++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2547

ถุงน่องกับคนพิเศษ

สวัสดีค่ะ คุณผู้อ่าน เผลอแป๊ปเดียวนี่ก็เดือนธันวาคม แล้วนะเนี่ย แหม!! เวลาช่างผ่านไปไวจริง ๆ เลย นะคะ จนบางครั้งเราก็รู้สึกว่ายังไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำอีกตั้งแยะเลย

อีก ประมาณ 20 วัน ก็จะขึ้นปีใหม่อยู่แล้วคุณผู้อ่านคิดทำอะไรกันบ้างหรือยัง สำหรับดิฉันแล้วเนี่ย คงจะคิดหาทำอะไรเก๋ ๆ ให้กับคน ที่ดิฉันรักแน่นอนอยู่แล้วล่ะ ซึ่งก็เป็นที่มาของ เรื่องที่จะคุยให้ฟังวันนี้ด้วยไง....ฮิ ฮิ วกเข้าเรื่อง จนได้

ก็ ขึ้นชื่อว่าเป็น น.ส.คุณประโยชน์แล้ว เรื่องที่ว่าคงไม่พ้นไปจากการรีไซเคิลหรอกค่ะ เราจะมาประดิษฐ์ของน่ารัก ๆ ด้วยถุงน่องไม่ใช้แล้วดีกว่า

บางคนอาจจะรู้สึกว่า เอาถุงน่องมาทำดูจะยังไง ๆ อยู่ ก็เอาอย่างนี้สิ แบบว่าถ้าจะทำของขวัญให้ใคร ก็หาถุงน่องคู่ที่ซื้อมาแล้วไม่ถูกใจไม่ได้ใส่ แทนที่จะทิ้ง หรือดองไว้จนเปื่อย ก็เอามาทำของน่ารัก ๆ กันไง ส่วนถ้าจะทำเก็บไว้ใช้เองส่วนตัว ก็อาจจะเอาถุงน่องที่เราใส่มาครั้งสองครั้งแล้วเกิดไปเกี่ยวอะไรขาด มาประ-ดิษฐ์กันไม่ต้องทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ น่าเสียดาย พอดีไปได้ไอเดียเก๋ ๆ มาจากฝ่ายผลิตภัณฑ์เชอรีล่อน บริษัท นิวซิตี้ (กรุงเทพฯ) ตั้งเยอะเลย แต่วันนี้จะมาทำอะไรที่สวย ๆ แล้วก็ไม่ยากจนเกินไปนักดีกว่าเนอะ

อย่าง ไม้แขวนเสื้อ นั่นไง แต่ไม่ได้เอาถุงน่องมาทำหรอกนะ เพียงจะมาเพิ่มความงาม ด้วยการนำถุงน่องสีหวานแหวว พันทบไปทบมา รอบไม้ให้สวย จากนั้นก็อาจหาริบบิ้นมาผูกตรงหัวไม้แขวน หรือหาตุ๊กตุ่นตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ มาติดเข้าไปเหมือนในรูปก็ได้ แค่นี้ไม้แขวนเสื้อเก่า ๆ ก็จะดูมีค่าน่ารักขึ้นมาเป็น กองจะเก็บไว้ใช้เองก็ได้ หรือเอาไปให้ใครก็ดี...เวลาแขวนเสื้อเมื่อไหร่เขาจะได้นึกถึงเราทุกครั้งไป

การ์ด หรือบัตรอวยพร ก็สามารถสร้างสรรค์ได้ด้วยถุงน่องนะ...ขอบอกเพียงแค่เจาะช่องกระดาษที่จะ เป็นด้านหน้าของการ์ด แล้วนำถุงน่องตัดแปะด้วยเทปกาว 2 หน้า ติดลงไปตรงช่องนั้น เหมือนในภาพ ส่วนด้านหลังที่มีร่องรอยปะติดถุงน่องก็อาจหากระดาษมาตัดประกบไม่ให้เห็นรอย เมื่อได้มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ลองหาภาพ สวย ๆ มาวางซ้อนด้านหลังถุงน่อง แล้วก็ใช้พู่กันลงสีแต่งแต้มตามแบบ ก็จะได้การ์ด ที่เป็นฝีมือเราเอง...น่าประทับใจสุด ๆ

