึกหัดในการเผชิญกับความหวาดกลัว
"ความสำเร็จ
ในหนังสือ "การเอาชนะความหวาดกลัวความสำเร็จ " (Overcoming the Fear of Success)
ของ ดร.ฟรายด์แมน (Dr. Friedman) ได้ถามผู้อ่านด้วยคำถามยาวๆ เพื่อที่จะค้นหาว่า อะไรคือสิ่งที่เธอเรียกว่า "อาการกลัวความสำเร็จ" (Fear-of Successsymptoms) บ้างลองตอบคำถามต่อไปนี้ดู (ซึ่งหลายข้อได้นำมาจากหนังสือ "การเอาชนะความหวาดกลัวความสำเร็จ" โดยได้รับอนุญาติจากผู้เขียนแล้ว) ถ้าคุณตอบว่า ใช่ มากกว่า 2-3 ข้อแล้ว คุณควรจะปฏิบัติตามคำแนะนำของ ดร.ฟรายด์แมนในการที่คุณจะเอาชนะสิ่งที่ขวางกั้นความสำเร็จของคุณได้
  1. คุณรู้สึกลำบากใจหรือไม่ เมื่อสิ่งต่างๆดำเนินไปด้วยดี?
  2. ในส่วนลึกในใจคุณคิดว่า คุณเป็นคนเสแสร้งหรือไม่?
  3. คุณรู้สึกหรือไม่ว่า คนที่รู้จักคุณดี อาจไม่ชอบคุณ?
  4. ความรู้สึกสบายใจ ทำให้คุณรู้สึกแปลกๆหรือไม่?
  5. ความรู้สีกไม่สบายใจ ทำให้คุณรู้สึกดีหรือไม่?
  6. เมื่อคุณสามารถบรรลุเป้าหมายซึ่งคุณเคยดิ้นรนเพือจะได้มันมา คุณเคยถามตัวเองว่า "มันมีเพียงแค่นี้เองหรือ" หรือไม่?
  7. คุณเป็นคนบ้างานหรือไม่?
  8. คุณเป็นคนที่ทำงานได้หลายอย่าง แต่ไม่มีอย่างใดดีเลยหรือไม่?
  9. คุณรู้สึกว่าการแข่งขันเป็นสิ่งชั่วร้ายหรือไม่?
  10. คุณอยากจะเป็นทื่ชื่นชอบของคนอื่นมากกว่าคนเก่ง หรือไม่?
  11. การว่างงานในวันหยุด ทำให้คุณวิตกกังวลหรือไม่?
  12. เมื่อคุณได้รับสิ่งที่ต้องการแล้ว คุณมีความรู้สึกว่า ไม่อยากได้มันอีกหรือไม่?
  13. คุณเป็นคนจู้จี้หรือไม่?
  14. คุณไปสายเสมอ แม้ว่าคุณจะพยายามไปให้ตรงเวลาแล้วหรือไม่?
  15. คุณรู้สึกหรือไม่ว่า ความสบายใจเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอยู่กับเราตลอดไปได้?
  16. เมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น คุณรู้สึกไหมว่า คุณควรจะต้องรับผิดชอบ ถึงแม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับคุณเลยก็ตาม

90 % ก็ดีมากแล้ว

จาก The Book of Goals

ไม่มีอะไรสมบูรณ์ไปหมด ทุกอย่างจะต้องมีข้อบกพร่อง
งานที่คุณรักอาจจะไม่สมบูรณ์ไปหมด งานทุกอย่างมีสิ่งที่บกพร่อง เช่น อาจจะมีบางช่วงเวลาที่คุณเบื่อ มันคือ ข้อบกพร่อง ซึ่งควรจะรับรู้และไม่ควรจะสนใจมัน ตัวอย่างเช่น ศัลยแพทย์อาจชอบการผ่าตัดช่วยชีวิตคน เขาต้องใช้ความชำนาญซึ่งได้มาด้วยความยากลำบาก มากกว่าการจัดการกับใบเสร็จและการจัดการต่างๆในสำนักงาน หรือเป็นเพราะว่าระเบียบข้อบังคับในการประกันภัยทำให้ศัลยแพทย์หนักใจ แต่ปัญหานี้ไม่ได้เกิดกับหมอทุกคน อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ คนดูแลสวนอาจชอบที่จะทำงานในสวนสาธารณะมากกว่าที่จะต้องติดต่องานกับพวกที่ไปตั้งแคมป์แล้วชอบทิ้งขยะ และบางทีก่อไฟทิ้งไว้ และนักวิทยาศาสตร์อาจจะรักทำการวิจัย แต่เกลียดการทำรายงานและการทำข้อเสนอโครงการเล่มโตๆ

ทุกงานมีข้อดีและข้อเสีย งานที่คุณรัก คืองานที่มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย นอกจากนี้คุณควรจะมองข้ามความถูกต้องไปในบางครั้ง ลองดูตัวอย่างของ ชัค เนลสัน (Chuck Nekson) ซึ่งเป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์แก่นักเรียนมัธยมปลาย สิ่งที่เขาไม่พอใจในงาน ก็คือ เขาได้รับเงินเดือนน้อยมากเมื่อเทียบกับเพื่อนของเขาที่ประกอบอาชีพอื่น และการสอนนักเรียนมัธยมซึ่งมีพื้นฐานต่างกัน และไม่มีสัมมาคารวะ ทำให้ ชัค รู้สึกเบื่อหน่ายและอึดอัด นอกจากนี้ ชัค รู้สึกลำบากใจที่มีผู้ชายไม่กี่คนสอนหนังสือในโรงเรียน ถึงแม้จะมีสิ่งที่ทำให้ชัค ไม่พอใจหลายอย่าง แต่เขานึกไม่ออกว่า จะทำอาชีพอะไรนอกจากสอนหนังสือ และนี่คือเหตุผลของเขา "ขณะผมทำให้เด็กๆสนใจสิ่งที่ผมสอน เมื่อพวกเขาสนใจที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อถึงเขา ผมภูมิใจจนไม่สามารถนึกสิ่งใดอื่นมาเปรียบเทียบได้เลย"

ฝันที่ยิ่งใหญ่

จาก The Book of Goals

ชีวิตจะเป็นอย่างไรถ้าปราศจากความฝัน -เอ็ดมอนด์ โรสแตนด์

คนเราต่างก็มีความฝันและการงานที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กสำหรับความมุ่งมั่นของเขา เราจะเห็นว่า เด็กเล็กๆสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่า อยากเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไปเหยียบดวงจันทร์เมื่อโตขึ้น ความฝันของเด็กมักจะเป็นเรื่องที่ท้าทาย ตื่นเต้น และบางทีก็เป็นเรื่องผาดโผน ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินเดือนหรือที่จอดรถเลย แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ขึ้นไปดวงจันทร์ ได้เขียนหนังสือของตัวเอง แม้กระทั่งเคลื่อนย้ายภูเขา ทำไมถึงไม่เป็นคุณล่ะ? ทำไมมันจึงยากสำหรับผู้ใหญ่อย่างเราที่จะจินตนาการให้ดำเนินชีวิตไปอย่างตื่นเต้น กล้าหาญ เช่นเดียวกับความฝันของเด็กๆ

แบบฝึกหัดสำหรับนักฝัน
  1. หาสมุดพกสักเล่มติดตัวคุณไว้ตลอดเวลาอย่างน้อย 1 เดือน
  2. อะไรคือ ความฝันของคุณ คุณนึกฝันอะไรเกี่ยวกับงานของคุณบ้าง อย่าคิดเพียงว่า "ฉันทำไม่ได้" "ฉันไม่รู้" หรือ"มันสายไปแล้ว" คุณยังมีเวลาพอที่จะไปห่วง หรือกังวลกับปัญหาและข้อจำกัดจริงๆในภายหลัง ขณะนี้ ขอให้คุณคิดแต่เรื่องความฝันเท่านั้น ลองบันทึกชื่องานในฝันมาสัก 5 งานที่เกิดขึ้นในใจ เช่น "คุณรักงานออฟฟิศหรือเปล่า" "คิดจะเป็นเจ้าของร้านหนังสือบ้างไหม" "หรือจะซื้อรถบรรทุกสักคันเพื่อรับจ้าง" "เป็นครูสอนเทนนิสให้เด็กๆได้หรือเปล่า"
  3. ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่กำหนด หากคุณเห็น ได้ยิน หรือคิดอะไรที่เกี่ยวกับความฝันของคุณ จดความคิดเหล่านี้ไว้ ไม่ว่าจะมาจากบทความเรื่องนักผจญเพลิงที่เพิ่งช่วยเหลือคนออกมาสักคน หรือนิยายรักใครเรื่องหนึ่ง อาจจะได้จากผู้จัดรายการวิทยุที่คุณชื่นชอบ จากความทรงจำที่ผ่านมาในรั้วโรงเรียน เช่น การทดลองทางเคมีที่ได้ผลดี การขายขนม แม้กระทั่งการเสนอโครงการช่วยเหลือคนเร่ร่อน หรืออาจจะเป็นงานอื่นๆ ที่สามารถเป็นงานที่ทำรายได้ให้แก่คุณ และเมื่อสิ้นสุดเวลา 1 เดือนนั้น คุณจะรู้ว่าคุณเป็นคนอย่างไร และกิจกรรมแบบไหนที่คุณสามารถทำให้เป็นรูปธรรมได้

บัญญัติ 10 ประการ อยู่อย่างไรกับหมาดุให้ปลอดภัย

คงไม่ต้องรื้อฟื้นกันอีกแล้วว่า หมาดุคืออะไร? พันธุ์ใด? ดุอย่างไร? อันตรายแค่ไหน? ฯลฯ มีผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ออกมาให้ข้อมูล วิเคราะห์ วิจารณ์กันทั่วบ้านทั่วเมืองไปหมดแล้วในขณะนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะเป็นผลตามมาอย่างกรณีในอดีตเนื่องจากความตื่นตระหนกของสังคมไทย ประดุจดังกระต่ายตื่นตูมเช่นครั้งเมื่อมีเรื่องเห็บจากหมาเข้าไปแพร่พันธุ์อยู่ในมดลูกคนจากรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งซึ่งไม่เป็นความจริง แต่ผลที่ตามมากลับใหญ่หลวงนัก กล่าวคือปริมาณหมาจรจัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมณฑล กรุงเทพมหานคร มีอัตราสูงอย่างผิดปกติ ทั้งนี้เพราะคนกลัวจะติดเห็บจากหมา จึงตะเพิดหมาเลี้ยงออกจากบ้านให้กลายเป็นหมาจรหมอนหมิ่นกลาดเกลื่อนเป็นปัญหาสังคมและปัญหาสาธารณสุข เนื่องจากเป็นพาหะโรคพิษสุนัขบ้าต่อไป
คราวนี้ก็เห็นทีจะมีปรากฏการณ์เช่นเดียวกับที่เคยเกิดดังเมื่อครั้งคราวฮือฮาเรื่องเห็นที่ผ่านมา
หมาดุ หมาต้องสงสัยว่าจะดุ หมาที่เคยมีประวัติกัดคน หมาลูกผสมพันธุ์ดุหมาน่ากลัว หมาดื้อ ฯลฯ ล้วนมีโอกาสถูกส่งออกมาเพ่นพ่านทั่วไป เราอาจเห็นหมาจรจัดที่เป็นหมาพันธุ์แท้นานาพันธุ์ ราคาแพงนับหมื่นนับแสน วิ่งเพ่นพ่านทั่วไปเช่น ร็อตไวเลอร์ โดเบอร์แมน พิทบูล บางแก้ว หลังอาน ฯลฯ บ้างอาจไล่กัด ทำร้ายคนต่อไปอีก และยากที่จะกำจัดเนื่องจากพฤติกรรมอันน่ายำเกรงของมัน
ฉะนั้น การป้องกันไม่ให้ปรากฏการณ์อันไม่พึงประสงค์ดังกล่าวให้เกิดขึ้น สามารถทำได้โดยการให้ความรู้ที่ถูกต้องถึงการอยู่ร่วมกัน การเลี้ยง การควบคุม และทำความเข้าใจกับหมาที่มีนิสัยดุ หรือเป็นพันธุ์ที่น่าจะให้อยู่ร่วมชายคากับเจ้าของต่อไปได้อย่างมีความสุขและปลอดภัยทุกฝ่าย
ศูนย์สวัสดิภาพสัตว์ศึกษา คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์หนึ่งคือ ชี้นำสังคม และให้ข้อมูลเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาอันสืบเนื่องมาจากสัตว์ต่างๆ และการเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้เกิดสวัสดิภาพที่ดีต่อสัตว์เหล่านั้น ผ่านทางการให้การศึกษาด้านนี้อย่างถูกต้องแก่สังคมไทย
ในกรณีนี้จึงขอเสนอข้อแนะนำเพื่อการปฏิบัติดังนี้
1. ห้ามปล่อยทารก เด็กเล็ก ตลอดจนผู้ป่วย คนชรา ที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ อยู่ตามลำพังกับสัตว์เหล่านั้นอย่างเด็ดขาด
2. ทบทวนและติดตามพฤติกรรมหมาของท่านว่าแสดงออกถึงความก้าวร้าวอย่างไม่มีเหตุผลอย่างไรบ้าง บ่อยครั้งแค่ไหน ต่อบุคคลใด ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่สัตวแพทย์สำหรับการประเมินสภาพจิตใจและพฤติกรรมตลอดจนความเสี่ยงที่จะเลี้ยงดูสัตว์ตัวนั้นๆ ต่อไป
3. ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของสายพันธุ์หมาที่ท่านเลี้ยงจากใบพันธุ์ประวัติเจ้าของคอกที่ท่านได้หมานั้นๆ มาเพื่อเป็นการดูว่าหมาในสายพันธุ์นั้นมีประวัติการทำร้ายแทรกอยู่ในเชิงพันธุกรรมหรือไม่
4. ดูว่าหมาท่านผ่านการฝึก อบรม บ่มนิสัยมาบ้างหรือเปล่า ท่านเคยสั่งสอนหัดให้สัตว์รู้จักเชื่อฟังคำสั่งง่ายๆ พื้นฐาน เช่น หยุด มา คอย หรือจำชื่อตัวเอง ฯลฯ หรือหากเคยหัดเอง หรือผ่านโรงเรียนฝึกหมามาแล้ว ท่านต้องรีบฝึกฝน ทบทวน และใช้คำสั่งเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ จนหมาถือเป็นกิจวัตรและอยู่ในโอวาท
5. หากหมาไม่เคยร่ำ เคยเรียน ผ่านการฝึกมาเลย ควรเริ่มต้นฝึกจากคำสั่งง่ายไปก่อน หรืออาจต้องพึ่งโรงเรียนฝึก ซึ่งท่านจะต้องเอาใจใส่ไปรับการฝึกเพื่อเป็นนายของหมาด้วย
6. หมาที่มีโอกาสหรือคาดว่าอาจจะเป็นตัวเสี่ยงสูงควรหัดให้เลี้ยงไว้โดยสวมใส่ตะกร้อปากและจำไว้ว่าเมื่อออกนอกบ้านก็ต้องใส่ตะกร้อปากและสายจูงที่แน่นหนาเหมาะสมทุกครั้ง อย่าใช้โซ่ล่ามไปเป็นสายจูง
7. พิจารณาการเลี้ยงดูสัตว์ตัวนั้นๆ ของท่านว่าเหมาะสมถูกต้องดีแล้วหรือ? ไม่เป็นสาเหตุของความดุของสัตว์และไม่ทรมานสัตว์โดยก่อให้เกิดความเครียด เช่น อาหารที่ครบถ้วนทั้งคุณภาพและปริมาณ ที่อยู่อาศัยสะอาดถูกอนามัยปราศจากการรบกวน ยั่วยุจากคนหรือสัตว์อื่น มีสภาพแวดล้อมที่ดี มีพื้นที่ของเขตเป็นส่วนตัวและแข็งแรงพอที่จะควบคุมเขาไว้ได้ยามต้องการ รวมถึงต้องมีคนเลี้ยงที่รักและดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสม ฯลฯ
8. หมาต้องได้รับการดูแลสุขภาพให้มีความสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัย โรคเรื้อรังซ่อนเร้นต่างๆ เช่น โรคข้อสะโพกหลวม(Hip dysplasia)ฯ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้สัตว์เจ็บปวดความเจ็บปวดทำให้สัตว์เครียด ระแวง และไม่อยากให้ใครมายุ่งเกี่ยว นี่เองทำให้สัตว์ดูและกัดผู้ที่เข้าหาหรือสัมผัสตัว ฯลฯ
9. จงเลี้ยงหมาด้วยความรัก ให้ความอบอุ่น และเวลา หมาเป็นสัตว์สังคมจะไว้ใจและเชื่อจ่าฝูง ตลอดจนให้ความจงรักภักดี ฉะนั้นอย่าทำให้หมาหมดศรัทธาในตัวเจ้าของเกลียดเจ้าของ เกลียดสังคมในบ้านนั้นๆ
10. ระลึกเสมอว่าการเลี้ยงหมานับจากวันแรกที่ท่านนำเขาเข้าบ้านแล้วท่านเป็นผู้ที่จะต้องรับผิดชอบชีวิตของเขาตลอดไปจนสิ้นอายุขัยอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ฉะนั้นเขาต้องอยู่กับเราไปอย่างมีความสุขตามสมควร
จากข้อแนะนำทั้ง 10 ข้อนี้จะเป็นแนวทางของการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ระหว่างหมาดุและคนในครอบครัว
หากปรากฏว่าปฏิบัติเช่นนี้แล้วยังเกิดความรุนแรงจากหมานั้นๆ ก็ขอให้รีบปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อการแก้ไขตามหลักวิชาต่อไป จำไว้ว่าการลงโทษด้วยกำลัง ความรุนแรง การลงโทษด้วยวิธีจำขัง ทรมานไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาหมาดุได้เลย
มีปัญหาหมาและสัตว์ต่างๆ ด้านสวัสดิภาพความเป็นอยู่ การทรมาน ฯลฯ ปรึกษา
"ศูนย์สวัสดิภาพสัตว์ศึกษา"
คณะสัตวแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล
ศาลายา นครปฐม 73170
โทรศัพท์ 441-0932, 441-0936
E-mail : vsprt@mahidol.ac.th
โดยคุณ : ผศ.น.สพ.ปานเทพ รัตนากร

ชีวิตยังมีหวัง ท่ามกลางความเศร้าหมอง แต่มั่นคงอย่างเหลือเชื่อ

ยามชีวิตในสังคมไร้ความหวัง และเรารู้สึกหดหู่ที่จะสู้ภัยสังคม และ
เศรษฐกิจ ผมมักต้องอ่านบทกวีของคนที่มีความหวัง เพื่อเตือนสติให้ระลึกถึง
ชะตากรรมอันโหดร้ายทารุณ
บทกวีนี้เขียนขึ้นเพื่อไม่ให้ สิ้นหวัง ท่ามกลางความเศร้าหมอง แต่ผู้เขียน
มีความมั่นคงอย่างเหลือเชื่อ
แปลมาเป็นภาษา ไทยอีกทีหนึ่ง
แม้จะไม่ได้อรรถรสเท่าภาษาดั้งเดิม

"ปิดประตูใส่ฉัน...
กั้นโลกออกไปจากฉัน
ให้มี กรงเหล็กทุกบานหน้าต่าง
ปิดห้องปิดไฟให้มืดมิด
...ทำ อะไรกับฉันก็เชิญเถอะ
จะเยาะจะชังก็ทำกับฉัน
ต่อให้วัน สว่างมืดสนิท
ให้รัตติกาลทรมานอย่างเจ็บปวด

.........
......

ชีวิตนี้หากสำคัญ
อยากรู้นักว่าฉันตายวันตาย พรุ่ง
แต่ฉันมีคำตอบอยู่แล้ว...
ณ ที่ซึ่งไกลไปจากโลกนี้

...............

ปิดประตูใส่ฉัน
พรากรักจากทุกคนไปจากฉัน
ลูก ที่ดีแห่งอิสราเอล
ไม่มีแม้แต่วันอันโดดเดี่ยว
เพราะฉัน รู้วันฉันจะพานพบ
ศานติภาพตรึงอยู่ในใจ
ก็ฉัน มีพันธสัญญา
ที่ซึ่งประทานเป็นดินแดนส่วนตัว

...............