แต่ถ้าไม่มั่นใจฝีมือ การวาด กลัวจะงามเกิน ก็อาจทำบัตรอวยพรที่ใช้ถุงน่องตกแต่งเป็นส่วนประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นว่าเอามาตัดเป็นรูปต่าง ๆ หรือจับจีบทำเป็นริบบิ้นติดลงไปก็ได้

ให้ จ๊าบกว่านั้นอาจ เอาถุงน่องไปห่อกล่องของขวัญ ยิ่งเฉี่ยวเข้าไปใหญ่ ด้วยการสอดกล่องเข้าไปในเนื้อถุงน่อง โดยอาจจะหาถุงน่องหลาย ๆ สีมาไล่โทนจากเข้มไปอ่อน จัดเนื้อถุงน่องให้ย่นเข้าหากัน...เท่ อย่าบอกใครเชียว หรือบางทีถ้ากล่องสวยอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องห่อทั้งหมดก็อาจจะนำเนื้อถุง น่องที่ตัดแล้วดึงยืดเล็กน้อย คาดทับเรียงเส้นบนกล่องของขวัญ แปลกตาไปอีกแบบ

ก็เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ของการรียูส-รีไซเคิลถุงน่องมาใช้ประโยชน์เพราะที่ไปเห็นมายังทำได้อีกแยะ ทั้งดอกไม้ประดิษฐ� พรมเช็ดเท้า กระเป๋า ปลอกหมอน โอ๊ย!! สารพัด แต่ที่ยกมาเม้าท์กันวันนี้เนี่ย ทำง่ายสุด ๆ แล้ว คิดว่าไม่ยากเกิน.....ใช่ม้า

แล้วอย่าลืมทำอะไรพิเศษ ๆ ให้คนสำคัญ ๆ ของเราละกันนะจ๊ะ.


โดยคุณ : น.ส.คุณประโยชน์

ไดโนเสาร์หายไปไหน? (การปรับตัว)

วัฏสังสารกับวงจรพลังในฤดูกาลแห่งจักรวาลยุคอวกาศ
ไดโนเสาร์มิได้อันตรธานจากโลกเพราะอิทธิพลของ
ลูกอุกกาบาตพุ่งมาชนโลก ไดโนเสาร์สูญพันธ์จากโลกนี้เพราะหมดวาระของสิ่งแวดล้
อมโลกที่จะเอื้อ อำนวยให้สิ่งมีชีวิตบางชนิดที่มีรูปร่างและระบบภายในร่างกายผิดความสมดุลกับ
สภาพภูมิอากาศโลกยุคปัจจุบัน กล่าวคือ เมื่อมีมนุษย์เกิดขึ้นบนโลก
โดยรูปร่างลักษณะของคนถือว่าเป็นหยางคือ รูปร่างกะทัดรัดเล็กลง พอ
เหมาะอันเป็นผลจากสภาวะภูมิอากาศหยางของบรรยากาศทั่วสุริยจักรวาลปรับ
เปลี่ยนฤดูกาล โลกมีฤดูกาลตามรอบวงจรดวงอาทิตย์ เราจึงคำนวณเป็นปฏิทินครบรอบ 12
เดือน 360 ํ ประมาณ 365 วัน
ในขณะที่สุริยจักรวาล ซึ่งเป็นหน่วยหนึ่งของระบบจักรวาลใหญ่
ก็มีรอบครบวงจร 360 ํ กินเวลา 200 ล้านปี
หากแบ่งเป็นช่วง 4 ฤดูกาล ฤดูกาลละ 50 ล้านปี
จากอายุโลกเรานี้คำนวณกันคร่าวๆ ว่า 3.2 พันล้านปี แสดงว่าโลกเราที่อยู่
ในระบบสุริยจักรวาลนี้โคจรไปแล้ว 16 รอบ รอบละ 200 ล้านปี เราอาจ
แบ่งช่วงวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตปรากฏบนโลกเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงในน้ำ ช่วงบนบก ช่วงในน้ำเป็นช่วงแรกใช้เวลา 2,800 ล้านปี
และช่วงหลังบนบก 400 ล้านปี ถือเป็นสัดส่วน 1:7 ระหว่างดินกับน้ำ
สัตว์บกใช้เวลาพัฒนาตามหลังสัตว์น้ำ จะเห็นว่า
ตามวงจรแบบหน้าปัดนาฬิกาแล้ว แบ่งเป็น 12 ช่วง
ช่วงละ 16.6 ล้านปี หรือ 200/12
แต่ละช่วง บรรยากาศในจักรวาลที่โคจรรูปวงรีมีระยะปรับเปลี่ยนมากน้อย
ห่างใกล้จุดศูนย์กลางแปรความร้อน-เย็นของสัดส่วน
พลังหยิน-หยางให้แตกต่างกันไปตามลำดับตามฤดูกาล
เริ่มต้นจากฤดูกาลดั่งฤดูกใบไม้ผลิบนโลกมนุษย์ เข็มนาฬิกา
1 ถึง 3 น. เป็นช่วงที่สัตว์น้ำเริ่มบรรลุการพัฒนาโครงกระดูกสันหลังเปลี่ยนจากสัตว์น้ำ
เป็นสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก พอดีกลับสภาพอากาศอุณหภูมิในบรรยากาศลดลง

สรีระต่างๆ จึงปรับโครงสร้างเพื่อให้ดำรงอยู่ได้ อากาศขณะนั้น ไดโนเสาร์
สัตว์ใหญ่โตเกินสัดส่วนความพอดีของธรรมชาตินั้น ได้รับอิทธิพลของ
บรรยากาศจักรวาลตรงกับฤดูกร้อนสูงสุด

บรรยากาศเป็นหยาง (ร้อน) ร่างกายจึงปรับเป็นหยินขยายตัว พองโต ใหญ่ สูง
ต้นไม้ในช่วงฤดูกาลนี้ก็ใบใหญ่ ต้นใหญ่ เป็นต้นไม้ยักษ์เก็บสะสมน้ำมาก
อากาศหยางมาก รูปร่างก็ขยายตัวพองโตมาก เลือดในร่างกายก็ต้องเย็นเพื่อ
ให้ทนทานต้านความร้อนได้เหมือนน้ำมันเครื่อง
แต่เมื่อเวลานานล้านปีผ่านไป บรรยากาศเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูกาลใหม่
ร่างกายของสิ่งมีชีวิตก็พัฒนาปรับปรุงตัวเองเพื่อให้อยู่รอดกลายเป็นจุด
กำเนิดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หรือสัตว์เลือดอ่อนมากขึ้น
เมื่อฤดูกาลจักรวาลเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อา กาศเริ่มเย็นลงอีก

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพัฒนาตามกันมาควบคู่กับพืช ต้นไม้ที่มีดอก ผล เมล็ด
เป็นผลไม้แตกต่างกันมากมายจากเดิมเป็นเพียงต้นกระบองเพชร
ต้นไม้ป่าที่ ยังไร้ผล เมื่อย่างเข้าใกล้พ้นฤดูกาลปลาย
ปีเข้าสู่ฤดูหนาว ลิงและต้นตระกูล ใกล้ตัว ของมนุษย์ก็บรรลุจุดสมบูรณ์ อากาศที่เย็นลงทำให้เกิดสภาวะหยางการหด
ตัวของสรีระให้เล็ก แน่นและแกร่งขึ้นที่สำคัญที่สุด
คือส่วนสมองกลับเป็นศูนย์กลางรวมฐานรับและส่งกระแส
คลื่นความถี่ จิตวิญญาณได้เต็มที่ เนื่องจากกระดูกสันหลัง เอื้ออำนวยให้แนว
ตั้งดิ่งเชื่อมพลังฟ้า-ดิน วิ่งโดยตรงและสะดวกเป็นแนวเส้นตรง มนุษย์จึงมี
มันสมองที่ฉลาดปราดเปรื่อง สามารถค้นคิดประดิษฐ ์อุปกรณ์สร้างเครื่อง
ปรับดุลส่วนเกินส่วนด้อยในธรรมชาติให้กลับมาใกล้เคียงความพอดีได้
ไฟจึงเป็นพลังงานสำคัญที่มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์เอื้ออำนวยคุณประโยชน์ได้
โดยสวัสดิภาพ