แค่เอาแต่หมายเลขฉัน
อย่านำชื่อฉันไป
ลืมทุก อย่างเกี่ยวกับฉัน
ปล่อยให้ย่อยสลายหายไปทั้งร่างกาย
ฉันไม่มีความสำคัญอะไร
เป็นแค่เพียงเศษเดียวของหนึ่ง เดียว
ทำลายให้สิ้นซาก

แล้วโยนกองรวมทิ้งไป
แต่ฉันได้รู้ว่าเราจะหา
ศานติในใจตรึงเป็นนิรันดร์
เพราะฉันได้รับประทาน
พันธสัญญา
สักวันจะมีที่ดินให้เป็นของเรา...

บทกวีนี้ ผมขออนุญาตนำมาใส่ไว้เป็นภาษาอังกฤษเพราะได้อารมณ์ ครบถ้วนดีกว่า

If my life were important I
Would ask will I Live or die
But I know the answers lie
Far from this world...
Close every door to me
Keen those I love from me
Children of Israel
Are never alone
For we know we shall find
Our own peace of mind
For we have been promised
A land of our own

จริงแล้วบทกวีนี้ มีคนเขียนให้กับค
นคน หนึ่ง เพราะต้องการสื่อสาร ว่า

ด้วยจิตวิญญาณ ใจของเขาไม่เคยสูญเสียสิ่งที่เป็นความเชื่อมันและศรัทธา

มีคนอีกหลายคน พยายามสื่อสารถึงความรู้สึกที่ศรัทธาในสังคมและ

เศรษฐกิจ รวมทั้งการเมืองพังทลายเขาเขียนเพื่อบอกว่าพวกคนที่รู้ว่าตัวจะต้องเข้ารม ก๊าซ ในค่ายนาซี
เยอรมัน ยังเขียนถึงความหวัง เรายังอยู่จะไม่สู้ต่อไปหรือ?

โดยคุณ :
พระบาท นามเมือง

7 วิธีถนอมรักให้ยืนยาว

คำแนะนำจากแม่และผู้ที่มีชีวิตรักมั่นคง มอบให้แก่เจ้าบ่าว

1. จำไว้ว่าเมื่อรักใครต้องมีความปรารถนาดีและจริงใจต่อกันเสมอ

2. อย่าลืมว่าตัวเองกำลังมีความรัก หัดแสดงความรู้สึกให้อีกฝ่ายรับรู้ เช่น จับมือเมื่อดูหนังด้วยกัน หรือชมว่าเธอสวย

3. ไม่กล่าวถึงครอบครัวหรือเพื่อนของเธอในทางเสียหาย แม้จะเป็นคนที่คุณไม่ชอบก็ตาม

4. รับฟังความเห็นของกันและกัน หากทำผิดก็จงกล่าวคำขอโทษ ถึงคุณจะเป็นฝ่ายถูกก็เงียบเข้าไว้

5. ไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียหน้า หรือ ตำหนิกันในที่สาธารณะหรือขณะอยู่กันสองต่อสอง

6. เวลาโต้เถียงควรพูดกันเบาๆ อย่าขึ้นเสียงหรือตะโกน เล้นเสียแต่ว่าไฟจะไหม้บ้าน

7. เมื่อไรที่ไม่พอใจกัน ให้ระลึกไว้เสมอว่าคุณทั้งสองรักกัน

จาก SHARON RANDALL

Script Howard
News Services


อดีตรักยังเหลือใย ตัดเท่าไหร่ก็ไม่ลืม

พูดถึง “แฟนเก่า” เมื่อไหร่ บางคนปุ๊บปั๊บเกิดอาการแสบแปล๊บๆ ขึ้นทันทีในใจ ขณะที่มีหลายคนแอบ อมยิ้มอยู่ลึกๆ เพราะยังรักไม่เสื่อมคลาย ว่างั้นเถอะ แฟนเก่าจึงมีทั้งประเภทฝากแผลใจและ ทำร้ายร่างกายจนสี่ห้อง ของหัวใจยับเยินก็เยอะ ขืนฝากแผลไว้ให้แค้นกันมาก ก็ลืมไม่ลงหรอก เพราะเจ็บแล้วต้องจำนี่นะ

ตรงข้ามกับ โหย...ถึงแม้จะรักร้าง ห่างเหินกัน นานแค่ไหน แต่ความทรงจำที่มีต่อกัน ยังดีเยี่ยมก็มาก แฟนเก่าจึงเป็นประวัติศาสตร์ที่ล้นไปด้วยความหมายสารพัดสาระเพนั่นเอง ส่วนใครจะเปรียบเป็นหายนะ, ดอกไม้หรือก้อนอิฐ ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์หวานระทึก ที่แต่ละคนมีแตกต่างกันไป ใช่ป่าว คนส่วนใหญ่จึงมักผ่านประสบการณ์ป่วยหนักด้วยโรคของความรัก มาแล้วทั้งน้าน เอ้า ถ้าพูดกันตามตรง พวกเราคงไม่มีใครเกิดอาการ พิษรักกับคนอื่นที่ไม่ใช่ “คนที่เราเคยปิ๊งด้วย” หรือ “อดีตรักปักใจ” หรอกนะ ใช่มะ แล้วไหนๆ คุณไอริณ อำไพบุศย์ จาก อ.อินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เขียนจอมอ ขอให้เขียนเรื่องแฟนเก่าให้อ่านกันหน่อย เมอร์ลินก็ไม่รู้จะเล่น ตัวไปทำไม จึงขอเสนอวิธีสลัดแฟนเก่าให้พ้นไปจากใจสักที ก่อนที่จะตลบตบท้ายกันด้วย เรื่องตามล่าแฟนเก่าให้กลับมารักกันอีกละกันนะ แหม หัวข้อเหล่านี้เนี่ยคงโดนใจ แควนๆ คอลัมน์นี้แน่เลย เพราะรู้น่าว่าแต่ละท่านล้วนมีแฟนเก่าไว้ให้คิดถึงด้วยกันทั้งนั้น ก่อนอื่น ใน ทำอย่างไรถึงจะสลัดแฟนเก่าออกไปจากใจให้ได้สักที (How to get over a past love) ถ้าคิดซะว่า แต่นี้ไป เดี๊ยนขอเริ่มต้นใหม่ ไม่ยอมเป็นเด็กโบร้าณ โบราณ ตรงข้ามวันนี้จะทันสมัย เป็นสาวโมเดิร์นรับสหัสวรรษใหม่ และอยากสาปส่งความหลังกันแล้วละก็ ต้องนี่เลย...

• โยนทิ้งรูปภาพแห่งความหลังอันหวานแหวว ซึ่งอาจทำให้คุณน้ำตาร่วง เอ๊ย...ละเมอหาแควนเก่า ไปซะให้หมด แม้ว่า ไอ้ที่เลิกกันนั้น ไม่ได้โกรธหรือรังเกียจ เดียดฉันท์สักเท่าไหร่ก็ต้องฝืนใจทำ เพราะไม่งั้นคุณจะไม่สามารถโยนความหลังทิ้ง แล้วหันมาเป็นคนใหม่ ได้หรอก

• พยายามไม่ว่างเข้าไว้ ภาพความหลังจะได้ไม่ฉายแวบเข้ามารบกวนสมาธิ

• พบคนใหม่ๆบ้าง จะได้รู้ว่า โอ้ย...ยังมีเพื่อนร่วมโลกให้น่าพิสมัยอีกตั้งแยะ แถมเพื่อนใหม่ๆยังเลือกได้อีกว่าจะเอาเอ๊าะๆ สดๆ ซิงๆ ก็ยังได้ แหมโลกนี้กว้าง ใหญ่ไพศาลจะตาย รับรอง ไม่ได้มี แต่เฉพาะคนหน้าเดิม ให้เหม็นเบื่อ หรอกนะ แต่เอ๊ะ เอ๊ะ เจ้าการได้พบคนใหม่ๆ ก็ไม่ได้หมายความเสมอไปใช่ไหมว่า จะต้องรีบคว้าเขามาเป็นแฟนซะที่ไหน ให้โอกาสตัวเองได้ หายใจบ้างเหอะ

อู้ย เห็นพอมีแฟนก็อยากเป็นโสด พอโสดนานเข้าก็อยากมีแฟน สลับกันอย่างนี้อยู่เรื่อย พอได้ทีแล้วเรื่องไรต้องมานั่งช้ำซ้ำซากกันอีก ละน้อง เว้นวรรคให้ชีวิตบ้างก็ได้ แต่...เอ...ที่เล่ามาข้างต้น นั่นสำหรับผู้ต้องการลืมรักในอดีต ให้มันแล้วก็แล้วไปเท่านั้นนะ เพราะเชื่อไหมว่า มีบางคนยังรำพึงรำพัน ฝันหวาน ไม่อยากเลิกรักแฟนเก่า ก็มีให้เห็นเหมือนกันนะ แถมดีไม่ดี อยากกลับไปผูกสมัครรักกันอีกครั้ง กับคนเดิมด้วยนี่สิ อ้าว...แล้วที่ผ่านมา เซย์ กู้ดบายกันไปทำไมเนี่ย แต่ก็อย่างว่าหละถึงเป็นถ่านไฟเก่า แต่ถ้าไฟจะลุกพรึบพรับขึ้นมาอีก ของแบบนี้ย่อมเป็น ไปได้ทั้งนั้น ก็ถ้าใจยังรักซะอย่างจริงมะ โธ่ อดีตก็เป็นปัจจุบันได้ ไม่ต้องอาศัยพิพิธภัณฑ์แปลกแต่จริงมายืนยันก็เชื่อแล้ว แต่ทำไงดีล่ะ ถึงจะพิชิตใจคนรัก เก่าให้กลับมาเป็นของคุณอีก ใน 5 วิธีสานรักกับแฟนเก่า (5 Ways to get your ex back) ชี้โพรงให้กระรอก เช่น

1. ถ้าอยากกลับไปรักกับแฟนเก่า ก่อนอื่น น่าจะลงทุนหาข่าวสืบหน่อยนะ ว่าใจเค้ายังว่างอยู่เรอะเปล่า? เพราะมั่นใจได้ไงว่า หลังแยกทางห่างเหินกันแล้ว เขายังโสดสนิทเหมือนเดิมทุกประการ เพราะแหมตอนที่พวกคุณแยกทางกันน่ะ เขาบอกหรือไงว่าจะไปบวชหาเจ๊ เออถ้าสืบแล้วรู้ว่าใจเขายังว่างแน่นอน ค่อยเสนอหน้าไป กระแซะนิด กระเซ้าหน่อยเพื่อลองใจว่า เขายังรักคุณหรือเปล่า? ก็ยังไม่สาย ว่าแต่อยากกลับไปสานรักครั้งใหม่กับคนเดิมทั้งที อย่าวู่วาม, บุ่มบ่ามหรือคาดคั้นเขาเชียวนะ เพราะเดี๋ยวจะหาว่า อยากรักก็รีบมา อยากทิ้งก็ทำกัน ง่ายๆ ระวังถ้าหวานใจคนเดิมไม่ยอมกลับ ไปแนบชิด แล้วอย่าร้องไห้โฮๆก็แล้วกันตรงข้ามถ้าเขาแกล้งโสด แต่ไม่สด หรือโสดไม่จริง เพราะมีเจ้าของหัวใจแล้วละก็ ทางที่ดีตัดใจ ซะเหอะ อย่าแหยมหรือตื๊อเขาเลย เดี๋ยวเหอะ โดนตบ กลับมาแล้วจะหาว่าพี่ไม่เตือน

2. เช็กสิว่า คราวก่อนอะไรเป็นสาเหตุทำ ให้รักขม จะได้ดามหัวใจกันได้ถูกจุดไง

3. รื้อฟื้นดูสิว่าอะไรที่พวกเราต่างเคยไม่พอใจซึ่งกันและกันมาก่อน หยิบมาพูดซะวันนี้เลย จะได้รู้กันไปข้างว่า จะปรับความเข้าใจกันได้อย่างไร และทำไงถึงจะรักกันให้นานๆ

4. ชวนกันโบกมือบ๊ายบาย อย่าให้ประวัติ ศาสตร์รักร้าวย้อนกลับมาอีก...ได้ไหมล่ะ

5. ชัวร์เหรอว่า ถ้ากลับไปรักกันใหม่ คราวนี้จะไม่เปลี่ยนใจ แยกทางกันอีก แหม จะกลับไปสวีตกันใหม่ทั้งที ต้องถามทั้งตัวและหัวใจของทั้ง 2 ฝ่ายให้ชัวร์ไม่มั่วนิ่มหยั่งงี้แหละ.

เข้าใจผู้ชายสไตล์ผู้หญิง

เท่าที่ผู้หญิงรู้เกี่ยวกับจิตใจ ของ ผู้ชายยังมี ความคลาดเคลื่อน มากมายที่สาวๆ ควรหันมาทำ ความเข้าใจซะใหม่ เพราะในใจ ของผู้ชายนะเหรอ มีทั้งกลัว กล้า บ้า บอ ซึ่งบางกรณี ก็น่าสนใจดี แต่เสียดายที่ฝ่ายชาย ไม่ค่อยชอบ แสดงความรู้สึกของ ตัวให้หญิง ข้างกายรับรู้นี่สิ ผู้หญิงจึงต้อง ใช้วิธีเดาสุ่ม ซึ่งก็เดาถูกบ้าง ผิดบ้าง สะเปะสะปะบ้างไปตามเรื่อง

งั้นสัปดาห์นี้ จึงขอเสนอ 10 ความพิศวงที่ผู้หญิงมีต่อชายหนุ่มให้ฟังแล้วจะอึ้งกิมกี่ (10 Myths women have about men) บอกว่า ความเข้าใจคลาดเคลื่อนซึ่งผู้หญิง มีต่อผู้ชายน่ะรึ มีตั้งแต่

1. ผู้หญิงคิดว่า ผู้ชายไม่สนใจในสิ่งที่เธอพูด ทั้งๆที่ “ผมสนใจสิ่งที่ผู้หญิงพูดจะตายไป” คริสต์ หนุ่มวัย 27 ปีบอก “ถ้าตราบใด เรื่องที่ผู้หญิงพูดนั้น เกี่ยวข้องกับกีฬาโปรดของผม, ชมผม หรือพูดถึงกิจกรรม ที่พวกเราชอบทำร่วมกัน อะไรทำนองนี้แหละครับ” อ๋อแสดงว่า ถ้าเธอบ่นขึ้นมาจริงๆก็ไม่อยากฟัง ใช่ป่าว

2. ผู้หญิงคิดว่า ผู้ชายต้องการใครก็ตามที่เหมือนแม่ของเขา “ก็จริงนะ ที่ผู้ชายต้องการใครสักคนที่รักเขาได้ ในแบบที่แม่ของเขารักเขามาก่อน” เอริก หนุ่มใหญ่วัย 42 ปี ยอมรับ “แต่บางครั้งแม่ก็กวนใจพวกเราเหมือนกัน และเราก็ไม่ต้องการให้ผู้หญิงที่เรารักเป็นแบบนั้นซะด้วย เพราะฉะนั้น จงรักและเลี้ยงดูเรา (พวกผู้ชาย) ในแบบแม่ของเขาเถิด แต่จงอย่าเป็นแบบแม่เด็ดขาด” อ้าวไหงเป็นงี้ล่ะพี่ ท่านว่าพฤติกรรมของสาวที่ผู้ชายไม่ค่อยสบอารมณ์ได้แก่ ซักไซ้ไล่เลียงและคาดคั้น ทำเสมือนหนึ่งว่าเขาเป็นนักโทษงั้นแหละ

3. ผู้หญิงนึกว่าผู้ชายจะคิดแต่เรื่องเซ็กซ์ เท่านั้น “ใช่ แน่นอน” พอล หนุ่มวัย 24 ปี อกผายไหล่ผึ่งยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน “การคิดถึงเรื่อง เซ็กซ์เป็นการเพิ่มพลังสมองของพวกเราอย่างนึง เหมือนกัน ผู้ชายจำนวนมากจะคิดถึง เซ็กซ์เฉพาะ ในเวลาว่าง สิ่งที่เราหมกมุ่นเกี่ยวกะเซ็กซ์ มักหนี ไม่พ้นในครั้งหน้าเราจะทำอย่างไรถึงจะสนุกกับเรื่อง บนเตียงมากกว่าครั้งที่ผ่านมาแล้วนั่นเอง แต่ เอ...เผลอๆบางทีผู้หญิงบางคนอาจคิดเรื่องแบบนี้ มากกว่าผู้ชายก็มีนะครับ” พอลเสริม

4. ผู้หญิงคิดว่า ถ้าผู้ชายตามใจหล่อนละก็ สงสัยหนุ่มคนนี้คงรวยแหงเลย แต่เสียงยืนยันจาก แบรดดี้ หนุ่มวัย 49 ปี รีบ โวยวายว่า “เปล่าซะหน่อย การที่ผมตามใจคนสวยก็เพื่อ ที่ฝ่ายหญิงจะได้ตกหลุมรักผมไง” อ้าวเป็นงั้นไป โถเป็นแผนทำให้แม่เสือตายใจนั่นเอง

5. ผู้หญิงคิดว่า ถ้าฉันนอนกับเขาตั้งแต่เดทกันครั้งแรก เขาก็จะไม่แยแสฉันอีกต่อไป “ก็แหงละครับ” ฮวน วัย 21 ปีตอบ “เพราะผู้ชายจะคิดว่าคุณง่ายเกินไป สาวดีๆ ที่ไหนจะปล่อยเนื้อปล่อยตัว กับคนซึ่งเพิ่งรู้จักได้ไม่เท่าไหร่ถึงเพียงนี้ล่ะ แม้แต่คู่ที่ปิ๊งกันขนาดหนัก ก็ไม่มีทางหรอกที่จะยอมให้แอ้มโดยไม่ทันได้รู้จักกันดีเลยนี่นา”

6. ผู้หญิงเชื่อว่า สามารถเปลี่ยนแฟนของเธอได้ “ไม่มีทางหรอก คุณไม่สามารถเปลี่ยนเขาได้ เชื่อมะ” แจ๊คกี้ วัย 30 ปี ออกความเห็น “แต่ เอ๊า ถ้าผู้หญิงอยากเปลี่ยนแควนของเธอจริงๆ ก็เปลี่ยนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้นแหละ หรืออย่างมากก็เปลี่ยนเขา ได้แค่นิดๆ หน่อยๆ อย่าหวังซะให้ยากเลยว่าเขาจะเชื่อฟังคุณทุกอย่าง แค่ เขาหยวนๆ ยอมลงให้ ในบางครั้งบางคราก็ดีเท่าไหร่แล้ว” ทำนองว่า ให้เปลี่ยนแฟนยังเปลี่ยนง่ายกว่าสันดาน เอ๊ย นิสัย นะน้องนะ

7. ผู้หญิงเล่าว่า แฟนคอยถามอยู่เรื่อยเรื่องฉันเคยไปเที่ยวกับใครมาบ้าง แสดงว่า เขาสนใจอดีตฉันมากเลยใช่มะ โธมัส วัย 19 ปี เป็นปากเสียงแทนผู้ชายรุ่นใหม่ว่า “ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่นักหรอกว่า ผู้หญิงของผมมีประวัติด้านรักๆ ใคร่ๆหรือเที่ยวไปมาหาสู่กะใครมาก่อน ผมไม่อยากรู้หรอกว่าแฟนผมเคยมีคู่รักมาแล้วคนนึงหรือว่า 20 คน แค่เพียงอย่าบอกผมเกี่ยวกับพวกเขาก็พอ” ประมาณทนไม่ได้ ทนไม่ไหวใช่ป่าวล่ะ ตรงข้ามกะ สตีฟ วัย 25 ปีแฮะ เขาบอกว่า “ผมอยากรู้สิครับว่า แฟนของผมเคยมีคนรัก ก่อนหน้า ที่จะเจอผมหรือเปล่า? แต่ก็ไม่ถึงกับไปบังคับนะว่าเธอ ต้องบอกให้ผมรู้ทั้งหมด แค่เธอแสดงความกระตือรือร้นที่อยากจะเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ก็ดีใจแล้ว” หวังว่าถ้าฟังจบก็อย่าฆ่าหนูหมกศพด้วยล่ะกัน