ไดโนเสาร์จึงสูญไปจากโลกเพราะ รูปร่างล้าสมัย สมองเล็ก กระดูกสันหลังมี
ใหญ่เกินกว่าจะพัฒนาให้กะทัดรัดได้ และประการสำคัญ ขั้วสมองขั้วบนกับ
ขั้วอวัยวะเพศขั้วล่างห่างกันเกินไป ไม่สามารถเหนี่ยวนำพลังเพศให้เข้มแข็ง
ได้ ไดโนเสาร์เกิดต่างฤดูกาล และยังตรงข้ามกับราศีของมนุษย์
เมื่อโลกมีสภาวะเหมาะกับคน สภาวะนี้ก็จะไม่เหมาะกับ
ไดโนเสาร์ คนจึงอยู่รอด ไดโนเสาร์จึงต้องสูญพันธุ์ อีกห้าสิบล้านปี
สภาวะโลกในสุริยะจะปรับฤดูกาลสิ่งมีชีวิตบางชนิดก็จะสูญ
พันธุ์และอันตรธานไปอีก ทั้งนี้เพราะร่างกายของเขาล้าสมัยกับบรรยากาศที่
เปลี่ยนแปรไป แต่สิ่งที่จะช่วยชะลอการสูญพันธุ์ได้ก็ด้วยการใช้ไฟในการหุงต้มอาหาร
เพื่อลดส่วนเกินให้กลับพอดี แต่ไฟใน ปัจจุบันเรานิยมใช้
ไฟ ฟ้า ไฟไมโครเวฟ ไฟจากรังสีต่างๆ ไฟเหล่านี้เป็นไฟ (หยิน) เป็นไฟที่ไม่ นิ่ง ไฟที่ให้ความร้อนไม่ลึกพอ ร้อนเร็ว เย็นเร็ว ไฟจึงเป็นปัจจัยของพลังงาน ที่มนุษย์ยุคนี้ควรคำนึงและเลือกใช
้ให้ถูกและสอดคล้องกับพลังขั้นตอนของ ธรรมชาติ มิฉะนั้นแล้ว การเลือกใช้ไฟที่ผิดอาจจะเร่งให้มนุษย์เราสูญพันธุ์เร็ว
กว่าเวลาอันควรขอให้ศึกษาพิจารณาตัวอย่างของไดโนเสาร์ไว้เป็นบทเรียน
คอยเตือนสติมนุษย์ให้รู้จักป้องกันตัวเอง เลี่ยงความผิดพลาด อันเนื่องจาก
ความประมาทและอวิชชา
โดยคุณ : ผู้จัดการ

เคล็ดลับอาหารเช้าสำหรับผู้หญิงรักษาสุขภาพ

สำหรับผู้หญิงที่รักษาสุขภาพโดยทั่วไป มักจะออกกำลังกายเป็นประจำ
ควบคู่กับการรับประทานอาหารอย่างระมัดระวัง และส่วนใหญ่มักจะกลัว
ความอ้วน จนบางครั้งอาจจะงดอาหารเช้าหรืออาหารบางมื้อเพื่อลดความอ้วน
หรือเพื่อคงน้ำหนักเดิม การงดอาหารบางมื้อไม่ใช่วิธีการลดความอ้วนที่ถูก
ต้อง เพราะร่าง กายต้องการอาหารเพื่อการทำงานของร่างกายให้เป็นไปตาม

ปกติ การงดอาหารบางมื้ออาจจะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรงดอาหารเช้า
ผู้หญิงที่ทำงานหนักปานกลางโดยทั่วไปต้องการพลังงาน ประมาณ
2,000 กิโลแคลอรีต่อวัน เพื่อใช้ในการทำงานตามปกติของร่างกาย บางคน
ทำงานในสำนักงาน ซึ่งแทบจะไม่ได้เคลื่อนย้าย ร่างกายไปไหนเลยทั้งวัน ต้อง
นั่งอยู่กับที่ตลอดเวลา ทำให้การใช้พลังงานค่อนข้างน้อย เพราะฉะนั้นการ
ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยทำให้มีการใช้พลังงานมากขึ้น เป็นการป้องกัน
ไม่ให้เกิดการสะสมไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะสะสมที่หน้าท้องมากกว่าส่วนอื่น

สำหรับ อาหารเช้าควรจะเป็นอาหารมื้อหนักกว่ามื้อเย็น เพราะพลังงานที่ ได้รับจากอาหารก็จะถูกใช้หมดไปในช่วงวันที่ทำกิจกรรมและการออกกำลังกาย และควรจะเป็นอาหารที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย กินอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ และไม่กินอาหารซ้ำๆ ซากๆ เพราะจะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน

อาหารเช้าอาจจะเริ่มด้วย ‘ ข้าวต้มที่เป็นข้าวกล้อง
หรือขนมปังโฮลวีทซึ่งมาจากข้าวสาลีที่ยังไม่ขัดสี จะให้ประโยชน์มากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว สำหรับข้าวกล้องจะมีวิตามิน
หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 1 และบี 2 และโปรตีน ถ้าขัดสีข้าวจนขาวจะทำให้สูญเสียโปรตีนไป
บางคนอาจจะไม่ชอบข้าวกล้องว่าแข็งไป หุงต้มนานกว่าจะสุก สำหรับ
มื้อเช้าที่เร่งรีบ เราควรจะหุงข้าวไว้ก่อนตั้งแต่ตอนเย็น เก็บใส่ตู้เย็นไว้ ในตอน
เช้าเพียงแต่เอามาอุ่นก็จะใช้เวลาน้อยลง ในการหุงต้มข้าวกล้อง ควรแช่ข้าว
กล้องไว้สักครึ่ง ชั่วโมงหลังจากที่ซาวข้าวแล้ว เมื่อนำไปหุงต้ม ข้าวจะนิ่มน่า
รับประทาน แต่อย่าเทน้ำที่แช่ข้าวทิ้ง เพราะวิตามินบางอย่างละลายในน้ำได้
เราจึงใช้น้ำนั้นหุงข้าว นอกจากนี้อาจจะผสมข้าวหอมมะลิกับข้าวกล้อง ก็จะ
ทำให้น่ารับประทานขึ้น

‘ นอกจากคาร์โบไฮเดรตแล้ว ร่างกายยังต้องการโปรตีน และไขมันเพื่อ
ให้พลังงานแก่ร่างกาย ดังนั้นเราอาจจะรับประ-ทานข้าวต้มปลา กุ้ง หมูหรือไก่ ก็ได้ตามชอบ ซึ่งก็จะได้โปรตีน และไขมันจากเนื้อสัตว์

‘ ตามด้วยนมสดอีกสักแก้ว เพราะนมเป็นแหล่งสำคัญของโปรตีน แคลเซียม และวิตามินต่างๆ ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนัก ก็ควรดื่มนมพร่องมันเนย หรือจะเป็นนมถั่วเหลืองหรือ ที่เราเรียกว่าน้ำเต้าหู้ก็ได้ ซึ่งให้โปรตีนสูงไขมัน
ต่ำ นอกจากนี้เครื่องดื่มธัญพืชก็ให้คุณค่าอาหารสูงเช่นเดียวกัน