8. ผู้หญิงคิดว่า ผู้ชายไม่ชอบให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เอ๊ะเริ่มอะไรนะ พูดให้ชัดๆไปเลยก็ไม่ได้ อ้อ...เค้าว่า เริ่มทุกอย่างนั่นแหละ เช่น ชวนคุย ชวนไปเที่ยว ชวนไปดูหนัง ชวนไปทานข้าว และอะไร ต่อมิอะไรจิปาถะ มาฟังฝ่ายชายเค้าตอบบ้างดีกว่า “ใช่แล้ว บางครั้งพวกเราก็ไม่สบอารมณ์” โรเมโร วัย 39 ปี บอกหน้าตาเฉย “ถ้าผู้หญิงจะเป็นฝ่ายนำบ้างก็ไม่เสียหายอะไรหรอก แต่หากทำบ่อยๆทำทุกครั้ง สงสัยเธอชอบบงการชีวิตคนอื่นแหงๆ” อ๊ะ หรือเธอชอบบงการเฉพาะแฟนล่ะมั้ง

9. ผู้หญิงเชื่อว่า ผู้ชายปรารถนาสาวบริสุทธิ์ “โอ้โห นี่เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ใจมากที่สุดสำหรับผมเลยล่ะ ถ้าผมได้เจอผู้หญิงที่ยังเวอร์จิน (บริสุทธิ์) อยู่นะ” ชัค วัย 52 ปี ยอมรับ “ในโลกแห่งความเป็นจริง ผู้ชายอยากอยู่กับคนที่เรารู้ว่า เคยเป็นอะไรมาก่อนมากกว่าการที่ต้องโกหกกันอยู่แล้ว” แปลว่าใช่หรือไม่ใช่วะเนี่ย ตอบให้ตรงประเด็นหน่อยก็ไม่ได้

10. ผู้หญิงคิดว่า ผู้ชายแข็งแรงกว่า “ไม่จริงเสมอไป” ไมเคิล หนุ่มใหญ่วัย 40 หมาดๆ รับรอง “ผู้ชายเหมือนเด็กมากกว่า โดยเฉพาะตอนเป็นหวัด เรามักอ่อนปวกเปียก อยากได้รับการทะนุถนอมและเอาใจใส่ดูแลจาก ผู้หญิงทั้งนั้นแหละ”

เฮ้อ เห็นตัวใหญ่ๆแบบเนี้ย ออเซาะใจเสาะแบเบาะอย่างกะเบบี๋เลยอ่ะ

รีบคว้าโอกาส ถ้าอยากรักใหม่

ถ้าไม่ประสบความสำเร็จ ในรักครั้งนึง คุณจะเข็ดขยาด ไม่ยอมมีรักอีก หรือเปล่า? บางคนตอบอย่างร่าเริงว่า ไม่เข็ดหรอก เรื่องไร จะเข็ดล่ะ ในเมื่อเดี๊ยนยังรักได้ใหม่เรื่อยๆ ไม่เกี่ยงนี่นา....ว้าว

กลับมาเข้าเรื่อง ในเมื่อไม่เข็ดที่จะรักก็ดีแล้ว เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่พอผิดหวังในรักครั้งนึง พบว่า ไม่ค่อยขวนขวายที่จะมีรักอีกครั้งสักเท่าไหร่ ว่าแล้วจึงอดรนทนไม่ไหว ขอเขียนเรื่อง 12 อันดับยอดนิยมที่ผู้หญิงมักทำลายโอกาส ในการพบรักครั้งใหม่ (The Top 12 Ways Women Sabotage Finding Love Again) ให้อ่าน เผื่อท่านทั้งหลายจะได้ ไม่ปิดโอกาสที่จะมีรักอีกครั้ง หรือจะหลายๆครั้งก็ได้ไงล่ะ

พูดถึงความรักเนี่ย ถ้าไม่มีซะเลย ก็เหมือนชีวิตมันแห้งแล้งเหี่ยวเฉาใช่ป่าว แต่ถ้ามีแล้วยิ่งทำ ให้คุณเหนื่อยกับการวิ่งไล่ตามแฟนไม่รักดี หรือต้องคอยปรนนิบัติพัดวีให้เขาสบาย แต่เราเป็นนังแร้งทึ้งทันตา เห็นก็อย่ามีเลยว่ะ เพราะคุณอาจรักคนผิด ซึ่งไม่ใช่คู่รักคู่แท้ที่คู่ควรกันจริงๆก็ได้ เหตุนี้ ถ้าเคยมีรักแล้วไม่ได้ดังใจก็ลองเริ่มดูใหม่ได้ ว่าแต่ พอเริ่มใหม่ก็อย่าฝันหวาน เลื่อนลอยดังต่อไปนี้ละกัน

1. อย่ามุ่งหวังที่จะหาคนรักให้ได้ตามสเปกที่ตั้งไว้ซะสูงปรี๊ด เชื่อเหอะ ไม่มีใครได้อะไรดังใจไปซะทุกอย่าง หรอก ไอ้สะป่ง สเปกอะไรที่คนเรามีอยู่ในใจน่ะ ก็แค่สร้างความหวังให้ตัวเองไปวันๆเท่านั้นแหละ โธ่ ใครจะหาแฟนแบบทั้งโสด ทั้งรวย ทั้งหล่อ หรือแม่ก็ไม่มีให้เกิดกรณีแม่ผัวลูกสะใภ้ โอ้โหครบเครื่องครบ ครันราวๆ นี้ท่าจะละเมอไปแล้วมั้ง เอาเป็นว่าถ้าลดสเปกได้ก็ลดซะ แต่ถ้าไม่เคยมีสเปกเลย แบบนี้ก็น่ากลัวเหมือนกันว่าจะเจอจับฉ่ายน่ะสิน้อง

2. อย่ารวมการออกเดทเอาไว้กับเรื่องเซ็กซ์ ผู้หญิงชอบกังวลใจว่าถ้าต้องคบหากับคนใหม่ แล้วถ้าเผื่อเขาชวนออกเดทแล้วเธอจะถูกชวนไป ขึ้นเตียงก็แย่น่ะซี แต่เอ๊ะ สาวบางคนเห็นชอบความท้าทาย แบบนี้นะ เอางี้ ถ้าคุณกลัวว่าจะถูกล่วงเกิน (คือผู้หญิง รักนวลสงวนตัวก็ยังมี ส่วนไอ้พวกปล่อยตัว ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอก หาคนมั่วได้ง่ายตายชัก) ก็อย่าไปเดทกะเขาก็สิ้นเรื่อง ถ้าคนชวนมีลีลาท่าทางอยากมีอะไรเกินเลยมากไป คุณก็ปฏิเสธได้ ชอบค่อยไป ไม่ชอบ ก็อย่าไป

3. อย่ามัวยึดติดอยู่กับอดีต อย่าเอาคุณสมบัติของแฟนเก่ากับคนที่ คุณคบใหม่มาเปรียบเทียบกัน ไม่มีทางเหมือนหรอก

4. อย่าเศร้าอยู่เลย การจมปลักอยู่กับความเศร้า แหงล่ะ ที่บางทีช่วยทำให้ผู้หญิงปลอดภัยเพราะไม่ต้องติดต่อ กับใครให้เปลืองตัว แต่อย่าลืมนะว่าอาจทำให้คุณเปลี่ยวเปล่า เหงาหงอยได้ในเวลาเดียวกัน

5. อย่าปิดโอกาสตัวเอง ถ้าไม่ได้แฟนใหม่ อย่างน้อยคุณอาจได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นก็ได้ คิดในทางที่ดีไว้ก่อนเหอะ

6. อย่าคิดตื้นๆแค่ว่าผู้ชายจะเลือกจีบแต่ผู้หญิงสวยๆ พอมาเจอไม่สวยแต่น่ารัก อย่างคุณปั๊บ เขาก็จะไม่แล โอ้โฮเฮะ คิดได้ไงเนี่ย ขอตอบข้อสงสัยเรื่องนี้ตามประสาผู้มีประสบการณ์โชกโชนแล้วกันว่า จริงอยู่ถ้าเลือกได้ ใครๆก็มักเลือกจีบแต่คนสวย คนหล่อก่อนเพื่อนทั้งนั้นแหละ แต่...แต่...และแต่ ถ้าใครคนนั้นอยากเป็นแฟนแต่เฉพาะกะคนสวยล่ะก็ เชื่อไหมว่า ผู้หญิงสวยนี่แหละจะลำบากล่ะ เพราะความงามมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลได้ปลื้มก็จริง แต่ขณะเดียวกัน เธอก็อาจเจอคนไม่จริงใจ ประเภทเข้ามาตีสนิทเพื่อหลอกฟันเยอะกว่าคนไม่สวยซะอีก แถมเมื่อรักกันแล้ว คนสวยก็มีปัญหาแบบคนสวยอีก คือมีภารกิจต้องรักษาความสวยไว้ ให้เป็นอมตะน่ะสิ เพราะเมื่อไหร่ที่หล่อนไม่สวยแล้วไซร้ ผู้ชายที่เป็นคนรักสวยรักงาม ย่อมเปลี่ยนใจไปรักคนสวยคนใหม่ได้เสมอ เอ้า ลองดู คู่ดาราหรือนางแบบ ที่สวยหยดย้อยก็ละกัน ยังมีข่าวรักๆเลิกๆอื้อซ่าไป เห็นสวยๆหล่อๆอย่างงี้เหอะ บทจะไม่รักกัน ความสวย ความงามก็ไม่เห็นจะช่วยอะไรได้

7. อย่ารีบนอนกะคนใหม่หวังประชดตัวเอง คิดรึว่าทำแบบนี้จะเรียกความมั่นใจที่เสียไปจากรักครั้งก่อนคืนมาได้ มีแต่จะสร้างปัญหา ตามมาอีกเป็นพรวนละไม่ว่า เช่น ติดโรคทางเพศสัมพันธ์เงียะ หรือเกิดท้องขึ้นมาแล้วจะทำไง

8. อย่าหวังถึงความรักที่โรแมนติกเกินไป ผู้หญิงชอบฝันว่า “เดี๋ยวก็มีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาจีบแล้ว” ขอให้จริงเหอะ สมัยนี้น่ะจะเหลือเจ้าชาย สักกี่คนกันเชียวที่หลุดรอดมาถึงสาวสวยหมวยขาวอย่างเราๆย่ะ

9. อย่ามัวเลือกคนที่คล้ายแฟนเก่า เขามีดี อะไรนักหรือถึงต้องอาลัยอาวรณ์นักหือ

10. อย่ามองโลกในแง่ร้าย ด้วยความที่ยังคงติดอยู่กับความรู้สึกแย่ๆเกี่ยว กับความสัมพันธ์ในอดีตที่เจ็บปวด (หรือเปล่าไม่รู้) แหม เห็นใจจ้ะน้อง ผู้หญิงเลยไม่อยากเจ็บซ้ำเจ็บซาก มันก็น่าเข็ดหลาบอยู่ร้อก แต่อย่าหลาบจำไปเลย

11. คิดว่าสามารถอยู่คนเดียวได้ ไม่ง้อใครก็ได้ฟะ ให้มันจริงเหอะ

12. มีภาระมากไปหรือเปล่า? เช่นมัวแต่ ดูแลคนอื่น (คนในครอบครัว) ซะจนปล่อยให้ความ ต้องการของครอบครัวสำคัญกว่าความปรารถนาของตัวเอง เฮ้อ...แบ่งเวลาให้ความรักบ้าง จะได้รู้ไงว่าความซาบซ่ามันเป็นไง.

แฟนในฝัน มีจริงหรือ?

ลองรวบรวมความปรารถนาของ ผู้หญิงเกี่ยวกับความรักและแฟน ในอุดมคติ พบอาการเพ้อเจ้อ เอ้ย ฝันหวาน ที่อาจเป็นเพียงฝันกลางวัน หรือฝันที่ เป็นจริงก็บ่ฮู้ ดังต่อไปนี้

1. อยากมีแฟนเป็นคนเซนซิทีฟ มีอารมณ์อ่อนไหวและอ่อนโยนด้วยยิ่งดี

2. อยากมีแฟนที่สามารถพูดกันอย่างตรง ไปตรงมาได้ ว่าเขาคิดอย่างไรและ คิดอะไร? อย่าสะดิ้งให้ผู้หญิงต้องเก็บไปตีความจนเวียนเฮดเลยขอร้อง เพราะแค่เป็นแฟนกัน ไม่ทำให้ต่างฝ่ายต่างมีพลังจิต สามารถอ่านใจกันได้หรอก

3. ผู้หญิงจะชอบมาก หากคนที่เธอรักบอก “รักเธอ” ตลอดเวลา นัยว่า หล่อนไม่มีวันที่จะเอียนคำนี้เด็ดขาด ขอให้พูดออกมาเหอะ แต่โดยมากมักไม่พูดน่ะเซ่

4. ผู้หญิงไม่อยากเป็นเพียง “สาวคืนเดียว” ของคนที่เธอรัก แต่อยากถูกรักนานๆ ประมาณชั่วฟ้าดินสลายยิ่งดี อย่ารักแค่ชั่วสิ้นสงสารหรือชั่วแล่นก็พอ

5. อยากมีแฟนที่ให้เกียรติผู้หญิง ไม่ใช่เห็นสาวเป็นเพียงตุ๊กตาหน้าแฉล้ม ที่คู่ควรเก็บไว้เป็นคนใช้ในบ้านก็แย่ดิ

6. อยากมีแฟนดีๆ ดีในที่นี้อาจดีด้วยหน้าที่การงาน หรือมีฐานะมั่นคง หรือไม่งั้นคงหมายถึง แฟนที่เป็นคนดี มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเข้ากับเธอได้งั้นมั้ง

7. อยากมีแฟนที่ไม่กระเหี้ยน กระหือรือ หรือตะกละตะกลามในเรื่อง เซ็กซ์มากเกินไป

8. อยากมีแฟนที่เข้าอกเข้าใจ และเป็นเพื่อนพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่ปิดบังอำพราง หรือซ่อนเร้นจนต้องเล่นซ่อนหากันทุกวี่ทุกวัน

9. อยากมีแฟนที่แสดงออกให้เห็นว่า ห่วงใยเดี๊ยนอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่แกล้งหลอกให้ตายใจ

10. อยากมีแฟนที่สามารถอุทิศเวลาให้หล่อนได้ตลอดเวลาที่สาวเจ้าต้องการ

เฮ่อ...ฟังแล้วก็ขออนุโมทนาสาธุให้น้องหนูได้เจอคนที่ตัวเองถูกใจโดยทั่วหน้าทุกท่านก็ละกัน แต่เอ พูดก็พูดเหอะ คุณสมบัติของ “แฟนในฝัน” ที่ ผู้หญิงอยากได้น่ะ หายากไปหรือเปล่าจ๊ะ แบบนี้สู้ไปงมเข็มในมหาสมุทรยังจะง่ายกว่าหรือเปล่า?เจ๊ แต่ไหนๆในเมื่อ สถานการณ์ควานหารักเป็นอย่างนี้ไปซะแล้ว แสดงว่า ผู้หญิงน่ะเป็นพวก ช่างเลือก หรือว่าผู้ชายกันแน่ที่ขยัน สร้างความผิดหวังให้ ผู้หญิงกันล่ะเนี่ย สาวๆ ถึงได้ฝันหวานอยากให้ แฟนของเธอเป็นอย่างงั้นอย่างงี้กันนักน้า ว่าแล้ว ใน ความ ผิดพลาดด้านรักใคร่ของ ผู้ชายที่ทำให้ผู้หญิงผิด หวัง (9 Big Mistakes Men Make with Women) บอกถึงปัญหาของหนุ่มมาดแมนที่จ้าง ให้ผู้หญิงก็ไม่คว้ามาเป็นแฟนให้เสียความ รู้สึกดีๆที่ควรมีต่อกัน ดังต่อไปนี้

1. เรียกร้องมากเกินไป เช่น พยายามตะล่อมให้ ผู้หญิงชอบเขาให้ได้ ทั้งๆที่สาวเจ้าไม่อยากเล่นด้วย ก็ตื๊ออยู่นั่น สงสัยถือคติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก แต่ ขอโทษพวกเนียะโดนเคียะ (หมายถึงเตะทิ้ง) มานัก ต่อนักแล้ว เพราะทำอย่างงี้ก็เหมือนทำให้ผู้หญิงอึดอัด คนเราลองจะรักกัน จะปิ๊งกัน จะชะตาต้องกันซะอย่าง ไม่ต้องอาศัยความพยายามอะไรให้เว่อไปหรอก เดี๋ยวบุพเพก็อาละวาดเองหละ

2. บางคนสุภาพจัด ขนาดจะทำอะไรให้ เธอที ต้องรอให้ผู้หญิงอนุญาตก่อน แบบนี้ก็น่ารำคาญเหมือนกัน ผู้หญิงน่ะชอบคนสุภาพ, สะอาดเอี่ยมก็จริง แต่ขณะเดียวกัน เธอก็อยากได้แฟนที่เป็นผู้นำ เป็นลีดเดอร์ชิพให้ชีวิตเธอด้วย สาวคนไหนเหรอที่อยากได้แฟนแบบต้องขออนุญาตพาเธอไปเที่ยว หรือจะชวนไปทานข้าวที เขาก็มาพูดว่าขออนุญาตพาคุณไปทานข้าวคืนนี้นะครับ? ฟังแล้วมันเลี่ยนพิลึกว่ามะ จะชวนไปไหนก็พูดออกมาเลย ไม่ต้องขออนุญาตหรืออนุมัติ ทำอย่างกะหล่อนเป็นเจ้านาย หรือผู้ปกครองงั้นแหละ นึกหรือว่าทำเป็นเรียบร้อยแล้วจะมัดใจสาวได้เสมอไป แต่ถ้าเป็นลิงเป็นค่างเกินก็ไม่เอาเช่นกัน

3. เป็นลูกอีช่างซื้อมากเกินไปเรอะเปล่า ประเภทชอบซื้อของขวัญมาฝากเธอพร่ำเพรื่อ จนหล่อนไม่รู้สึกถึงความพิเศษของ การได้รับของขวัญ จากอีกฝ่ายเมื่อไหร่...นั่นแหละเกิดปัญหาแล้วล่ะ เพราะ แม้มนุษย์จะอยู่ ในโลกวัตถุนิยมก็จริง แต่สาวๆก็ช่างเลือกที่จะได้รับ “วัตถุ” ที่เธอชอบด้วยเช่นกัน ไม่ใช่มีอะไรมาประเคนแล้วจะถูกใจไปซะหมดก็หาไม่ เดี๋ยวเหอะ ถ้าหล่อนคิดว่าเขาตีค่าของ เธอด้วยสิ่งของ จะ ยิ่งวงแตกเข้าไปใหญ่ ฮึ่ม

4. จีบแต่คนสวยเลยซวยอดได้ใจจากสาวๆหน้าตาธรรมด๊าธรรมดาไปด้วย ถ้ายิ่งผู้ชายคนนั้นหล่อรึก็ไม่ ฐานะรึก็พอถูไถ ส่วนชาติตระกูลก็ใช่ว่าจะเก่าแก่โด่งดัง แต่สำคัญตัวผิด จึงเลือกจีบเฉพาะสาวหน้าตาดีละก็ ระวังเหอะ ถ้าเธอไม่เล่นด้วย (เพราะไม่รู้จะเล่นด้วยกะคนที่เธอคิดว่าไม่คู่ควรไปทำไม...อ้าว ในเมื่อเธอยังมีโอกาสเลือกเทพบุตรได้อีกตั้งโขยงนี่หว่า) ระวังจะเจ็บลึกและเจ็บนี้ไปอีกนาน นะเฮียนะ

5. หวังว่าเป็นแฟนกันแล้วจะได้เคล้าเคลียกับเธอทั้งวันทั้งคืน หรือตลอด 24 ชม.ต่อวัน และทุกวันใน 1 สัปดาห์ อุ๊ยตาย ว้ายกรี๊ด วันๆใจคอพี่จะไม่ทำอย่างอื่น นอกจากฟัดกันนัวเนียงั้นสิ แหม ความรักคงไม่อยู่ตรงอุปกรณ์ชิ้นเดียวที่พ่อให้มาหรอก อะไรจะหื่นถึงปานนั้น ถ้าตัวเองเซ็กซ์จัดก็อย่าบังคับคนอื่นให้เป็นเหมือนตัวเลยท่าน รักกันด้วยความนิ่มนวลก็ได้ อย่าแอ็กชั่นให้เจ็บตัวนักเลย.