‘ นอกจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันแล้ว ผักผลไม้ก็จำเป็น อย่างยิ่งผู้หญิงที่รักษาสุขภาพ ย่อมคำนึงถึงผิวพรรณ มาก และมักจะกังวล
กับริ้วรอยที่อาจจะเกิดขึ้นก่อนวัยอันควร จากกลไกการทำงานของร่างกายทำ
ให้เกิดอนุมูลอิสระ ถ้าหากมีมากเกินไปจะทำให้ผิวหนังเหี่ยวแห้งและมีริ้ว
รอย เกิดขึ้น สาร ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระคือ เบต้าแคโรทีน ซึ่งมีมากใน คะน้าแครอท กล้วยไข่ กล้วยหอม แอปเปิล อย่างไรก็ตาม ถ้ากินอาหารที่มีเบต้าแคโรทีมมากเกินไป ก็ไม่ดีแก่ร่างกายเช่นกันนอก จากนี้
ยังมี บรอกโคลี เห็ด กะหล่ำปลี ที่เป็นแหล่งสำคัญของซีลีเนียมซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณ นอกจากนี้
ยัง มีผลไม้ที่มีวิตามิน ซีสูง ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน ได้แก่ ส้ม ฝรั่ง จะช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรงด้วย สำหรับฝรั่งยังช่วยควบคุมระดับไข มันในเลือดและสำหรับคนที่ชอบออกกำลังกาย ฝรั่งจะ ช่วยทำให้กล้ามเนื้อมี
การยืดหยุ่นดี ไม่เป็นตะคริวง่าย เพราะฉะนั้นเราต้องกินอาหารหลายๆ อย่าง และไม่กินซ้ำๆ ซากๆ
โดยคุณ : รศ.ดร.เสาวพร เมืองแก้ว

ไข่เกิดก่อนไก่ หรือไก่เกิดก่อนไข่..(ความสมดุล)

ปริศนาเชาวน์ยอดนิยมที่ได้รับการกล่าวขวัญก่อนมาช้านาน ยังมิอาจหาคำ
ตอบที่แท้จริงได้ คำถามประโยคนี้เป็นผลิตภัณฑ์ลิขสิทธิ์ของแนวความคิดตะวันตกแบบกรีก
โรมัน ซึ่งเป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ของโลกสมัยใหม่ปัจจุบัน เป็นรากฐานแห่ง
แม่บทของตรรกวิทยาที่เน้นความจริงบนหลักฐานของกายภาพ รูปร่างภาย
นอกและที่สำคัญคือ การยึดถือตัวตนและปัจจัย เวลาในแนวเส้นตรง
การมองเห็นทุกสิ่งในชีวิตเคลื่อนไหวแบบเส้นตรง ความ
เจริญคือที่มาของการแข่งขัน

ชีวิตคนเหมือนนักวิ่งบนลู่ที่มีเส้นทางตรงสู่เส้นชัย
ด้วยเหตุฉะนี้ คำถามเรื่องไข่และไก่ใครเกิดก่อนจึงไม่สามารถหาคำตอบได้
แต่ในแง่ของปรัชญาตะวันออก เป็นแนวความคิดที่ถือความเป็นธรรมชาติเป็น
หลัก วงจรการหมุนเวียนในธรรมชาติเป็นวัฏฏะดั่งวงกลมที่มีจุดเริ่มและจุด
ดับอยู่ในตัวเอง หรือจุดศูนย์ (0) กับจุด 360 ํ (ครบรอบตั้งบนจุดเดียวกัน)
นี่คือต้นกำเนิดแห่งปรัชญาหยิน-หยาง ที่ถือว่า สรรพสิ่งตั้งอยู่บนฐานแห่งปฏิกิริยาของพลังสองขั้วในเวลาเดียวกัน ไม่มีสิ่งใด
สามารถดำรงอยู่ได้โดยโดดเดี่ยว ในหยินย่อมมีหยาง ในหยางย่อมมีหยิน
สัญลักษณ์หยิน-หยาง จึงมีรูปครึ่งวงกลมสีดำ-ขาว
สอดคล้องคู่กัน ในรูปดำมีจุดขาวแฝงอยู่ในรูปขาวมีจุดดำซ่อนตัวอยู่เช่นกัน