ทำไงดีเมื่อ ถูกยืมตังค์

เห็นเศรษฐกิจดีวันดีคืน อย่านึกว่า ทุกคนรวยแล้ว ไม่งั้นรัฐคงไม่เปิดอ้า ซ่าให้ใครต่อใคร ไปลงทะเบียน คนจนกันร็อก ถ้ารัฐอยากช่วยคนจน ให้ลืมตา อ้าปากได้จริงก็ขอ อนุโมทนา สาธุด้วยละกัน แต่ขอให้ช่วยจริงๆ นะ ไม่ใช่แค่ให้ไปลงทะเบียน เพื่อเอารายชื่อไปดูเล่น ท่านควรหางานหาการ ให้ทำอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ถ้าเจอรายไหนยังงอมืองอเท้าขี้เกียจ สันหลังยาวอีก ก็ข้ามไปช่วยคนจนที่ขยันขันแข็งแทนดีกว่า จะช่วยใครทั้งที ถ้าช่วย “ขึ้น” คือ ช่วยให้เค้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ก็น่าช่วย แต่ถ้าช่วย “ไม่ขึ้น” คือช่วยแล้ว ก็ยังทำตัวย่ำแย่อยู่นั่นแหละ ก็ต้องตัดใจ ตัดหาง ปล่อยวัดกันบ้างล่ะงานนี้

ว่าแล้ว สัปดาห์นี้อยากคุยเรื่องแซ่บๆ ถึง เวลาที่คุณถูกยืมตังค์กันดีกว่า (The worst money moves you can make) นัยว่า พูดเรื่องไหนก็ไม่กระอักกระอ่วนใจ เท่าถูกเพื่อนฝูง, ญาติพี่น้อง หรือแค่คนรู้จักเอ่ยปากขอยืมสตางค์ หรอกนะ เพราะพูดก็พูดเหอะ การถูกคนอื่น ยืมตังค์นี่ หลายครั้งเลยที่ผู้ถูกยืมมักจะรู้สึกเกรงใจ “คนยืม” อยู่เรื่อย หากถูกยืม เป็นเงินจำนวนไม่มากนัก สักบาท สองบาท (แต่ชีวิตจริงไม่มีใครเค้ายืมกันทีละบาทหรอก ประชดไปงั้นแหละ) ก็มักให้ยืมนะ หากคิดสะระตะแล้วว่า ไม่ทำให้เราเดือดร้อน เหตุนี้ผู้ใจบุญใจกุศลทั้งหลายก็มักจะให้แหละ ไม่งกหรอก

แต่ถ้าถูกขอยืมมากๆ ถูกขอยืมเงินก้อนโตๆ คงต้องคิดกันหลายตลบเหมือนกัน เพราะ 1. เรา (ในฐานะผู้ให้ยืม) ไม่ได้รวยล้นฟ้าซะหน่อย เพียงแต่บริหารเงินเป็น จึงพอกินพอใช้ แต่จะให้ใครยืมเป็นเงินก้อนโตๆนี่ก็เห็นทีจะไม่ไหวนะ

2. ควรชั่งตวงวัดใจคนที่มาขอยืมเงินเราบ้างเหมือนกันว่า มีนิสัยชอบหยิบยืม เป็นนิจหรือเปล่า? ถ้าเขาเป็นคนที่นาน น้านมายืมทีก็น่าเห็นใจ ตรงกันข้าม หากเป็นคน เอะอะอะไรก็ขอยืม ขอเงิน ขยันกินขนมถังแตกอยู่ได้ ทุกวี่ทุกวัน ก็ต้องใจแข็ง บอกกล่าว ให้เขาไปขอยืมคนอื่นบ้างดี้

ใจคอมันจะ “เกาะ” เรากินทุกวันเนี่ยนะ

3. ก่อนให้ใครยืมตังค์ ควรใช้หัวใจและสมองกลั่นกรอง ก่อนเด้อ

เพราะในขณะที่คุณเกิดความสงสารและเห็นใจกับทุกข์ร้อนของเพื่อนร่วมโลกที่บ่จี้ แต่ถ้าการขอยืมเงินของเขาไม่สมเหตุสมผล เช่น แทนที่ จะขอยืมเมื่อได้รับอุบัติเหตุ หรือพ่อแม่ไม่สบายจึงช็อตเงิน เลยต้องหยิบยืมเงินไปใช้ก่อน...แบบนี้ให้ยืมไปเถอะ แต่ควรทำสัญญากู้ยืมเป็นเรื่องเป็นราว

ตรงข้าม ถ้าขอยืมเพื่อไปตั้งก๊งกินเหล้าเข้าลักษณะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ก็อย่าใจอ่อน ให้ยืมเงินซะล่ะ ให้ไปก็ไม่แน่ว่าจะได้คืนหรือเปล่า พวกขี้เหล้านี่ไว้ใจได้รึ

4. ถ้าขอให้ช่วยเซ็นค้ำประกัน

ควรเป็นคนที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ถ้าไม่รู้กำพืดกันจริงอย่าเสี่ยงเลย เดี๋ยวจะเป็นต้นเหตุ ทำให้เกิด ปัญหาภายหลังล่ะยุ่งแน่ ไม่อยากบอกหรอกนะว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง เพราะดูจะมองโลกอย่างระแวงเกินไป--แต่ก็จำเป็นต้องเผื่อใจไว้บ้าง บ๋าย บาย.

คนสมถะ

เคล็ดลับความมั่งคั่งร่ำรวย แบบยั่งยืน

เคล็ดลับการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยแบบยั่งยืน นี้ นำมาจากข้อเขียนของ คุณพรสรัญ รุ่งเจริญกิจกุล คอลัมนิสต์คอลัมน์ Business Doctor ในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนธันวาคม
"ทุกคนสามารถสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยได้ ถ้าเขารู้จักควบคุมและรับผิดชอบต่อตนเอง คุณลักษณะที่สำคัญ ประการหนึ่ง ที่ท่านจะพบในทุกๆ คนที่สั่งสมความร่ำรวยก็คือ เขาจะรับผิดชอบต่อการกระทำ และการตัดสินใจ ของตนเองเสมอ" นี่คือคุณลักษณะของคนร่ำรวย
ส่วน เคล็ดลับนั้นมีอยู่ 10 ประการ ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า นำไปสู่ความมั่งคั่งร่ำรวยอย่างได้ผล ซึ่งผมจะนำมาเล่าย่อๆ เพราะว่าเนื้อที่จำกัด คือ
1.พลังของการสร้างความเชื่อในจิตใต้สำนึก เพราะในทางจิตวิทยานั้น จิตใต้สำนึกมีบทบาทอย่างมากต่อความคิด และการกระทำของเรา ฉะนั้น การทำให้จิตใต้สำนึกของเราเชื่อในสิ่งที่เราจะทำ จะช่วยให้เรามีพลังที่จะทำงานให้ประสบผลสำเร็จ
2.พลังของความปรารถนาอย่างแรงกล้า ถ้าไม่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ก็ยากที่จะรวย วิธีสร้างความปรารถนาอย่างแรงกล้า จะต้องนึกถึงความเจ็บปวดในอดีต และปัจจุบันเมื่อขาดแคลนเงิน และจินตนาการถึงความสุขในอนาคตถ้ามีเงิน
3.พลังของการมีจุดประสงค์ที่แน่นอน การสร้างความมั่งคั่งร่ำรวย จะมีเพียงความอยากไม่ได้ จะต้องมีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงว่า ต้องการอะไร การมีเงินไม่ใช่เพียงเพื่อสะสมเงิน แต่อำนาจของมันอยู่ที่การทำให้เราบรรลุวัตถุประสงค์ในชีวิต
4.พลังของการวางแผนปฏิบัติงานที่จัดทำอย่างเป็นระบบ มิฉะนั้น เราจะไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นอย่างไรดี เมื่อเริ่มต้นโครงการใดๆ ก็ตาม ต้องคิดแผนที่ อาจทำให้สำเร็จออกมาสัก 10 ทางเลือก
5.พลังของการมีความรู้พิเศษ ความรู้เป็นเพียงอำนาจที่ซ่อนเร้น จะมีค่าต่อเมื่อนำไปประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาด แต่ความรู้ทั่วไป ไม่มีค่าพอที่จะสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้เกิดขึ้นได้ ต้องความรู้พิเศษ แต่ท่านไม่ต้องเรียนรู้ทุกอย่าง ขอเพียงรู้ว่าจะหาความรู้พิเศษนั้น ได้จากไหนก็เพียงพอแล้ว
6.พลังของความเพียร ต้องไม่ท้อถอย ไม่เลิกรา แม้จะเผชิญอุปสรรคหรือถูกปฏิเสธกี่ครั้งก็ตาม มีแต่ประสบการณ์ เพื่อนำไปปรับปรุง ทดลองครั้งต่อไป จนกระทั่งประสบผลสำเร็จในที่สุด
7.พลังของการควบคุมค่าใช้จ่าย จะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขด้วยรายได้ปัจจุบัน และช่วยสร้างรายได้ในอนาคต หากเรารู้จักออม
8.พลังของความซื่อสัตย์ เป็นหลักสำคัญในการทำธุรกิจ การพยายามสร้างความร่ำรวยด้วยการฉ้อโกงหลอกลวง ก็เหมือนการพยายาม สร้างบ้านบนพื้นทราย
9.พลังของความศรัทธา ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เริ่มต้นด้วยความศรัทธา เมื่อเราบรรลุความสำเร็จครั้งหนึ่ง ศรัทธาในตัวเรา และชีวิตจะเพิ่มขึ้น ถ้าเรามีความศรัทธา เราจะบรรลุทุกสิ่งที่ต้องการ
10.พลังของการให้ อันนี้สำคัญครับ แม่ผมสอนผมเสมอตั้งแต่เด็กเรื่องการให้ ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยไม่หวังตอบแทน ซึ่งผมก็ปฏิบัติมาตลอด การให้ผู้อื่นก็เหมือนกับการให้ตัวเอง อะไรที่เราให้ไป จะกลับมาหาเราเป็นเท่าทวีคูณ


โดยคุณ : "ลม เปลี่ยนทิศ"

เคล็ดท่องจําตํารานักเรียนนักศึกษา

ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาวิทยาโรคจิต วิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ดแห่งสหรัฐฯ ได้ค้นพบเคล็ดดังกล่าว ในการศึกษา ว่า คนที่นอนหลับหลัง จากท่องหนังสือเลย จะจำได้ดีกว่าเพื่อนที่ท่องแล้ว แต่ไม่ยอมหลับยอมนอน ถือได้ว่าเป็นหลักฐานอีกอย่างหนึ่ง ที่แสดงว่า การพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นกับการเรียน "เราเชื่อว่า การนอนหลับอย่างเต็มอิ่มแต่คืนแรก เป็นการช่วยให้ขบวนการ ของการจดจำเริ่มต้น ดูเหมือนว่าปกติแล้วความจำ มันมักจะค่อยเลือนหายจากสมอง จำเป็นจะต้องมีการตอกย้ำมันไว้"

นักวิจัยได้ศึกษาทดสอบความจำกับผู้อาสาสมัคร 24 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 พวก พวกหนึ่งปล่อยให้นอน ตั้งแต่คืนแรก ของการทดสอบ แต่พวกที่เหลือจะให้อดนอน มาให้นอนเอาในคืนที่สองหรือที่สาม เมื่อทดสอบสรุปผล ปรากฏว่ากลุ่มแรกทำคะแนนเหนือกว่าเพื่อน "เราก็ยังไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับการนอนหลับมากนัก แต่เราก็รู้ว่า มันมีประโยชน์ ตรงที่ช่วยให้สมองรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไว้ และทิ้งส่วนที่เหลือไปเสีย

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2548

15 วิธีขจัดความเครียด

การใช้ชีวิตในทุกวันนี้ ทำให้หลายๆคนเกิดความรู้สึก
เครียดได้ง่าย เพียงแค่ก้าวออกจากบ้าน เจอปัญหารถ
ติดเกือบสองชั่วโมงที่อยู่บนท้องถนน ทำให้คุณพลาด
การประชุมกับเจ้านาย หรือรถคันหลังมาชนท้ายรถ
ของคุณเข้า และคุณก็มีนัดกับลูกค้ารายสำคัญเสียด้วย
แค่นี้ก็อาจทำ ให้หัวเสีย บางรายอาจเกิดอาการสติแตก
ประสาทเสียกันทีเดียว แต่ก็อย่าปล่อยให้อาการเครียด
อยู่กับคุณนานๆนะคะ แม้เจ้าความเครียด จะมิใช่เชื้อร้าย
ที่จะเข้าตะลุมบอนให้คุณเจ็บไข้ได้ป่วยกันทันทีทันใด
ก็ตาม แตก็่เป็นพาหะสำคัญที่นำไปสู่โรคฮิตแห่งยุค
ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง เบาหวาน หัวใจ หรือแม้แต่การเกิด
อุบัติเหตุ หรือการฆ่าตัวตายก็เถอะ

อาการที่บ่งบอกว่าคุณกำลังแบกความเครียดไว้จนล้นบ่า



หัวใจเต้นเร็ว
ท้องเสีย
อาหารไม่ย่อย กระเพาะปั่นป่วน
นอนหลับยาก
หมดเรียวแรง
เหงื่อออกมากกว่าปกติ
อารมณ์บูด หงุดหงิดง่าย
ครุ่นคิดอยู่กับเรื่องเดิมๆ
วิตกเกินเหตุ
จมอยู่กับความเศร้าโศก
ปวดหัว อ่อนเพลีย
15 สูตรกำจัดความเครียด

1.ดูหนังหรือรายการทีวีที่ชอบ
นึกถึงหน้าของตัวการ์ตูนที่ตลกๆ บางทีอาจ
ทำให้คุณยิ้มออกมาได้
2.เดินเล่นในสวน อาจเป็นสวนที่บ้านหรือ
สวนสาธารณะก็ได้ ความเขียวชอุ่มของ
ต้นไม้ จะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้น
3.ยืดเส้นยืดสาย ให้ละสายตาจากงาน
กองโตบนโต๊ะทำงานของคุณสักครึ่งชั่วโมง
ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายในท่าที่คุณถนัด
4.ดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ เวลาคุณเครียด
คุณจะรู้สึกว่าปากแห้ง คอแห้ง
5.เล่นกับสุนัขตัวโปรด ความน่ารักของมัน
จะทำให้คุณลืมความไม่สบายใจได้
6.ดนตรีคลายเครียด ลองฟังเพลงของโมซาร์ต
ดูบ้าง จะทำให้จิตใจของคุณเบาสบาย
รู้สึกผ่อนคลายขึ้น หรืออาจจะเลือกเพลง
Some Where in Time ของ John Barry
หรือ เพลง The Memory of Trees ของ
Enya ก็ได้
8.ระบายให้ใครสักคนฟัง อย่าเก็บความไม่
สบายใจของคุณไว้อยู่คนเดียว เพราะจะยิ่ง
เพิ่มดีกรีความเครียดขึ้น
9.ให้รางวัลชีวิตกับตัวเองเสียบ้าง เช่น
ไปเที่ยวในสถานที่คุณชอบ การได้ไปสัมผัสกับ
ความงดงามของธรรมชาติ จะทำให้คุณรุ้สึก
ดีขึ้น
10.ปรัปเปลี่ยนทัศนคติ ยึดทางสายกลาง
รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา คิดเสียว่าอะไรจะเกิด
มันก็ต้องเกิด จะทำให้คุณยอมรับความจริง
ที่เกิดขึ้นได้
11.ลองฝึกสมาธิดู แม้จะต้องใช้เวลาสักหน่อย
แต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจิตของคุณอย่างมาก
12.หาคนมานวด การนวดจะทำให้คุณรู้สึก
ผ่อนคลาย
13.นานมาแล้วหรือยังที่คุณไม่ได้เล่นกีฬาสุดโปรด
การเล่นกีฬาหรือการออกกำลังกาย ไม่ว่า
จะเป็น การว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือการเต้น
แอโรบิค จะทำให้คุณสดชื่น ผ่อนคลาย
และมีผลดีกับสุขภาพด้วย
14.ไปทะเลกันดีกว่า นักวิจัยเขาพบว่า ความ
สบายใจที่เราได้รับจากบรรยากาศของชายทะเล
มองเห็นขอบฟ้ากว้าง ฟังเสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง
ได้สัมผัสกับทรายนุ่มๆ ช่วยทำให้เราหายเครียด
15.หัดหัวเราะเสียบ้าง ที่ประเทศอินเดีย เขาวิจัย
พบว่า เสียงหัวเราะจะช่วยสร้างความรู้สึกที่ดี
ให้เกิดขึ้นในตัวเรา ช่วยปลดปล่อยความกลุ้มใจ
ความเครียด และอาการนอนไม่หลับได้
ทั้ง 15 ข้อนี้ คุณคงทำได้สักข้อนะครับ
โดยคุณ : 4uweb

โทรอย่างไรให้เขาหลงคารม

คงไม่ปฏิเสธนะจ๊ะว่า เครื่องมือสื่อสาร ประเภทไฮเทคโนโลยีนั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง กับสัมพันธภาพระหว่าง มนุษย์ยุคปรู๊ด ปร๊าดสมัยนี้เสียเหลือเกิน เช่น ถ้าอยาก แสดงความยินดีปรีดาหรือ เสียใจกะใคร ก็ใช้โทรศัพท์ นี่แหละบอกเล่าความในใจ ให้เพื่อนซี้ก็ได้, เพื่อนสนิทก็ดี หรือถ้าเป็น เพื่อนต่างเพศก็ต้องนี่เลย โทร.ไปจีบเค้า ให้มาตกหลุมรักคุณหรือ ชวนมาเป็นแฟ้น มาเป็นแฟนซะเลยสิ้นเรื่อง

ใน 8 วิธีหลอกล่อให้เพื่อนต่างเพศอยากคุยโทรศัพท์ด้วย (8 ways to keep someone interested on the phone) ว่ากันว่า ผู้หญิงน่ะคลั่งไคล้การคุยโทรศัพท์ จะตายชัก แต่พูดงี้ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายชายจะไม่ชอบโทร.ไปโน่นมานี่ หรือแม้แต่โทร.ไป ตามตื๊อหรือจีบใครต่อใครหรอกนะ ด้วยเหตุนี้ ถ้าคิดจะตะล่อมใครให้ “ใจอ่อน” ทางโทรศัพท์ ล่ะก็ ลองทำตามนี้สิ

วิธีที่ 1. ปากน่ะมีไหม? ถ้ามี โทร.ไปหาเลย แล้วอ้างว่ามีอะไรจะคุยด้วย ถ้าคุณเป็นฝ่ายโทร.ไปหาใครสักคนนึงก่อน เรียกว่า อุตส่าห์เป็นฝ่ายเปิดฉากแล้วเนี่ยนะ ควร แน่ใจว่า มีเรื่องสำคัญที่จะคุยด้วยจริงๆ สิ่งที่จะทำให้อีกฝ่ายสนใจคุยด้วย เช่น โทร.ชวนเค้า (“เค้า” ในที่นี้ขอทำความตกลงกันล่วงหน้าก่อนละกันว่า สามารถใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง คือ ผู้หญิงจะโทร.ไปจีบชายก็ได้ หรือหนุ่มจะโทร.ไปจีบสาวก็บ่เป็นอันหยัง) ชวนเค้าออกไปเที่ยว ดีมะ ไม่งั้นก็ชวนไปทานข้าวสักมื้อก็ยังดี แต่ถ้าไม่ชวนไปทำกิจกรรมอะไรกันเลย ก็โทร.ไปชมเค้าสักนิดสักหน่อยทำปากหวานไว้ก่อน เพื่อเก็บคะแนนนิยมล่วงหน้าก็ได้นี่ โทร.ไปเลียกันบ่อยๆ ถ้าเค้าตกหลุมพรางก็โป๊ะเชะลงตัว น่ะซี้ถามได้

วิธีที่ 2. ทำให้การคุยโทรศัพท์กับคนที่คุณหมายปองมีความเป็นกันเอง ผู้ชายบางคนอาจคิดว่า การคุยโทรศัพท์นั้นไม่เห็นจะเป็นกันเองตรงไหนเลย สู้มาพูดกันซึ่งๆ หน้าไปเลยไม่ดีกว่ารึ เผื่อจะได้จับได้คลำ เอ๊ย...ได้เจรจาต้าอ้วยกันถึงกึ๋นมากกว่าแค่คุยผ่านโทร ศัพท์ก็ได้ ความคิดแบบนี้จะตรงข้ามกะผู้หญิงนะ เพราะสาวๆกลับคิดว่า การคุยโทรศัพท์คือ หนึ่งในหลายวิธีในการติดต่อสื่อสารที่เป็นกันเองมากที่สุด ลองสังเกตดูสิ ผู้หญิงบางคนใช้เวลา เป็นชั่วโมงๆคุยและถกเถียงกันกับเพื่อนในเรื่องส่วนตัว, สิ่งที่เธอกลัวไปจนถึงสิ่งที่ทำให้หล่อน ดีใจมากที่สุดได้อย่างไม่เคอะเขิน

วิธีที่ 3. ทำอย่างอื่นไปด้วยขณะคุยโทรศัพท์... ถ้าสามารถ อย่าแม้แต่จะคิดเชียวว่า การโทรศัพท์สำหรับผู้หญิงน่ะถือเป็นเรื่องเสียเวลา เพราะแท้จริงแล้ว ผู้หญิงน่ะชอบคุยโทรศัพท์โดยถือเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ หลังจาก เผชิญเรื่องบ้า บอคอแตกมาทั้งวัน หนำซ้ำการคุยโทรศัพท์ก็ไม่จำเป็นหรอกที่คุณจะต้องใจจดใจจ่อกับการพูดคุยแต่เพียงอย่าง เดียว เพราะคุณสามารถทำงานอื่นนอกเหนือไปจากสนทนาอย่างออกรสออกชาติกับหวานใจ ของคุณได้ในกรณี ที่มีงานอื่นติดพันต้องทำนะ ก็ทำไปซิ แต่อย่าเป็นจอมลามกโทร.ไปเกี้ยวสาว หวังทำรักกะตัวเองก็แล้วกัน

วิธีที่ 4. สนแต่เพียงโทรศัพท์อย่างเดียวยิ่งดี จะได้ไม่เสียสมาธิจีบกันให้มันยก ร่องไปเลย บางคนตอนใช้โทรศัพท์จะไม่สามารถทำอะไรอื่นควบคู่ไปด้วยได้ งั้นจงมีสมาธิแต่กับการเจื้อย แจ้วจำนรรจากับดาร์ลิ่งของคุณไปเหอะ อย่ากระแดะทำอะไรหลายอย่างให้มั่วจนเกินไปนักเลย เช่นคิดดูเดะว่า คุณคุยโทรศัพท์ไปด้วยพร้อมกับตัดเล็บไปด้วยได้ไหม? หรือคุณคุยโทรศัพท์ไป ด้วยพร้อมกะดูหนังด้วยได้ อะป่าว? ถ้าไม่ได้ ก็จงใช้โทรศัพท์แบบรู้จักกาลเทศะซะเถอะ ยิ่งถ้า โทรศัพท์ไปด้วยขณะขับรถไปด้วยก็หวาดเสียวว่าจะเกิดอุบัติเหตุนะจ๊ะ โอ้ยอะไรจะธุระปะปัง เยอะซะจนต้องคุยมันทั้งวันทั้งคืนเชียว อีกอย่างตอนเพิ่งจีบกันใหม่ๆ กรุณาอย่าสะเออะโทรศัพท์หาแฟนไปด้วยและทำอะไร อย่างอื่นไป ด้วยเลยขอร้อง ขืนอีกฝ่ายเกิดจับได้ไล่ทันขึ้นมาล่ะว่า คุณไม่ได้ตั้งใจฟังเค้าพูดสักหน่อย ได้แต่ อือๆ หือๆหาๆไปตามเรื่อง เดี๋ยวเหอะถ้าอีกฝ่ายรู้สึกลึกๆอยู่ในใจว่า เห็นกูไม่สำคัญแล้ว โทร.มา ทำไม? เป็นงี้ขืนเหยื่อไม่ หลงกลก็แย่น่ะเซ่

วิธีที่ 5. ถามคำถามที่พยายามให้อีกฝ่ายตอบมากกว่าแค่คำว่า ใช่ หรือไม่ใช่ ตั้งคำถามให้อีกฝ่ายอยาก ตอบมากกว่าเยส หรือโน ดีกว่าน่า ไม่งั้นจะเป็นบทสนทนาที่ง่ายเกินไป และแทบจะไม่มีความหมายอะไร ต่อไปนี้คือตัวอย่างของคำถามปลายเปิด เพื่อให้อีกฝ่ายได้เมาท์แตกอย่างเต็มที่ เช่น ถามถึงความ สัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวของเค้าดูก็ได้ มันคงไม่ถึงกะเป็นคำถามละลาบละล้วงเกิน ไปนักหรอก แต่ถ้าเผื่อเพิ่งคบกันก็อย่าไปคาดคั้นถามเรื่องส่วนตัวให้ลึกซึ้งจนเกินไปนะจ๊ะ ค่อยๆรู้จักและค่อยๆเพาะบ่มความรักกันไปเรื่อยๆก็ได้นี่ ถ้าไม่มีการตีท้ายครัว เอ๊ย...ตีตัวห่าง จากกันไปซะก่อน ค่อยเรียนรู้เรื่องส่วนตัวกันทีหลังก็ได้

วิธีที่ 6. ทำตัวเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่าในการคุยโทรศัพท์ซี้ ถ้าอยากเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่าในการคุยโทรศัพท์ละก็ สิ่งที่ควรทำก็คือ “ถาม”...ใช่แล้ว คุณควร เป็นผู้ถาม ถามโน่นถามนี่ ถามไปเรื่อย แต่ควรผลัดให้อีกฝ่ายถามบ้างก็ดีนะ และไม่ควรตกอยู่ใน ฐานะเป็นผู้ตอบ, ตอบมันยันป้ายก็ไม่ดีอีก เพราะขืนเป็นงี้อีกฝ่ายสามารถหลอกถามจนคุณตกเป็น เบี้ยล่างได้นะเออ

วิธีที่ 7. เพียรพยายามทำให้เค้าอยากคุยต่ออีกนิด คุณคิดว่า ใครเซ็กซี่กว่ากันล่ะระหว่างปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ (ไอ้แมงมุมในคราบมนุษย์) กับสไปเดอร์ แมน (ไอ้แมงมุมตอนปฏิบัติภารกิจปราบอธรรม?) แหงล่ะ ร้อยทั้งร้อยย่อมตอบว่าไอ้แมงมุมสิ เพราะซุปเปอร์ฮีโร่รายนี้น่ะ ดูลึกลับและน่าค้นหา ดังนั้นจงอย่าเพิ่งบอกดาร์ลิ่งผ่านสายโทรศัพท์ ไปซะทุกอย่าง เก็บให้เป็นปริศนาบ้างก็ได้ รับรองไม่ผิดกติกาแน่นอน

วิธีที่ 8. จบการคุยโทรศัพท์อย่างน่าประทับใจ ทำมั้ย ทำไมการพูดคุยทางโทรศัพท์ต้องมีการวางสายด้วยนะ (แหม...เสียดายจัง) เพราะฉะนั้น ก่อนวางสาย อย่าพูดเชียวว่า “ต้องไปล่ะนะ” แต่ควรบอกว่า“ดีใจจังที่ได้คุยด้วยและหวังว่าจะได้ คุยกันอีก” หลังจากนี้ถ้าอีกฝ่ายกลายเป็นโทร.มาหาคุณก่อนละก็ เชื่อได้เลยว่าเค้า เห็นคุณเป็นคนน่าคุยด้วยแล้วล่ะ อ๊ะงั้นไชโยล่วงหน้าดีกว่ามะ.

10 วิธีเอาใจให้ดาร์ลิ่งแฮปปี้

          หลายคนเชื่อว่า การมีแฟนย่อมดีกว่าเป็น โสดแหงๆ ซึ่งไม่แปลกอะไร ถ้ามันจะเป็น อย่างงั้นขึ้นมาจริงๆ เอ้า ถ้าพูดตามประสาคนติดแฟน มีแฟนก็เหมือนมีเพื่อนสนิทนั่นแหละ ส่วนจะมีไว้รัก, มีไว้บ่น, มีไว้ทุบ, มีไว้ตี หรือมีไว้ให้พร่ำพรรณนาถึง ความใฝ่ฝันในชีวิต ไปจนกระทั่ง มีไว้คอยเติมไออุ่น ยามเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงา ก็ล้วนมีประโยชน์ทั้งนั้น เห็นไหมล่ะ แต่หลังจากชี้ให้มองโลกในแง่ดีแล้ว ซาตานอย่างเมอร์ลินขอขัดจังหวะสักนิดเหอะว่า ในเวลาเดียวกัน ชีวิตคู่กลับไม่หรูเลิศเหมือนงานปาร์ตี้, งานเลี้ยงสังสรรค์หรือพิธี แต่งงานเสมอไป ยกตัวอย่างง่ายที่สุดให้ฟังก็ยังได้ว่า การอยู่ด้วยกันหรือครองคู่กับใครสักคนเนี่ยนะ ไม่ใช่เพียงแค่คุณต้องฟัง "แฟน" พูดเพิ่มอีกคน ตรงข้ามอย่าลืมว่า ยังมีญาติๆ ของเขาอีกเป็นโขยงที่จะพูดหรือใส่สีตีไข่ให้ฟังอีกต่างหาก แถมชีวิตรัก ถ้าเขียนเป็นเส้นกราฟได้ เส้นนั้นคงเหมือนลูกคลื่นมีเสมอตัว มีขึ้น และมีลง ฝันไปเถอะ ถ้าคิดว่า รัก จะเป็นเส้นตรงราบเรียบ ไร้รอยขรุขระ หนำซ้ำปูด้วยกลีบกุหลาบ เพ้อไปรึเปล่าจ๊ะ ดังนั้น สังเกตดูเถอะ ถ้าเป็นปีแรกของความรัก ทั้งคู่เงี้ยะจะคอยประคบ ประหงมแบ่งปันความใกล้ชิดทางเพศแก่กัน ด้วยความรู้สึกเหมือนจีบกันใหม่ๆ เรียกว่า ต่างฝ่ายต่างพยายามทุ่มเทให้คนรักของตนมีความสุขมากที่สุดให้จงได้ ช่วงนี้รับรอง คู่ไหนคู่นั้นเป็นต้องคิดว่าสวรรค์ชักนำให้พวกเขาจุติลงมาเกิดเพื่อรักกันแหงๆ แต่หลังจากผ่านปีแรกของรักไปแล้วนี่สิ ทั้งคู่ยังจะรักกันอยู่หรือเปล่า? ไม่อยากคิดเลยว่า คำตอบจะออกมาหวาดเสียวขนาดไหน เหตุนี้ คู่รักทั้งหลายจึงควรรักษา ปีแรกของความรักไว้ให้นานๆ อย่าให้คำว่า เซ็ง, เบื่อ, หน่าย หรือโอ๊ย ทนไม่ไหวแล้ว...เข้ามาแทนที่เลยนะ งั้นขอเล่าเรื่อง 10 วิธีทำให้คนรักมีความสุข (10 Extra ways to keep hubby happy ใน นิตยสารวูแมน\'ส ไลฟ์) ฟังเป็นไอเดีย เผื่อนำไปใช้ได้ผลก็อย่าลืมมาดามเอ็กซ์ เอ๊ย...เมอร์ลินละกันเด้อ ถ้าอยากให้สวีตฮาร์ตมีความสุขก็แค่...

1. กระตือรือร้น เสาะหาสิ่งที่ดาร์ลิ่งชอบมาประเคนให้ เช่น จองบัตรคอนเสิร์ตวงดนตรีซึ่งเขาเป็นแฟนอย่างเหนียวแน่น แล้วแอบย่องมาวาง ไว้บนหมอนใบที่เขาใช้หนุนก่อนนอน ทำเซอร์ไพรส์ไงล่ะ

2. ปล่อยให้เขานอนตื่นสายๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ บ้างเหอะ โถ เขาเหนื่อยจากการทำงานมาตั้งหลายวันแล้วนี่ ไม่เห็นใจพี่แล้วจะเห็นใจใคร

3. อย่าเถรตรงบอกเขาว่า ขับรถได้ห่วยแตกสิ้นดี หรือขับเร็วเกินไป หรือเตือนให้เขาถามทางคนอื่นเหอะถ้าเขาขับรถหลงของพรรณนี้พูดมากรัง แต่จะทำให้ถูกตบฟรีๆ นะจ๊ะ เพราะ หนุ่มๆเขาไม่อยากฟังประโยคที่มันจริงแต่สร้างความสะเทือนใจ นักหรอก ไม่รู้ผู้ชายกับรถยนต์นี่ เกิดมาเพื่อเป็นของกัน และกันหรือไงเนอะ

4. หากเขาโทร.มาหาจากที่ทำงาน ก็อย่าหงุดหงิดใส่ ตรงข้าม ควรใส่ใจกับทุกคำพูดของเขา และทำเสมือนเขาเป็นบุคคลวีไอพีสำหรับคุณเสมอ โหย...ขนาดพ่อแม่พี่น้องเรายังไม่แสดงความรักออกหน้าออกตาถึงปานนี้เลย คิดดู ถ้าไม่รักกันจริงจะทำงี้ไหม

5. ถ้าแฟนหากุญแจไม่เจอ แต่ความหัวเสีย เขาดันมาโทษว่าสุดสวย นั่นแหละทำกุญแจหาย ก็อย่าไปต่อล้อต่อเถียงเชื่อดิ พอเขาหากุญแจเจอ แล้วนึกขึ้นมาได้ว่า เออที่แท้กูเองแหละที่เข้าใจผิด ถ้าถึงตอนนี้ก็อย่าไปหักศอกตอกเขากลับตามประสาอยาก หยิกแกมหยอกก็แล้วกันว่า บอกแล้วไม่เชื่อ (ว่าหนูไม่ได้เอากุญแจไป) เพราะเดี๋ยวเรื่องจะยิ่งยาวไปกันใหญ่

6. ช่วยเขาขัดสีฉวีวรรณแผ่นหลังตอนอาบน้ำบ้างก็ดี

7. อย่าลากเขาไปเดินช็อปปิ้งด้วย ถ้าเขาไม่อยากไป ห้ามเซ้าซี้ แต่บอกเขาละกันว่า ถ้าไม่ไป ก็สามารถฝากตังค์ไปแทนได้ ให้เงินมาทุกอย่างก็เคลียร์

8. ถ้าพบว่า เขามีงานอดิเรกที่สร้างความรำคาญ มากกว่าดูแล้วน่ารักน่าเข้าใกล้ ก็อย่าไปห้ามเลย สู้ปล่อยให้เขาบ้าไปตามประสาคนติงต๊องซะบ้าง รับรองเขาจะแอบนึกขอบคุณเจ๊อยู่ในใจนะ

9. อย่าขอความเห็นจากเขาว่า คุณอ้วน, ผอม หรือสมส่วน เพราะเขาจะคิดว่ากำลังถูกหาเรื่องแล้วไหมล่ะ

10. หลังทะเลาะหรือมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ตามประสาคู่รักวัยรุ่นเลือดลม พลุ่งพล่าน ถ้าอยากปรับความเข้าใจ ลองเซอร์ไพรส์เขาด้วยการท้าดวลไปมีเซ็กซ์กัน บนเตียงดีกว่าไหม? ส่วนกติกาก็แสนง่าย เช่น ถ้าใครออกัสซั่มหรือถึงจุดสุขสุดยอดก่อน ก็ห้ามหยุดประลอง จนกว่าอีกฝ่ายจะมีอารมณ์สยิวตาม ขอเพียงอย่าหักโหม ทำการบ้านหนักหน่วงจนลุกไม่ไหวละกันนะ.

ผวาการผูกมัด กลัวเซ็กซ์เสื่อมขึ้นสมอง

          ในความรู้สึกของผู้หญิง พวกหล่อนคิด ทั้งนั้นแหละว่า ผู้ชายคือความแตกต่าง เหตุนี้ จึงมักได้ยินผู้หญิงอุทานคำว่า ผู้ชาย ด้วยความรู้สึกผสมปนเปกันระหว่าง ความเห็นอกเห็นใจ, ความเข้าใจและความ เหนื่อยหน่ายเอือมระอา เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะคำว่า ผู้ชาย ในความรู้สึกของสาวๆน่ะ ล้วนหนีไม่พ้น เป็นพวกไม่ซื่อสัตย์, ขยันนอกใจ, ไร้อารมณ์, ไม่ยอมผูกมัด, ชอบทำลายอารมณ์ซาบซึ้ง และไม่ชอบการเล้าโลม น่ะซี ว่าแต่ พวกเขาคงไม่ได้เป็นอย่างที่นินทาไว้ ข้างต้นซะทุกคนหรอก ผู้ชายที่ซื่อสัตย์และ ไม่ไร้อารมณ์ยังมีให้เห็นถมเถ แม้จะมีเพียงแค่น้อยนิดหรือ แค่หยิบมือเดียวก็เหอะ แต่ยังดีกว่าไม่มีเอาซะเลย ใช่ม้า เมื่อเป็นงี้ งั้นเรามาทำความรู้จักกับผู้ชายให้ลึกซึ้งกว่าเดิมดีไหม รับรองหนุ่มๆ ไม่ใช่คนที่เข้าใจยาก หรือปิดกั้นตัวเองไม่ยอมเผยธาตุแท้ที่ แท้จริงของเขาแน่ ในความเข้าใจคลาดเคลื่อนของผู้หญิงที่มีต่อผู้ชาย (Women\'s Misconceptions About Men) ยืนยันว่า แม้ภายนอกผู้ชายจะไม่ค่อยแสดงออกถึงความจริงจัง ที่เขามีต่อแฟนสาวก็จริง แต่อาการไม่ชอบถูกผูกมัดนั้น ไม่ใช่ว่าผู้ชายชอบเล่นตัวหรอกนะ เพราะน่าจะมีเหตุผลอย่างอื่นอีกเยอะแยะที่ซ่อนเร้นอยู่เชื่อดิ ว่าแล้วสาวๆอยากรู้ ไหมล่ะว่า ทำไมผู้ชายถึงไม่ชอบการผูกมัด งั้นตามมามะ เดี๋ยวแจกแจงให้ฟังแล้วจะอึ้งกิมกี่ จากคำบอกเล่าของสุดหล่อยอมรับว่า พวกเขามักตั้งการ์ดป้องกันไม่ให้ตัวเองแสดงอารมณ์ หรือตกหลุมรักใครสักคนง่ายเกินไป ของพรรณนี้เป็นเรื่องจริงแท้แน่เชียว ไม่ต้องคาดคั้น ก็ยอมรับอยู่นี่ไง แต่อาการดีดดิ้นไม่อยากผูกมัดกะใครง่ายๆ เนี่ย ทั้งหลายทั้งปวงล้วน มีสาเหตุมาจาก ความกริ่งเกรงหรือกลัวไปเองของ ผู้ชายนั่นแหละว่า....