คำถามไข่กับไก่ ใครเกิดก่อน จึงไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้
ในทัศนะของปรัชญาจีน เพราะทั้งไข่และไก่คือของสิ่งเดียวกัน ในต่างสภาวะ
หรือหยินและหยาง ในสถานภาพของไก่ ในไข่มีจุดเล็ก (หยาง) อยู่ เพื่อรอที่
จะพัฒนาเป็นตัวไก่ ด้วยปัจจัยเวลาในไก่มีจุดเล็ก (หยิน) แฝงอยู่
เป็นพลังเพศหรืออสุจิที่จะแพร่เชื้อให้เกิดเป็นไข่ได้
ทั้งไก่และไข่จึงเกิดดำรงอยู่พร้อมกันในธรรมชาติขั้น 7
ไม่มีใครเกิดก่อนเกิดหลัง แต่ทั้งไข่และไก่ได้รับการจุติมาเกิดเป็นรูปโดยพลังงานแปรรูปของธรรมชาติ
ตั้งแต่ 2 ถึงขั้น 6 แต่ได้รับอุปกรณ์โครงสร้างรูปโดยสสารขั้น 5 ของธรรมชาติคือ หินปูน อากาศและความร้อนของบรรยากาศ และได้รับการแปรรูป
เป็นสิ่งมีชีวิตด้วยปัจจัยพลังขั้น 6 หรือกลไกของอาณาจักรพืชที่สิ่งที่เป็นการ
สังเคราะห์แสงอาทิตย์ อาจกล่าวได้ว่า ทั้งไข่ ไก่และคน รวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่นนั้น
ได้รับการวางรากฐานแห่งชีวิต โดยพลังขั้น 5 สู่ขั้น 6
และขั้น 6 สู่ขั้น 7 ในรูปของวงจรก้นหอยขยายออกจากจุดศูนย์กลางทั้งสอง
คือ ขั้วหยินและหยางในสิ่งเดียวกัน
หากมิใช่ปรัชญาความคิดแบบหยิน-หยางแล้ว ก็ยังถือว่าคนนั้นยังคิดแบบธรรมชาติไม่เป็น
แนวความคิดเรื่องวิวัฒนนาการของสิ่งมีชีวิตสู่คนเรา
เป็นรากฐานสำคัญและเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของบรรพบุรุษตะวันออก ซึ่ง
คนในปัจจุบันนั้นยากที่จะเข้าใจ เพราะการพัฒนาเป็นการคิดทั้งระบบที่เป็นหนึ่ง
เดียวกัน กล่าวคือ มนุษย์นั้นมีมารดาผู้ให้กำเนิดหลายคนหลายระดับ
มารดา ที่เป็นแม่บังเกิดเกล้าถือเป็นแม่โดยตรงทางสายเลือดกรรมพันธุ์ แต่มารดาต่างตระกูล
ในแง่พลังงานการแปรรูปจากธรรมชาตินั้น มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นมีมารดา
ร่วมคือ ต้นไม้อาณาจักรพืช พืชที่เป็นอาหารสำหรับเรารับประทาน ถือเป็นผู้ให้กำเนิด
ในรูปของพลังงาน ที่บิดา มารดาเรารับประทานแล้วกลั่นเป็นสายเลือดหล่อเลี้ยงสร้างเราขึ้นมา
เป็นตัวเป็นตน อาจกล่าวได้ว่า เราทุกคนเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่บิดา
มารดาเรารับประทานและท่านได้พืชผลมาปรุงเป็นอาหาร
โดยผ่านทางตลาดสดประจำหมู่บ้าน ชุมชนที่เคยเป็นภูมิลำเนา เดินตามภาคที่บรรพบุรุษต้นตระกูลเรามีถิ่น
บ้านเกิด แต่ละคนจึงมาจากตลาดสด แต่เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้น
พืช ผัก ผลไม้ถูกเปลี่ยนคุณภาพต่ำลงโดยการใช้ปุ๋ย
สารเคมีในการเกษตรกรรม เมื่อปุ๋ยเคมีเริ่มมีอิทธิพลต่อ

การผลิตของบริโภค เราทุกคนเริ่มอ่อนแอลงตามลำดับ
พลังชีวิตก็มีภูมิต้านทานโรคก็มีที่ทุกคนเคยแข็งแรง ต้องถูกทำลายลงเพราะกระบวนการผลิตเพื่อส
ังเคราะห์ตามความต้องการ ของการตลาดและการค้าเพื่อทำกำไร
คุณค่าทางอาหารที่ร่างกายสะสมเพื่อเป็นวัตถุดิบสร้าง