1. ขืนเอาตัวไปพัวพัน หรือผูกมัดกับสาวใดจริงจังเกินไป “ว่าที่แฟน” คงไม่ยอมให้เขา ออกไปเที่ยวกลางค่ำกลางคืนเหมือนตอน เป็นโสดซิงๆ แน่เลย ถ้าแฟนสาวไม่ยอมให้ออกไปเตล็ดเต็ดเตร่ตอนกลางคืนละก็ ชายวัยนมเพิ่งแตกพาน อย่างเขาคงเฉาตายแหงแก๋ เฮ้อ! ยังไม่ทันได้ผ่านประสบการณ์สวิง ริงกิ้ง เกี้ยวพาราสีสาวแปลกหน้า หรือได้เที่ยวกับเพื่อนๆ อย่างเต็มคราบ แต่มีแฟนปุ๊บก็ต้อง หยุดซะแล้ว โหย ให้เอาตัวมาลงหลักปักฐานกับสาวน้อยคนหนึ่งแบบนี้ เอ...มันคุ้มไหมเนี่ย

2. ขืนผูกมัด ก็หมายความว่า หนุ่มๆยอมให้ฝ่ายหญิงเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิต ของเขาน่ะซิ โอ้ยโหยว...ผู้ชายจะแอบคิดว่า ข้าพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงอย่างงั้นรึ ไม่เอ๊า ไม่เอา...ขอเป็นตัวของตัวเองอีกสักพักเถอะ โธ่ แล้วถ้าให้หาแฟนมาควงไม่ยากหรอก สู้หวงแหนเสรีภาพและมีอิสรภาพไปเรื่อยๆไม่ดีกว่ารื้อ แถมเผลอๆนะ ในอนาคตเขาอาจได้เจอกับผู้หญิงที่เออ...เป็นคนที่ใช่ เป็นแฟนตัวจริงมากกว่า ยายแร้งทึ้งคนนี้ก็ได้...นั่นไง มองการณ์ไกลข้ามชอตได้น่าหมั่นไส้ไหมล่ะ

3. ขืนผูกมัดกับเธอดูสิ รับรองเซ็กซ์ที่เคยเร่าร้อนจนเตียงสะเทือน จะหยุดชะงักทันที เพราะฝ่ายหญิงเชื่อไงว่า หนุ่มเคียงกายของเธอเป็นลูกไก่ในกำมือแล้วน่ะซี ก็ในเมื่อเขาซีเรียสกับ ความสัมพันธ์ “ฉันและเธอ” ถึงเพียงนี้ แสดงว่า เธอไม่ต้องขยันอยากมีเซ็กซ์เพื่อเอาใจเขา อีกต่อไปใช่ม้า โอ้โห...ความคิดนี้แหละที่ผู้ชายกลัวที่สุด จะไม่ผวาได้ไง ในเมื่อหนุ่มๆ เค้าหมกมุ่นและกระหายเซ็กซ์วันละหลายเวลา ทั้งก่อนและหลังอาหารปานนั้น ผู้ชายน่ะฟิตจัดกับเรื่องบนเตียงอย่าให้เซด

4. ถ้าผูกมัดกับสาวใดเมื่อไหร่ หล่อนจะเริ่มปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่ รักษาหุ่น หรือทรวดทรงองค์เอวที่เคยผอมชะลูดเหมือนนางแบบอีกต่อไป งงไหมถ้าบอกว่า ผู้หญิงจะจริงจังกับรูปร่างหน้าตาตอนที่เธอเป็นโสดมากกว่า เหตุนี้หากมีแฟน อย่างเป็นเรื่องเป็นราว เธอก็เลิกคิดเรื่องความสวยความงามทันที เอ้า...เพราะเธอข้าม ช่วงเวลาของการจีบไปแล้วนี่นา แล้วใยต้อง พิถีพิถันอะไรกันอีก...ฮ้า

5. ถ้าลงเอยกันเมื่อไหร่ เชื่อดิฝ่ายหญิงจะลากแฟนหนุ่มไปร่วมสังสรรค์กับ ครอบครัวที่น่าเบื่อ เอ้ย....น่ารักของเธอด้วยแน่ๆ แล้วคิดเรอะ ว่ากฎเกณฑ์ของครอบครัวมีน้อยกว่าการติดคุก! อ่านถึงตรงนี้ก็อย่าใจแป้วไปก่อนละกันว่า ขืนผู้ชายไม่อยากมีพันธะ งั้นใครจะขอผู้หญิง แต่งงานล่ะ เอางี้ ไขข้อข้องใจของน้องหนูซะเลยว่า พอถึงช่วงเวลานึงของอายุ ผู้ชายจะหยุดซ่า แล้วมีเมีย เอ้ยแฟนอย่างจริงจังซะที แต่กว่าหนุ่มหน้ามนจะเอ่อ...เห็นความสำคัญของการมีแฟน บางทีฝ่ายหญิงต้องลงทุนลงแรงทำให้เขาสำนึกบ้าง เช่น จากปากคำของสตีฟ วัย 30 เล่าว่า ขณะอ่าน น.ส.พ.อยู่ดีๆ แฟนผมก็บอกให้เปิดไปดูหน้าโฆษณาย่อยสิ ทันใดนั้นผมก็เหลือบ ไปเห็นโฆษณาชิ้นเบ้อเริ่ม เขียนว่า ฉันรักคุณค่ะ แค่เนียะ หัวใจของผมก็อ่อนปวกเปียกไปหมด หรือในกรณีของปีเตอร์ วัย 28 ปี เล่าว่า คืนหนึ่งหลังจากทานอาหารค่ำกันเงียบๆ แต่แสนโรแมนติก แฟนก็พาผมเข้าไปในห้องนอน ปรากฏว่า บนเตียงเธอวางดอกไม้ เรียงไว้เป็นชื่อผม ตั้งแต่นั้นผมก็รู้ว่าสาวคนนี้แหละใช่เลย....เฮ้อ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าจับเสือมือเปล่า นะจ๊ะน้อง ฮิ ฮิ ฮิ.

เปิดหัวอกเหล่าชายหญิงสูงอายุต่างยังคงมีอารมณ์รักคุกรุ่นอยู่

          สำรวจหญิงชายสูงอายุทั่วทั้ง 4 ชาติ พบส่วนใหญ่ต่างยังมีไฟรักอยู่ หากแต่ต่างฝ่ายต่างก็ มีอุปสรรคขัดขวาง ทางฝ่ายคุณปู่คุณตาหลายคนต้องปวดใจด้วย "โรคนกเขาไม่ขัน" ในขณะที่ด้านคุณย่าคุณยายก็อึดอัดว่า ไม่สู้คล่องแคล่วว่องไวปรูดปราด ผิดกับสมัยก่อน

ศาสตราจารย์วิชาโรคอวัยวะทางเดินของปัสสาวะ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น ออนทาริโอของ แคนาดา หัวหน้าคณะผู้ศึกษาสำรวจผู้สูงอายุ วัยระหว่าง 40-80 ปี ในชาติตะวันตก 4 ชาติ จำนวน 4,507 ราย เปิดเผยผลของการศึกษาว่า "เดิมเราคิดว่าพวกเขาคงจะรู้สึกไม่ค่อยมี ความรู้สึกคึกคักทางกามารมณ์นัก แต่ผลกลับปรากฏว่าผิดคาด ทำให้เพิ่งได้รู้แม้แต่ ผู้ที่อยู่ในวัยครึ่งหลังของชีวิตว่า แท้จริงแล้วพวกเขายังคงมีไฟรักคุกรุ่นอยู่" ศาสตราจารย์ ดร.เกอราลด์ บร็อค ระบุว่า มีชายสูงอายุมาก ถึง 81% และหญิงสูงอายุ 70% เมื่อปีกลาย ยังแสดงบทรักกันอยู่ และฝ่ายชายมักจะทำสถิติเรื่องนี้ไว้สูงกว่าฝ่ายหญิงอยู่เสมอ "สาเหตุบางส่วนอาจจะเป็นเพราะทางฝ่ายชายอาจจะคุยโตในเรื่องนี้อยู่บ้าง และอาจเป็นเพราะ ฝ่ายหญิงมักจะตกอยู่ในฐานะโดดเดี่ยวเดียวดายมากกว่า เพราะมีผู้หญิงที่ตกพุ่มม่ายถึง 11.4% ส่วนพ่อม่ายมีอยู่แค่ 4.4% เท่านั้น" ผลการสำรวจยังได้พบว่า ผู้สูงอายุทั้งชายหญิงต่างก็บ่นถึงอุปสรรคของการแสดงบทรัก เนื่องมาแต่สังขารไปตามๆกัน อย่างเช่น ผู้ชายถึง 1 ใน 3 ครวญว่าเป็นโรค "นกเขาไม่ขัน" และฝ่ายหญิงก็อ้างว่าไม่สู้คล่องแคล่วปราดเปรียวเหมือนกับสมัยก่อน หรือไม่ก็ไม่ค่อยจะรู้สึก รู้ร้อนรู้หนาวไปด้วยแล้ว.

เป็นแฟนกัน ทำงานด้วยได้ไหม

          “เราไม่สามารถ ประเมินความเป็น คนจาก อาชีพ ที่เขาทำได้ แต่สามารถ วัดความ เป็นเขาได้ จากตอนที่เขา ล้ม ลง และ ลุก ขึ้นมาอีกครั้ง” จากหนังเรื่อง Maid in Manhattan มี เจนนิเฟอร์ โลเปซ หรือ เจ.โล สาวสะโพกดินระเบิดเป็นนางเอกไง โธ่ เห็นเป็นหนัง รักโรแมนติกหวาน แหววแบบนี้เหอะ แต่กลับมีถ้อยคำดีๆ มาฝากให้หัวใจ ชาวประชาดี๋ด๋า ร่าเริง มีกำลังใจเพิ่มขึ้น ได้แล้วกัน ว่าแล้วอยากคุยฟุ้งกรณีสามี-ภรรยา หรือแค่แฟนกันก็เหอะ ซึ่งทำงานในสถานที่เดียวกัน อย่างงี้จะ ส่ง ผลกระทบต่อความรัก หรือต่อหน้าที่การงาน หรือแม้แต่ฐานะการเงิน ของทั้งคู่หรือเปล่า? ของแบบนี้ ไม่คิดไม่ได้แล้ว เพราะเศรษฐกิจยุบหนอพองหนอสมัยนี้ เห็นทีสามี-ภรรยาต้อง ช่วยกันทำมาหากิน บางคู่ถ้าทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทแห่งเดียวกันก็แล้วไป เพราะมีงานในความรับผิดชอบแน่นอนตายตัว อาจไม่ต้องปะทะหรือต่อล้อต่อเถียง ให้วุ่นวายเสียอารมณ์ แต่ผัวเมียหลายรายไม่ใช่แบบนี้สิท่าน เนื่องจากพี่เล่นชวนกันตั้งร้านค้าหรือทำกิจการสักอย่าง ร่วมกันนี่สิ เรียกว่าลาแล้วชีวิตลูกจ้าง ขอเป็นนายจ้างตัวเอง จะล้มคว่ำคะมำหงาย หมดตัวล้มละลาย หรือเจริญก้าวหน้า ร่ำรวย ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถรอบด้าน ของตัวเองแล้วทีนี้ อาจารย์สุพัตรา สุภาพ ชี้ให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียของการจับคู่ทำงานของสามี-ภรรยาไว้น่าฟัง เอาเป็นว่าก่อนจะลงมือลงแรงก่อร่างสร้างตัวด้วยการจูงมือลงทุนทำกิจการร่วมกัน ขอแค่รู้จักทำงานแบบสบายๆ มีอารมณ์ขัน และมีเป้าหมาย ปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไข ให้ลุล่วงได้ เชื่อไหมล้า ยกตัวอย่าง กรณีของแคทลีน ซิมเมอร์แมน นักเขียนชาวอเมริกัน ยอมรับว่า เวลาทำงานกับสามี มีบ้างบางครั้งอยากจะผลักเขาตกน้ำไปเลย แต่บางครั้งอีกเหมือนกัน กลับดีใจที่ได้เขามา ทำงานเคียงข้าง แม้บางคราจะลุ่มๆดอนๆไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะรุ่งเรืองมากกว่า กระนั้น ทำงานกับสามีก็ควรระวังไว้บ้าง เพราะไม่ใช่ ทุกคู่ที่ประสบความสำเร็จเสมอไป เหตุนี้ ถ้าไม่แน่ใจว่าควรทำงานกับคนรักของตัวหรือไม่ ให้สังเกตสัญญาณ 5 ประการ ดังต่อไปนี้ เช่น

1. ถ้าทำงานด้วยแล้วอึดอัด ท้องไส้ปั่นป่วน ก็อย่าทำ

2. หากลำบากใจ, ตัดสินใจอะไรเองไม่ได้ ต้องเกรงใจแฟนซึ่งรับบทเป็นเจ้านายตลอดเวลา แล้วจะทำงานด้วยกันได้รึ ทางที่ดีควรแบ่งหน้าที่กันให้ชัดเจนก่อนดีกว่า

3. ถ้าชีวิตคู่มีปัญหาอยู่ก่อนแล้ว ก็อย่าทำงานร่วมกันเลย เพราะแรงกดดันทางธุรกิจ อาจยิ่งทำให้ชีวิตรักอับปางเร็วเข้าไปใหญ่

4. ถ้ามีลูกเล็กๆ อย่าริไปทำธุรกิจ เลี้ยงลูกให้ได้คุณภาพก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

5. ถ้าต่างมีอะไรปิดบัง หรือมีอะไรไม่ยอมบอกกัน แล้วจะทำงานกันได้ไง แต่ถ้ารู้ตัวและแก้ไข บางทีจากเคยคิดว่า ทำงานด้วยกันไม่ได้ อาจทำได้ก็ได้ ใครจะไปรู้.

คนสมถะ

ทอดสะพาน "ให้ท่า" ค้นหารัก

          เรื่องผู้ชายชอบ “ให้ท่า” หรือ “ทอดสะพาน” ไล่ตามจีบสาวๆ เป็นว่าเล่น คงไม่ต้องพูดถึง เพราะเห็นบ่อย จนชินซะแล้ว แต่หากเป็นผู้หญิงให้ท่านี่สิ แหม... ถ้าเธอไม่หน้าด้านจริง เอ๊ย ชอบฝ่ายตรงข้ามอย่างจังละก้อ นึกหรือว่า จะยอมทอดสะพาน ให้ข้ามกันได้ง่ายๆ ของพรรณนี้หากไม่ถูกใจจริง อย่ายุ่ง ขิงกันดีก่า เดี๋ยวเจอคนสติสตังไม่ดี พูดจาไม่รู้เรื่อง แถมชิ่งหนีก็ไม่ทัน แล้วจะยุ่งกันไปใหญ่ ตรงข้าม ถ้าฝ่ายหญิงเจอคนถูกใจเมื่อไหร่ก็อย่ามัวบิดไปบิดมาหรือสะเทิ้นเขินอายนักเลย สมัยนี้หากไม่รู้จักจับจองเป็นเจ้าของใครสักคนไว้ก่อน ก็ไม่แน่ว่า รอไป รอมา แล้วสักวัน จะมีเหยื่อเล็ดลอดมาให้จับ เอ่อ จีบอีกเมื่อไหร่ อู้ยถ้าคิดว่า ความรักมันหาได้ง่ายมาก จนไม่ดิ้นรนกระเสือกกระสนซะเลย ระวังได้หิ้วชะลอมแห้วกลับบ้านนะ ใน 5 สัญญาณบอกว่า หล่อนต้องการคุณเหลือเกิ้น แหม เรื่องเงียะต้องรีบเป่าประกาศ ไม่งั้นหงุดหงิดใจน่าดู (5 Signs she wants you ใน MSN) ฝอยถึงกรรมวิธีที่ผู้หญิงมัก “ให้ท่า” แสดงความปรารถนาที่ถูกขับดันโดยสัญชาตญาณให้ฟัง ท่านว่า ถ้าฝ่ายหญิงอยากชวนใครบางคนที่เธอถูกใจ มารู้จักกันสักที หรือเป็นแฟนเลยสิ้นเรื่อง เผื่ออัธยาศัยเข้ากันได้ ไปกันด้วยดี เวลาใกล้ชิดจะได้ไร้ปัญหา ถึงตรงนี้เริ่มอยากรู้หรือยังล่ะว่า ถ้าผู้หญิงปรารถนาเพื่อนใจ แล้วหล่อนจะทำอย่างไรต่อไป สัญญาณแสดงความหลงใหลได้ปลื้มของฝ่ายหญิงที่มีต่อคนที่เธอเหล่ไว้นะรึ อาทิ...

1. เธอใช้มือล่วงล้ำเข้าหาบ่อยๆ ถ้าหล่อนชอบเอามือ “ลุย” ล่วงล้ำผิวกายของใครสักคนที่เธอสนิทเสน่หาด้วย ไม่ว่าจะเป็น ตอนชวนกันออกไปเต้นรำ หรือ จู่ๆ เธอก็พยายามนั่งเขยิบเข้ามาแนบชิดบ่อยครั้ง แล้วทันใดนั้นหล่อนก็เอื้อมมือมาสัมผัสเนื้อตัวของคุณอย่างละมุนละม่อม นี่ย่อมเป็นการเปิด ทางให้ทราบได้บ้างหรอกหน่า ว่าหล่อนไว้ใจและพร้อมสำหรับการสานสัมพันธ์ขั้นลึกซึ้ง กว่าเดิมแล้วนะ แต่ถึงเป็นงี้ ก็มีข้อสังเกตอยู่บ้างเหมือนกัน คือ ถ้าเผอิญเธอดั๊นเป็นคนมือไว ชอบสัมผัส แตะ จับ ใครต่อใครไปทั่ว ประเภทปล่อยเนื้อปล่อยตัวของเธอเองตามสบายหยั่งงี้ หากท่านใด ถูกแต๊ะอั๋งเอาล่ะก็ อย่าได้เข้าข้างตัวเองเด็ดขาดว่าเธอกำลังส่งสัญญาณพิศวาสไปให้ ก็ถ้าเธอเล่นจับไปทุกคนขนาดนี้ อาการสัมผัสที่ว่า จะไปเหลืออะไรที่พิเศษกว่าคนอื่นอีกล่ะ

2. หล่อนขยันคลอเคลียไม่ยอมห่าง ทั้งๆที่มีเพื่อนฝูงให้ร่วมวงสังสรรค์ตั้งเยอะแยะ แต่เธอกลับเลือกเข้าหาไออุ่นข้างกาย ของคุณมากกว่า หนำซ้ำหากคุณพยายามตีตัวออกห่างด้วยความเกรงใจ ทว่าเธอยังเบียด เข้ามาอยู่นั่นแหละ แบบนี้คงไม่ต้องตีความอะไรให้ฟุ้งซ่านต่อไปแล้วใช่ม้า

3. เธอชวนแวะดื่มกาแฟ ถ้าหล่อนใจกล้าถึงขนาดชวนคุณมาเที่ยวบ้านของเธอ หยั่งงี้คงไม่ใช่ เพียงแวะจิบกาแฟละมั้ง เพราะกรณีนี้ แม้เธอดูจะเป็นคนเรียบร้อยแค่ไหนก็เหอะ โอกาสที่ความหรรษาหลังการดื่มกาแฟ จะพาไปสู่การตกลงปลงใจบนเตียง ก็เป็นไปได้สูงมากที่จริง ไม่ต้องใช้กาแฟเป็นตัวล่อก็ได้ เพราะเหยื่อยินดีสมยอมทุกอย่าง อย่างให้อภัย อิ อิ

4. เธอพูดเรื่องเซ็กซ์บ่อยจัง ไม่ว่าจะพาดพิงถึงประสบการณ์ เลวร้ายของแฟนเก่ากับการเมกเลิฟของเขา หรือแม้แต่คำ พร่ำพรรณนาว่า ในระยะไม่กี่เดือนมานี้ ฉันยังไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวใครเลยสักคน ก็ถ้าเธอขืนพูดแต่เรื่องทำนองนี้บ่อยครั้ง แล้วจะให้คิดว่า เธอเป็นกระดังงาลน ไฟ หรือเป็นลูกไก่ในกำมือดี! เพราะคำพูดคำจาดูเหมือนชวนเชิญให้โดดขึ้นเตียงยังไงไม่รู้ อย่างงี้ไม่ใช่แค่ให้ท่าแล้วดิ ต้องเป็น “แบะท่า” ใกล้เคียงกว่า

5. หล่อนชมเรือนร่างอีกฝ่ายไม่ขาดปาก แทนที่เธอจะทักถึงเสื้อเชิ้ตตัวใหม่ หรือรองเท้าคู่ใหม่ ของคุณ แต่ไม่หรอก กลับหันไป ชมแผงอกเต่งตึงได้รูปสวยของหนุ่มๆแทน หรือไม่งั้น แทนที่เธอจะบอกว่า ชอบกางเกงตัวใหม่ ของคุณจัง แต่หล่อนกลับคิดไกลไปว่า จะดูดีแค่ไหนถ้าคุณสวมกางเกงตัวนี้ นั่น เป็นงั้นไป

หากเธอขยันจีบปากจีบคอพูดแต่ทรวดทรงองค์เอวของคนที่หล่อนสน อยู่เรื่อยละก็ แบบนี้ยังสงสัยอีกเหรอว่า หล่อนทอดสะพานเปิดประตูใจให้คุณหรือยัง ถ้า 5 ข้อที่ผ่านมา สะกิดสะเกากันยังไม่หนำใจ งั้นฝากภาษาทางกายของผู้หญิงที่เปิดอ้า เชื้อเชิญให้ใครบางคนกระแซะ กระเซ้าเข้ามาติดกับรังรักของเธออีกหน่อย ดังต่อไปนี้

• หล่อนป้อนอาหารให้ แถมยังแบ่งส่วนอาหารที่เป็นของเธอให้คุณอิ่มท้องบ้าง อย่างนี้ก็เท่า กับเธอพร้อมโอนอ่อนผ่อนตามความ ปรารถนาของอีกฝ่ายแต่โดยดีน่ะซี แล้วงี้จะมัวชักช้า รีรอจีบเธออีกรึ

• เธอชอบมองริมฝีปากของอีกฝ่าย พอบอกได้ไหมว่า เธอกระหายรสชาติของ การจุมพิต ขนาดไหน เมื่อเป็นงี้ งั้นฉวยโอกาสค่อยๆ เคลื่อนศีรษะของคุณลงต่ำ แล้วใช้ปากประกบปาก ก่อนฉุดกันเข้าสู่สมรภูมิรักเลยเหอะ หากท่านใดได้รับสัญญาณดังที่เล่าให้ฟัง กรุณาถือวิสาสะเดินเครื่องรักดุ่ยๆ ไปข้างหน้าได้เลย โถ สะพานที่เธอทอดให้ แสนมั่นคง ปลอดภัย ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดนะเออ.