เม็ดเลือดในร่างกายก็ด้อยคุณภาพลง เลือดเจือจาง การที่ร่างกานจะสกัดเม็ดเลือดมาสร้างหัวเชื้ออ
สุจิและไข่ ที่เป็นตัวต้นกำเนิดชีวิตก็เสื่อมลง บ่อยครั้งที่อาหารสังเคราะห์ด้อยคุณภาพนำไปสู่ต้นกำเนิดชีวิตที่ให้ผลระยะ
ยาวต่อลูกหลาน เมื่อสตรีเริ่มใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดก็ดี อาหารที่หวานจัดและผสมเคมีภัณฑ์สูงก็ดี
ไอศกรีม ขนมเค้ก อาหารอัดกระป๋องล้วนมีส่วนช่วยเสริมการ ทำลายเม็ดเลือดให้เป็นกรดและลดภูมิต้านทานลง

ในขณะที่สังคมของผู้ชายนิยมการดื่มสุรา เบียร์ แอลกอฮอล์ เกือบทุกฤดูกาลเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำลายพลังเพศชาย
ให้ด้วยอ่อนแอลงในระดับที่เป็นอันตรายต่อประชากร
ในหมู่สังคมวิถีชีวิตคนปัจจุบัน กล่าวคือ ทั้งชายและหญิงเพิ่มปัจจัยหยิน ซึ่งเป็นปรปักษ์
การพลังเพศและเลือดที่ควรเป็นสภาพหยาง ทำให้เยาวชนรุ่นหลังตามมาอ่อนแอกว่ารุ่นก่อนตามลำดับ

จากจุดเริ่มต้นของสารเคมีในดินสู่สารเคมีในอาหารหญิง-ชาย สู่การคุม
กำเนิดการลัดวงจรพลังเพศโดยวิธีฝืนธรรมชาติ
จากปริมาณน้ำตาลทรายที่เกินขีดที่เลือดควรจะรับได นำไปสู่การผลิตทารก ประชากรรุ่นต่อไปอ่อนแอลง
ติดตามมาด้วยการเลี้ยงทารกด้วยนมวัว นมผงแทนนมมารดา ยิ่งทำให้คน
ด้อยคุณภาพของความเป็นคนลง แต่ถึงอย่างไร ในที่สุด
เราก็สามารถบรรลุสังขารของความเป็นคน ในรูปของ
ผู้ใหญ่ผู้ที่มีส่วนตัดสินใจและชี้ชะตาสังคมในการบริหารจัดการประเทศชาติ

ส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่เมื่อถึงเวลานั้น ร่างกายเรามีเพียงความแข็งแรงและ
คุณสมบัติของความเป็นมนุษย์เพียง 50% สังคมจึงเริ่มเสื่อมทุกระดับ ซึ่งตามธรรมชาติเดิมเราถูกกำหนดให้เป็นคนที่กำหนดชะตา
ชีวิต และเป็นผู้นำของทุกข์ สุขของสังคม
ปัจจุบัน เหตุการณ์ได้ปรากฏชัดแล้วว่า การเดินทางของชีวิต เข้าสู่ความเป็น
คนนั้น ความผิดพลาดทั้งหมดเราต้องหันกลับมาทบทวนปัจจัยต่างๆ รอบตัว
ผู้ที่สมควรจะถูกตรวจสอบนั้นมิใช่ใคร ต้องเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน
หลักแนวความคิดที่เรายึดติดในแบบตะวันตกได้ฝังลึกในจิตใจจนเราไม่
สามารถจะคิดเป็นอื่นได้ แต่ เรายังมีทางเลือกใหม่ในแง่ความคิดปรัชญาตะวันออก
ที่ให้ความสำคัญสรรพสิ่งทั้งระดับ และทุกระดับคนเราต้องเป็น ตัวสร้างความสมดุลก่อน มิฉะนั้นทั้งระบบจะฝืนธรรมชาต