สร้างแรงรักด้วยพลังฮวงจุ้ย

ฮวงจุ้ย คำนี้เคยได้ยินกันใช่ม้า ว่าเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ ความสัมพันธ์และความสมดุล ของธาตุทั้งสี่ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ยิ่งในเรื่องของการแนบชิด ระหว่างชายหญิงด้วยแล้ว นอกจากตัวบุคคลซึ่งควรรัก กันปานจะกลืนแล้ว สิ่งสำคัญรอง ลงมาได้แก่การจัดวาง สิ่งแวดล้อม ให้เป็นมิตรต่อความรัก ด้วยอย่าลืมซะล่ะ

ใน “มาปรับปรุงให้ชีวิตรักดีขึ้นด้วยพลังของ ฮวงจุ้ย กันเถอะ” (How to Improve Your Love Life with the Power of Feng Shui) บอกว่า ถ้าอยากให้ชีวิตรักดีขึ้นละก็ ควรจัดวางสมรภูมิรักในบ้านให้เข้ารูปเข้ารอยตาม หลักฮวงจุ้ยเพื่อเพิ่มพลังรัก ดังต่อไปนี้

1. เริ่มจาก ทำความสะอาดห้องนอนบ้างนะ

ถ้าห้องนอนของคุณอยู่ในสภาพยุ่งเหยิงและไม่เรียบร้อย พลังงานในห้องก็จะไหลเวียนต่ำ และช้า สภาพห้องที่ยุ่งเหยิงนั้นเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า พลังงานในเชิงบวก (หรือกระแส chi) เนี่ยนะกำลังหยุดชะงักและถูกขวางกั้น ดังนั้น จงม้วนแขน เสื้อของคุณขึ้นและขัดสีฉวีวรรณบ้านให้สะอาดเอี่ยม เรี่ยมเร้เรไรซะ และหากต้องการให้ชีวิตรักดียิ่งขึ้นไป อีกละก็ ลองสั่นกระดิ่งหรือเขย่าของเล่นที่ทำให้เกิดเสียง หรือปรบมือทำเสียงดังไปรอบๆห้อง เพื่อขับไล่ไสส่ง พลังงานเก่าที่ทำให้ชีวิตรักน่าเบื่อ ดูสิ

2. เจียดพื้นที่ให้ดาร์ลิ่ง

หากต้องการดึงดูดคู่รักคนใหม่ให้เกิดอารมณ์ แสนโรแมนติก หรือสานความสัมพันธ์ระหว่างกัน ให้แน่นแฟ้น และผูกพันมากกว่าเดิมแล้ว ล่ะก็ ก่อนอื่นต้องแน่ใจนะว่าคุณได้เตรียมที่ว่าง ให้กับคนคนนั้นไว้แล้ว ไม่ใช่ปล่อยเขาไปตามยถากรรม ดังนั้นจงตรวจดูชั้นวางของ, ตู้เสื้อผ้า และเตียงนอนให้ถี่ถ้วน ถ้ามันเต็มไปด้วยข้าวของของคุณแล้วละก็ควรเคลียร์ห้องซะ หาที่ว่างให้กับสุดสวาท ขาดใจของ คุณหน่อย ไม่ต้องใช้พื้นที่มากนักก็ได้ แค่เจียดที่ว่างประมาณ 25% ของห้องนอนให้กับสวีตฮาร์ตแค่เนี้ยก็พอ

3. อย่ากระแดะทำงานอื่นใดในห้องนอน

เมื่อใดที่คุณออกกำลังกายในห้องนอน หรือเก็บอุปกรณ์ใดๆ ก็ตามที่ใช้ในการออกกำลังกายไว้ ในห้องนอนแล้วล่ะก็ ท่านว่าคุณกำลังนำพลังแห่งความยากลำบากและความเหนื่อยหน่ายเข้ามา ในชีวิตคุณแล้วรู้ไว้ ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้สัมพันธภาพด้านรักๆใคร่ๆของคุณยุ่งยาก สับสน และเวียนหัวแล้วล่ะก็ จงขนอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน และการออกกำลังกาย ไปไว้ให้ไกลๆ วิมานฉิมพลีดีกว่า

4. อย่าเก็บความสัมพันธ์เก่าๆ เอาไว้

เก็บสิ่งของต่างๆที่จะเตือนใจให้คิดถึงความสัมพันธ์เก่าๆ ที่มันล้มเหลวหรือเลิกรากันไปแล้ว ออกจากห้องนอนเสียเถอะ ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นเสื้อกัน-หนาวสีสดใสของแฟนเก่า, รูปที่ถ่ายคู่กับอดีตรัก หรือ แม้แต่ของขวัญซึ่งเตือนใจทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ เกี่ยวกับผู้ให้ และคุณไม่ได้รักเขาอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าอดีตนั้นจะเคยขมขื่น หรือแสนหวานแค่ไหน ห้ามเก็บ จดหมายเก่าๆไว้ในห้องนอนเด็ดขาด นอกเสียจากว่า จะเก็บของที่ระลึกที่ ได้รับจากคนที่คุณมี ความสุขด้วยก็แล้วไป จะสวีตหวานกับคนใหม่ หรือ จมปลักกับอดีตเลือกเอาแล้วกัน

5. กรุณาเก็บภาพที่ไม่เหมาะสมออกไปซะ

รูปที่ไม่เหมาะกับพลังด้านบวกของความรักก็เช่น ภาพที่แสดงถึงความโดดเดี่ยว, ความเงียบเหงา, ความโกรธ, การทำงานหนัก, ความขัดแย้ง หรือภาพ ที่ขัดกันไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง เช่น ภาพที่เพื่อนของ คุณให้มาเมื่อคราวที่เขาไปร่วม ทำสงครามก็ไม่เหมาะ ที่จะเก็บไว้ในห้องนอน เพราะเราต้องการให้ห้องนอนเป็นสมรภูมิรัก ไม่ใช่สมรภูมิรบนี่นา ใช่ป่าว

6. แขวนภาพชวนให้เคลิบเคลิ้มไปกับอารมณ์โรแมนติกสิ

คุณสามารถวางภาพโรแมนติกไว้ในตำแหน่งไหนก็ได้ภายในห้องนอน เช่น ผนังด้านตรงข้ามกับ ปลายเตียงก็ได้ หรือที่ว่างตรงไหนก็ตาม ขอเพียง คุณเข้ามาแล้วจะเห็นเป็นที่แรก ก็ตรงนั้นแหละ ว่ากันว่า ภาพสวยๆหรือภาพชวนโรแมนติกนั้น เป็นสิ่งที่ช่วยทำให้หัวใจชุ่มชื่น ได้อย่างไม่น่าเชื่อเชียวนะ ถ้าเป็นภาพดอกไม้ล่ะก็แจ๋วไปเลย ส่วนจะเป็นดอกอะไรก็ตามใจ หรือไม่งั้นหาภาพ ที่เป็นคู่ เช่น นกคู่, เด็กคู่, เทียนคู่, หมอนคู่ หรือภาพวิวทิวทัศน์ ก็ความหมายว่าจะได้อยู่คู่กับคนรักไปชั่วนิรันดร์ไงเค้าว่าหอฮ้อ เฮงๆ อย่าบอกใคร

7. เปิดประตูให้คนรัก

ต้องแน่ใจว่า ประตูหน้าบ้านและประตูห้องนอน ควรเปิดได้ง่าย และควรเปิดได้กว้างเต็มที่ จะยิ่งเจ๋งเข้าไปใหญ่ ประตูใดที่ติดขัดหรือมีเสียงดังลั่นเอี๊ยดอ๊าด หรือประตูที่เปิด ได้เพียงบางส่วน สิ่งเหล่านี้จะขัดขวางพลังแห่งความรักและแสนโรแมนติกได้นะ

ยิ่งหากประตูห้องนอนไม่มีลูกบิด หรือมีเหมือนกันแต่ลูกบิดหลวม แสดงว่าคุณกำลังมีช่วงเวลา ที่ยากลำบากแหงเลย งั้นเปลี่ยนซะเถอะ ถ้าไม่อยากให้ ความรักสะดุดขลุกขลักก็อย่าขี้เหนียว ประตูลูกบิดน่ะ กี่ตังค์กันเฮีย

8. ย้ายเตียงนอนซะ

หากเตียงด้านหนึ่งติดกับผนังล่ะก็ คนที่นอนด้านนี้จะรู้สึกราวกับถูกกักบริเวณ หากเป็นไปได้ ควรย้าย เตียงเหอะ จะย้ายเตียงไปในที่ซึ่งแบ่งห้องออกเป็น 2 ส่วนเท่าๆกันก็ได้ เพื่อว่าคุณและคนรักจะได้พบกับ

ความพอใจในการอยู่ด้วยกันไง เค้าว่าตำแหน่งที่ดีด้าน หนึ่งของเตียงสำหรับปฏิบัติการ โรมรันพันตูได้แก่ ตำแหน่งด้านตรงข้ามกับประตูห้องนอนน่ะซี แต่ไม่ต้องอยู่ตรงกันเป๊ะก็ได้

9. อย่าเลี้ยงสัตว์ในห้องนอน

เพราะเชื่อดิ เมื่อพูดถึง “งานรัก” ขึ้นมาเมื่อไหร่ งานแนบชิดแบบเนี้ย ต้องอาศัยสมาธิจากทั้ง 2 ฝ่าย ก่อนจะค่อยๆ ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกแก่กัน กระทั่งเกิดเป็นความสมดุลขึ้นมาไง

10.เตียงนอนควรมั่นคงแข็งแรง เพื่อรองรับ การกระแทกกระทั้นได้อย่างเต็มที่

ว่าแต่ปฏิบัติการคราวนี้อย่าหักโหม ละกันนะ.

         

ดูแลแม่อย่างไรให้อายุยืนและมีความสุข

เก็บตกจากงานมหิดล-วันแม่ ที่ผ่านมา บรรดาลูกๆต่างวัยจากหลาก หลายวงการ ประกอบด้วย คุณชาย นักชิม-ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์, รศ. ประทุมพร วัชรเสถียร รองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ จุฬาฯ และ ศ.น.พ. นิธิ มหานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ บุตรชายอดีตอธิบดีตำรวจ (พล.ต.อ. ณรงค์ มหานนท์) ได้ร่วมกันเปิดใจถึงการดูแลแม่อย่างไรให้อายุยืนและมีความสุข เริ่มจากคุณชายนักชิมกล่าวว่า ตอนเกิดมาใหม่ๆเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพราะอาการแพ้น้ำนมมารดา โชคดีที่แพทย์ช่วยไว้ โดยให้น้ำเกลือทางสมอง หลังเกิดได้ เพียงหนึ่งวัน และต้องอาศัยน้ำนมของแม่นมมาโดยตลอด แต่คุณชายก็ยังคงเป็นลูกไม้ที่หล่นใต้ต้น เพราะถนัดทั้งการร้องเพลง การชิมอาหารด้วยลิ้นจากแม่ ที่สามารถทำได้ดีจนแม่ ภูมิใจ รวมทั้งยังได้บวชตอบแทนพระคุณมารดา ซึ่งมีอายุยืนยาวถึงร้อยกว่าปี เพราะนิยมรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยผักและสมุนไพร จึงมีสุขภาพแข็งแรง การเป็นลูกให้ได้อย่างใจแม่ ในแบบของคุณชายนักชิม คือการทำให้แม่มีความสุข ก็ถือเป็นการดูแลแม่ด้วยเช่นกัน

ศ.น.พ.นิธิ มีหลักในการดูแลแม่ตรงที่ปฏิบัติให้เหมือนกับที่แม่ดูแลลูก แต่ต้องให้อิสระตามใจท่าน ควรหาเวลาพูดคุยกับแม่ในทางสร้างสรรค์ ส่วนการดูแลสุขภาพ เช่นการป้องกันโรคหัวใจก็ต้องทำตั้งแต่อายุยังไม่มาก เพราะจะเป็นการทรมานคนไข้ หากถึงมือแพทย์ในวัยที่ชรามาก ควรให้แม่ได้รับประทานอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินให้ได้วันละครึ่งชั่วโมงทุกวัน ซึ่งจะเป็นการออกกำลังขา และได้ประโยชน์ต่อหัวใจและปอดด้วย ตบท้ายด้วยข้อคิดของ รศ.ประทุมพร เจ้าของงานเขียน "คุณย่าดอทคอม" ที่เน้นว่า ผู้สูงอายุในบ้านเรารัฐยังไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร แม้แต่ข้าราชการบำนาญยังไม่ได้รับการยกเว้นภาษี เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ในอังกฤษผู้สูงอายุ จะได้รับการดูแลจากรัฐด้วยสวัสดิการที่ดีกว่า จึงมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า จึงอยากให้หันมามองผู้สูงอายุอย่างมีคุณค่า เพราะคนเหล่านี้คือกำลังสำคัญของชาติในอดีต และหนึ่งในนั้นคือแม่ของเรา ที่ต้องการการดูแลทั้งทางใจและทางจิต ซึ่งแต่ละท่านมีรายละเอียดแตกต่างกันไป.

สูตรสำเร็จทายผัวเมียอยู่ยืดแค่ไหนทดสอบ แม่นยำเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

อาจารย์วิชาคำนวณ ได้สร้างสูตรสมการพีชคณิต สามารถใช้คำนวณรู้ผลออกมาได้ว่า คู่ผัวเมียคู่ไหนจะอยู่กันได้ยืดหรือไม่ คุยอวดว่าทดลองได้ผลมาแล้ว มีความแม่นยำถึง 94% ศาสตราจารย์เจมส์ เมอเรย์ อ.วิชาคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ "เดลี เทเลกราฟ" ว่า ได้สร้างสูตรสมการพีชคณิตออกมาได้สำเร็จ จากการที่ศึกษาคู่ผัวเมียในสหรัฐฯ มาเป็นระยะเวลานานถึง 10 ปี จำนวน 700 คู่ ด้วยความช่วย เหลือของนักจิตวิทยา ด้วยการสนทนากับคู่ผัวเมียเหล่านั้น ในระหว่างช่วงของข้าวใหม่ปลามัน ถึงความเข้ากันได้ ในเรื่องกามารมณ์ การเงิน และการเลี้ยงดูบุตร แล้วคิดให้คะแนนตามลำดับ แล้วจึงมาคิดตั้งขึ้นเป็นสูตรสมการพีชคณิตสำเร็จขึ้น จากการศึกษาติดตามความเป็นอยู่ของคู่ผัวเมียเหล่านั้นติดต่อมาทุกๆสองปี พบว่าผลจากการทำนายของสูตร มีความแม่นยำแทบจะไม่ผิดเพี้ยนเลย.          

วิธีออกกำลังให้สาวๆไม่เหนื่อยเร็ว

"มีด้วยรึ?" วิธีออกกำลังอย่างที่ไม่ให้ เหนื่อยเร็ว สาวเจ้าผละจากกระจก แต่งหน้าแต่งตัวหันมาถาม แน่น้อน!! มีอยู่แล้ว ไม่ได้โม้ แต่ต้องหัน หลังให้กระจกค่ะ นี่เป็นข้อสรุปง่ายๆ สั้นๆ จากข้อค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ จากแคนาดา ดร.แคธลีน จินิส และคณะจาก มหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ ได้ ศึกษากับผู้หญิง 58 ราย ที่ปกติพวกเธอมิใช่ คนที่ไปออกกำลังกายในโรงยิมกันเท่าไร แต่ ถูกขอให้ไปออกกำลัง ด้วยการปั่นจักรยานอยู่กับที่ เป็นเวลาประมาณ 20 นาที นักวิจัยพบว่า สาวๆในกลุ่มที่ปั่นจักรยาน อยู่หน้ากระจก รู้สึกแย่มากเลยเวลาที่ออกกำลังเสร็จแล้ว คือรู้สึกไม่ค่อยมีแรง ไม่ค่อยกระชุ่มกระชวย เมื่อเทียบกับคนที่ฝึกซ้อมโดยไม่เห็นเงาสะท้อนของตัวเอง ซึ่งกลุ่มหลังนี่ จะบอกว่ารู้สึกเหนื่อยหลังจากออกกำลังซ้ำๆ 20 นาทีไปแล้ว

จากผลศึกษานี้ เลยพอจะอธิบายได้ว่าทำไมผู้หญิงถึงมักจะหยุดไปออกกำลังกายที่ยิมฯกัน ก็แน่นอน ถ้าหากออกจากยิมแล้ว ความรู้สึกแย่กว่าตอนขามา จะมีใครอยากกลับไปออกกำลังกันอีกในอนาคตล่ะ โดยทั่วไปแล้ว ตามโรงยิมฯมักติดกระจกยาวไว้ที่ผนังห้อง บางกรณีก็เพื่อทำให้ดู เหมือนว่าโรงยิมฯใหญ่ขึ้น แต่บางทีเขาก็ออกแบบอย่างนี้เพื่อช่วยให้คนที่มาออกกำลัง ทำท่าทางได้ถูกต้องนั่นเอง.

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2548

ดับเบิลสแตนดาร์ด ทำหนุ่มสาวเวียนเฮด

เชื่อไหมว่า แม้แต่ในโลกแห่ง ความสัมพันธ์, ความรัก, ซื่อสัตย์หรือเลิกรักกันระหว่าง ชายหญิงเนี่ยนะ ยังถูกสิ่งที่เรียกว่า ดับเบิล สแตนดาร์ด (Double Standard) หรือ “สองมาตรฐาน” เข้ามาแทรกแซงเป็นตัวกำหนด ให้เกิดการตีความเกี่ยวกับ สถานการณ์ต่างๆ ให้แตกต่างกันออกไปได้ บางกรณีก็เข้าข้างผู้ชาย แต่บางครั้งก็ให้ประโยชน์กับฝ่ายหญิง ว่าแล้วมาสำรวจตรวจสอบกันดีไหม ว่ามีสถานการณ์ใดบ้าง ที่สังคมนำ “สองมาตรฐาน” มาใช้วัดการกระทำของชายกับหญิง รับรองฟังดูแล้วจะตลก ว่าเออแฮะ ที่เขาว่า “เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก ส่วนชายทำอะไรก็ได้ตามสบาย” นั้นน่ะ บางทีก็ไม่ได้เป็นไปตามสำนวนที่เขาว่าไว้หรอก อ้าว ถ้าไม่เชื่อ ใน 10 อันดับความแตกต่างระหว่างชายหญิงในเรื่องความรัก (Top 10 : Dating Double Standards) ขอแจกแจงสถานการณ์ (สมมติ) ให้ฟังก็ได้ว่า มีเหตุอันใดบ้าง ที่ถึงแม้ชายหญิง ถึงตกอยู่ในห้วงสถานการณ์เดียวกัน แต่เชื่อดิ พวกเขาจะถูกสังคมภายนอกมองด้วยสายตาที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

ขอเริ่มจากสถานการณ์อันดับ 1 ซะเลยแล้วกัน ในกรณี ถ้าคู่รักมีปัญหากับเรื่องบนเตียง แล้วต่างฝ่ายต่างนำไปปรึกษาเพื่อนหรือญาติเมื่อไหร่ละก็ เชื่อไหมว่า ฝ่ายชายจะถูกตั้ง ข้อสงสัยปนกังขาว่า ตาคนนี้คงมีอวัยวะ (เพศ) ที่ทำงานไม่ปกติแหงเลย ถึงทำให้คู่รักไม่มีความสุขยามเข้าด้ายเข้าเข็มกับคู่รักคู่สวาทของเขาอย่างนี้ ตรงข้ามกับฝ่ายหญิง หากหล่อนนำเรื่องนี้ไปปรึกษาคนใกล้ชิดสิ เชื่อไหม ไม่ว่าใครล้วนอยาก ปลอบใจเธอ หนำซ้ำยังแก้ต่างให้หล่อนด้วยซ้ำไปว่า ที่เธอมีปัญหานะรึ ก็เพราะเธอต้องการคู่รัก ที่ฮ้อแรด หรือทำกิจกามได้ดีกว่าที่เธอมีอยู่นะเซ่ นั่นเป็นไงไปได้ (ไงวุ้ย)

สถานการณ์อันดับ 2 การมีกิ๊กหลายคน “กิ๊ก” แปลว่าแฟนนะจ๊ะ แหม เป็นศัพท์วัยรุ่นต้องรีบงัดมาใช้ จะได้รู้ซะบ้างว่าเมอร์ลินน่ะยังวัยสะรุ่นอยู่ เอาเป็นว่าถ้าผู้ชายมีแฟนหลายคน โอ้ยเขาจะได้รับตรารับรองว่าเป็นขุนแผนน่าสรรเสริญ แต่ลองผู้หญิงมีกิ๊กหลายคนดูเดะ หล่อนจะโดนทั้งข้อหาหลายใจ เรื่อยไปจนถึงใจง่าย ยังได้เลย

สถานการณ์อันดับ 3 การเป็นอัศวินปกป้องใครสักคน ผู้ชายแหงล่ะที่ได้รับประโยชน์จากการแสดง ความเป็นฮีโร่ออกมา ใครๆจะชมเชยเขาว่า อู้ยคนนี้กล้าหาญจังเนอะ ตรงข้ามกับผู้หญิง ถ้าขืนออกหน้าออกตาปกป้องใคร เค้าจะมองว่า ยายนี่ก้าวร้าว แต่ถ้าเธอไม่ปกป้องในสิ่งที่ถูกต้องซะเลย ก็โดนอีก ทีนี้โดนหาว่าขี้ขลาดไปเลย นี่แน่ผู้หญิงโดนมันทั้งขึ้นทั้งล่องอย่างงี้แหละ

สถานการณ์อันดับ 4 ยามใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ขืนฝ่ายชายลองปากโป้งบอกให้เพื่อนๆ ฟังสิว่า เขาอยากใช้เวลาอยู่กับแฟนมั่ง แทนที่จะขลุกอยู่แต่กับเพื่อนขี้เมา รับรอง คนไหนคนนั้นจะถูกล้อว่ากลัวแฟน หรือที่ได้ยินบ่อยๆว่า กลัวเมียน่ะเซ่ ตรงข้ามกับผู้หญิง ฝ่ายหญิงนะถ้าอยากใช้ เวลาอยู่กับแฟนละก็ อย่างมากก็อาจถูกแซวว่า แหมติดแฟนจังนะ ทั้งๆที่น้องเค้าน่ะอาจแค่คิดถึงคนรัด เอ๊ย คนรักเท่านั้นก็ได้

สถานการณ์อันดับ 5 ถามคำถามไร้เดียงสา เรื่องนี้เชื่อดิผู้ชายจะถูกมองว่า เป็นคนขี้เล่น ทั้งที่เขาถามประสาซื่อ ก็ยังมีคนมองว่า มันแกล้งโง่ได้ด้วย ส่วนฝ่ายหญิงเรอะ ขืนลองถามคำถามสมองกลวงออกมาสิ ถ้าไม่ถูกมองว่า โถน่ารักจัง ก็จะถูกมองในด้านลบไปเลยว่า โอ้ย...น่ารำคาญ เออ...แล้วความจริงก็มีสาวเสแสร้งแกล้ง กระแดะเยอะซะด้วยนะ ประเภททำเป็นหน่อมแน้มๆ ขี้อ้อน ระวังโดนหลอกแล้วจะชีช้ำ

สถานการณ์อันดับที่ 6 การจีบ ผู้ชายมักได้รับการยอมรับให้เป็นฝ่ายเริ่ม ตรงข้ามกับผู้หญิง ถ้าอยากจีบใครบ้างสิ.... ยายนี่จะถูกมองแล้วว่า น่าไม่อาย หรือถ้าหนักหน่อย ก็นี่เลย บ้าผู้ชายขึ้นสมอง ฟังข้อหาแล้วมันน่า... รักไหมล่ะ

สถานการณ์อันดับที่ 7 การมีเพื่อนต่างเพศ ชายจะถูกมองว่า กำลังทรยศแหงแก๋ ส่วนหญิงเรอะก็โดนไม่ต่างกันนักหรอก เช่น หล่อนคงอยากมีแฟนแหงเลย แล้วเผื่อมันจริงแล้วจะเป็นไรไป อ้าวใครๆไม่ใช่ว่าอยากมีแฟนด้วยกันทั้งนั้นเหรอ ขอเสริมในกรณีของฝ่ายชายหน่อย หากมีเพื่อนหญิงที่รู้ใจ หนุ่มคนนั้นมักจะถูกเข้าใจผิด เกี่ยวกับความไม่ซื่อสัตย์ นี่พูดถึงคนที่มีแฟนอยู่แล้วทนโท่นะ หรือถ้าไม่งั้น เขาก็จะถูกหาว่า มีเพื่อนหญิงไว้แก้เหงา โดยเฉพาะมีไว้แก้ขัดยามเกิดอารมณ์ อึ๋ย!

สถานการณ์อันดับที่ 8 ชวนไปทำกิจกรรม “พัวพันกันบนเตียง” ชายจะถูกมองว่า ถูกชักนำด้วยความปรารถนา, ส่วนหญิงนะหรือ ขืนชวนก่อนละก็ โอ้ย หล่อนหน้าด้านสุดๆ

สถานการณ์อันดับที่ 9 การจ่ายค่าอาหาร ก็รู้อยู่แก่ใจแล้วนี่ว่า ผู้ชายควรเป็นฝ่ายชวนไปเที่ยวและจ่ายเงิน ส่วนหญิงนะหรือแค่ ตอบตกลงเมื่อถูกชวนและยิ้มตอนเขาจ่ายเงินก็พอ เพราะนั่นคือวิถีแห่งความเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ใช่เรอะ

สถานการณ์อันดับ 10 การบอกเลิก ถ้าผู้ชายถูกบอกเลิกละก็ โอ้ย...เขาย่อมถูกมองว่า สมควรแล้ว หรือไม่ก็เป็นไอ้โง่ไปเลย แต่ถ้าเป็นฝ่ายหญิงถูกบอกเลิกละก็ เชื่อดิ ใครต่อใครจะบอก โถ...เธอเคราะห์ร้ายจัง เฮ่อ...เป็นงั้นไป.

แต่งงานอย่างไรไม่ให้เครียด

          นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูตินรีแพทย์คนดังแนะเคล็ดวิธี "แต่งงานอย่างไรไม่ให้เครียด" ก่อนจะถึงงาน All for Love หรืองานเวดดิ้งแฟร์ ซึ่ง รร.มิราเคิล แกรนด์ ลุกขึ้นจัดอย่างยิ่งใหญ่ระหว่าง 30 ก.ค.-1 ส.ค. เอาใจคู่รักที่กำลังตัดสินใจแต่งงาน โดย นพ.พันธ์ศักดิ์กล่าวถึงชีวิตคู่ว่า เป็นเรื่องของคน 2 คน ที่มาจากต่างถิ่น ต่างความรู้ ต้องมาอยู่ด้วยกัน เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วเกิดพบข้อบกพร่องของอีกฝ่ายแล้วรับไม่ได้ จะทำให้เกิดความเครียด แต่ถ้าสามารถปรับตัวเข้าหากันได้ก็จะไม่มีปัญหา ซึ่งในทางการแพทย์ปัจจุบัน จะมีแพทย์ให้คำปรึกษาคู่รักก่อนตัดสินใจแต่งงานกัน รวมทั้งตรวจร่างกาย ให้ความรู้เรื่องการคุมกำเนิด หากพบว่าคู่รักคู่ใดมีปัญหาแพทย์จะได้ช่วยแก้ไข หรือถ้าแต่งงานไปแล้วมีปัญหา แพทย์ก็จะเป็นคนกลางในการเชื่อมสัมพันธ์ชีวิตคู่

นพ.พันธ์ศักดิ์กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันคนรักกันเร็ว โอกาสร้างลากันก็เร็ว และปัจจัยที่ทำให้ชีวิตคู่ไปด้วยกันไม่รอด บางทีเป็นเพราะทิฐิดังนั้น ชายหญิงที่อยู่ด้วยกันถ้าจะไม่ให้มีช่องว่างในชีวิตคู่ คือทั้งคู่ควรใช้จุดเด่นของแต่ละคนในการนำพาครอบครัวให้มีความสุข โดยมองในข้อดีของอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ใช่มองแต่ข้อเสียของอีกฝ่ายหนึ่ง ที่สำคัญคือคนเราเมื่อใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันแล้ว ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน และมีความหนักแน่น อย่าหูเบาเชื่อคำพูดของคนอื่น และถ้าจะให้ชีวิตคู่อยู่กันอย่างยืนยาว ควรพัฒนาความรักที่มีอยู่ให้เป็นเพื่อน และค่อยๆพัฒนาให้เป็นพี่น้องกัน มีอะไรจะได้พูดจากันด้วยความเห็นอกเห็นใจ นพ.พันธ์ศักดิ์กล่าวในตอนท้ายด้วยว่า ผู้ชายทุกคนนั้นชอบผู้หญิงเก่ง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ผู้หญิงเก่งกว่า หากผู้หญิงมีความอ่อน ผู้ชายก็จะอ่อนกลับ และในทางกลับกัน ถ้าผู้หญิงแข็งมาผู้ชายก็จะแข็งกลับ จึงขึ้นอยู่กับผู้หญิงว่าควรปฏิบัติตนอย่างไร.

รักจุดประกาย กลายเป็นความฝัน

          คุณเคยเก็บความสัมพันธ์ ในชีวิตคู่ไปฝันบ้างไหม? ถ้าเคย รับรองไม่ใช่คุณคนเดียวหรอก ที่เป็นแบบนี้ เชื่อไหมว่ามีคนเยอะแยะ ที่ตื่นนอนขึ้น มาพร้อมกับความสงสัยที่ว่า เอ๊ะเมื่อคืนฝันเป็น ลางบอกเหตุอะไร สักอย่าง หรือเปล่านะ? ด้วยกันทั้งน้าน เหตุนี้ใน “ฝันบอกอะไรกับความสัมพันธ์ ในชีวิตคู่ได้บ้าง” (What dreams reveal about relationships) จึงช่วยเฉลยให้ฟังว่า บ่อยครั้ง ที่คนเรามักเก็บ ความสัมพันธ์ฉันคู่รัก เอาไปฝันจนเป็นตุเป็นตะ จริงๆนะ

เค้าว่า ฝันคือกระบวนการตามธรรมชาติที่มนุษย์ปลุกปล้ำและสร้างมันขึ้น มาจากอารมณ์และ ความรู้สึก ซึ่งตัวคุณเองนั่นแหละไม่สามารถจัดการ กับเรื่องต่างๆ ได้ก็เลยเก็บไปฝัน เช่น ถ้าคุณกังวล ระแวง หรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับอะไรขึ้นมาสักอย่าง และคิดไม่ตกว่าจะทำ อย่างไรกับมันดี เรื่องแบบนี้ แหละที่ใครๆ มักฝันถึงมันดีนักแหละ เหตุนี้ อารมณ์ต่างๆในฝันล้วนมีที่มาจาก ความรู้สึกของตัวเองนั่นแหละ ไม่ได้มาจาก ที่ไหนหรอก นัยว่า ถ้าเป็นเรื่องไม่สำคัญ เราจะไม่เก็บสิ่งนั้นมาฝันให้เปลืองพลังงานแน่ แต่พูดก็พูดเหอะ ถ้าเราเกิดฝันถึงอะไรขึ้นมาสักอย่าง เราย่อมอยาก ได้คำเฉลยของฝันนั้น ให้กระจ่างเพื่อหาหนทางแก้ไข (ถ้าเป็นฝันร้าย) ใช่ม้า ตรงข้าม ถ้าเกิดฝันดี เราก็คงอยากจะฝันเฮงๆ อย่างงี้ไปทั้งปี แหงซะ ในเมื่อคนเรารู้จักที่จะฝัน ดังนั้น ความฝันที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ใน ชีวิตคู่ จึงมีด้วยกัน 6 แบบ 6 สไตล์ 6 รส 6 ชาติ ดังต่อไปนี้

1. ฝันว่าเป็นชู้...อื้อหื้อ โดยทั่วไปบอกถึงความรู้สึกเกี่ยวกับ ความบกพร่องในเรื่องบนเตียง อาจเป็นตัวคุณเองหรือ แฟนคุณก็ได้ แต่อ๊ะ อ๊ะ ฝันแบบนี้ไม่ได้บอกสักหน่อยว่า ใครจะเป็นชู้กับใคร เพียงแสดงให้เห็นว่า คนที่เก็บเรื่องนี้ไปฝันน่ะต้องการทำให้ความสัมพันธ์ ทางเพศกับดาร์ลิ่งของคุณดีขึ้นต่างหาก แต่ที่สำคัญ คุณดันไม่รู้น่ะสิว่าจะทำอย่างไรดี เออน่าคิดเนอะ

2. ฝันว่าโกรธ ฝันว่าโกรธคนอื่น แสดงว่า ในชีวิตจริงคุณ ไม่สามารถระงับความโกรธของตัวเองได้น่ะซี้ ซึ่งแน่ล่ะถ้าคุณไม่สามารถจัดการกับมันได้ คุณจะร้อนใจอยู่ร่ำไปนั่นแหละ โอ้โห ขนาดฝันยังโกรธ กัน แล้วชีวิตจริงทั้งคู่จะทะเลาะกันสุดเหวี่ยงขนาด ไหนเนี่ย

3. ฝันว่าหย่ากัน ถ้าฝันว่าต้องแยกทางกับหวานใจล่ะก็ โอ๊ะโอ...สิ่งนี้เป็นเครื่องเตือนใจได้นะเนี่ย ว่าคุณ เผลอไปมี พฤติกรรมนอกลู่ นอกทาง หรือนอกใจแฟนบ้างเรอะเปล่า เพราะแสดงให้เห็นนะเนี่ยว่า คุณกำลังผลักไสไล่ส่งคู่ (เคย) สวาทออกไปจากชีวิต

4. ฝันว่ากลัว ถ้าคุณกลัวอะไร คุณก็มักฝันถึงสิ่งนั้นเสมอแหละ แล้วตรองดูสิว่า คุณกลัวสิ่งใดหรือใครบ้างล่ะ ถ้าสิ่งที่คุณกลัวมีความสำคัญกับคุณ งั้นจงรีบ หาทางแก้ไขมันซะ หรืออย่างน้อยก็ควรหลีกเลี่ยง อย่าเข้าใกล้สิ่งที่คุณกลัวก็หมดเรื่อง สิ่งร้ายๆจะได้ ไม่กล้ามากล้ำกรายให้เสนียด เกาะหนักตัวเปล่าๆ

5. ฝันเรื่องรัก ฝันเรื่องรักเป็นสิ่งดีม้าก มาก ขอเชียร์ ถือ เป็นภาพสะท้อนของชีวิตคุณในเวลานี้ หรืออาจเป็นสิ่งที่คุณใฝ่ฝันรอคอยนานแล้วก็ได้ ฝันเรื่องรักบอกให้รู้ว่าคุณต้องการอะไรในชีวิต และสิ่งนี้มีความหมายยิ่งใหญ่ต่อคนเรามากเพราะมันทำให้เรามีความสุขยังไงล่ะ

6. ฝันเรื่องทรมาน ฝันว่าคุณได้รับความทรมาทรกรรม แสดงว่า เคร่งเครียดกับชีวิตไปหน่อยแล้ว แต่ถ้าในฝันนั้นเป็นภาพคนอื่นแทนที่จะเป็นคุณ เช่น แฟนของคุณถูกตบหรือถูกต่อย ฝันนี้บอกได้ว่า บางทีคุณกำลังทำอะไรบางอย่างที่เป็นผลร้ายกับคนรักก็ได้ อ๋อในชีวิตจริงอยากลงไม้ลงมือแต่ทำไม่ได้ งั้นขอสักป้าดในฝันงั้นสิ เว้ากันเรื่องฝันเฝินในเวลาค่ำคืนให้ทราบกันทั่วหน้าแล้ว ขอเล่าถึง “ฝันกลางวัน” ของผู้หญิง ให้ฟังบ้างดีกว่า ใน ผู้หญิงภาวนา ขอให้ ได้รับการปฏิบัติที่ถูกอกถูกใจจากสุดหล่อ (แบบต้องเหล่ตาพิสูจน์) มากกว่าที่เธอเคยได้รับมาก่อน หล่อนก็ขอแค่...

1. อยากให้แฟนพูดกับเธอหวานๆ ไม่ต้องถึงกับหวานหยดย้อยจนฟันผุก็ได้ ขอแค่ให้เกียรติ ไม่โหวกเหวก โวยวาย มีความ เป็นสุภาพชนเท่าเนี้ยก็พอ อย่ามัวพูดจาเป็นศิษย์ เก่าอันธพาลกวนเมืองอยู่เลย เอาไว้ไปใช้กับคนอื่นเหอะ

2. อยากให้แฟนทำเซอร์ไพรส์ (ในสิ่งที่เธอชอบ) กะเธอมั่ง ไม่ใช่วันๆคบกันอย่างสากกะเบือ เอ้ย... ซังกะตาย คนเรารักใคร่ชอบพอกันก็ควรหา โอกาสแสดงความรักในรูปแบบหวือหวา ให้เกิดความรู้สึกวูบวาบบ้างเด้

3. ค่อยๆสัมผัสเธออย่างแผ่วเบา ถ้าปฏิบัติกับเธอเสมือนว่าเป็นแก้วเจียระไนที่บอบบางและราคาแพงระยับ ซึ่งต้องทะนุถนอม อย่างระมัดระวังได้ละก็ นี่แหละสุดยอดแฟนตัวจริงล่ะ ขออย่าเพียงแกล้งทำ หรือทำแต่ไม่สม่ำเสมอแล้วกัน

4. อยากให้แฟนหยอกล้อ, เล้าโลม และ ลวนลามเธออย่าได้หยุด ก็ของพรรณนี้เป็น มาตรวัดปริมาณความรักที่เขามีต่อคุณได้นี่นา ขอแค่เนียะ ให้กันได้ไหม?